Skip to content

TEL : 081-841-5075, 02-258-4050

Facebook Instagram YouTube
Privato Clinic – Innovation Of Beauty  |  Bangkok
  • หน้าหลัก
  • เกี่ยวกับพรีวาโต
  • บริการทั้งหมดExpand
    • ชะลอวัย
    • ยกกระชับผิวExpand
      • XERF
      • Potenza
      • Sofwave
      • Ulthera
      • Thermage-FLX
    • รักษาสิว
    • เลเซอร์
    • โปรแกรมฉีด
    • บำรุงผิว
  • บทความExpand
    • สิว
    • ยกกระชับ
    • ดูแลผิว
    • ทำเลเซอร์
  • ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว
  • โปรโมชั่น
  • ผลลัพธ์การรักษา
  • วิดีโอรีวิวจากเคสจริง
  • สาขาของเรา
  • ไทยExpand
    • ไทย
    • English
    • 中文 (中国)
  • ปรึกษาแพทย์
Privato Clinic – Innovation Of Beauty  |  Bangkok
Consult a Doctor
Laser

หูดที่หน้า: สาเหตุและวิธีรักษาให้หายขาดด้วยเลเซอร์

Byadmin ธันวาคม 10, 2025
By นายแพทย์พนิต อุนรัตน์ Updated on ธันวาคม 10, 2025
✦ Medically reviewed by  นายแพทย์เลอพงษ์ กรุดเงิน
หูดที่หน้า: สาเหตุและวิธีรักษาให้หายขาดด้วยเลเซอร์

หูดที่หน้าคือตุ่มเนื้อไม่อันตรายบนผิวหนังซึ่งเกิดจากการติดเชื้อไวรัส HPV และสามารถรักษาให้หายขาดด้วยเลเซอร์ CO2 ที่มีประสิทธิภาพสูงถึง 64-95% ในการกำจัดเนื้อเยื่อหูดอย่างแม่นยำ.

Table of Contents

Toggle
  • หูดที่หน้าคืออะไร และมีลักษณะอย่างไร
  • หูดที่หน้าเกิดจากอะไร และปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้ติดเชื้อ
  • ประเภทของหูดที่พบบ่อยบริเวณใบหน้า
    • หูดราบ (Flat Warts)
    • หูดติ่งเนื้อ (Filiform Warts)
    • หูดธรรมดา (Common Warts)
  • วิธีรักษาหูดที่หน้าทางการแพทย์ ให้หายขาด
    • การรักษาด้วยเลเซอร์ (CO2 Laser)
    • การจี้ความเย็น (Cryotherapy)
    • การจี้ด้วยไฟฟ้า (Electrocautery)
    • การใช้ยาทาหูด (Topical Medication)
  • รักษาหูดที่หน้าด้วยตัวเองได้ไหม หรือควรพบแพทย์
  • ข้อดีของการรักษาหูดที่หน้าด้วยเลเซอร์กับคลินิก
    • ลดโอกาสเกิดรอยแผลเป็นบนใบหน้า
    • กำจัดรากหูดได้ลึก ลดโอกาสเป็นซ้ำ
  • วิธีป้องกันหูดที่หน้าและการดูแลตัวเอง
  • คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับหูดที่หน้า
    • หูดที่หน้าอันตรายไหม
    • หูดที่หน้าติดต่อกันได้ไหม
    • หูดหายเองได้ไหม

หูดที่หน้าคืออะไร และมีลักษณะอย่างไร

หูดที่หน้าคือตุ่มเนื้อไม่อันตรายบนผิวหนังซึ่งเกิดจากการติดเชื้อไวรัสฮิวแมนแปปิโลมา (HPV) โดยทั่วไปจะมีลักษณะเป็นตุ่มนูนแข็ง ผิวขรุขระ และอาจมีจุดดำเล็กๆ อยู่ภายใน ซึ่งเกิดจากเส้นเลือดฝอยที่แข็งตัว

หูดที่พบบนใบหน้ามีหลายชนิด แต่ที่พบบ่อยที่สุด ได้แก่:

