เลเซอร์หน้าใส: ข้อดี ข้อเสีย ที่คุณควรรู้ก่อนทำ

เลเซอร์หน้าใส ข้อดีคือเป็นเทคโนโลยีที่ใช้ลำแสงพลังงานสูงแก้ปัญหาผิวได้หลากหลาย เช่น รอยดำ รอยแดง และกระตุ้นคอลลาเจน โดยมักเห็นผลชัดเจนใน 3-6 ครั้ง แต่ข้อเสียคืออาจมีรอยแดง บวม และผิวไวแสงชั่วคราว.
เลเซอร์หน้าใสคืออะไร? และช่วยแก้ปัญหาผิวอะไรได้บ้าง?
เลเซอร์หน้าใสคือเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ใช้ลำแสงพลังงานสูงเพื่อแก้ปัญหาผิวเฉพาะจุด เช่น เม็ดสีหรือเส้นเลือด และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใหม่ใต้ผิวหนัง
เลเซอร์สามารถช่วยแก้ปัญหาผิวได้หลากหลายประเภท ดังนี้
- ปัญหาสีผิวและจุดด่างดำ: ช่วยลดเลือนฝ้า กระ จุดด่างดำตามวัย รอยดำจากการอักเสบ และปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ
- ริ้วรอยและเนื้อผิว: ช่วยให้ริ้วรอยตื้นขึ้น ปรับสภาพผิวให้เรียบเนียน กระชับรูขุมขน และฟื้นฟูผิวที่ถูกทำลายจากแสงแดด
- รอยแผลเป็น: ช่วยให้รอยแผลเป็นจากสิวดูจางและตื้นขึ้น
- รอยแดงและเส้นเลือด: ช่วยลดรอยแดงบนใบหน้า เส้นเลือดฝอยที่ผิดปกติ และรอยแดงจากสิว
หลักการทำงานของเลเซอร์หน้าใส
หลักการทำงานของเลเซอร์หน้าใสคือการใช้พลังงานแสงที่มุ่งเป้าไปยังปัญหาผิวโดยเฉพาะ เพื่อทำลายเซลล์เป้าหมาย เช่น เม็ดสีหรือเส้นเลือดฝอย และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ไปพร้อมกัน
หลักการทำงานแบ่งออกเป็น 2 กลไกหลัก ดังนี้
- การกำจัดเม็ดสีและรอยแดง: เลเซอร์จะส่งพลังงานแสงที่ถูกดูดซับโดยเมลานิน (ในจุดด่างดำ) หรือฮีโมโกลบิน (ในเส้นเลือด) ทำให้เป้าหมายร้อนขึ้นและสลายไป ส่งผลให้จุดด่างดำจางลงและรอยแดงลดลง
- การกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน: พลังงานความร้อนจากเลเซอร์จะลงไปกระตุ้นเซลล์ในชั้นหนังแท้ให้ผลิตคอลลาเจนและอีลาสตินใหม่ ทำให้ผิวเรียบเนียน ริ้วรอยตื้นขึ้น และมีความกระชับมากขึ้น
ปัญหาผิวที่เลเซอร์หน้าใสช่วยได้ (รอยดำ, รอยแดง, ฝ้า, กระ, รูขุมขนกว้าง, ผิวหมองคล้ำ)
เลเซอร์หน้าใสสามารถช่วยแก้ปัญหาผิวได้หลากหลาย ทั้งรอยดำ รอยแดง ฝ้า กระ รูขุมขนกว้าง และผิวหมองคล้ำ
เลเซอร์แต่ละชนิดจะใช้เทคโนโลยีที่แตกต่างกันในการแก้ปัญหาผิว ดังนี้
- รอยดำ ฝ้า กระ และผิวหมองคล้ำ: เลเซอร์กลุ่มเม็ดสี เช่น IPL, Q-Switched และ Picosecond จะส่งพลังงานไปทำลายเม็ดสีเมลานินที่ผิดปกติให้แตกตัว ทำให้รอยดำ ฝ้า กระ จางลง และช่วยปรับสีผิวให้สม่ำเสมอและกระจ่างใสขึ้น
- รอยแดง: เลเซอร์กลุ่มเส้นเลือด เช่น Pulsed-Dye Laser (PDL) และ Dual Yellow จะมุ่งเป้าไปที่เส้นเลือดโดยเฉพาะ ทำให้รอยแดงจากสิว เส้นเลือดฝอยขยาย และอาการหน้าแดงลดลงอย่างเห็นได้ชัด
- รูขุมขนกว้างและริ้วรอย: เลเซอร์กลุ่มฟื้นฟูผิว เช่น Fractional Laser จะกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใหม่ในชั้นผิว ทำให้ผิวเรียบเนียนขึ้น ริ้วรอยตื้นขึ้น และรูขุมขนกระชับขึ้น
เลเซอร์หน้าใสมีกี่แบบ?
