Skip to content

TEL : 081-841-5075, 02-258-4050

Facebook Instagram YouTube
Privato Clinic – Innovation Of Beauty  |  Bangkok
  • หน้าหลัก
  • เกี่ยวกับพรีวาโต
  • บริการทั้งหมดExpand
    • ชะลอวัย
    • ยกกระชับผิวExpand
      • XERF
      • Potenza
      • Sofwave
      • Ulthera
      • Thermage-FLX
    • รักษาสิว
    • เลเซอร์
    • โปรแกรมฉีด
    • บำรุงผิว
  • บทความExpand
    • สิว
    • ยกกระชับ
    • ดูแลผิว
    • ทำเลเซอร์
  • ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว
  • โปรโมชั่น
  • ผลลัพธ์การรักษา
  • วิดีโอรีวิวจากเคสจริง
  • สาขาของเรา
  • ไทยExpand
    • ไทย
    • English
    • 中文 (中国)
  • ปรึกษาแพทย์
Privato Clinic – Innovation Of Beauty  |  Bangkok
Consult a Doctor
Laser

เลเซอร์หน้าใส: ข้อดี ข้อเสีย ที่คุณควรรู้ก่อนทำ

Byadmin กันยายน 30, 2025
By นายแพทย์พนิต อุนรัตน์ Updated on กันยายน 30, 2025
✦ Medically reviewed by  นายแพทย์เลอพงษ์ กรุดเงิน
เลเซอร์หน้าใส: ข้อดี ข้อเสีย ที่คุณควรรู้ก่อนทำ

เลเซอร์หน้าใส ข้อดีคือเป็นเทคโนโลยีที่ใช้ลำแสงพลังงานสูงแก้ปัญหาผิวได้หลากหลาย เช่น รอยดำ รอยแดง และกระตุ้นคอลลาเจน โดยมักเห็นผลชัดเจนใน 3-6 ครั้ง แต่ข้อเสียคืออาจมีรอยแดง บวม และผิวไวแสงชั่วคราว.

Table of Contents

Toggle
  • เลเซอร์หน้าใสคืออะไร? และช่วยแก้ปัญหาผิวอะไรได้บ้าง?
    • หลักการทำงานของเลเซอร์หน้าใส
    • ปัญหาผิวที่เลเซอร์หน้าใสช่วยได้ (รอยดำ, รอยแดง, ฝ้า, กระ, รูขุมขนกว้าง, ผิวหมองคล้ำ)
  • เลเซอร์หน้าใสมีกี่แบบ?
    • เลเซอร์กลุ่ม IPL (Intense Pulsed Light)
    • เลเซอร์กลุ่ม Q-Switched / Pico Laser
    • เลเซอร์กลุ่ม Fractional (เช่น CO2 Laser)
    • เลเซอร์กลุ่ม V-Beam / Dual Yellow
  • ข้อดีของการทำเลเซอร์หน้าใส
    • เห็นผลลัพธ์รวดเร็วและชัดเจน
    • แก้ปัญหาผิวได้หลากหลาย
    • กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน
  • ข้อเสียและผลข้างเคียงของการทำเลเซอร์หน้าใส
    • ผลข้างเคียงทั่วไป (รอยแดง, บวม, ผิวแห้งลอก)
    • ความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น (ผิวไวแสง, รอยดำหลังทำ)
    • ข้อจำกัดและผู้ที่ไม่ควรทำ
  • ก่อนตัดสินใจทำเลเซอร์หน้าใส: สิ่งที่ควรรู้
    • การเลือกคลินิกและแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
    • เลเซอร์หน้าใสราคาเท่าไหร่?
    • เลเซอร์หน้าใส กี่ครั้งเห็นผล?
    • การดูแลตัวเองก่อนและหลังทำเลเซอร์
  • คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับเลเซอร์หน้าใส
    • เลเซอร์หน้าใสเห็นผลจริงไหม?
    • เลเซอร์หน้าใสเจ็บไหม?
    • เลเซอร์หน้าใสดีไหม Pantip?
    • หลังทำเลเซอร์หน้าใส ห้ามทำอะไรบ้าง?
    • เลเซอร์หน้าใสเหมาะกับใคร?
  • References:

เลเซอร์หน้าใสคืออะไร? และช่วยแก้ปัญหาผิวอะไรได้บ้าง?