  • หูดชนิดแบน (Flat Warts): เป็นตุ่มเล็กๆ ผิวเรียบและแบน มีสีเดียวกับผิวหรือสีน้ำตาลอ่อน มักขึ้นเป็นกลุ่ม
  • หูดชนิดเส้นด้าย (Filiform Warts): มีลักษณะเป็นติ่งเนื้อยาวคล้ายเส้นด้ายหรือนิ้วมือเล็กๆ มักพบบริเวณเปลือกตา ริมฝีปาก และลำคอ
  • หูดธรรมดา (Common Warts): มีลักษณะเป็นตุ่มนูนแข็ง ผิวขรุขระคล้ายดอกกะหล่ำ แต่จะพบบนใบหน้าน้อยกว่าหูดสองชนิดแรก

หูดที่หน้าเกิดจากอะไร และปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้ติดเชื้อ

หูดที่หน้าเกิดจากการติดเชื้อไวรัสฮิวแมนแปปิโลมา (Human Papillomavirus หรือ HPV) ซึ่งแพร่กระจายผ่านการสัมผัสโดยตรงกับผิวหนังหรือสิ่งของที่ปนเปื้อนเชื้อ

ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้ติดเชื้อได้ง่ายขึ้น ได้แก่:

  • ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง: ผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ เช่น ผู้ติดเชื้อ HIV หรือผู้ที่รับยากดภูมิคุ้มกัน
  • ผิวหนังมีบาดแผล: รอยถลอกหรือบาดแผลบนผิวหนัง เช่น จากการโกนหนวด เป็นช่องทางให้ไวรัสเข้าสู่ผิวได้ง่าย
  • อายุ: พบได้บ่อยในเด็กและวัยรุ่น เนื่องจากมีภูมิคุ้มกันที่ยังไม่สมบูรณ์และมีการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้อื่นบ่อย
  • พันธุกรรม: ผู้ที่มีประวัติคนในครอบครัวเป็นหูด หรือมีโรคทางพันธุกรรมที่หายากบางชนิด (Skin lesions caused by HPV—a comprehensive review, MDPI, 2024)

หูดที่หน้า infographic

ประเภทของหูดที่พบบ่อยบริเวณใบหน้า

หูดราบ (Flat Warts)

หูดราบคือหูดชนิดที่พบบ่อยที่สุดบนใบหน้า มีลักษณะเป็นตุ่มนูนเล็กน้อย ผิวเรียบ และด้านบนแบน มักพบในเด็กและวัยรุ่น

  • ลักษณะ: มีขนาดเล็ก (1-5 มม.) สีเดียวกับผิว สีชมพู หรือสีน้ำตาลอ่อน มักขึ้นเป็นจำนวนมากและเรียงกันเป็นกลุ่มหรือเป็นเส้น
  • สาเหตุ: เกิดจากการติดเชื้อไวรัส HPV สายพันธุ์ 3 และ 10
  • อาการ: โดยทั่วไปไม่มีอาการเจ็บหรือคัน
  • การหาย: สามารถหายได้เองเมื่อเวลาผ่านไป เนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายตอบสนองต่อเชื้อไวรัส (Flat warts: What they look like and how to treat them, Water’s Edge Dermatology, 2023)

หูดติ่งเนื้อ (Filiform Warts)

หูดติ่งเนื้อคือติ่งเนื้อยาว แคบ คล้ายเส้นด้ายที่ยื่นออกมาจากผิวหนัง ซึ่งมักมีลักษณะคล้ายนิ้วมือหรือกิ่งก้านเล็กๆ และมีผิวขรุขระคล้ายแปรง โดยทั่วไปจะไม่เจ็บ แต่อาจสร้างความรำคาญได้

ลักษณะสำคัญของหูดติ่งเนื้อ ได้แก่

  • บริเวณที่พบบ่อย: มักเกิดขึ้นบนใบหน้า โดยเฉพาะเปลือกตา ริมฝีปาก คอ และรอบจมูก
  • สาเหตุ: เกิดจากการติดเชื้อเอชพีวี (HPV) ชนิดเดียวกับที่ทำให้เกิดหูดทั่วไป เช่น HPV 1, 2, 4, 27 และ 29
  • การติดต่อ: ติดต่อได้ง่ายผ่านการสัมผัสโดยตรง เนื่องจากติ่งเนื้อที่ยื่นออกมาสามารถแพร่กระจายเชื้อไวรัสได้ง่าย (Types of warts & how to spot them, Gainesville Dermatology & Skin Surgery, 2023)

หูดธรรมดา (Common Warts)