เลเซอร์ที่ใช้สำหรับใบหน้ามี หลายประเภทหลักๆ ซึ่งแต่ละชนิดถูกออกแบบมาเพื่อแก้ไขปัญหาผิวที่แตกต่างกัน โดยประเภทที่พบบ่อยมีดังนี้
- IPL (Intense Pulsed Light): เหมาะสำหรับลดรอยดำจากแดดและรอยแดง เช่น ฝ้า กระ และเส้นเลือดฝอย
- เลเซอร์สำหรับเม็ดสี (Pigment-Specific Lasers): เช่น Q-switched และ Picosecond laser ใช้เพื่อกำจัดเม็ดสีส่วนเกิน เช่น จุดด่างดำ กระ และฝ้า
- เลเซอร์กลุ่มฟื้นฟูผิว (Fractional Lasers): แบ่งเป็นชนิดที่ทำให้เกิดแผล (Ablative) และไม่เกิดแผล (Non-ablative) ช่วยปรับสภาพผิว ลดริ้วรอยตื้นๆ และรักษาหลุมสิว
- เลเซอร์สำหรับเส้นเลือด (Vascular Lasers): เช่น Pulsed-Dye Laser (PDL) และ Dual Yellow Laser เป็นเลเซอร์ที่เน้นรักษารอยแดง เส้นเลือดฝอย และปัญหาผิวที่เกี่ยวข้องกับเส้นเลือด
เลเซอร์กลุ่ม IPL (Intense Pulsed Light)
IPL (Intense Pulsed Light) คือเทคโนโลยีที่ใช้ลำแสงแบบกระจายเพื่อรักษาปัญหาเม็ดสี รอยแดง และฟื้นฟูสภาพผิวโดยรวม โดยการทำงานจะใช้ความร้อนเพื่อทำลายเม็ดสีเมลานินและทำให้เส้นเลือดฝอยหดตัวลง นอกจากนี้ความร้อนที่เกิดขึ้นยังช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้สภาพผิวและโทนสีผิวดีขึ้น
IPL เป็นการรักษาที่อ่อนโยนและไม่ต้องพักฟื้นนาน โดยทั่วไปอาจมีเพียงรอยแดงเล็กน้อยซึ่งจะหายไปเองภายในไม่กี่ชั่วโมง และเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ควรทำการรักษาต่อเนื่อง 3-5 ครั้ง
เลเซอร์กลุ่ม Q-Switched / Pico Laser
เลเซอร์กลุ่ม Q-Switched และ Picosecond เป็นเลเซอร์ที่มุ่งเป้าไปที่การทำลายเม็ดสีโดยเฉพาะ เพื่อรักษาฝ้า กระ จุดด่างดำ และรอยสัก โดย Picosecond laser เป็นเทคโนโลยีที่ใหม่กว่าและมีประสิทธิภาพสูงกว่า
- Q-Switched Laser: ปล่อยพลังงานในระดับนาโนวินาทีเพื่อทำให้เม็ดสีแตกตัว ซึ่งร่างกายจะกำจัดออกไปตามธรรมชาติ เทคนิคใหม่ๆ เช่น “laser toning” ที่ใช้พลังงานต่ำจะช่วยลดความเสี่ยงจากความร้อนและผลข้างเคียงได้
- Picosecond Laser: เป็นเทคโนโลยียุคถัดมาที่ปล่อยพลังงานในระดับพิโควินาที (เร็วกว่า Q-Switched 1,000 เท่า) ทำให้เม็ดสีแตกตัวอย่างละเอียดด้วยแรงกระแทกเชิงกล (photo-mechanical) มากกว่าการใช้ความร้อน จึงมีประสิทธิภาพสูงกว่า ใช้จำนวนครั้งในการรักษาน้อยกว่า และมีความเสี่ยงต่อผลข้างเคียงอย่างรอยดำหลังทำ (PIH) ต่ำกว่า โดยเฉพาะในผู้ที่มีผิวคล้ำ นอกจากนี้ยังสามารถช่วยปรับปรุงพื้นผิวและรักษาหลุมสิวได้อีกด้วย
เลเซอร์กลุ่ม Fractional (เช่น CO2 Laser)
เลเซอร์กลุ่ม Fractional คือเทคโนโลยีที่ปล่อยลำแสงเลเซอร์ขนาดเล็กจำนวนมากลงไปบนผิวหนัง ทำให้เกิดเป็นจุดแผลขนาดเล็กๆ คล้ายตาราง โดยเว้นผิวหนังบริเวณรอบๆ ไว้ไม่ให้ถูกทำลาย ซึ่งช่วยให้ผิวฟื้นตัวได้เร็วขึ้น