เลเซอร์หน้าใสคือเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ใช้ลำแสงพลังงานสูงเพื่อแก้ปัญหาผิวเฉพาะจุด เช่น เม็ดสีหรือเส้นเลือด และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใหม่ใต้ผิวหนัง

เลเซอร์สามารถช่วยแก้ปัญหาผิวได้หลากหลายประเภท ดังนี้

  • ปัญหาสีผิวและจุดด่างดำ: ช่วยลดเลือนฝ้า กระ จุดด่างดำตามวัย รอยดำจากการอักเสบ และปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ
  • ริ้วรอยและเนื้อผิว: ช่วยให้ริ้วรอยตื้นขึ้น ปรับสภาพผิวให้เรียบเนียน กระชับรูขุมขน และฟื้นฟูผิวที่ถูกทำลายจากแสงแดด
  • รอยแผลเป็น: ช่วยให้รอยแผลเป็นจากสิวดูจางและตื้นขึ้น
  • รอยแดงและเส้นเลือด: ช่วยลดรอยแดงบนใบหน้า เส้นเลือดฝอยที่ผิดปกติ และรอยแดงจากสิว

หลักการทำงานของเลเซอร์หน้าใส

หลักการทำงานของเลเซอร์หน้าใสคือการใช้พลังงานแสงที่มุ่งเป้าไปยังปัญหาผิวโดยเฉพาะ เพื่อทำลายเซลล์เป้าหมาย เช่น เม็ดสีหรือเส้นเลือดฝอย และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ไปพร้อมกัน

หลักการทำงานแบ่งออกเป็น 2 กลไกหลัก ดังนี้

  • การกำจัดเม็ดสีและรอยแดง: เลเซอร์จะส่งพลังงานแสงที่ถูกดูดซับโดยเมลานิน (ในจุดด่างดำ) หรือฮีโมโกลบิน (ในเส้นเลือด) ทำให้เป้าหมายร้อนขึ้นและสลายไป ส่งผลให้จุดด่างดำจางลงและรอยแดงลดลง
  • การกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน: พลังงานความร้อนจากเลเซอร์จะลงไปกระตุ้นเซลล์ในชั้นหนังแท้ให้ผลิตคอลลาเจนและอีลาสตินใหม่ ทำให้ผิวเรียบเนียน ริ้วรอยตื้นขึ้น และมีความกระชับมากขึ้น

ปัญหาผิวที่เลเซอร์หน้าใสช่วยได้ (รอยดำ, รอยแดง, ฝ้า, กระ, รูขุมขนกว้าง, ผิวหมองคล้ำ)

เลเซอร์หน้าใสสามารถช่วยแก้ปัญหาผิวได้หลากหลาย ทั้งรอยดำ รอยแดง ฝ้า กระ รูขุมขนกว้าง และผิวหมองคล้ำ

เลเซอร์แต่ละชนิดจะใช้เทคโนโลยีที่แตกต่างกันในการแก้ปัญหาผิว ดังนี้

  • รอยดำ ฝ้า กระ และผิวหมองคล้ำ: เลเซอร์กลุ่มเม็ดสี เช่น IPL, Q-Switched และ Picosecond จะส่งพลังงานไปทำลายเม็ดสีเมลานินที่ผิดปกติให้แตกตัว ทำให้รอยดำ ฝ้า กระ จางลง และช่วยปรับสีผิวให้สม่ำเสมอและกระจ่างใสขึ้น
  • รอยแดง: เลเซอร์กลุ่มเส้นเลือด เช่น Pulsed-Dye Laser (PDL) และ Dual Yellow จะมุ่งเป้าไปที่เส้นเลือดโดยเฉพาะ ทำให้รอยแดงจากสิว เส้นเลือดฝอยขยาย และอาการหน้าแดงลดลงอย่างเห็นได้ชัด
  • รูขุมขนกว้างและริ้วรอย: เลเซอร์กลุ่มฟื้นฟูผิว เช่น Fractional Laser จะกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใหม่ในชั้นผิว ทำให้ผิวเรียบเนียนขึ้น ริ้วรอยตื้นขึ้น และรูขุมขนกระชับขึ้น

เลเซอร์หน้าใสมีกี่แบบ?

เลเซอร์ที่ใช้สำหรับใบหน้ามี หลายประเภทหลักๆ ซึ่งแต่ละชนิดถูกออกแบบมาเพื่อแก้ไขปัญหาผิวที่แตกต่างกัน โดยประเภทที่พบบ่อยมีดังนี้

  • IPL (Intense Pulsed Light): เหมาะสำหรับลดรอยดำจากแดดและรอยแดง เช่น ฝ้า กระ และเส้นเลือดฝอย
  • เลเซอร์สำหรับเม็ดสี (Pigment-Specific Lasers): เช่น Q-switched และ Picosecond laser ใช้เพื่อกำจัดเม็ดสีส่วนเกิน เช่น จุดด่างดำ กระ และฝ้า
  • เลเซอร์กลุ่มฟื้นฟูผิว (Fractional Lasers): แบ่งเป็นชนิดที่ทำให้เกิดแผล (Ablative) และไม่เกิดแผล (Non-ablative) ช่วยปรับสภาพผิว ลดริ้วรอยตื้นๆ และรักษาหลุมสิว
  • เลเซอร์สำหรับเส้นเลือด (Vascular Lasers): เช่น Pulsed-Dye Laser (PDL) และ Dual Yellow Laser เป็นเลเซอร์ที่เน้นรักษารอยแดง เส้นเลือดฝอย และปัญหาผิวที่เกี่ยวข้องกับเส้นเลือด

เลเซอร์กลุ่ม IPL (Intense Pulsed Light)