หูดธรรมดา (Verruca Vulgaris) คือหูดชนิดตุ่มนูนแข็งและมีผิวขรุขระคล้ายดอกกะหล่ำ ซึ่งมักพบจุดดำเล็กๆ อยู่ภายในอันเกิดจากเส้นเลือดฝอยที่อุดตัน แม้จะพบบ่อยที่มือและเข่า แต่ก็สามารถเกิดบนใบหน้าได้เช่นกัน โดยเฉพาะบริเวณแนวไรผมและหนวดเครา หูดชนิดนี้เกิดจากการติดเชื้อเอชพีวี (HPV) สายพันธุ์ที่ 2, 4 หรือ 27/29 (Viral wart (cutaneous wart) – Human Papillomavirus infection, DermNet, 2023)

วิธีรักษาหูดที่หน้าทางการแพทย์ ให้หายขาด

การรักษาหูดที่หน้าให้หายขาดทางการแพทย์ทำได้โดยการใช้เลเซอร์ CO2, การจี้เย็น (Cryotherapy), และการจี้ไฟฟ้า (Electrocautery) ซึ่งเป็นการกำจัดหูดโดยตรงและมีประสิทธิภาพสูง

  • เลเซอร์ CO2 (CO2 Laser): เป็นวิธีที่แม่นยำสูง สามารถกำจัดเนื้อเยื่อหูดได้หมดจดในการรักษาเพียงครั้งเดียวหรือสองครั้ง มีอัตราการกลับมาเป็นซ้ำต่ำ และมีความเสี่ยงที่จะเกิดแผลเป็นบนใบหน้าน้อย
  • การจี้เย็น (Cryotherapy): คือการใช้ไนโตรเจนเหลวที่มีอุณหภูมิต่ำมากจี้ทำลายเซลล์หูด อาจต้องทำซ้ำ 2-4 ครั้งจึงจะเห็นผล และมีความเสี่ยงที่จะเกิดรอยด่างขาวหรือรอยคล้ำบนใบหน้าได้
  • การจี้ไฟฟ้า (Electrosurgery): เป็นการขูดหูดออกแล้วใช้ไฟฟ้าจี้ที่ฐานเพื่อทำลายเซลล์ที่เหลือและหยุดเลือด มีประสิทธิภาพสูง แต่มีความเสี่ยงในการเกิดแผลเป็นมากกว่าวิธีอื่น
  • ยาทาเฉพาะที่: สำหรับหูดบางชนิด เช่น หูดแบน แพทย์อาจพิจารณาสั่งยาทา เช่น กลุ่มเรตินอยด์ (Tretinoin), อิมิควิโมด (Imiquimod) หรือ 5-ฟลูออโรยูราซิล (5-FU) ซึ่งจะค่อยๆ ทำให้หูดหลุดออกไป แต่ต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์

การรักษาด้วยเลเซอร์ (CO2 Laser)

การรักษาหูดด้วยเลเซอร์ CO2 เป็นวิธีการใช้เลเซอร์คาร์บอนไดออกไซด์เพื่อทำให้เนื้อเยื่อของหูดระเหยไปทีละชั้น วิธีนี้ใช้ความร้อนจากเลเซอร์เพื่อทำลายเซลล์ผิวหนังที่ติดเชื้อไวรัส HPV อย่างแม่นยำ โดยสามารถควบคุมความลึกของการรักษาได้ดี จึงช่วยลดความเสียหายต่อผิวหนังปกติโดยรอบและลดโอกาสการเกิดแผลเป็น

การรักษาด้วยเลเซอร์ CO2 มีข้อดีดังนี้:

  • ประสิทธิภาพสูง: มีอัตราการกำจัดหูดสำเร็จสูงถึง 64-95% และมักใช้การรักษาเพียงครั้งเดียว
  • อัตราการกลับมาเป็นซ้ำต่ำ: เนื่องจากสามารถกำจัดเนื้อเยื่อหูดออกไปได้อย่างหมดจด จึงมีอัตราการกลับมาเป็นซ้ำต่ำกว่าวิธีอื่น
  • เหมาะกับใบหน้า: ความแม่นยำสูงทำให้เหมาะกับการรักษาในบริเวณที่บอบบางอย่างใบหน้า ซึ่งต้องการผลลัพธ์ด้านความสวยงามที่ดีที่สุด (Sequential use of co2 laser with adjunct lasers in wart management (retrospective study), Medicina (Kaunas), 2022)

การจี้ความเย็น (Cryotherapy)