เลเซอร์กลุ่มนี้แบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก:
- Ablative Fractional Lasers (AFL): เช่น Fractional CO₂ Laser จะยิงเลเซอร์เพื่อทำให้เนื้อเยื่อระเหยออกไปเป็นช่องเล็กๆ ซึ่งกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่อย่างมีประสิทธิภาพ เหมาะสำหรับรักษาริ้วรอยลึก หลุมสิว และผิวที่ถูกทำลายจากแสงแดดอย่างรุนแรง แต่มีระยะเวลาพักฟื้นนานกว่า (ประมาณ 5-10 วัน)
- Non-Ablative Fractional Lasers (NAFL): เช่น Er:Glass 1550 nm จะส่งพลังงานความร้อนลงไปใต้ผิวโดยไม่ทำลายผิวชั้นบน เหมาะสำหรับปรับสภาพผิว ลดริ้วรอยตื้นๆ และรอยแผลเป็นที่ไม่รุนแรง โดยมีระยะเวลาพักฟื้นสั้น (ประมาณ 2-3 วัน)
ทั้งสองประเภทช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวเรียบเนียนและกระชับขึ้น โดยจะเห็นผลลัพธ์ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ในช่วง 3-6 เดือนหลังการรักษา
เลเซอร์กลุ่ม V-Beam / Dual Yellow
V-Beam (Pulsed-Dye Laser) และ Dual Yellow คือเลเซอร์ในกลุ่มที่รักษาความผิดปกติของเส้นเลือด (Vascular Lasers) ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในการลดรอยแดงเป็นหลัก แต่ก็สามารถใช้รักษาปัญหาเม็ดสีบางชนิดได้ด้วย
- V-Beam (Pulsed-Dye Laser – PDL): เป็นเลเซอร์มาตรฐานสูงสุด (gold-standard) ในการรักษารอยแดงที่เกิดจากเส้นเลือด เช่น เส้นเลือดฝอยขยาย, รอยแดงจากสิว, อาการหน้าแดงของโรคโรซาเชีย (Rosacea) และปานแดง
- Dual Yellow: เป็นเลเซอร์ที่ปล่อยพลังงาน 2 ความยาวคลื่นพร้อมกัน คือ แสงสีเหลือง (578 nm) ซึ่งจะเน้นการรักษาเส้นเลือดและรอยแดง และแสงสีเขียว (511 nm) ซึ่งจะเน้นการรักษาเม็ดสี (รอยดำ) ทำให้เหมาะกับการรักษาสภาวะที่มีทั้งรอยแดงและรอยดำปนกัน เช่น ฝ้า หรือรอยสิว
ข้อดีของการทำเลเซอร์หน้าใส
เห็นผลลัพธ์รวดเร็วและชัดเจน
ใช่ การรักษาด้วยเลเซอร์ช่วยให้เห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนและรวดเร็ว โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับการใช้ครีมบำรุงที่อาจใช้เวลาหลายเดือนหรือเป็นปี
เลเซอร์สามารถแก้ปัญหาผิวได้อย่างรวดเร็ว เช่น การใช้เลเซอร์หลอดเลือด (Vascular lasers) สามารถลดรอยแดงลงอย่างมากภายในไม่กี่ครั้ง หรือเลเซอร์ชนิดผลัดเซลล์ผิว (Ablative fractional lasers) สามารถทำให้ริ้วรอยและรอยแผลเป็นดูจางลงอย่างเห็นได้ชัดภายในเวลาประมาณ 1 เดือน อย่างไรก็ตาม ผลลัพธ์บางอย่าง เช่น การปรับปรุงผิวสัมผัสและริ้วรอย จะค่อยๆ ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องและเห็นผลเต็มที่ใน 3-6 เดือนหลังการรักษา