IPL (Intense Pulsed Light) คือเทคโนโลยีที่ใช้ลำแสงแบบกระจายเพื่อรักษาปัญหาเม็ดสี รอยแดง และฟื้นฟูสภาพผิวโดยรวม โดยการทำงานจะใช้ความร้อนเพื่อทำลายเม็ดสีเมลานินและทำให้เส้นเลือดฝอยหดตัวลง นอกจากนี้ความร้อนที่เกิดขึ้นยังช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้สภาพผิวและโทนสีผิวดีขึ้น

IPL เป็นการรักษาที่อ่อนโยนและไม่ต้องพักฟื้นนาน โดยทั่วไปอาจมีเพียงรอยแดงเล็กน้อยซึ่งจะหายไปเองภายในไม่กี่ชั่วโมง และเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ควรทำการรักษาต่อเนื่อง 3-5 ครั้ง

เลเซอร์กลุ่ม Q-Switched / Pico Laser

เลเซอร์กลุ่ม Q-Switched และ Picosecond เป็นเลเซอร์ที่มุ่งเป้าไปที่การทำลายเม็ดสีโดยเฉพาะ เพื่อรักษาฝ้า กระ จุดด่างดำ และรอยสัก โดย Picosecond laser เป็นเทคโนโลยีที่ใหม่กว่าและมีประสิทธิภาพสูงกว่า

  • Q-Switched Laser: ปล่อยพลังงานในระดับนาโนวินาทีเพื่อทำให้เม็ดสีแตกตัว ซึ่งร่างกายจะกำจัดออกไปตามธรรมชาติ เทคนิคใหม่ๆ เช่น “laser toning” ที่ใช้พลังงานต่ำจะช่วยลดความเสี่ยงจากความร้อนและผลข้างเคียงได้
  • Picosecond Laser: เป็นเทคโนโลยียุคถัดมาที่ปล่อยพลังงานในระดับพิโควินาที (เร็วกว่า Q-Switched 1,000 เท่า) ทำให้เม็ดสีแตกตัวอย่างละเอียดด้วยแรงกระแทกเชิงกล (photo-mechanical) มากกว่าการใช้ความร้อน จึงมีประสิทธิภาพสูงกว่า ใช้จำนวนครั้งในการรักษาน้อยกว่า และมีความเสี่ยงต่อผลข้างเคียงอย่างรอยดำหลังทำ (PIH) ต่ำกว่า โดยเฉพาะในผู้ที่มีผิวคล้ำ นอกจากนี้ยังสามารถช่วยปรับปรุงพื้นผิวและรักษาหลุมสิวได้อีกด้วย

เลเซอร์กลุ่ม Fractional (เช่น CO2 Laser)

เลเซอร์กลุ่ม Fractional คือเทคโนโลยีที่ปล่อยลำแสงเลเซอร์ขนาดเล็กจำนวนมากลงไปบนผิวหนัง ทำให้เกิดเป็นจุดแผลขนาดเล็กๆ คล้ายตาราง โดยเว้นผิวหนังบริเวณรอบๆ ไว้ไม่ให้ถูกทำลาย ซึ่งช่วยให้ผิวฟื้นตัวได้เร็วขึ้น

เลเซอร์กลุ่มนี้แบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก:

  • Ablative Fractional Lasers (AFL): เช่น Fractional CO₂ Laser จะยิงเลเซอร์เพื่อทำให้เนื้อเยื่อระเหยออกไปเป็นช่องเล็กๆ ซึ่งกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่อย่างมีประสิทธิภาพ เหมาะสำหรับรักษาริ้วรอยลึก หลุมสิว และผิวที่ถูกทำลายจากแสงแดดอย่างรุนแรง แต่มีระยะเวลาพักฟื้นนานกว่า (ประมาณ 5-10 วัน)
  • Non-Ablative Fractional Lasers (NAFL): เช่น Er:Glass 1550 nm จะส่งพลังงานความร้อนลงไปใต้ผิวโดยไม่ทำลายผิวชั้นบน เหมาะสำหรับปรับสภาพผิว ลดริ้วรอยตื้นๆ และรอยแผลเป็นที่ไม่รุนแรง โดยมีระยะเวลาพักฟื้นสั้น (ประมาณ 2-3 วัน)

ทั้งสองประเภทช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวเรียบเนียนและกระชับขึ้น โดยจะเห็นผลลัพธ์ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ในช่วง 3-6 เดือนหลังการรักษา

เลเซอร์กลุ่ม V-Beam / Dual Yellow

V-Beam (Pulsed-Dye Laser) และ Dual Yellow คือเลเซอร์ในกลุ่มที่รักษาความผิดปกติของเส้นเลือด (Vascular Lasers) ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในการลดรอยแดงเป็นหลัก แต่ก็สามารถใช้รักษาปัญหาเม็ดสีบางชนิดได้ด้วย

