เลเซอร์หน้าใสราคาเท่าไหร่? เปรียบเทียบ Pico, Q-Switch อัปเดต 2025

ใครเหมาะกับการทำเลเซอร์หน้าใสบ้าง?
เลเซอร์หน้าใสเหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาเรื่องเม็ดสีบนใบหน้า เช่น ฝ้า กระ จุดด่างดำ รอยดำจากสิว และผู้ที่สีผิวไม่สม่ำเสมอจากแสงแดด เลเซอร์สามารถทำได้ในทุกสภาพสีผิว แต่ในผู้ที่มีผิวสีเข้มจะต้องใช้ความระมัดระวังและเลือกใช้เลเซอร์ที่มีความยาวคลื่นที่เหมาะสมเพื่อลดความเสี่ยงของผลข้างเคียง
อย่างไรก็ตาม ผู้ที่อยู่ในกลุ่มต่อไปนี้ยังไม่เหมาะที่จะทำเลเซอร์:
- ผู้ที่กำลังตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร
- ผู้ที่มีการติดเชื้อ มีแผลเปิด หรือมีโรคผิวหนังอักเสบบริเวณที่จะทำ
- ผู้ที่เพิ่งโดนแดดจัดหรือผิวไหม้แดดมา
- ผู้ที่ใช้ยาบางชนิดที่มีผลทำให้ผิวไวต่อแสง หรือเพิ่งใช้ยา Isotretinoin (Accutane) ในช่วง 6-12 เดือนที่ผ่านมา
สภาพผิวและปัญหาที่เลเซอร์สามารถแก้ไขได้
เลเซอร์สามารถใช้รักษาปัญหาผิวที่เกิดจากเม็ดสีส่วนเกิน (hyperpigmentation) ได้หลากหลาย เช่น ฝ้า กระแดด รอยดำสิว และสีผิวที่ไม่สม่ำเสมอ
เลเซอร์จะทำงานโดยการเข้าไปทำลายเม็ดสีเมลานินที่ผิดปกติ ทำให้รอยโรคจางลงและสีผิวโดยรวมดูสว่างและสม่ำเสมอขึ้น ปัญหาผิวที่สามารถรักษาได้ ได้แก่:
- ฝ้า (Melasma)
- กระแดด และจุดด่างดำจากแสงแดด (Solar lentigines/Sun spots)
- กระ (Ephelides/Freckles)
- รอยดำหลังการอักเสบ (Post-inflammatory hyperpigmentation) เช่น รอยดำจากสิว
- ปานโอตะ (Nevus of Ota)
- สีผิวที่ไม่สม่ำเสมอจากวัยและแสงแดด (Mottled pigmentation from photoaging)
ข้อควรระวังและผู้ที่ไม่ควรทำเลเซอร์หน้าใส
ผู้ที่ไม่ควรทำเลเซอร์หน้าใสคือสตรีมีครรภ์หรือให้นมบุตร และผู้ที่มีการติดเชื้อที่ผิวหนังในบริเวณที่จะทำ นอกจากนี้ยังมีกลุ่มที่ต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษและอาจไม่เหมาะกับการทำเลเซอร์ ดังนี้
- ผู้ที่เพิ่งโดนแดดจัดหรือผิวไหม้แดด ควรรอให้สีผิวกลับมาเป็นปกติก่อนทำเลเซอร์ เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดรอยไหม้หรือรอยดำผิดปกติ
- ผู้ที่รับประทานยาบางชนิด โดยเฉพาะยาที่มีผลทำให้ผิวไวต่อแสง (Photosensitizing drugs) หรือผู้ที่ใช้ยา Isotretinoin (Accutane) ในช่วง 6-12 เดือนที่ผ่านมา
- ผู้ที่มีประวัติเป็นแผลเป็นคีลอยด์ (Keloid) หรือแผลเป็นนูนง่าย เนื่องจากความร้อนจากเลเซอร์อาจกระตุ้นให้เกิดแผลเป็นได้
- ผู้ที่มีสภาพผิวไวต่อการกระตุ้น เช่น มีโรคผิวหนังอักเสบ (Eczema, Psoriasis) ในบริเวณที่จะทำเลเซอร์
- ผู้ที่มีสีผิวเข้ม (Fitzpatrick IV–VI) ต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษและต้องทำโดยผู้เชี่ยวชาญ เนื่องจากมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดรอยดำหลังทำ (PIH)
เปรียบเทียบเลเซอร์หน้าใสยอดนิยม: Pico vs Q-Switch
Pico Laser: หลักการทำงานและจุดเด่น
Pico Laser คือเทคโนโลยีเลเซอร์ที่ใช้หลักการปล่อยพลังงานสูงในช่วงเวลาที่สั้นมากระดับ Picosecond (หนึ่งในล้านล้านวินาที) เพื่อทำให้เม็ดสีแตกตัวเป็นอนุภาคขนาดเล็กละเอียดโดยอาศัยแรงกระแทกเชิงกล (Photomechanical effect) แทนการใช้ความร้อนเป็นหลัก