แก้ปัญหาผิวได้หลากหลาย
เลเซอร์สามารถแก้ปัญหาผิวได้หลายอย่างพร้อมกัน เช่น ปรับสภาพผิวให้เรียบเนียน ลดขนาดรูขุมขน และลดความผิดปกติของเม็ดสีได้ในคราวเดียว ซึ่งสะดวกกว่าการรักษาด้วยวิธีอื่นแยกกัน
นอกจากนี้ยังสามารถใช้เลเซอร์หลายชนิดร่วมกันในแผนการรักษาเดียวเพื่อจัดการกับปัญหาต่างๆ เช่น ใช้ IPL เพื่อลดรอยแดงและใช้เลเซอร์ Fractional เพื่อปรับสภาพผิว ผู้เชี่ยวชาญยังสามารถปรับค่าพลังงานของเลเซอร์เพื่อจัดการกับปัญหาที่แตกต่างกันในระดับความลึกของผิวที่ต่างกันได้ภายในการรักษาครั้งเดียว
กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน
เลเซอร์หลายชนิดสามารถกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินได้โดยการส่งพลังงานความร้อนลงไปในชั้นหนังแท้เพื่อกระตุ้นเซลล์ไฟโบรบลาสต์ (fibroblasts) ซึ่งเป็นเซลล์ที่ทำหน้าที่ผลิตคอลลาเจนโดยตรง ทำให้ผิวแน่นกระชับและเรียบเนียนขึ้น
เลเซอร์ที่ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ได้แก่:
- Ablative Fractional Lasers (เช่น Fractional CO₂): ให้ความร้อนแก่ชั้นหนังแท้และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่อย่างมีประสิทธิภาพสูง เหมาะสำหรับริ้วรอยลึกและแผลเป็น
- Non-Ablative Fractional Lasers (เช่น Er:Glass 1550 nm): สร้างความร้อนในชั้นหนังแท้โดยไม่ทำลายผิวชั้นบนเพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน
- Picosecond Lasers (เมื่อใช้ร่วมกับเลนส์ Fractional): สร้างแรงกระแทกเชิงกลในชั้นหนังแท้ (LIOB) เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่โดยไม่ทำลายผิวชั้นบน
- IPL (Intense Pulsed Light): ใช้ความร้อนอย่างอ่อนโยนเพื่อกระตุ้นการสังเคราะห์คอลลาเจนเมื่อเวลาผ่านไป ช่วยปรับปรุงสภาพผิวโดยรวม
โดยทั่วไป ผลลัพธ์จากการกระตุ้นคอลลาเจนจะค่อยๆ ปรากฏขึ้นและเห็นผลชัดเจนที่สุดในช่วง 3-6 เดือนหลังการรักษา
ข้อเสียและผลข้างเคียงของการทำเลเซอร์หน้าใส
ผลข้างเคียงทั่วไป (รอยแดง, บวม, ผิวแห้งลอก)
ผลข้างเคียง เช่น รอยแดง บวม และผิวแห้งลอก เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการฟื้นฟูผิวที่พบได้เป็นปกติและเกิดขึ้นเพียงชั่วคราว ซึ่งความรุนแรงและระยะเวลาจะขึ้นอยู่กับชนิดของเลเซอร์ที่ใช้
โดยทั่วไปแล้ว อาการเหล่านี้เป็นสัญญาณว่าผิวกำลังได้รับการซ่อมแซมและสร้างใหม่ โดยอาการแดงและบวมอาจคงอยู่ตั้งแต่ไม่กี่ชั่วโมงไปจนถึงหลายสัปดาห์ ในขณะที่อาการผิวแห้งลอกมักเกิดขึ้นหลังการทำเลเซอร์กลุ่มผลัดเซลล์ผิว (Fractional/Ablative) และจะค่อยๆ หายไปภายใน 7-10 วัน
ความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น (ผิวไวแสง, รอยดำหลังทำ)