  • V-Beam (Pulsed-Dye Laser – PDL): เป็นเลเซอร์มาตรฐานสูงสุด (gold-standard) ในการรักษารอยแดงที่เกิดจากเส้นเลือด เช่น เส้นเลือดฝอยขยาย, รอยแดงจากสิว, อาการหน้าแดงของโรคโรซาเชีย (Rosacea) และปานแดง
  • Dual Yellow: เป็นเลเซอร์ที่ปล่อยพลังงาน 2 ความยาวคลื่นพร้อมกัน คือ แสงสีเหลือง (578 nm) ซึ่งจะเน้นการรักษาเส้นเลือดและรอยแดง และแสงสีเขียว (511 nm) ซึ่งจะเน้นการรักษาเม็ดสี (รอยดำ) ทำให้เหมาะกับการรักษาสภาวะที่มีทั้งรอยแดงและรอยดำปนกัน เช่น ฝ้า หรือรอยสิว

ข้อดีของการทำเลเซอร์หน้าใส

เห็นผลลัพธ์รวดเร็วและชัดเจน

ใช่ การรักษาด้วยเลเซอร์ช่วยให้เห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนและรวดเร็ว โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับการใช้ครีมบำรุงที่อาจใช้เวลาหลายเดือนหรือเป็นปี

เลเซอร์สามารถแก้ปัญหาผิวได้อย่างรวดเร็ว เช่น การใช้เลเซอร์หลอดเลือด (Vascular lasers) สามารถลดรอยแดงลงอย่างมากภายในไม่กี่ครั้ง หรือเลเซอร์ชนิดผลัดเซลล์ผิว (Ablative fractional lasers) สามารถทำให้ริ้วรอยและรอยแผลเป็นดูจางลงอย่างเห็นได้ชัดภายในเวลาประมาณ 1 เดือน อย่างไรก็ตาม ผลลัพธ์บางอย่าง เช่น การปรับปรุงผิวสัมผัสและริ้วรอย จะค่อยๆ ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องและเห็นผลเต็มที่ใน 3-6 เดือนหลังการรักษา

แก้ปัญหาผิวได้หลากหลาย

เลเซอร์สามารถแก้ปัญหาผิวได้หลายอย่างพร้อมกัน เช่น ปรับสภาพผิวให้เรียบเนียน ลดขนาดรูขุมขน และลดความผิดปกติของเม็ดสีได้ในคราวเดียว ซึ่งสะดวกกว่าการรักษาด้วยวิธีอื่นแยกกัน

นอกจากนี้ยังสามารถใช้เลเซอร์หลายชนิดร่วมกันในแผนการรักษาเดียวเพื่อจัดการกับปัญหาต่างๆ เช่น ใช้ IPL เพื่อลดรอยแดงและใช้เลเซอร์ Fractional เพื่อปรับสภาพผิว ผู้เชี่ยวชาญยังสามารถปรับค่าพลังงานของเลเซอร์เพื่อจัดการกับปัญหาที่แตกต่างกันในระดับความลึกของผิวที่ต่างกันได้ภายในการรักษาครั้งเดียว

กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน

เลเซอร์หลายชนิดสามารถกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินได้โดยการส่งพลังงานความร้อนลงไปในชั้นหนังแท้เพื่อกระตุ้นเซลล์ไฟโบรบลาสต์ (fibroblasts) ซึ่งเป็นเซลล์ที่ทำหน้าที่ผลิตคอลลาเจนโดยตรง ทำให้ผิวแน่นกระชับและเรียบเนียนขึ้น

เลเซอร์ที่ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ได้แก่:

  • Ablative Fractional Lasers (เช่น Fractional CO₂): ให้ความร้อนแก่ชั้นหนังแท้และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่อย่างมีประสิทธิภาพสูง เหมาะสำหรับริ้วรอยลึกและแผลเป็น
  • Non-Ablative Fractional Lasers (เช่น Er:Glass 1550 nm): สร้างความร้อนในชั้นหนังแท้โดยไม่ทำลายผิวชั้นบนเพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน
  • Picosecond Lasers (เมื่อใช้ร่วมกับเลนส์ Fractional): สร้างแรงกระแทกเชิงกลในชั้นหนังแท้ (LIOB) เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่โดยไม่ทำลายผิวชั้นบน
  • IPL (Intense Pulsed Light): ใช้ความร้อนอย่างอ่อนโยนเพื่อกระตุ้นการสังเคราะห์คอลลาเจนเมื่อเวลาผ่านไป ช่วยปรับปรุงสภาพผิวโดยรวม

โดยทั่วไป ผลลัพธ์จากการกระตุ้นคอลลาเจนจะค่อยๆ ปรากฏขึ้นและเห็นผลชัดเจนที่สุดในช่วง 3-6 เดือนหลังการรักษา

ข้อเสียและผลข้างเคียงของการทำเลเซอร์หน้าใส

ผลข้างเคียงทั่วไป (รอยแดง, บวม, ผิวแห้งลอก)

ผลข้างเคียง เช่น รอยแดง บวม และผิวแห้งลอก เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการฟื้นฟูผิวที่พบได้เป็นปกติและเกิดขึ้นเพียงชั่วคราว ซึ่งความรุนแรงและระยะเวลาจะขึ้นอยู่กับชนิดของเลเซอร์ที่ใช้