จุดเด่นสำคัญของ Pico Laser เมื่อเทียบกับเลเซอร์รุ่นเก่า (Q-Switched) ได้แก่:
- ประสิทธิภาพสูงกว่า: สามารถแตกเม็ดสีให้มีขนาดเล็กละเอียดกว่า ทำให้ร่างกายกำจัดออกไปได้ง่ายขึ้น
- เห็นผลเร็วขึ้น: มักใช้จำนวนครั้งในการรักษาน้อยกว่าเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่เทียบเท่าหรือดีกว่า
- ผลข้างเคียงน้อยกว่า: การใช้ความร้อนที่น้อยลงช่วยลดความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บของผิวโดยรอบ และลดโอกาสเกิดรอยดำหลังทำ (PIH)
- การใช้งานหลากหลาย: นอกจากลดเม็ดสีแล้ว ยังสามารถใช้หัวยิงแบบ Fractional เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ ช่วยฟื้นฟูผิว ลดรอยแผลเป็นจากสิว และริ้วรอยได้อีกด้วย
Q-Switched Laser: หลักการทำงานและจุดเด่น
Q-Switched Laser คือเทคโนโลยีเลเซอร์ที่ใช้หลักการปล่อยพลังงานความร้อนสูงในช่วงเวลาสั้นระดับนาโนวินาที (Nanosecond) เพื่อทำลายเม็ดสีส่วนเกินอย่างจำเพาะเจาะจง โดยไม่สร้างความเสียหายให้กับเนื้อเยื่อรอบข้างมากนัก
หลักการทำงานและจุดเด่นของ Q-Switched Laser มีดังนี้:
- กลไกการทำงาน: ใช้หลักการที่เรียกว่า Selective Photothermolysis คือการส่งพลังงานความร้อนไปจับกับเม็ดสี (เมลานิน) โดยตรง ทำให้เม็ดสีแตกตัวเป็นอนุภาคเล็กๆ แล้วร่างกายจะกำจัดออกไปตามกลไกธรรมชาติ
- การใช้งาน: มีประสิทธิภาพในการรักษาเม็ดสีในชั้นหนังแท้ เช่น กระลึก (Nevus of Ota) กระแดด ฝ้า และยังนิยมใช้ทำ “เลเซอร์โทนนิ่ง” (Laser Toning) เพื่อปรับสีผิวให้สว่างและสม่ำเสมอขึ้น นอกจากนี้ยังเป็นเทคโนโลยีมาตรฐานสำหรับการลบรอยสักและรักษาปานดำ
- ความคุ้มค่า: มีราคาต่อครั้งที่ถูกกว่าเทคโนโลยีใหม่อย่าง Pico Laser ทำให้เข้าถึงได้ง่ายกว่า
- เทคโนโลยีที่ยอมรับ: เป็นเทคโนโลยีที่ได้รับการรับรองจาก FDA และใช้งานมานานหลายสิบปี ถือเป็นมาตรฐานทอง (Gold-Standard) ในการรักษาปัญหาเม็ดสีและลบรอยสัก
วิธีเลือกชนิดเลเซอร์ให้เหมาะกับปัญหาผิวของคุณ
การเลือกชนิดเลเซอร์ที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับปัญหาผิวและสีผิวของแต่ละบุคคล โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะเป็นผู้ประเมินและให้คำแนะนำที่ถูกต้องที่สุด
ปัจจัยหลักที่ใช้ในการพิจารณาเลือกเลเซอร์ ได้แก่
- ปัญหาผิวที่ต้องการรักษา:
- ฝ้า กระ จุดด่างดำ: สามารถใช้ได้ทั้งเลเซอร์ชนิด Picosecond และ Q-Switched โดย Picosecond laser มักมีประสิทธิภาพดีกว่าสำหรับเม็ดสีที่ฝังลึกหรือรักษายาก
- รอยสิวและปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ: เลเซอร์ Q-switched Nd:YAG เป็นที่นิยมและมีประสิทธิภาพในการทำ “Laser Toning” เพื่อปรับสภาพผิวโดยรวม
- สีผิว (Fitzpatrick Skin Type):
- ผู้ที่มีผิวขาว (Fitzpatrick I–III): สามารถทนต่อเลเซอร์ได้ดีและมีตัวเลือกหลากหลาย
- ผู้ที่มีผิวเข้ม (Fitzpatrick IV–VI): ควรใช้เลเซอร์ Nd:YAG ที่มีความยาวคลื่น 1064 นาโนเมตร เนื่องจากพลังงานจะลงไปทำงานในชั้นผิวที่ลึกกว่าโดยไม่กระทบเม็ดสีที่ผิวชั้นบน จึงช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดรอยไหม้หรือรอยดำหลังทำ (PIH) ได้ดีที่สุด