ความเสี่ยงที่สำคัญหลังการทำเลเซอร์คือ รอยดำหลังการอักเสบ (Post-Inflammatory Hyperpigmentation หรือ PIH) และภาวะผิวไวต่อแสงแดดชั่วคราว
รอยดำหลังการอักเสบ (PIH) คือการที่ผิวหนังบริเวณที่ทำเลเซอร์มีสีเข้มขึ้น ซึ่งมีความเสี่ยงสูงขึ้นในผู้ที่มีสีผิวเข้มหรือใช้เลเซอร์ชนิดที่รุนแรง นอกจากนี้ หลังทำเลเซอร์ผิวจะไวต่อแสงแดดเป็นพิเศษ การหลีกเลี่ยงแสงแดดอย่างเคร่งครัดและใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูงจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งเพื่อป้องกันการเกิดรอยดำและภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ
ข้อจำกัดและผู้ที่ไม่ควรทำ
ข้อจำกัดของเลเซอร์คือไม่สามารถรักษาบางภาวะให้หายขาดและไม่สามารถแก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อยรุนแรงได้ ส่วนผู้ที่ไม่ควรทำคือผู้ที่มีโรคประจำตัวบางชนิด, สตรีมีครรภ์, และผู้ที่มีการติดเชื้อบนผิวหนัง
ข้อจำกัดของการรักษาด้วยเลเซอร์ ได้แก่:
- ภาวะเรื้อรัง: ไม่สามารถรักษาฝ้าหรือโรคโรซาเชียให้หายขาดถาวรได้ และอาจต้องทำซ้ำเพื่อคงผลลัพธ์
- แผลเป็นลึก: ช่วยให้หลุมสิวดีขึ้นได้ แต่โดยทั่วไปไม่สามารถกำจัดให้หายไป 100%
- ความหย่อนคล้อย: ไม่สามารถทดแทนการผ่าตัดเพื่อยกกระชับผิวที่หย่อนคล้อยอย่างรุนแรงได้
- สภาพผิว: การรักษาในผู้ที่มีผิวสีเข้มมากอาจมีข้อจำกัด เพื่อลดความเสี่ยงของผลข้างเคียงด้านเม็ดสี
ผู้ที่ไม่เหมาะกับการทำเลเซอร์ หรือควรปรึกษาแพทย์อย่างละเอียดก่อนทำ ได้แก่:
- ผู้ที่มีโรคเกี่ยวพันกับเนื้อเยื่อเกี่ยวพันหรือโรคแพ้ภูมิตัวเอง
- ผู้ที่มีประวัติเป็นแผลเป็นนูน (คีลอยด์)
- สตรีมีครรภ์หรือกำลังให้นมบุตร
- ผู้ที่มีการติดเชื้อ การอักเสบ หรือมีแผลเปิดในบริเวณที่จะทำ
- ผู้ที่ผิวไหม้แดดหรือเพิ่งอาบแดดมา
ก่อนตัดสินใจทำเลเซอร์หน้าใส: สิ่งที่ควรรู้
การเลือกคลินิกและแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
การเลือกคลินิกและแพทย์ผู้เชี่ยวชาญควรให้ความสำคัญกับคุณสมบัติของแพทย์ สถานที่ที่เป็นสถานพยาบาล และคุณภาพของเทคโนโลยี มากกว่าปัจจัยด้านราคาเพียงอย่างเดียว
- เลือกสถานพยาบาล: ควรเลือกทำเลเซอร์ในสถานพยาบาลที่มีแพทย์ดูแล แทนสปาหรือร้านเสริมความงามทั่วไป เพื่อความปลอดภัยสูงสุด
- ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ: ผู้ให้บริการที่ดีจะให้คำปรึกษาอย่างละเอียด อาจมีการทดสอบเลเซอร์บนผิว (test spot) และให้คำแนะนำการดูแลหลังทำที่ชัดเจน
- พิจารณาความคุ้มค่า: แม้ราคาที่ถูกกว่าอาจน่าดึงดูด แต่ก็อาจแลกมาด้วยความปลอดภัยและประสิทธิภาพที่ลดลง การลงทุนกับผู้เชี่ยวชาญที่ผ่านการรับรองจะให้ผลลัพธ์ที่ดีและปลอดภัยกว่าในระยะยาว
เลเซอร์หน้าใสราคาเท่าไหร่?