โดยทั่วไปแล้ว อาการเหล่านี้เป็นสัญญาณว่าผิวกำลังได้รับการซ่อมแซมและสร้างใหม่ โดยอาการแดงและบวมอาจคงอยู่ตั้งแต่ไม่กี่ชั่วโมงไปจนถึงหลายสัปดาห์ ในขณะที่อาการผิวแห้งลอกมักเกิดขึ้นหลังการทำเลเซอร์กลุ่มผลัดเซลล์ผิว (Fractional/Ablative) และจะค่อยๆ หายไปภายใน 7-10 วัน

ความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น (ผิวไวแสง, รอยดำหลังทำ)

ความเสี่ยงที่สำคัญหลังการทำเลเซอร์คือ รอยดำหลังการอักเสบ (Post-Inflammatory Hyperpigmentation หรือ PIH) และภาวะผิวไวต่อแสงแดดชั่วคราว

รอยดำหลังการอักเสบ (PIH) คือการที่ผิวหนังบริเวณที่ทำเลเซอร์มีสีเข้มขึ้น ซึ่งมีความเสี่ยงสูงขึ้นในผู้ที่มีสีผิวเข้มหรือใช้เลเซอร์ชนิดที่รุนแรง นอกจากนี้ หลังทำเลเซอร์ผิวจะไวต่อแสงแดดเป็นพิเศษ การหลีกเลี่ยงแสงแดดอย่างเคร่งครัดและใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูงจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งเพื่อป้องกันการเกิดรอยดำและภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ

ข้อจำกัดและผู้ที่ไม่ควรทำ

ข้อจำกัดของเลเซอร์คือไม่สามารถรักษาบางภาวะให้หายขาดและไม่สามารถแก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อยรุนแรงได้ ส่วนผู้ที่ไม่ควรทำคือผู้ที่มีโรคประจำตัวบางชนิด, สตรีมีครรภ์, และผู้ที่มีการติดเชื้อบนผิวหนัง

ข้อจำกัดของการรักษาด้วยเลเซอร์ ได้แก่:

  • ภาวะเรื้อรัง: ไม่สามารถรักษาฝ้าหรือโรคโรซาเชียให้หายขาดถาวรได้ และอาจต้องทำซ้ำเพื่อคงผลลัพธ์
  • แผลเป็นลึก: ช่วยให้หลุมสิวดีขึ้นได้ แต่โดยทั่วไปไม่สามารถกำจัดให้หายไป 100%
  • ความหย่อนคล้อย: ไม่สามารถทดแทนการผ่าตัดเพื่อยกกระชับผิวที่หย่อนคล้อยอย่างรุนแรงได้
  • สภาพผิว: การรักษาในผู้ที่มีผิวสีเข้มมากอาจมีข้อจำกัด เพื่อลดความเสี่ยงของผลข้างเคียงด้านเม็ดสี

ผู้ที่ไม่เหมาะกับการทำเลเซอร์ หรือควรปรึกษาแพทย์อย่างละเอียดก่อนทำ ได้แก่:

  • ผู้ที่มีโรคเกี่ยวพันกับเนื้อเยื่อเกี่ยวพันหรือโรคแพ้ภูมิตัวเอง
  • ผู้ที่มีประวัติเป็นแผลเป็นนูน (คีลอยด์)
  • สตรีมีครรภ์หรือกำลังให้นมบุตร
  • ผู้ที่มีการติดเชื้อ การอักเสบ หรือมีแผลเปิดในบริเวณที่จะทำ
  • ผู้ที่ผิวไหม้แดดหรือเพิ่งอาบแดดมา

ก่อนตัดสินใจทำเลเซอร์หน้าใส: สิ่งที่ควรรู้

การเลือกคลินิกและแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

การเลือกคลินิกและแพทย์ผู้เชี่ยวชาญควรให้ความสำคัญกับคุณสมบัติของแพทย์ สถานที่ที่เป็นสถานพยาบาล และคุณภาพของเทคโนโลยี มากกว่าปัจจัยด้านราคาเพียงอย่างเดียว

  • เลือกสถานพยาบาล: ควรเลือกทำเลเซอร์ในสถานพยาบาลที่มีแพทย์ดูแล แทนสปาหรือร้านเสริมความงามทั่วไป เพื่อความปลอดภัยสูงสุด
  • ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ: ผู้ให้บริการที่ดีจะให้คำปรึกษาอย่างละเอียด อาจมีการทดสอบเลเซอร์บนผิว (test spot) และให้คำแนะนำการดูแลหลังทำที่ชัดเจน
  • พิจารณาความคุ้มค่า: แม้ราคาที่ถูกกว่าอาจน่าดึงดูด แต่ก็อาจแลกมาด้วยความปลอดภัยและประสิทธิภาพที่ลดลง การลงทุนกับผู้เชี่ยวชาญที่ผ่านการรับรองจะให้ผลลัพธ์ที่ดีและปลอดภัยกว่าในระยะยาว

เลเซอร์หน้าใสราคาเท่าไหร่?

