เลเซอร์แผลเป็น คืออะไร ราคาโดยรวม กี่ครั้งเห็นผล

เลเซอร์แผลเป็น คือการใช้พลังงานเลเซอร์กระตุ้นคอลลาเจนและปรับสภาพพื้นผิวให้รอยดูเรียบจางลง โดยเลือกชนิดเลเซอร์ให้เหมาะกับแผลและสีผิวและดูแลหลังทำอย่างเป็นระบบ เพื่อให้คุ้มค่าและปลอดภัย โดยทั่วไปต้องทำต่อเนื่องประมาณ 3–6 ครั้ง เพื่อให้เห็นผลลัพธ์ชัดเจนตามเป้าหมาย
เลเซอร์แผลเป็นคืออะไร: หลักการทำงานและผลลัพธ์ที่คาดหวังได้
การเลเซอร์แผลเป็นคือการใช้พลังงานแสงเพื่อปรับปรุงลักษณะของแผลเป็น โดยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ ทำให้แผลเป็นเรียบเนียนขึ้น สีจางลง และสังเกตเห็นได้น้อยลง แต่ไม่สามารถลบแผลเป็นให้หายไปได้อย่างสมบูรณ์
หลักการทำงานคือการสร้างบาดแผลขนาดเล็กที่ควบคุมได้ในเนื้อเยื่อแผลเป็น เพื่อกระตุ้นกระบวนการซ่อมแซมผิวและสร้างคอลลาเจนขึ้นมาใหม่ ซึ่งจะช่วยปรับโครงสร้างผิวให้เรียบเนียนและยืดหยุ่นขึ้น
ผลลัพธ์ที่คาดหวังได้คือแผลเป็นจะดูดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แต่จะไม่หายไป 100% โดยทั่วไปแล้ว:
- สี: แผลเป็นที่มีสีแดงหรือคล้ำจะจางลง
- ผิวสัมผัส: แผลเป็นที่นูน (Hypertrophic) จะนุ่มและแบนลง ส่วนแผลเป็นหลุม (Atrophic) จะตื้นขึ้น
- ความยืดหยุ่น: แผลเป็นที่แข็งและตึง (Contracture) จะนิ่มและยืดหยุ่นขึ้น
ผลลัพธ์จะค่อยๆ ดีขึ้นและต้องทำต่อเนื่องหลายครั้ง (โดยเฉลี่ย 3-6 ครั้ง) โดยจะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนหลังทำไปแล้ว 2-3 เดือน และจะเห็นผลลัพธ์สูงสุดประมาณ 3-6 เดือนหลังจากการรักษาครั้งสุดท้าย
ใครที่เหมาะกับการทำเลเซอร์แผลเป็นและรักษาแผลชนิดใดได้บ้าง
ลักษณะแผลเป็นที่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยเลเซอร์
เลเซอร์สามารถใช้รักษาแผลเป็นได้หลายชนิด โดยเฉพาะแผลเป็นจากสิว แผลเป็นจากการผ่าตัด แผลเป็นจากอุบัติเหตุ แผลไฟไหม้ และแผลเป็นนูนแดง (hypertrophic)
แผลเป็นแต่ละชนิดตอบสนองต่อเลเซอร์แตกต่างกันไป ดังนี้
- แผลเป็นหลุม (Atrophic scars): เลเซอร์จะกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่เพื่อเติมเต็มหลุมสิวให้ตื้นขึ้น
- แผลเป็นนูนแดง (Hypertrophic scars): เลเซอร์ช่วยลดรอยแดงและทำให้แผลเป็นแบนราบลง
- แผลเป็นหดรั้ง (Contracture scars): เลเซอร์ช่วยให้เนื้อเยื่อแผลเป็นนุ่มลงและเพิ่มความยืดหยุ่น
- คีลอยด์ (Keloids): เลเซอร์จะได้ผลดีที่สุดกับคีลอยด์ในระยะเริ่มต้น และมักใช้ร่วมกับการรักษาอื่น ๆ สำหรับคีลอยด์เก่า
โดยทั่วไป แผลเป็นที่เกิดใหม่ (ภายใน 1-2 ปี) มักจะตอบสนองต่อการรักษาได้เร็วกว่า แต่แผลเป็นเก่าก็สามารถดีขึ้นได้อย่างมีนัยสำคัญเช่นกัน
ข้อควรระวังและผู้ที่ไม่เหมาะกับการทำเลเซอร์