โดยทั่วไป ราคาเลเซอร์หน้าใสอยู่ที่ประมาณ 4,000-10,000 บาทต่อครั้ง ขึ้นอยู่กับประเภทของเลเซอร์ที่ใช้ โดยเลเซอร์ที่ไม่รุนแรงมากอย่าง IPL อาจมีราคาเริ่มต้นที่ประมาณ 4,000 บาท ในขณะที่เลเซอร์ที่เน้นการผลัดเซลล์ผิวอย่าง Fractional laser อาจมีราคาสูงถึงประมาณ 10,000 บาทต่อครั้ง
เลเซอร์หน้าใส กี่ครั้งเห็นผล?
โดยทั่วไปแล้ว การทำเลเซอร์หน้าใสจะเริ่มเห็นผลชัดเจนหลังทำประมาณ 3-6 ครั้ง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับชนิดของเลเซอร์ ปัญหาผิว และการตอบสนองของแต่ละบุคคล
จำนวนครั้งในการรักษาสำหรับเลเซอร์แต่ละชนิดโดยประมาณมีดังนี้:
- IPL: ใช้สำหรับลดรอยแดงและจุดด่างดำจากแสงแดด โดยทั่วไปต้องทำ 3-5 ครั้ง
- Fractional Laser: ใช้สำหรับปรับสภาพผิว ลดรอยแผลเป็น และริ้วรอย มักจะต้องทำ 2-4 ครั้ง
- Vascular Laser (เช่น PDL): ใช้สำหรับรักษาเส้นเลือดฝอยและรอยแดง โดยทั่วไปต้องทำ 3-6 ครั้ง
ผลลัพธ์บางอย่าง เช่น ผิวที่เรียบเนียนขึ้นและริ้วรอยที่ลดลง จะค่อยๆ ดีขึ้นเรื่อยๆ และเห็นผลเต็มที่ในช่วง 3-6 เดือนหลังการรักษา เนื่องจากเป็นช่วงที่คอลลาเจนใหม่ถูกสร้างขึ้นอย่างสมบูรณ์
การดูแลตัวเองก่อนและหลังทำเลเซอร์
การดูแลตัวเองก่อนทำเลเซอร์เกี่ยวข้องกับการหลีกเลี่ยงแสงแดดและผลิตภัณฑ์บางชนิด ส่วนการดูแลหลังทำเลเซอร์จะเน้นที่การทำความสะอาดอย่างอ่อนโยน การให้ความชุ่มชื้น และการป้องกันแสงแดดอย่างเคร่งครัด การปฏิบัติตามคำแนะนำเหล่านี้จะช่วยลดความเสี่ยงของผลข้างเคียงและทำให้ผลลัพธ์การรักษามีประสิทธิภาพสูงสุด
การดูแลตัวเองก่อนทำเลเซอร์
- หลีกเลี่ยงแสงแดด: งดการโดนแดดจัดหรือการทำให้ผิวแทนก่อนการรักษา เพื่อลดความเสี่ยงของผลข้างเคียง
- หยุดใช้ผลิตภัณฑ์บางชนิด: หยุดใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีส่วนผสมของเรตินอยด์หรือกรดผลัดเซลล์ผิวตามคำแนะนำของแพทย์
- แจ้งประวัติสุขภาพ: หากมีประวัติเป็นโรคเริม ควรแจ้งแพทย์เพื่อรับยาป้องกันการกำเริบของโรค
- เตรียมผิว: ในบางกรณี แพทย์อาจสั่งผลิตภัณฑ์บำรุงผิว เช่น ไฮโดรควิโนน เพื่อเตรียมผิวและลดความเสี่ยงของรอยดำ
การดูแลตัวเองหลังทำเลเซอร์
- ประคบเย็น: ใช้การประคบเย็นเพื่อลดอาการบวมและความร้อนบนผิวหนังทันทีหลังทำ
- ทำความสะอาดและให้ความชุ่มชื้น: ทำความสะอาดผิวอย่างอ่อนโยนและทามอยส์เจอไรเซอร์หรือขี้ผึ้งตามที่แพทย์แนะนำบ่อยๆ เพื่อให้ผิวชุ่มชื้นอยู่เสมอ
- ป้องกันแสงแดดอย่างเคร่งครัด: หลีกเลี่ยงแสงแดดโดยตรงและทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 ขึ้นไปทุกวัน เนื่องจากผิวหลังทำเลเซอร์จะไวต่อแสงมาก
- หลีกเลี่ยงความร้อนและกิจกรรมหนัก: งดการออกกำลังกายหนัก ซาวน่า หรืออาบน้ำร้อนในช่วง 2-3 วันแรก เพื่อไม่ให้การอักเสบเพิ่มขึ้น
- ห้ามแกะเกา: ปล่อยให้สะเก็ดแผลหลุดลอกออกไปเอง ห้ามแกะหรือขัดถูโดยเด็ดขาด
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับเลเซอร์หน้าใส
เลเซอร์หน้าใสเห็นผลจริงไหม?