การจี้ความเย็น (Cryotherapy) คือการใช้ความเย็นจัดเพื่อรักษาหูด โดยแพทย์จะใช้ไนโตรเจนเหลวที่อุณหภูมิ –196°C จี้ลงบนหูดเพื่อให้เซลล์ผิวหนังที่ติดเชื้อไวรัส HPV แตกตัวและตายไป การรักษาวิธีนี้มักต้องทำซ้ำทุก 2–3 สัปดาห์ ประมาณ 2–4 ครั้ง โดยมีอัตราการรักษาสำเร็จประมาณ 50–70% ผลข้างเคียงที่พบบ่อยคืออาการเจ็บและเกิดตุ่มน้ำพองหลังทำ และมีความเสี่ยงที่จะเกิดรอยด่างขาวหรือรอยคล้ำบนใบหน้าได้ (Destructive therapies for cutaneous warts: A review of the evidence, Australian Journal of General Practice, 2022)

การจี้ด้วยไฟฟ้า (Electrocautery)

การจี้ด้วยไฟฟ้าเป็นการกำจัดหูดออกโดยการขูด (curettage) และใช้กระแสไฟฟ้าจี้ที่ฐานของหูดเพื่อทำลายเนื้อเยื่อ เทคนิคนี้มักทำภายใต้การใช้ยาชาเฉพาะที่ มีประสิทธิภาพในการกำจัดหูดได้ประมาณ 80% หรือมากกว่า แต่อาจกลับมาเป็นซ้ำได้ 20% เนื่องจากมีความเสี่ยงที่จะเกิดแผลเป็น การจี้ไฟฟ้าบนใบหน้าจึงมักใช้สำหรับกรณีที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาอื่น หรือสำหรับหูดชนิดเส้นด้าย (filiform warts) (Viral wart (cutaneous wart) – Human Papillomavirus infection, DermNet, 2023)

การใช้ยาทาหูด (Topical Medication)

ยาทาสำหรับรักษาหูดมีหลายชนิด โดยออกฤทธิ์แตกต่างกันไป เช่น ทำให้ผิวหนังที่เป็นหูดค่อยๆ หลุดลอกออก หรือกระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกายให้มาทำลายเชื้อไวรัส

ยาทาที่นิยมใช้ ได้แก่

  • กรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid): เป็นยาที่ช่วยผลัดเซลล์ผิว ทำให้หูดหลุดลอกออกไป มักเป็นส่วนผสมหลักในยารักษาหูดที่หาซื้อได้เอง แต่ไม่แนะนำให้ใช้กับหูดบนใบหน้าเนื่องจากอาจทำให้เกิดการระคายเคืองและรอยแผลเป็นได้
  • เรตินอยด์ (Retinoids): เช่น ยาทาเตรติโนอิน (Tretinoin) ช่วยปรับการผลัดเซลล์ผิวให้เป็นปกติ มักใช้รักษาหูดชนิดแบนบนใบหน้า โดยเฉพาะในเด็ก เนื่องจากมีความปลอดภัยสูง
  • อิมิควิโมด (Imiquimod): เป็นยาที่กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันเฉพาะที่ให้มาทำลายเชื้อไวรัสที่ก่อให้เกิดหูด เหมาะสำหรับหูดชนิดแบน แต่ยาอาจทำให้เกิดการอักเสบ บวมแดงบริเวณที่ทาได้
  • 5-ฟลูออโรยูราซิล (5-FU): เป็นยาเคมีบำบัดชนิดทาที่ช่วยยับยั้งการแบ่งตัวของเซลล์ที่ติดเชื้อไวรัส มีประสิทธิภาพดีในการรักษาหูดชนิดแบน แต่ก็ทำให้เกิดการระคายเคืองผิวหนังอย่างมาก (Destructive therapies for cutaneous warts: A review of the evidence, Australian Journal of General Practice, 2022)

รักษาหูดที่หน้าด้วยตัวเองได้ไหม หรือควรพบแพทย์

โดยทั่วไปไม่แนะนำให้รักษาหูดบนใบหน้าด้วยตนเอง และควรไปพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เนื่องจากการรักษาด้วยตนเองมีความเสี่ยงสูงที่จะทำให้เกิดแผลเป็นหรือการเปลี่ยนแปลงของสีผิวบนใบหน้าที่บอบบาง และอาจเป็นการวินิจฉัยที่ผิดพลาดได้