ปัจจัยกำหนดราคาเลเซอร์หน้าใสและค่าใช้จ่ายโดยประมาณ
ราคาเฉลี่ยต่อครั้งของเลเซอร์แต่ละชนิด
ราคาเฉลี่ยต่อครั้งสำหรับ Pico laser อยู่ที่ประมาณ 3,000 – 15,000 บาท และ Q-switched laser อยู่ที่ประมาณ 2,000 – 5,000 บาท
โดยทั่วไป Pico laser ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ใหม่กว่าจะมีราคาสูงกว่า ในขณะที่ Q-switched laser มีราคาที่เข้าถึงง่ายกว่าและเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลาย อย่างไรก็ตาม ราคาอาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับชื่อเสียงของคลินิก รุ่นของเครื่องเลเซอร์ที่ใช้ และโปรโมชัน ณ ขณะนั้น
ราคาแบบคอร์สและการประเมินจำนวนครั้งที่ต้องทำ
ราคาเลเซอร์แบบคอร์สมักมีส่วนลดทำให้ราคาต่อครั้งถูกลง โดยจำนวนครั้งที่ต้องทำจะถูกประเมินตามสภาพและปัญหาผิวของแต่ละบุคคล คลินิกในไทยมักเสนอโปรโมชั่นและแพ็กเกจที่ช่วยลดค่าใช้จ่ายได้อย่างมาก
ราคาแบบคอร์ส (Package Deals):
- Q-Switched Laser: มักมีแพ็กเกจ เช่น 3 ครั้งในราคาประมาณ 2,700–3,000 บาท ทำให้ราคาต่อครั้งเหลือเพียง 900–1,000 บาท
- Pico Laser: แพ็กเกจสำหรับ Pico Laser อาจมีราคา เช่น 3 ครั้ง ราคา 25,000 บาท หรือ 34,900 บาท ขึ้นอยู่กับเครื่องและคลินิก
การประเมินจำนวนครั้งที่ต้องทำ:
จำนวนครั้งและระยะห่างในการทำเลเซอร์จะขึ้นอยู่กับปัญหาผิวที่ต้องการรักษา
- ฝ้า (Melasma): โดยทั่วไปต้องทำต่อเนื่องประมาณ 5–10 ครั้ง โดยเว้นระยะห่างกัน 4 สัปดาห์
- กระและจุดด่างดำจากแดด (Freckles/Sunspots): อาจเห็นผลชัดเจนใน 1–2 ครั้ง โดยเว้นระยะห่าง 2–4 สัปดาห์
- รอยดำหลังการอักเสบ (PIH): สามารถจางลงได้ใน 1–3 ครั้ง โดยเว้นระยะห่าง 2–4 สัปดาห์
- ปรับผิวให้กระจ่างใสโดยรวม (Laser Toning): มักแนะนำเป็นคอร์ส 5–10 ครั้ง โดยทำทุกๆ 1–2 สัปดาห์
ค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้นในการรักษา
ค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้นในการทำเลเซอร์หน้าใส ได้แก่ ค่าปรึกษาแพทย์ ค่ายาชา ค่าผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหลังทำ และค่ายาหากเกิดภาวะแทรกซ้อน
นอกจากค่าเลเซอร์ต่อครั้งแล้ว ผู้ป่วยอาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมดังนี้:
- ค่าปรึกษาแพทย์: คลินิกส่วนใหญ่มักจะไม่มีค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ แต่บางแห่งอาจมีค่าปรึกษาประมาณ 500–1,000 บาท
- ยาชา: บางคลินิกรวมอยู่ในราคาแล้ว แต่บางแห่งอาจคิดค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมประมาณ 300 บาท
- ผลิตภัณฑ์ดูแลหลังเลเซอร์: ผู้ป่วยอาจต้องซื้อผลิตภัณฑ์ดูแลผิว เช่น มอยส์เจอไรเซอร์ หรือครีมทาหลังเลเซอร์เพิ่มเติม
- การประกันสุขภาพ: การทำเลเซอร์เพื่อความงามไม่สามารถเบิกประกันสุขภาพในประเทศไทยได้ ผู้ป่วยต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมดเอง
- การผ่อนชำระ: หลายคลินิกมีโปรโมชั่นผ่อนชำระ 0% ผ่านบัตรเครดิตสำหรับแพ็กเกจการรักษา
ผลลัพธ์ที่คาดหวัง: ทำกี่ครั้งเห็นผลและอยู่ได้นานแค่ไหน
ระยะเวลาเห็นผลหลังทำเลเซอร์ครั้งแรก