เลเซอร์หน้าใส เห็นผลได้จริง โดยสามารถช่วยแก้ปัญหาผิวได้หลากหลาย ตั้งแต่เรื่องเม็ดสีไปจนถึงริ้วรอยและรอยแดง
เลเซอร์สามารถปรับปรุงคุณภาพผิวได้อย่างมีนัยสำคัญในด้านต่างๆ ดังนี้
- ลดเลือนเม็ดสี: ช่วยให้จุดด่างดำ ฝ้า กระ และรอยดำจากสิวจางลง ทำให้สีผิวสม่ำเสมอขึ้น
- ปรับสภาพผิวและลดริ้วรอย: กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใหม่ ทำให้ผิวเรียบเนียนขึ้น ริ้วรอยตื้นๆ และรอยแผลเป็นจากสิวดูดีขึ้น รวมถึงช่วยให้รูขุมขนกระชับขึ้น
- ลดรอยแดงและเส้นเลือด: เลเซอร์บางชนิดสามารถลดรอยแดงจากสิว เส้นเลือดฝอย และอาการหน้าแดงได้อย่างมีประสิทธิภาพ
อย่างไรก็ตาม ผลลัพธ์อาจไม่ได้เกิดขึ้นทันทีหลังทำครั้งแรก การเปลี่ยนแปลงบางอย่าง เช่น ผิวที่เรียบเนียนขึ้น จะค่อยๆ ดีขึ้นและเห็นผลเต็มที่ใน 3-6 เดือน และมักจะต้องทำต่อเนื่องหลายครั้งเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด นอกจากนี้ ปัญหาบางอย่าง เช่น ฝ้า อาจกลับมาเป็นซ้ำได้หากไม่ดูแลผิวและหลีกเลี่ยงแสงแดดอย่างสม่ำเสมอ
เลเซอร์หน้าใสเจ็บไหม?
ความเจ็บระหว่างทำเลเซอร์หน้าใส ขึ้นอยู่กับชนิดของเลเซอร์และวิธีการจัดการความเจ็บปวด แต่โดยทั่วไปสามารถควบคุมได้
ระดับความเจ็บจะแตกต่างกันไปตามประเภทของเลเซอร์ที่ใช้ ดังนี้
- เลเซอร์แบบอ่อนโยน: เลเซอร์บางชนิด เช่น IPL ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะรู้สึกเพียงอุ่นๆ หรือเหมือนถูกยางดีดเบาๆ ที่ผิว และมักใช้การประคบเย็นหรือระบบทำความเย็นจากหัวเลเซอร์ช่วยลดความรู้สึกเจ็บ
- เลเซอร์ระดับกลาง: สำหรับเลเซอร์ที่มีความเข้มข้นขึ้นมา เช่น Fractional Laser มักมีการทายาชาเฉพาะที่ก่อนทำประมาณ 30-60 นาที ซึ่งจะช่วยให้รู้สึกเพียงแรงกดเบาๆ หรือความรู้สึกจี๊ดๆ เล็กน้อย
- เลเซอร์แบบเข้มข้นสูง: เลเซอร์ที่ลอกผิวชั้นบนออก (Ablative Laser) เช่น Fractional CO₂ จะมีความเจ็บมากกว่า จึงจำเป็นต้องใช้ยาชาแบบฉีด การบล็อกเส้นประสาท หรือยาเพื่อช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย เพื่อควบคุมความเจ็บปวดระหว่างทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เลเซอร์หน้าใสดีไหม Pantip?