แพทย์สามารถวินิจฉัยได้อย่างแม่นยำและให้การรักษาที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพมากกว่า เช่น การจี้เย็นหรือเลเซอร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีต่อไปนี้

  • หูดอยู่ใกล้บริเวณที่บอบบาง เช่น ดวงตา ริมฝีปาก หรือจมูก
  • มีหูดจำนวนมากหรือมีขนาดใหญ่
  • ไม่แน่ใจว่ารอยโรคที่เกิดขึ้นคือหูด
  • มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง (Warts: Diagnosis and treatment, American Academy of Dermatology, 2025)

ข้อดีของการรักษาหูดที่หน้าด้วยเลเซอร์กับคลินิก

ลดโอกาสเกิดรอยแผลเป็นบนใบหน้า

การรักษาด้วยเลเซอร์เป็นวิธีที่ช่วยลดโอกาสการเกิดรอยแผลเป็นได้ดีที่สุด เนื่องจากมีความแม่นยำสูงในการกำจัดเฉพาะเนื้อเยื่อหูดโดยไม่ทำลายผิวหนังปกติโดยรอบ

เลเซอร์สามารถควบคุมความลึกของการรักษาได้อย่างละเอียด ทำให้เหมาะกับผิวบนใบหน้าที่มีความหนาบางแตกต่างกันไป และช่วยลดความเสียหายต่อชั้นหนังแท้ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดแผลเป็น นอกจากนี้ พลังงานเลเซอร์ยังช่วยปิดหลอดเลือดเล็กๆ ทำให้เกิดการอักเสบและการตกเลือดน้อยลง ส่งผลให้แผลหายเร็วและสวยงามกว่าวิธีอื่น เช่น การจี้เย็น (Cryotherapy) ซึ่งอาจทิ้งรอยด่างขาวหรือรอยบุ๋มถาวรได้ (Sequential use of CO2 laser with adjunct lasers in wart management (retrospective study), Medicina (Kaunas), 2022)

กำจัดรากหูดได้ลึก ลดโอกาสเป็นซ้ำ

การรักษาด้วยเลเซอร์ CO2 เป็นวิธีที่สามารถกำจัดเนื้อเยื่อหูดได้ลึกถึงรากและมีอัตราการกลับมาเป็นซ้ำต่ำ เลเซอร์จะทำลายและทำให้เซลล์ที่ติดเชื้อไวรัสระเหยไปทีละชั้นอย่างแม่นยำ ทำให้สามารถกำจัดหูดออกไปได้อย่างสมบูรณ์ในการรักษาเพียงครั้งเดียว โดยมีอัตราการกลับมาเป็นซ้ำต่ำเพียง 0–20% (SMH Journal, 2020)

วิธีป้องกันหูดที่หน้าและการดูแลตัวเอง

การป้องกันหูดที่หน้าทำได้โดยหลีกเลี่ยงการสัมผัสหูดโดยตรง ไม่ใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น และดูแลผิวให้แข็งแรงอยู่เสมอ การป้องกันและการดูแลตัวเองหลังการรักษาสามารถทำได้โดยปฏิบัติตามคำแนะนำต่อไปนี้

วิธีป้องกันการเกิดหูด

  • หลีกเลี่ยงการสัมผัส แกะ หรือเกาหูด เพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อแพร่กระจายไปยังส่วนอื่นของร่างกาย
  • ไม่โกนหนวดหรือขนทับบริเวณที่เป็นหูด และไม่ใช้ของใช้ส่วนตัว เช่น ผ้าเช็ดหน้า หรือมีดโกนร่วมกับผู้อื่น
  • ดูแลผิวให้แข็งแรงและชุ่มชื้นอยู่เสมอ เพื่อป้องกันการเกิดบาดแผลเล็กๆ ที่เชื้อไวรัสจะเข้าไปได้
  • รักษาสุขภาพโดยรวมให้แข็งแรง เพื่อให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานได้ดี

การดูแลตัวเองหลังการรักษาหูด

  • รักษาความสะอาดแผล โดยล้างเบาๆ ด้วยสบู่และน้ำวันละ 1-2 ครั้ง
  • ทายาขี้ผึ้งฆ่าเชื้อหรือปิโตรเลียมเจลลี่บางๆ และปิดแผลด้วยพลาสเตอร์ตามคำแนะนำของแพทย์
  • หลีกเลี่ยงการแกะสะเก็ดแผล เพราะอาจทำให้เกิดแผลเป็นได้
  • ปกป้องผิวจากแสงแดดโดยการทาครีมกันแดด (SPF 30 ขึ้นไป) บริเวณที่ทำการรักษา เพื่อป้องกันการเกิดรอยดำ (Institute for Quality and Efficiency in Health Care, 2018)