โดยทั่วไป ราคาเลเซอร์หน้าใสอยู่ที่ประมาณ 4,000-10,000 บาทต่อครั้ง ขึ้นอยู่กับประเภทของเลเซอร์ที่ใช้ โดยเลเซอร์ที่ไม่รุนแรงมากอย่าง IPL อาจมีราคาเริ่มต้นที่ประมาณ 4,000 บาท ในขณะที่เลเซอร์ที่เน้นการผลัดเซลล์ผิวอย่าง Fractional laser อาจมีราคาสูงถึงประมาณ 10,000 บาทต่อครั้ง

เลเซอร์หน้าใส กี่ครั้งเห็นผล?

โดยทั่วไปแล้ว การทำเลเซอร์หน้าใสจะเริ่มเห็นผลชัดเจนหลังทำประมาณ 3-6 ครั้ง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับชนิดของเลเซอร์ ปัญหาผิว และการตอบสนองของแต่ละบุคคล

จำนวนครั้งในการรักษาสำหรับเลเซอร์แต่ละชนิดโดยประมาณมีดังนี้:

  • IPL: ใช้สำหรับลดรอยแดงและจุดด่างดำจากแสงแดด โดยทั่วไปต้องทำ 3-5 ครั้ง
  • Fractional Laser: ใช้สำหรับปรับสภาพผิว ลดรอยแผลเป็น และริ้วรอย มักจะต้องทำ 2-4 ครั้ง
  • Vascular Laser (เช่น PDL): ใช้สำหรับรักษาเส้นเลือดฝอยและรอยแดง โดยทั่วไปต้องทำ 3-6 ครั้ง

ผลลัพธ์บางอย่าง เช่น ผิวที่เรียบเนียนขึ้นและริ้วรอยที่ลดลง จะค่อยๆ ดีขึ้นเรื่อยๆ และเห็นผลเต็มที่ในช่วง 3-6 เดือนหลังการรักษา เนื่องจากเป็นช่วงที่คอลลาเจนใหม่ถูกสร้างขึ้นอย่างสมบูรณ์

การดูแลตัวเองก่อนและหลังทำเลเซอร์

การดูแลตัวเองก่อนทำเลเซอร์เกี่ยวข้องกับการหลีกเลี่ยงแสงแดดและผลิตภัณฑ์บางชนิด ส่วนการดูแลหลังทำเลเซอร์จะเน้นที่การทำความสะอาดอย่างอ่อนโยน การให้ความชุ่มชื้น และการป้องกันแสงแดดอย่างเคร่งครัด การปฏิบัติตามคำแนะนำเหล่านี้จะช่วยลดความเสี่ยงของผลข้างเคียงและทำให้ผลลัพธ์การรักษามีประสิทธิภาพสูงสุด

การดูแลตัวเองก่อนทำเลเซอร์

  • หลีกเลี่ยงแสงแดด: งดการโดนแดดจัดหรือการทำให้ผิวแทนก่อนการรักษา เพื่อลดความเสี่ยงของผลข้างเคียง
  • หยุดใช้ผลิตภัณฑ์บางชนิด: หยุดใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีส่วนผสมของเรตินอยด์หรือกรดผลัดเซลล์ผิวตามคำแนะนำของแพทย์
  • แจ้งประวัติสุขภาพ: หากมีประวัติเป็นโรคเริม ควรแจ้งแพทย์เพื่อรับยาป้องกันการกำเริบของโรค
  • เตรียมผิว: ในบางกรณี แพทย์อาจสั่งผลิตภัณฑ์บำรุงผิว เช่น ไฮโดรควิโนน เพื่อเตรียมผิวและลดความเสี่ยงของรอยดำ

การดูแลตัวเองหลังทำเลเซอร์

  • ประคบเย็น: ใช้การประคบเย็นเพื่อลดอาการบวมและความร้อนบนผิวหนังทันทีหลังทำ
  • ทำความสะอาดและให้ความชุ่มชื้น: ทำความสะอาดผิวอย่างอ่อนโยนและทามอยส์เจอไรเซอร์หรือขี้ผึ้งตามที่แพทย์แนะนำบ่อยๆ เพื่อให้ผิวชุ่มชื้นอยู่เสมอ
  • ป้องกันแสงแดดอย่างเคร่งครัด: หลีกเลี่ยงแสงแดดโดยตรงและทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 ขึ้นไปทุกวัน เนื่องจากผิวหลังทำเลเซอร์จะไวต่อแสงมาก
  • หลีกเลี่ยงความร้อนและกิจกรรมหนัก: งดการออกกำลังกายหนัก ซาวน่า หรืออาบน้ำร้อนในช่วง 2-3 วันแรก เพื่อไม่ให้การอักเสบเพิ่มขึ้น
  • ห้ามแกะเกา: ปล่อยให้สะเก็ดแผลหลุดลอกออกไปเอง ห้ามแกะหรือขัดถูโดยเด็ดขาด

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับเลเซอร์หน้าใส

เลเซอร์หน้าใสเห็นผลจริงไหม?