เลเซอร์หน้าใส เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการแก้ปัญหาผิวหลายอย่าง ตั้งแต่จุดด่างดำ รอยแดง ไปจนถึงการปรับสภาพผิวให้เรียบเนียนและลดเลือนริ้วรอย
จากข้อมูลพบว่าเลเซอร์สามารถช่วยในเรื่องต่างๆ ได้แก่:
- ลดเลือนเม็ดสีและรอยแดง: สามารถกำจัดจุดด่างดำ กระ และรอยแดงจากเส้นเลือดฝอยได้อย่างรวดเร็ว
- ปรับสภาพผิว: ช่วยให้ผิวเรียบเนียน กระชับ และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ ทำให้ริ้วรอยและแผลเป็นจากสิวดูจางลง
- ฟื้นฟูผิวโดยรวม: ทำให้ผิวที่หมองคล้ำดูกระจ่างใสและมีสีผิวสม่ำเสมอขึ้น
อย่างไรก็ตาม ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดมักจะต้องทำเลเซอร์หลายครั้ง และอาจมีผลข้างเคียงชั่วคราว เช่น อาการแดง บวม หรือผิวลอกได้ นอกจากนี้ ปัญหาผิวบางอย่าง เช่น ฝ้า อาจกลับมาเป็นซ้ำได้หากไม่ดูแลผิวและหลีกเลี่ยงแสงแดดอย่างต่อเนื่อง
หลังทำเลเซอร์หน้าใส ห้ามทำอะไรบ้าง?
หลังทำเลเซอร์หน้าใส ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสแสงแดดโดยตรงอย่างเคร่งครัด และปฏิบัติตามคำแนะนำในการดูแลผิวอย่างสม่ำเสมอ
ข้อห้ามสำคัญอื่นๆ ที่ควรปฏิบัติในช่วงแรกหลังทำเลเซอร์ ได้แก่:
- การออกกำลังกายอย่างหนัก การอบซาวน่า หรือการอาบน้ำร้อน ซึ่งอาจกระตุ้นให้เกิดการอักเสบหรือบวม
- การใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีส่วนผสมรุนแรง เช่น เรตินอยด์ หรือกรดผลัดเซลล์ผิว
- การสครับ ขัดถู หรือแกะเกาผิวบริเวณที่ทำเลเซอร์
- การแต่งหน้าทันทีหลังทำเลเซอร์ (โดยเฉพาะเลเซอร์ชนิดที่มีแผล) จนกว่าผิวจะฟื้นตัว
เลเซอร์หน้าใสเหมาะกับใคร?
เลเซอร์หน้าใสเหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาสภาพผิวต่างๆ เช่น ริ้วรอย จุดด่างดำ รอยแดง หลุมสิว และผิวหมองคล้ำ รวมถึงผู้ที่มีสุขภาพโดยรวมดีและมีความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการรักษา
เลเซอร์สามารถแก้ไขปัญหาผิวได้หลากหลาย โดยผู้ที่เหมาะกับการรักษาคือผู้ที่มีลักษณะดังนี้
- มีปัญหาริ้วรอยและผิวที่ถูกทำลายจากแสงแดด: เลเซอร์ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ริ้วรอยตื้นขึ้นและผิวเรียบเนียนขึ้น
- มีจุดด่างดำและปัญหาเม็ดสี: สามารถรักษาฝ้า กระ จุดด่างดำจากวัย และรอยดำหลังการอักเสบได้
- มีรอยแดง: เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหารอยแดงจากสิว เส้นเลือดฝอยขยาย หรือโรคโรซาเชีย
- มีหลุมสิวและแผลเป็น: เลเซอร์ชนิด Fractional สามารถปรับปรุงลักษณะของหลุมสิวและแผลเป็นให้ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
- มีผิวหมองคล้ำ ไม่เรียบเนียน และรูขุมขนกว้าง: การทำเลเซอร์ช่วยฟื้นฟูสภาพผิวโดยรวม ทำให้ผิวดูสว่างและกระชับขึ้น
อย่างไรก็ตาม การทำเลเซอร์อาจไม่เหมาะกับผู้ที่กำลังตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร, มีการติดเชื้อที่ผิวหนัง, มีประวัติเป็นแผลเป็นคีลอยด์ หรือเพิ่งอาบแดดมา
References:
- National Institutes of Health. nih.gov
- Mayo Clinic. mayoclinic.org
- JAMA Network. jamanetwork.com
- Wiley. wiley.com
- MDPI. mdpi.com
- Frontiers. frontiersin.org
- Indian Journal of Dermatology, Venereology and Leprology. ijdvl.com