ผู้ที่ไม่เหมาะกับการทำเลเซอร์รอยแผลเป็นโดยเด็ดขาด คือสตรีมีครรภ์หรือให้นมบุตร และผู้ที่มีการติดเชื้อบริเวณผิวหนังที่จะทำการรักษา นอกจากนี้ยังมีกลุ่มที่ต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษและอาจไม่เหมาะกับการรักษา ซึ่งแพทย์จะเป็นผู้ประเมิน
ผู้ที่ต้องใช้ความระมัดระวังหรืออาจไม่เหมาะกับการทำเลเซอร์ ได้แก่:
- ผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือกำลังใช้ยากดภูมิคุ้มกัน เพราะอาจทำให้แผลหายช้า
- ผู้ที่มีประวัติการเกิดแผลเป็นคีลอยด์ หรือแผลหายไม่ดี เนื่องจากมีความเสี่ยงที่จะเกิดแผลเป็นใหม่จากการทำเลเซอร์
- ผู้ที่มีผิวสีเข้มมาก สามารถทำได้ แต่ต้องใช้ความระมัดระวังในการตั้งค่าพลังงานเพื่อลดความเสี่ยงของผลข้างเคียงด้านเม็ดสี
- ผู้ที่รับประทานยาบางชนิด เช่น ยาที่ทำให้ผิวไวต่อแสง หรือยาละลายลิ่มเลือด
- ผู้ที่มีผิวไหม้แดดหรือเพิ่งอาบแดดมา เนื่องจากเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดรอยดำและแผลไหม้
ประเภทของเลเซอร์ที่ใช้รักษาแผลเป็น: มีกี่แบบและต่างกันอย่างไร
เลเซอร์ที่ใช้รักษาแผลเป็นแบ่งได้เป็น 3 ประเภทหลัก ได้แก่ เลเซอร์ชนิดมีแผล (Ablative), เลเซอร์ชนิดไม่มีแผล (Non-Ablative) และเลเซอร์พิโครวินาที (Picosecond) ซึ่งแต่ละชนิดมีความแตกต่างกันในด้านหลักการทำงาน ผลลัพธ์ และระยะเวลาพักฟื้น
- เลเซอร์ชนิดมีแผล (Ablative Lasers): เช่น CO₂ และ Er:YAG เป็นเลเซอร์ที่รุนแรงที่สุด โดยจะลอกผิวชั้นนอกออกเพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ เหมาะสำหรับแผลเป็นรุนแรง ให้ผลการรักษาที่ดีที่สุด (อาจดีขึ้น 60-75%) แต่ต้องใช้เวลาพักฟื้นนาน (1-2 สัปดาห์) และมีความเสี่ยงสูงกว่า
- เลเซอร์ชนิดไม่มีแผล (Non-Ablative Lasers): เช่น Erbium-glass และ Nd:YAG เป็นเลเซอร์ที่อ่อนโยนกว่า โดยส่งพลังงานความร้อนลงไปใต้ผิวโดยไม่ทำลายผิวชั้นนอก ทำให้มีระยะเวลาพักฟื้นสั้นมาก (อาจมีรอยแดงเพียง 1-2 วัน) และปลอดภัยกว่าสำหรับผิวคล้ำ แต่ผลลัพธ์จะค่อยเป็นค่อยไปและต้องทำหลายครั้ง
- เลเซอร์พิโครวินาที (Picosecond Lasers): เป็นเทคโนโลยีที่ใช้แรงกระแทกเชิงกล (shockwaves) แทนความร้อนเพื่อกระตุ้นคอลลาเจน ทำให้มีระยะเวลาพักฟื้นสั้นมาก (รอยแดงเพียงไม่กี่ชั่วโมง) และมีความเสี่ยงต่ำที่จะเกิดรอยดำหลังทำ จึงเหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่มีผิวคล้ำหรือผิวชาวเอเชีย
เลเซอร์ชนิดผลัดเซลล์ผิว (Ablative Lasers)
เลเซอร์ชนิดผลัดเซลล์ผิว (Ablative Lasers) คือเลเซอร์กลุ่มที่ทำงานโดยการกำจัดผิวหนังชั้นนอกออกไป เพื่อกระตุ้นกระบวนการสร้างคอลลาเจนและเซลล์ผิวใหม่ ซึ่งช่วยปรับปรุงพื้นผิวและความลึกของแผลเป็นได้อย่างมีนัยสำคัญ