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับหูดที่หน้า

หูดที่หน้าอันตรายไหม

โดยทั่วไปแล้วไม่เป็นอันตราย เนื่องจากเป็นเนื้องอกที่ไม่ใช่มะเร็งซึ่งเกิดจากเชื้อไวรัส HPV ชนิดความเสี่ยงต่ำ ปัญหาหลักมักเกี่ยวข้องกับความสวยงามและผลกระทบทางจิตใจมากกว่าอันตรายต่อสุขภาพ

อย่างไรก็ตาม ในผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องรุนแรงหรือเป็นโรคทางพันธุกรรมที่หายาก มีความเสี่ยงต่ำมากที่หูดจะพัฒนากลายเป็นมะเร็งผิวหนังได้ นอกจากนี้ สิ่งสำคัญคือต้องแน่ใจว่ารอยโรคที่เกิดขึ้นเป็นหูดจริง ๆ ไม่ใช่ภาวะอื่นที่ร้ายแรงกว่าซึ่งอาจมีลักษณะคล้ายกัน

หูดที่หน้าติดต่อกันได้ไหม

ใช่, หูดที่หน้าสามารถติดต่อกันได้ แต่มีความสามารถในการแพร่เชื้อค่อนข้างต่ำ โดยเชื้อไวรัสฮิวแมนแปปิโลมา (HPV) ที่เป็นสาเหตุสามารถแพร่กระจายผ่านการสัมผัสโดยตรงจากผิวหนังต่อผิวหนัง หรือผ่านการใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกัน เช่น ผ้าเช็ดตัวและมีดโกน (Viral wart (cutaneous wart) – Human Papillomavirus infection, DermNet, 2023)

หูดหายเองได้ไหม

หูดสามารถหายได้เอง โดยเฉพาะในเด็กและวัยรุ่น ซึ่งเป็นผลมาจากการที่ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายสามารถกำจัดเชื้อไวรัสได้ จากการศึกษาพบว่าประมาณ 50% ของหูดในเด็กจะหายไปภายใน 6-12 เดือน และมากถึง 90% อาจหายไปภายใน 2 ปี แต่สำหรับผู้ใหญ่ อัตราการหายเองจะต่ำกว่า

แนะแนวเรื่อง

Previous Previous
แผลเป็นที่หน้า รักษาอย่างไร? รวมวิธีลบรอยแผลให้ผิวเรียบเนียน

สาขาพรีวาโต คลินิก

    สาขาอโศก ตั้งอยู่ที่ ชั้น 2 อาคารมิดทาวน์
    Phone: 02-258-4050 , 081-841-5075
    สาขาสีลม ตั้งอยู่ที่ ชั้น 1 อาคารซี.พี.ทาวเวอร์
    Phone: 02-780-2011 , 098-272-5244
    สาขาราชพฤกษ์ ตั้งอยู่ที่ ชั้น 2 ศูนย์การค้า เดอะคริสตัล เอสบี (ด้านบนร้านสตาร์บัคส์)
    Phone: 02-102-2778 , 098-272-5244

ติดต่อเรา

    Facebook: Privato Clinic
    Messenger: Privato Clinic
    Instagram: privatoclinic
    Email: privatoclinic@gmail.com
    Line: @privatoclinic

Copyright© 2022-2024. All Rights Reserved

Scroll to top
  • หน้าหลัก
  • เกี่ยวกับพรีวาโต
  • บริการทั้งหมด
    • ชะลอวัย
    • ยกกระชับผิว
      • XERF
      • Potenza
      • Sofwave
      • Ulthera
      • Thermage-FLX
    • รักษาสิว
    • เลเซอร์
    • โปรแกรมฉีด
    • บำรุงผิว
  • บทความ
    • สิว
    • ยกกระชับ
    • ดูแลผิว
    • ทำเลเซอร์
  • ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว
  • โปรโมชั่น
  • ผลลัพธ์การรักษา
  • วิดีโอรีวิวจากเคสจริง
  • สาขาของเรา
  • ไทย
    • ไทย
    • English
    • 中文 (中国)
  • ปรึกษาแพทย์
Facebook Instagram YouTube