โดยทั่วไป จะเริ่มเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนขึ้นในเวลาไม่กี่สัปดาห์หลังการทำเลเซอร์ครั้งแรก
หลังการรักษาครั้งแรก บริเวณที่เป็นกระหรือฝ้าอาจมีสีเข้มขึ้นก่อน แล้วจึงค่อยๆ ตกสะเก็ดและหลุดลอกออกไปภายใน 1-2 สัปดาห์ เผยให้เห็นผิวที่สว่างขึ้น สำหรับการรักษาเพื่อปรับโทนผิวโดยรวม อาจสังเกตเห็นความกระจ่างใสเล็กน้อยได้ใน 7-10 วัน ในขณะที่การรักษาฝ้าอาจเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนเมื่อผ่านไปประมาณ 4 สัปดาห์
การดูแลตัวเองหลังทำเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
การดูแลตัวเองหลังทำเลเซอร์ที่สำคัญที่สุดเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีคือการป้องกันแสงแดดอย่างเข้มงวด ควบคู่ไปกับการใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่เหมาะสมและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและรักษาผลลัพธ์จากการทำเลเซอร์ ควรปฏิบัติตามคำแนะนำต่อไปนี้:
- ป้องกันแสงแดด: ทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF 50+ ทุกวัน และหลีกเลี่ยงการโดนแดดโดยตรงเป็นเวลาอย่างน้อย 2-3 สัปดาห์หลังทำเลเซอร์ เพื่อป้องกันการกระตุ้นเม็ดสีและการเกิดรอยดำหลังการอักเสบ (PIH)
- ใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวตามคำแนะนำ: การใช้ครีมลดเลือนฝ้า กระ (เช่น ไฮโดรควิโนน หรือเซรั่มทรานซามิค) ระหว่างการทำเลเซอร์แต่ละครั้ง จะช่วยเสริมประสิทธิภาพและลดการกลับมาของเม็ดสี
- ดูแลผิวอย่างอ่อนโยน: ใช้มอยส์เจอไรเซอร์และผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่อ่อนโยนเพื่อฟื้นฟูเกราะป้องกันผิว และควรหลีกเลี่ยงการใช้สครับ สารผลัดเซลล์ผิว หรือเรตินอยด์เป็นเวลา 1-2 สัปดาห์
- ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์: หากเกิดภาวะรอยดำหลังการอักเสบ (PIH) แพทย์อาจสั่งยาเพื่อช่วยให้รอยจางลง การปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัดจะส่งผลอย่างมากต่อผลลัพธ์สุดท้าย
ความคงทนของผลลัพธ์และรอบการทำซ้ำ
ความคงทนของผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับชนิดของรอยโรคและการดูแลตัวเองของผู้ป่วย โดยทั่วไปแนะนำให้ทำเลเซอร์ซ้ำเพื่อคงผลลัพธ์ทุกๆ 3-6 เดือน โดยเฉพาะในกรณีฝ้า (Melasma)
ความคงทนของผลลัพธ์จะแตกต่างกันไปในแต่ละสภาพผิว ดังนี้:
- ฝ้า (Melasma): มีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำสูง ผลลัพธ์มักจะคงอยู่ได้ประมาณ 3-6 เดือนก่อนที่เม็ดสีจะกลับมาทำงานอีกครั้งหากไม่ได้รับการดูแลต่อเนื่อง
- กระและจุดด่างดำจากแสงแดด (Freckles/Sun spots): มักจะหายไปในระยะยาวหากหลีกเลี่ยงแสงแดดอย่างเคร่งครัด แต่ก็อาจเกิดจุดใหม่ขึ้นได้
- รอยดำหลังการอักเสบ (PIH): เมื่อหายแล้วมักจะไม่กลับมา ตราบใดที่สาเหตุหลัก (เช่น สิว) ถูกควบคุมได้
การป้องกันแสงแดดอย่างสม่ำเสมอและการใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ช่วยยับยั้งเม็ดสีเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการยืดอายุผลลัพธ์ให้นานที่สุด
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับเลเซอร์หน้าใส (FAQ)
ทำเลเซอร์หน้าใสต้องพักฟื้นนานแค่ไหน?