เลเซอร์ในกลุ่มนี้ เช่น CO₂ และ Er:YAG เป็นวิธีที่ให้ผลการรักษาสูง สามารถลดรอยแผลเป็นได้ถึง 60-75% แต่ก็มีระยะเวลาพักฟื้นนานกว่า (ประมาณ 1-2 สัปดาห์) และมีความเสี่ยงของผลข้างเคียงสูงกว่าเลเซอร์ชนิดไม่ผลัดเซลล์ผิว จึงมักใช้สำหรับรอยแผลเป็นที่รุนแรง
เลเซอร์ชนิดไม่ผลัดเซลล์ผิว (Non-Ablative Lasers)
เลเซอร์ชนิดไม่ผลัดเซลล์ผิวคือ เลเซอร์กลุ่มที่อ่อนโยนกว่าซึ่งทำงานโดยการส่งพลังงานความร้อนลงไปกระตุ้นคอลลาเจนใต้ผิวหนังชั้นลึก โดยไม่ทำลายผิวหนังชั้นนอก เนื่องจากผิวชั้นบนไม่ถูกทำลาย การฟื้นตัวจึงรวดเร็วกว่ามาก โดยมักมีเพียงอาการแดงเล็กน้อยประมาณ 1-2 วัน และสามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ในวันถัดไป
อย่างไรก็ตาม ผลลัพธ์ที่ได้จะค่อยเป็นค่อยไปและเห็นผลน้อยกว่าเลเซอร์ชนิดผลัดเซลล์ผิว จึงจำเป็นต้องทำหลายครั้ง (เช่น 3-6 ครั้งขึ้นไป) เพื่อให้เห็นการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน เลเซอร์กลุ่มนี้ยังมีความเสี่ยงต่ำในการทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของเม็ดสี จึงเป็นตัวเลือกที่ปลอดภัยกว่าสำหรับผู้ที่มีสีผิวเข้ม
เลเซอร์กลุ่ม Picosecond และ Fractional
เลเซอร์ Picosecond และ Fractional คือเทคโนโลยีเลเซอร์ขั้นสูงที่ใช้ในการรักษาแผลเป็น โดยเน้นการเพิ่มความปลอดภัยและลดระยะเวลาพักฟื้นเมื่อเทียบกับเลเซอร์แบบดั้งเดิม
- เลเซอร์ Picosecond: ทำงานโดยใช้หลักการส่งพลังงานแสงความเร็วสูงเพื่อสร้างแรงกระแทกเชิงกล (photomechanical impact) แทนการใช้ความร้อนในการกระตุ้นคอลลาเจน ทำให้มีระยะเวลาพักฟื้นสั้นมาก (อาจมีรอยแดงเพียงไม่กี่ชั่วโมง) และมีความเสี่ยงต่ำที่จะเกิดรอยดำหลังทำ จึงเหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่มีสีผิวเข้ม
- เลเซอร์ Fractional: เป็นเทคนิคการปล่อยลำแสงเลเซอร์ลงบนผิวหนังเป็นจุดเล็กๆ นับพันจุด โดยเว้นผิวหนังส่วนดีไว้ระหว่างจุดที่ยิงเลเซอร์ ผิวหนังที่ไม่ถูกทำลายจะช่วยเร่งกระบวนการซ่อมแซม ทำให้แผลหายเร็วขึ้นและลดความเสี่ยงของผลข้างเคียง เทคโนโลยีนี้ถูกนำมาใช้กับเลเซอร์แทบทุกชนิดในปัจจุบันเพื่อเพิ่มความปลอดภัย
เกณฑ์การเลือกใช้เทคโนโลยีเลเซอร์ให้เหมาะกับแผลเป็น
เกณฑ์การเลือกใช้เทคโนโลยีเลเซอร์จะพิจารณาจากชนิดของแผลเป็น สีผิว และระยะเวลาพักฟื้นที่ผู้ป่วยยอมรับได้เป็นหลัก โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะประเมินและเลือกใช้เลเซอร์ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับแต่ละบุคคล ดังนี้
- แผลเป็นนูนแดง (Hypertrophic Scars): มักใช้เลเซอร์ชนิด Pulsed-Dye Laser (PDL) เพื่อลดรอยแดงและทำให้แผลเป็นแบนราบลง และอาจใช้เลเซอร์กลุ่ม Fractional ร่วมด้วยเพื่อปรับผิวให้เรียบเนียนขึ้น