เลเซอร์หน้าใส เห็นผลได้จริง โดยสามารถช่วยแก้ปัญหาผิวได้หลากหลาย ตั้งแต่เรื่องเม็ดสีไปจนถึงริ้วรอยและรอยแดง

เลเซอร์สามารถปรับปรุงคุณภาพผิวได้อย่างมีนัยสำคัญในด้านต่างๆ ดังนี้

  • ลดเลือนเม็ดสี: ช่วยให้จุดด่างดำ ฝ้า กระ และรอยดำจากสิวจางลง ทำให้สีผิวสม่ำเสมอขึ้น
  • ปรับสภาพผิวและลดริ้วรอย: กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใหม่ ทำให้ผิวเรียบเนียนขึ้น ริ้วรอยตื้นๆ และรอยแผลเป็นจากสิวดูดีขึ้น รวมถึงช่วยให้รูขุมขนกระชับขึ้น
  • ลดรอยแดงและเส้นเลือด: เลเซอร์บางชนิดสามารถลดรอยแดงจากสิว เส้นเลือดฝอย และอาการหน้าแดงได้อย่างมีประสิทธิภาพ

อย่างไรก็ตาม ผลลัพธ์อาจไม่ได้เกิดขึ้นทันทีหลังทำครั้งแรก การเปลี่ยนแปลงบางอย่าง เช่น ผิวที่เรียบเนียนขึ้น จะค่อยๆ ดีขึ้นและเห็นผลเต็มที่ใน 3-6 เดือน และมักจะต้องทำต่อเนื่องหลายครั้งเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด นอกจากนี้ ปัญหาบางอย่าง เช่น ฝ้า อาจกลับมาเป็นซ้ำได้หากไม่ดูแลผิวและหลีกเลี่ยงแสงแดดอย่างสม่ำเสมอ

เลเซอร์หน้าใสเจ็บไหม?

ความเจ็บระหว่างทำเลเซอร์หน้าใส ขึ้นอยู่กับชนิดของเลเซอร์และวิธีการจัดการความเจ็บปวด แต่โดยทั่วไปสามารถควบคุมได้

ระดับความเจ็บจะแตกต่างกันไปตามประเภทของเลเซอร์ที่ใช้ ดังนี้

  • เลเซอร์แบบอ่อนโยน: เลเซอร์บางชนิด เช่น IPL ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะรู้สึกเพียงอุ่นๆ หรือเหมือนถูกยางดีดเบาๆ ที่ผิว และมักใช้การประคบเย็นหรือระบบทำความเย็นจากหัวเลเซอร์ช่วยลดความรู้สึกเจ็บ
  • เลเซอร์ระดับกลาง: สำหรับเลเซอร์ที่มีความเข้มข้นขึ้นมา เช่น Fractional Laser มักมีการทายาชาเฉพาะที่ก่อนทำประมาณ 30-60 นาที ซึ่งจะช่วยให้รู้สึกเพียงแรงกดเบาๆ หรือความรู้สึกจี๊ดๆ เล็กน้อย
  • เลเซอร์แบบเข้มข้นสูง: เลเซอร์ที่ลอกผิวชั้นบนออก (Ablative Laser) เช่น Fractional CO₂ จะมีความเจ็บมากกว่า จึงจำเป็นต้องใช้ยาชาแบบฉีด การบล็อกเส้นประสาท หรือยาเพื่อช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย เพื่อควบคุมความเจ็บปวดระหว่างทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เลเซอร์หน้าใสดีไหม Pantip?

เลเซอร์หน้าใส เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการแก้ปัญหาผิวหลายอย่าง ตั้งแต่จุดด่างดำ รอยแดง ไปจนถึงการปรับสภาพผิวให้เรียบเนียนและลดเลือนริ้วรอย

จากข้อมูลพบว่าเลเซอร์สามารถช่วยในเรื่องต่างๆ ได้แก่:

  • ลดเลือนเม็ดสีและรอยแดง: สามารถกำจัดจุดด่างดำ กระ และรอยแดงจากเส้นเลือดฝอยได้อย่างรวดเร็ว
  • ปรับสภาพผิว: ช่วยให้ผิวเรียบเนียน กระชับ และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ ทำให้ริ้วรอยและแผลเป็นจากสิวดูจางลง
  • ฟื้นฟูผิวโดยรวม: ทำให้ผิวที่หมองคล้ำดูกระจ่างใสและมีสีผิวสม่ำเสมอขึ้น

อย่างไรก็ตาม ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดมักจะต้องทำเลเซอร์หลายครั้ง และอาจมีผลข้างเคียงชั่วคราว เช่น อาการแดง บวม หรือผิวลอกได้ นอกจากนี้ ปัญหาผิวบางอย่าง เช่น ฝ้า อาจกลับมาเป็นซ้ำได้หากไม่ดูแลผิวและหลีกเลี่ยงแสงแดดอย่างต่อเนื่อง

หลังทำเลเซอร์หน้าใส ห้ามทำอะไรบ้าง?