โดยทั่วไปแล้ว เลเซอร์หน้าใสแทบไม่ต้องพักฟื้น และสามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติทันที
อย่างไรก็ตาม หลังทำเลเซอร์อาจมีผลข้างเคียงเล็กน้อยที่ควรทราบ:
- อาการบวมแดง: ผิวอาจมีรอยแดงหรือบวมเล็กน้อยคล้ายโดนแดด ซึ่งมักจะหายไปเองภายในไม่กี่ชั่วโมงถึง 1-2 วัน
- สะเก็ด: บริเวณที่ยิงเลเซอร์ เช่น กระ หรือจุดด่างดำ อาจมีสีเข้มขึ้นและตกสะเก็ดบางๆ ซึ่งจะหลุดลอกออกไปเองภายใน 7-10 วัน
แม้จะไม่ต้องหยุดงานหรือพักผ่อนเป็นพิเศษ แต่จำเป็นต้องดูแลผิวและหลีกเลี่ยงแสงแดดอย่างเคร่งครัดเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
เลเซอร์หน้าใสเหมาะกับทุกสภาพผิวหรือไม่?
เลเซอร์หน้าใส สามารถทำได้กับทุกสภาพผิว แต่จำเป็นต้องปรับชนิดของเลเซอร์และตั้งค่าพลังงานให้เหมาะสมกับสีผิวของแต่ละบุคคล
โดยทั่วไปแล้ว ผู้ที่มีผิวขาว (Fitzpatrick I–III) จะทนต่อเลเซอร์ได้ดีและเห็นผลลัพธ์ได้เร็วกว่า ในขณะที่ผู้ที่มีผิวคล้ำ (Fitzpatrick IV–VI) มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดรอยดำหลังทำเลเซอร์ (Post-Inflammatory Hyperpigmentation หรือ PIH) เนื่องจากมีเม็ดสีในผิวมากกว่า ดังนั้น แพทย์จึงมักเลือกใช้เลเซอร์ที่มีความยาวคลื่น 1064 นาโนเมตร (Nd:YAG) ซึ่งปลอดภัยกว่าสำหรับผิวคล้ำ และต้องทำอย่างค่อยเป็นค่อยไปโดยใช้พลังงานที่ต่ำกว่า
ผลลัพธ์ของเลเซอร์หน้าใสอยู่ได้นานเท่าไหร่?
ผลลัพธ์ของเลเซอร์หน้าใสจะอยู่ได้นานแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับปัญหาผิวที่ทำการรักษาและการดูแลผิวหลังทำ โดยเฉพาะการป้องกันแสงแดด
ระยะเวลาของผลลัพธ์สำหรับปัญหาผิวแต่ละประเภทมีดังนี้
- ฝ้า (Melasma): มีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำได้ง่าย ผลลัพธ์มักจะอยู่ได้ประมาณ 3-6 เดือนก่อนที่เม็ดสีจะเริ่มกลับมาทำงานอีกครั้ง จึงจำเป็นต้องมีการทำเลเซอร์เพื่อคงสภาพผิว (maintenance) หรือใช้ยาทาอย่างต่อเนื่อง
- กระและจุดด่างดำจากแดด (Freckles and Sun Spots): หากกำจัดออกไปหมดแล้ว ผลลัพธ์จะอยู่ได้ค่อนข้างถาวร แต่ต้องหลีกเลี่ยงแสงแดดอย่างเคร่งครัด เพราะการโดนแดดอีกอาจทำให้เกิดจุดใหม่ขึ้นได้
- รอยดำหลังการอักเสบ (PIH): เช่น รอยสิว เมื่อหายแล้วมักจะไม่กลับมาอีก ตราบใดที่ควบคุมสาเหตุ (เช่น สิว) ไม่ให้เกิดขึ้นใหม่ได้
โดยสรุป การดูแลผิวอย่างสม่ำเสมอ เช่น การทาครีมกันแดดทุกวันและการทำเลเซอร์เพื่อคงสภาพผิวเป็นครั้งคราว จะช่วยยืดอายุผลลัพธ์ให้อยู่ได้นานที่สุด
เลเซอร์หน้าใสช่วยเรื่องอะไรได้บ้าง?