- แผลเป็นหลุม (Atrophic Scars): สำหรับหลุมลึกจะใช้เลเซอร์กลุ่มผลัดเซลล์ผิว (Ablative Fractional Laser) เช่น CO₂ หรือ Er:YAG เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนให้หลุมตื้นขึ้น ส่วนแผลเป็นที่ไม่ลึกมากหรือผู้ที่ต้องการพักฟื้นน้อย อาจใช้เลเซอร์กลุ่มไม่ผลัดเซลล์ผิว (Non-Ablative) หรือ Picosecond Laser
- แผลเป็นคีลอยด์ (Keloids): สำหรับคีลอยด์ระยะเริ่มต้นที่ยังแดงอยู่ สามารถใช้ PDL เพื่อยับยั้งการเติบโต แต่สำหรับคีลอยด์ที่เป็นมานาน เลเซอร์มักใช้เป็นการรักษาร่วมกับการฉีดสเตียรอยด์หรือการผ่าตัดเป็นหลัก
- แผลเป็นหดรั้ง (Contracture Scars): ใช้เลเซอร์ Fractional CO₂ เพื่อทำให้แผลเป็นนุ่มลงและเพิ่มความยืดหยุ่นของผิวหนัง
ต้องทำเลเซอร์กี่ครั้งถึงจะเห็นผล: ระยะเวลาและผลลัพธ์การรักษา
จำนวนครั้งและระยะห่างในการรักษาโดยเฉลี่ย
โดยเฉลี่ยแล้ว การรักษาแผลเป็นด้วยเลเซอร์ต้องทำต่อเนื่อง 3-6 ครั้ง โดยเว้นระยะห่างประมาณ 1 เดือนต่อครั้ง
จำนวนครั้งที่แน่นอนจะขึ้นอยู่กับชนิดและความรุนแรงของแผลเป็น โดยแผลเป็นที่ไม่รุนแรงอาจต้องการเพียง 1-3 ครั้ง ในขณะที่แผลเป็นที่รุนแรงหรือเป็นมานานอาจต้องทำ 6 ครั้งขึ้นไป การเว้นระยะห่างประมาณ 1 เดือน (4 สัปดาห์) มีความสำคัญเพื่อให้ผิวได้ฟื้นฟูและสร้างคอลลาเจนใหม่อย่างเต็มที่ก่อนการรักษาครั้งต่อไป
การดูแลตัวเองหลังทำเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
การดูแลที่สำคัญที่สุดหลังทำเลเซอร์คือการรักษาความสะอาด ทาครีมให้ความชุ่มชื้น และหลีกเลี่ยงแสงแดดอย่างเคร่งครัด เพื่อให้แผลหายดีและได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
ข้อควรปฏิบัติเพิ่มเติมมีดังนี้:
- ทำความสะอาดแผล: ทำความสะอาดบริเวณที่ทำเลเซอร์เบาๆ ด้วยน้ำสะอาดหรือผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่อ่อนโยนตามคำแนะนำของแพทย์
- ทาครีมบำรุง: ทาขี้ผึ้งหรือมอยส์เจอไรเซอร์เพื่อช่วยในการฟื้นฟูผิวและป้องกันการเกิดสะเก็ดแผลที่มากเกินไป
- ป้องกันแสงแดด: หลีกเลี่ยงการโดนแสงแดดโดยตรง และทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 ขึ้นไปทุกวันเมื่อผิวเริ่มหายดีแล้ว
- ห้ามแกะเกา: ห้ามแกะหรือเกาสะเก็ดแผลเด็ดขาด ควรปล่อยให้หลุดลอกออกไปเองเพื่อลดความเสี่ยงของการติดเชื้อและรอยแผลเป็นใหม่
- หลีกเลี่ยงความร้อน: งดกิจกรรมที่ทำให้เกิดความร้อนหรือเหงื่อออกมาก เช่น ซาวน่า หรือการออกกำลังกายหนัก ในช่วง 48 ชั่วโมงแรกหลังทำเลเซอร์
- สังเกตอาการ: หากมีอาการผิดปกติ เช่น มีหนอง บวมแดงมากขึ้น หรือมีไข้ ควรรีบติดต่อแพทย์ทันที
ผลลัพธ์คงอยู่นานแค่ไหนและต้องทำซ้ำหรือไม่
ผลลัพธ์จากการเลเซอร์รอยแผลเป็นนั้นถือว่าถาวร เนื่องจากการรักษาเป็นการปรับโครงสร้างผิวและสร้างคอลลาเจนขึ้นมาใหม่ ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงที่คงอยู่ถาวร โดยทั่วไปแล้ว การรักษาจะต้องทำเป็นคอร์สต่อเนื่องหลายครั้งเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด แต่เมื่อจบคอร์สแล้วไม่จำเป็นต้องทำซ้ำเพื่อคงสภาพเดิม