หลังทำเลเซอร์หน้าใส ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสแสงแดดโดยตรงอย่างเคร่งครัด และปฏิบัติตามคำแนะนำในการดูแลผิวอย่างสม่ำเสมอ

ข้อห้ามสำคัญอื่นๆ ที่ควรปฏิบัติในช่วงแรกหลังทำเลเซอร์ ได้แก่:

  • การออกกำลังกายอย่างหนัก การอบซาวน่า หรือการอาบน้ำร้อน ซึ่งอาจกระตุ้นให้เกิดการอักเสบหรือบวม
  • การใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีส่วนผสมรุนแรง เช่น เรตินอยด์ หรือกรดผลัดเซลล์ผิว
  • การสครับ ขัดถู หรือแกะเกาผิวบริเวณที่ทำเลเซอร์
  • การแต่งหน้าทันทีหลังทำเลเซอร์ (โดยเฉพาะเลเซอร์ชนิดที่มีแผล) จนกว่าผิวจะฟื้นตัว

เลเซอร์หน้าใสเหมาะกับใคร?

เลเซอร์หน้าใสเหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาสภาพผิวต่างๆ เช่น ริ้วรอย จุดด่างดำ รอยแดง หลุมสิว และผิวหมองคล้ำ รวมถึงผู้ที่มีสุขภาพโดยรวมดีและมีความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการรักษา

เลเซอร์สามารถแก้ไขปัญหาผิวได้หลากหลาย โดยผู้ที่เหมาะกับการรักษาคือผู้ที่มีลักษณะดังนี้

  • มีปัญหาริ้วรอยและผิวที่ถูกทำลายจากแสงแดด: เลเซอร์ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ริ้วรอยตื้นขึ้นและผิวเรียบเนียนขึ้น
  • มีจุดด่างดำและปัญหาเม็ดสี: สามารถรักษาฝ้า กระ จุดด่างดำจากวัย และรอยดำหลังการอักเสบได้
  • มีรอยแดง: เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหารอยแดงจากสิว เส้นเลือดฝอยขยาย หรือโรคโรซาเชีย
  • มีหลุมสิวและแผลเป็น: เลเซอร์ชนิด Fractional สามารถปรับปรุงลักษณะของหลุมสิวและแผลเป็นให้ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
  • มีผิวหมองคล้ำ ไม่เรียบเนียน และรูขุมขนกว้าง: การทำเลเซอร์ช่วยฟื้นฟูสภาพผิวโดยรวม ทำให้ผิวดูสว่างและกระชับขึ้น

อย่างไรก็ตาม การทำเลเซอร์อาจไม่เหมาะกับผู้ที่กำลังตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร, มีการติดเชื้อที่ผิวหนัง, มีประวัติเป็นแผลเป็นคีลอยด์ หรือเพิ่งอาบแดดมา

References:

  1. National Institutes of Health. nih.gov
  2. Mayo Clinic. mayoclinic.org
  3. JAMA Network. jamanetwork.com
  4. Wiley. wiley.com
  5. MDPI. mdpi.com
  6. Frontiers. frontiersin.org
  7. Indian Journal of Dermatology, Venereology and Leprology. ijdvl.com

แนะแนวเรื่อง

Previous Previous
Pico Laser กี่ครั้งเห็นผล? เผยผลลัพธ์ผิวใสใน 2025
NextContinue
Pico Plus Laser ต่างจาก Pico Discovery และรุ่นอื่นอย่างไร?

สาขาพรีวาโต คลินิก

    สาขาอโศก ตั้งอยู่ที่ ชั้น 2 อาคารมิดทาวน์
    Phone: 02-258-4050 , 081-841-5075
    สาขาสีลม ตั้งอยู่ที่ ชั้น 1 อาคารซี.พี.ทาวเวอร์
    Phone: 02-780-2011 , 098-272-5244
    สาขาราชพฤกษ์ ตั้งอยู่ที่ ชั้น 2 ศูนย์การค้า เดอะคริสตัล เอสบี (ด้านบนร้านสตาร์บัคส์)
    Phone: 02-102-2778 , 098-272-5244

ติดต่อเรา

    Facebook: Privato Clinic
    Messenger: Privato Clinic
    Instagram: privatoclinic
    Email: privatoclinic@gmail.com
    Line: @privatoclinic

Copyright© 2022-2024. All Rights Reserved

Scroll to top
  • หน้าหลัก
  • เกี่ยวกับพรีวาโต
  • บริการทั้งหมด
    • ชะลอวัย
    • ยกกระชับผิว
      • XERF
      • Potenza
      • Sofwave
      • Ulthera
      • Thermage-FLX
    • รักษาสิว
    • เลเซอร์
    • โปรแกรมฉีด
    • บำรุงผิว
  • บทความ
    • สิว
    • ยกกระชับ
    • ดูแลผิว
    • ทำเลเซอร์
  • ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว
  • โปรโมชั่น
  • ผลลัพธ์การรักษา
  • วิดีโอรีวิวจากเคสจริง
  • สาขาของเรา
  • ไทย
    • ไทย
    • English
    • 中文 (中国)
  • ปรึกษาแพทย์
Facebook Instagram YouTube