เลเซอร์หน้าใสช่วยรักษาปัญหาเม็ดสีส่วนเกิน (hyperpigmentation) และปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ โดยเลเซอร์จะเข้าไปทำลายเม็ดสีเมลานินที่ผิดปกติ ทำให้จุดด่างดำจางลงและผิวโดยรวมดูกระจ่างใสขึ้น
ภาวะที่สามารถรักษาได้ด้วยเลเซอร์หน้าใส ได้แก่:
- ฝ้า (Melasma)
- กระ กระแดด และจุดด่างดำจากแสงแดด (Freckles, solar lentigines, sun spots)
- รอยดำหลังการอักเสบ เช่น รอยสิว หรือรอยแผลเป็น (Post-inflammatory hyperpigmentation)
- สีผิวที่ไม่สม่ำเสมอและหมองคล้ำ (Uneven skin tone and dullness)
- ปานบางชนิด เช่น ปานโอตะ (Certain birthmarks like nevus of Ota)
- นอกจากนี้ เลเซอร์บางชนิดอย่างพิโคเลเซอร์ (picosecond laser) ยังสามารถกระตุ้นคอลลาเจนเพื่อฟื้นฟูผิวและรักษารอยแผลเป็นจากสิวได้อีกด้วย
ต้องทำเลเซอร์หน้าใสกี่ครั้งถึงจะเห็นผล?
โดยทั่วไปแล้ว ต้องทำเลเซอร์ประมาณ 3-6 ครั้งจึงจะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน แต่ผิวจะเริ่มดีขึ้นตั้งแต่ครั้งแรก และจะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนยิ่งขึ้นเมื่อทำไปแล้ว 2-3 ครั้ง
ทั้งนี้ จำนวนครั้งที่แน่นอนจะขึ้นอยู่กับสภาพผิวและปัญหาที่ต้องการรักษา เช่น
- กระและจุดด่างดำ: อาจเห็นผลใน 1-2 ครั้ง
- รอยสิว (PIH): อาจจางลงใน 1-3 ครั้ง
- ฝ้า: อาจต้องทำต่อเนื่อง 5-10 ครั้ง
References:
- American Academy of Dermatology. Laser treatment for pigmentation: What to expect. American Academy of Dermatology. aad.org
- Gaffey, M. M., & Johnson, A. B. Laser Treatment of Pigmented Lesions. StatPearls (NCBI Bookshelf). ncbi.nlm.nih.gov
- Barsoum, R. Laser therapy in skin of colour. DermNet New Zealand. dermnetnz.org
- Lee, S. J., Kim, D. G., Nam, S. M., Cha, H. G., & Park, E. S. Effectiveness of 250‑picosecond laser for the treatment of melasma and pigmented lesions with a low fluence 1,064‑nm Nd:YAG laser in Republic of Korea: Retrospective study. Medical Lasers. kci.go.kr
- Liang, S., Shang, S., Zhang, W., Tan, A., et al. Comparison of the efficacy and safety of picosecond Nd:YAG laser, picosecond alexandrite laser and 2% hydroquinone cream in the treatment of melasma: A randomized controlled trial. Frontiers in Medicine (Dermatology). frontiersin.org
- Lubarski, K., & Jalowska, M. Lasers’ Q-switched treatment in skin and subcutaneous lesions – review. Advances in Dermatology and Allergology. pmc.ncbi.nlm.nih.gov
- Vocke, S., Potiwihok, J., & Rümmelein, C. B. Versatile use of picosecond lasers. Universimed Plastische Chirurgie. universimed.com
- Grand View Research. Picosecond Lasers Market Size, Share & Growth Report, 2030. Grand View Research. grandviewresearch.com