ราคาเลเซอร์แผลเป็น: ปัจจัยกำหนดค่าใช้จ่ายและกรอบราคาโดยประมาณ
ปัจจัยที่มีผลต่อราคา: ขนาด ชนิดของแผล และเทคโนโลยี
ปัจจัยหลักที่มีผลต่อราคาการรักษาแผลเป็นด้วยเลเซอร์ ได้แก่ ขนาดและชนิดของแผลเป็น เทคโนโลยีที่ใช้ ความเชี่ยวชาญของผู้ให้บริการ และจำนวนครั้งในการรักษา โดยทั่วไปแล้ว ราคาจะผันแปรตามปัจจัยเหล่านี้
- ขนาดและชนิดของแผลเป็น: แผลเป็นที่มีขนาดใหญ่หรือซับซ้อน เช่น แผลเป็นจากสิวทั่วใบหน้า จะมีราคาสูงกว่าแผลเป็นขนาดเล็ก
- เทคโนโลยีเลเซอร์: เลเซอร์ที่มีเทคโนโลยีสูงหรือใหม่กว่า เช่น Picosecond laser อาจมีราคาต่อครั้งสูงกว่าเลเซอร์แบบดั้งเดิมอย่าง CO₂ laser
- ความเชี่ยวชาญและสถานพยาบาล: การรักษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางในคลินิกหรือโรงพยาบาลชั้นนำมักมีราคาสูงกว่า
- จำนวนครั้งที่รักษา: คลินิกส่วนใหญ่มักเสนอราคาแบบแพ็กเกจสำหรับการรักษาหลายครั้ง ซึ่งจะทำให้ราคาเฉลี่ยต่อครั้งถูกลง
ตารางราคาประเมินเบื้องต้นต่อครั้งและแบบคอร์ส
ราคาเลเซอร์รอยแผลเป็นต่อครั้งเริ่มต้นที่ประมาณ 800–1,000 บาทสำหรับแผลขนาดเล็ก และอาจสูงถึง 2,500–6,000 บาทสำหรับการรักษาทั่วใบหน้า โดยราคาจะแตกต่างกันไปตามประเภทของเลเซอร์และคลินิกที่ให้บริการ
ตารางราคาประเมินเบื้องต้นสำหรับการรักษาในประเทศไทย:
| ประเภทการรักษา | ราคาประเมินต่อครั้ง | ราคาแบบคอร์ส (ตัวอย่าง) |
|---|---|---|
| แผลเป็นขนาดเล็ก (ต่ำกว่า 1 ตร.ซม.) | ฿800 – ฿1,000 | – |
| เลเซอร์ทั่วใบหน้า (เช่น รอยสิว) | ฿2,500 – ฿6,000 | 5 ครั้ง ราคา ฿9,000 (เฉลี่ย ฿1,800/ครั้ง) |
| Fractional CO₂ Laser (ทั่วหน้า) | ประมาณ ฿4,000 | – |
| Picosecond Laser | ฿5,000 ขึ้นไป | – |
ทั้งนี้ คลินิกส่วนใหญ่มักมีแพ็กเกจแบบคอร์ส (3-5 ครั้ง) ซึ่งจะทำให้ราคาต่อครั้งถูกลง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินราคาที่แน่นอนสำหรับรอยแผลเป็นของคุณ
จากข้อมูลสู่การตัดสินใจ: สิ่งที่ต้องพิจารณาก่อนเลือกทำเลเซอร์
การเลือกคลินิกและแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ: มาตรฐานที่ต้องมองหา
มาตรฐานสำคัญในการเลือกคลินิกและแพทย์คือการเลือกแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่ได้รับการรับรองและมีประสบการณ์สูง ในคลินิกที่มีชื่อเสียงและมีมาตรฐานความปลอดภัยที่ชัดเจน
เพื่อให้แน่ใจว่าคุณจะได้รับการรักษาที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ ควรพิจารณามาตรฐานต่อไปนี้:
- คุณสมบัติของแพทย์: เลือกแพทย์ผิวหนังหรือศัลยแพทย์ตกแต่งที่ได้รับการรับรอง (board-certified) และมีความเชี่ยวชาญหรือประสบการณ์ในการใช้เลเซอร์รักษารอยแผลเป็นโดยเฉพาะ
- การประเมินก่อนการรักษา: แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะทำการประเมินลักษณะรอยแผลเป็น ประเภทผิว และประวัติทางการแพทย์อย่างละเอียดก่อนที่จะแนะนำแผนการรักษา
- ความสะอาดและปลอดภัย: คลินิกต้องสะอาด ถูกสุขอนามัย มีอุปกรณ์ป้องกันความปลอดภัย เช่น แว่นตาป้องกันแสงเลเซอร์ และมีขั้นตอนที่ชัดเจนในการจัดการกับภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น
- การให้ข้อมูลที่โปร่งใส: แพทย์ควรให้ข้อมูลเกี่ยวกับผลลัพธ์ที่คาดหวัง ความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น และสามารถอธิบายได้ว่าจะใช้เครื่องเลเซอร์ชนิดใดและเพราะเหตุใดจึงเหมาะสมกับรอยแผลเป็นของคุณ
- การตรวจสอบผลงาน: สามารถสอบถามเกี่ยวกับประสบการณ์ของแพทย์ในการรักษารอยแผลเป็นที่คล้ายกับของคุณ และขอดูภาพถ่ายก่อนและหลังการรักษาเพื่อประกอบการตัดสินใจได้
ความเจ็บระหว่างทำและการจัดการความรู้สึก
การรักษาแผลเป็นด้วยเลเซอร์ ทำให้รู้สึกเจ็บเล็กน้อยถึงปานกลาง แต่สามารถจัดการได้ดีด้วยยาชา โดยระดับความเจ็บปวดจะขึ้นอยู่กับชนิดของเลเซอร์ที่ใช้
โดยทั่วไปคลินิกจะทายาชาเฉพาะที่ทิ้งไว้ประมาณ 30-60 นาทีก่อนทำหัตถการเพื่อลดความรู้สึกเจ็บ สำหรับการรักษาที่รุนแรงขึ้นอาจมีการใช้ยาชาแบบฉีด การบล็อกเส้นประสาท หรือให้ยาแก้ปวดชนิดรับประทานร่วมด้วย หลังการรักษาอาจมีอาการแสบร้อนคล้ายผิวไหม้แดด ซึ่งสามารถบรรเทาได้ด้วยการประคบเย็น
การเตรียมตัวก่อนเข้ารับการรักษาด้วยเลเซอร์
การเตรียมตัวก่อนทำเลเซอร์รอยแผลเป็นคือการหลีกเลี่ยงแสงแดด งดใช้ยาและครีมบางชนิด และใช้ยาป้องกันตามที่แพทย์สั่ง เพื่อให้ผิวอยู่ในสภาพที่พร้อมที่สุดสำหรับการรักษาและลดความเสี่ยงของผลข้างเคียง
ข้อควรปฏิบัติหลักๆ มีดังนี้:
- หลีกเลี่ยงแสงแดด: งดการโดนแดดจัดหรืออาบแดด และควรทาครีมกันแดดเป็นประจำก่อนการรักษา เพราะผิวที่คล้ำแดดจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดรอยดำและแผลไหม้
- งดใช้ยาและผลิตภัณฑ์บางชนิด: ควรหยุดใช้ยาที่ทำให้ผิวไวต่อแสง (เช่น ยาปฏิชีวนะบางชนิด), ยาละลายลิ่มเลือด (เช่น แอสไพริน), และครีมทาผิวที่อาจก่อให้เกิดการระคายเคือง (เช่น เรตินอยด์, กรดไกลโคลิก) ประมาณ 1 สัปดาห์ก่อนทำเลเซอร์
- ใช้ยาตามคำแนะนำของแพทย์: สำหรับผู้ที่มีประวัติเป็นโรคเริม แพทย์อาจสั่งยาต้านไวรัสให้รับประทานก่อนการรักษาเพื่อป้องกันการกำเริบ สำหรับผู้ที่มีผิวคล้ำอาจได้รับครีมลดเม็ดสีเพื่อป้องกันรอยดำหลังทำเลเซอร์
- เตรียมสภาพผิว: ในวันนัดควรมาถึงคลินิกด้วยผิวที่แข็งแรง ชุ่มชื้น ไม่มีผื่น สิวอักเสบ หรือแผลเปิดในบริเวณที่จะทำการรักษา
ความเสี่ยง ผลข้างเคียง และข้อจำกัดของการเลเซอร์แผลเป็น
ความเสี่ยงหลักของการเลเซอร์แผลเป็นคือ ผลข้างเคียงชั่วคราว เช่น รอยแดง บวม การเปลี่ยนแปลงของสีผิว และไม่สามารถลบแผลเป็นให้หายไปได้อย่างสมบูรณ์ โดยเฉพาะกับแผลเป็นบางชนิด เช่น คีลอยด์ขนาดใหญ่
ผลข้างเคียงและความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น ได้แก่:
- ผลข้างเคียงทั่วไป: อาการบวมแดงคล้ายผิวไหม้แดด ซึ่งจะหายไปใน 1-2 วันสำหรับเลเซอร์ชนิดไม่มีแผล (Non-ablative) หรืออาจมีอาการรุนแรงขึ้น เช่น มีของเหลวซึม ตกสะเก็ด และลอกเป็นเวลา 5-10 วันสำหรับเลเซอร์ชนิดมีแผล (Ablative)
- การเปลี่ยนแปลงของสีผิว: อาจเกิดรอยดำ (Hyperpigmentation) หรือรอยด่างขาว (Hypopigmentation) ซึ่งส่วนใหญ่มักเป็นเพียงชั่วคราวและพบได้บ่อยในผู้ที่มีสีผิวเข้ม
- การติดเชื้อ: เป็นความเสี่ยงที่พบได้น้อยมากหากปฏิบัติตามคำแนะนำในการดูแลผิวหลังทำเลเซอร์อย่างเคร่งครัด
- การเกิดแผลเป็นใหม่: พบได้ยากมาก และมักเกิดจากการใช้พลังงานที่ไม่เหมาะสมหรือการดูแลแผลที่ไม่ดี
ข้อจำกัดของการรักษาด้วยเลเซอร์:
- ไม่สามารถกำจัดแผลเป็นได้ 100%: เลเซอร์ช่วยให้แผลเป็นดูจางลง เรียบเนียนขึ้น แต่ไม่สามารถลบให้หายไปได้อย่างสมบูรณ์
- ไม่เหมาะกับแผลเป็นทุกชนิด: เลเซอร์อาจไม่ค่อยได้ผลกับแผลเป็นคีลอยด์เก่าที่มีขนาดใหญ่และแข็ง ซึ่งมักต้องใช้วิธีอื่นรักษาร่วมด้วย เช่น การฉีดสเตียรอยด์
- ต้องทำหลายครั้ง: โดยทั่วไปต้องทำเลเซอร์ต่อเนื่อง 3-6 ครั้งขึ้นไปจึงจะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการเลเซอร์ลบรอยแผลเป็น
ต้องทำเลเซอร์แผลเป็นกี่ครั้งถึงจะเห็นผล?
โดยทั่วไป ต้องทำเลเซอร์อย่างน้อย 3-5 ครั้งจึงจะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน แต่จำนวนครั้งที่แน่นอนจะขึ้นอยู่กับชนิดและความรุนแรงของแผลเป็น
คนส่วนใหญ่มักเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนหลังจากการทำครั้งที่ 2 หรือ 3 เป็นต้นไป โดยแผลเป็นที่ไม่รุนแรงอาจต้องการเพียง 1-3 ครั้ง ในขณะที่แผลเป็นที่รุนแรงหรือเป็นมานาน เช่น แผลหลุมสิวลึก อาจต้องทำ 6 ครั้งขึ้นไปเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
เลเซอร์สามารถรักษาแผลเป็นได้ทุกชนิดหรือไม่?
เลเซอร์สามารถช่วยรักษาแผลเป็นได้หลายชนิด แต่ไม่ใช่แผลเป็นทุกชนิดที่เหมาะกับการรักษาด้วยเลเซอร์เพียงอย่างเดียว
เลเซอร์มีประสิทธิภาพดีกับแผลเป็นหลุมสิว แผลเป็นจากการผ่าตัด แผลเป็นจากอุบัติเหตุ แผลไฟไหม้ และแผลเป็นนูน (hypertrophic) อย่างไรก็ตาม แผลเป็นบางชนิด เช่น แผลเป็นคีลอยด์เก่าที่หนาและแข็งมาก หรือแผลแตกลาย อาจไม่ตอบสนองต่อเลเซอร์ได้ดีนัก และมักต้องใช้วิธีการรักษาร่วมกัน เช่น การฉีดยาหรือการผ่าตัด เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
หลังทำเลเซอร์แผลเป็นต้องดูแลตัวเองอย่างไร?
การดูแลตัวเองหลังทำเลเซอร์แผลเป็นที่สำคัญที่สุดคือการรักษาความสะอาด ทาครีมให้ความชุ่มชื้น และปกป้องผิวจากแสงแดด เพื่อให้แผลหายดีและได้ผลลัพธ์สูงสุด
ข้อควรปฏิบัติหลักๆ มีดังนี้:
- ทำความสะอาด: ล้างบริเวณที่ทำเลเซอร์เบาๆ ด้วยน้ำสะอาดหรือผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่อ่อนโยนตามคำแนะนำของแพทย์
- ทาครีมบำรุง: ทาขี้ผึ้งหรือมอยส์เจอไรเซอร์ตามที่แพทย์สั่งเพื่อป้องกันการเกิดสะเก็ดแผลและช่วยให้ผิวชุ่มชื้น
- หลีกเลี่ยงแสงแดด: ห้ามให้ผิวบริเวณที่ทำเลเซอร์โดนแดดโดยเด็ดขาด และควรทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 ขึ้นไปทุกวันหลังแผลเริ่มหายดีแล้ว
- ห้ามแกะหรือเกา: ปล่อยให้สะเก็ดแผลหลุดลอกออกไปเองเพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อและการเกิดแผลเป็นซ้ำ
- หลีกเลี่ยงความร้อน: งดเข้าซาวน่า อ่างน้ำร้อน และการออกกำลังกายหนักๆ ในช่วง 48 ชั่วโมงแรก เพราะความร้อนอาจทำให้ผิวอักเสบมากขึ้น
- สังเกตอาการ: หากมีอาการติดเชื้อ เช่น มีหนอง บวมแดงมากขึ้น หรือมีไข้ ควรรีบติดต่อคลินิกทันที
เลเซอร์แผลเป็นมีผลข้างเคียงที่รุนแรงหรือไม่?
โดยส่วนใหญ่แล้ว ผลข้างเคียงที่รุนแรงจากการเลเซอร์แผลเป็นนั้นพบได้ไม่บ่อย และมักเกิดขึ้นเพียงชั่วคราว
ผลข้างเคียงที่พบได้ทั่วไปมักไม่รุนแรง เช่น อาการบวมแดง ลอก หรือตกสะเก็ด ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการฟื้นฟูผิวและจะหายไปเอง ส่วนความเสี่ยงอื่นๆ เช่น การติดเชื้อ การเปลี่ยนแปลงของสีผิว หรือการเกิดแผลเป็นใหม่นั้นมีโอกาสเกิดขึ้นน้อยมาก โดยเฉพาะเมื่อทำโดยผู้เชี่ยวชาญและปฏิบัติตามคำแนะนำหลังการรักษาอย่างเคร่งครัด
แผลเป็นเก่าหลายปีสามารถรักษาด้วยเลเซอร์ได้ไหม?
ได้ แผลเป็นเก่าหลายปีสามารถรักษาด้วยเลเซอร์ให้ดีขึ้นได้ แม้ว่าแผลเป็นที่ใหม่กว่ามักจะตอบสนองต่อการรักษาได้เร็วกว่า แต่เลเซอร์ยังคงสามารถกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ในแผลเป็นเก่าเพื่อปรับปรุงผิวสัมผัส ความยืดหยุ่น และลักษณะโดยรวมของแผลเป็นให้ดีขึ้น
อย่างไรก็ตาม แผลเป็นเก่าอาจต้องใช้จำนวนครั้งในการรักษามากกว่าแผลเป็นใหม่เพื่อให้เห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน
References:
- American Academy of Dermatology. (n.d.). 10 things to know before having laser treatment for your scar. American Academy of Dermatology. aad.org
- Mayo Clinic. (n.d.). Laser resurfacing – Overview and risks. Mayo Clinic. mayoclinic.org
- Metropolis Dermatology (James Y. Wang, MD). (n.d.). Trends in scar treatment: The rise of laser therapy. Metropolis Dermatology. metropolisdermatology.com
- Etre Cosmetic Dermatology. (n.d.). How many fractional CO2 laser resurfacing treatments do you need? Etre Cosmetic Dermatology & Laser Center. etrecosmeticderm.com
- Avdulaj, A. et al. (n.d.). Fractional CO2 laser for acne scar treatment: A comparative analysis of ablative vs. combined modalities. Journal of Aesthetic Medicine (MDPI). mdpi.com
- NIH/NCBI. (n.d.). Various laser scar treatment studies. National Institutes of Health. nih.gov
