แผลเป็นที่หน้า รักษาอย่างไร? รวมวิธีลบรอยแผลให้ผิวเรียบเนียน

เพื่อรักษาแผลเป็นที่หน้า ต้องเลือกเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่เหมาะกับประเภทแผล เช่น เลเซอร์ การฉีดสเตียรอยด์ และยาซิลิโคน เพื่อลดรอยและฟื้นฟูผิวให้เรียบเนียนตามกระบวนการสมานแผล 4 ระยะหลัก
แผลเป็นที่หน้าเกิดจากอะไร และกระบวนการสมานแผลเป็นอย่างไร
แผลเป็นบนใบหน้าเกิดจากปัจจัยต่างๆ เช่น พันธุกรรม ความลึกของบาดแผล แรงตึงของผิวหนัง และการอักเสบ โดยกระบวนการสมานแผลตามธรรมชาติประกอบด้วย 4 ระยะหลัก ปัจจัยเหล่านี้ส่งผลต่อการสร้างคอลลาเจนที่ผิดปกติ ทำให้เกิดเป็นรอยแผลเป็นแทนที่จะเป็นผิวหนังที่เรียบเนียนดังเดิม
ปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดแผลเป็น ได้แก่
- พันธุกรรม: ผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นคีลอยด์หรือมีผิวสีเข้ม (Fitzpatrick IV–VI) มีความเสี่ยงสูงในการเกิดแผลเป็นนูนและคีลอยด์
- ความลึกของแผล: แผลที่ลึกถึงชั้นหนังแท้ (dermis) หรือชั้นไขมันใต้ผิวหนังจะทำให้เกิดแผลเป็นเสมอ ในขณะที่แผลตื้นๆ ที่ชั้นหนังกำพร้าอาจหายได้โดยไม่ทิ้งรอย
- แรงตึงของผิวหนัง: บาดแผลในบริเวณที่มีการเคลื่อนไหวหรือมีแรงตึงสูงจะกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนมากกว่าปกติ ทำให้แผลเป็นหนาขึ้น
- การอักเสบ: การอักเสบที่ยาวนาน เช่น จากการติดเชื้อหรือสิวอักเสบเรื้อรัง จะกระตุ้นให้เซลล์สร้างเส้นใย (fibroblast) ทำงานผิดปกติและสร้างเนื้อเยื่อแผลเป็นมากเกินไป
กระบวนการสมานแผลประกอบด้วย 4 ระยะ ดังนี้
- ระยะห้ามเลือด (Hemostasis): เกิดขึ้นทันทีหลังเกิดบาดแผลเพื่อสร้างลิ่มเลือดและหยุดเลือดที่ไหล
- ระยะอักเสบ (Inflammation): เซลล์เม็ดเลือดขาวและเซลล์ภูมิคุ้มกันต่างๆ จะเข้ามาที่บาดแผลเพื่อกำจัดเชื้อโรคและสิ่งแปลกปลอม
- ระยะสร้างเนื้อเยื่อ (Proliferation): ร่างกายจะสร้างเนื้อเยื่อใหม่และคอลลาเจน (ส่วนใหญ่เป็นชนิดที่ 3) เพื่อเติมเต็มบาดแผล
- ระยะปรับสภาพ (Remodeling): เป็นระยะที่ยาวนานที่สุด (อาจใช้เวลา 1-2 ปี) คอลลาเจนชนิดที่ 3 จะค่อยๆ ถูกแทนที่ด้วยคอลลาเจนชนิดที่ 1 ซึ่งแข็งแรงและจัดเรียงตัวเป็นระเบียบมากขึ้น ทำให้แผลเป็นค่อยๆ เรียบเนียนและจางลง
ทำไมแผลบางชนิดถึงทิ้งรอยแผลเป็นไว้บนใบหน้า
ปัจจัยที่ทำให้แผลบางชนิดทิ้งรอยแผลเป็นไว้บนใบหน้า ได้แก่ พันธุกรรม ความลึกของบาดแผล แรงตึงของผิวหนัง และการอักเสบ แม้ว่าผิวหน้าจะมีเลือดไปเลี้ยงมากซึ่งช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น แต่หากบาดแผลมีความลึกถึงชั้นหนังแท้ มีแรงตึงสูง หรือเกิดการอักเสบเรื้อรัง (เช่น จากการติดเชื้อ) ก็จะกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนมากเกินไปจนกลายเป็นรอยแผลเป็นได้ นอกจากนี้ ปัจจัยทางพันธุกรรม เช่น ประวัติการเกิดคีลอยด์ในครอบครัวและสีผิว ก็มีส่วนสำคัญในการกำหนดแนวโน้มการเกิดแผลเป็นเช่นกัน
ประเภทของแผลเป็นบนใบหน้า มีอะไรบ้าง
แผลเป็นนูนและคีลอยด์ (Keloid)
แผลเป็นนูน (Hypertrophic) จะมีขอบเขตอยู่ภายในรอยแผลเดิม ในขณะที่คีลอยด์ (Keloid) จะขยายตัวเกินขอบเขตของแผลเดิม ความแตกต่างที่สำคัญระหว่างแผลเป็นทั้งสองชนิดมีดังนี้
- แผลเป็นนูน (Hypertrophic Scar):
- มีลักษณะนูนแดงและมีขอบเขตอยู่ภายในรอยแผลเดิมเท่านั้น
- มักจะดีขึ้นและยุบตัวลงได้เองเมื่อเวลาผ่านไป
- ในทางเนื้อเยื่อวิทยา ประกอบด้วยคอลลาเจนชนิดที่ 3 เป็นหลัก ซึ่งเรียงตัวขนานกับผิวหนัง
- คีลอยด์ (Keloid):
- ขยายตัวนูนโตเกินขอบเขตของแผลเดิมอย่างชัดเจน
- มักไม่ยุบตัวเองและอาจขยายขนาดขึ้นเรื่อยๆ เป็นเวลาหลายปี
- ในทางเนื้อเยื่อวิทยา ประกอบด้วยคอลลาเจนชนิดที่ 1 ที่หนาและเรียงตัวไม่เป็นระเบียบ
- มักมีลักษณะเป็นก้อนแข็ง อาจมีอาการคันหรือเจ็บร่วมด้วย (Wound healing, scarring and management, Clinical and Experimental Dermatology, 2024)
แผลเป็นหลุม (Atrophic Scars)
แผลเป็นหลุม (Atrophic Scars) คือแผลเป็นที่มีลักษณะยุบหรือบุ๋มลงไป ซึ่งเกิดจากการสูญเสียคอลลาเจนในระหว่างกระบวนการสมานแผล มักพบได้บ่อยจากสิวอักเสบหรือโรคอีสุกอีใส
แผลเป็นหลุมสามารถแบ่งตามลักษณะได้ 3 ประเภทหลัก ได้แก่
- แผลเป็นหลุมจิก (Icepick scars): เป็นหลุมแคบๆ (<2 มม.) รูปตัว V ที่ลึกลงไปในชั้นหนังแท้ เป็นประเภทที่พบได้บ่อยที่สุด (ประมาณ 60–70%)
- แผลเป็นหลุมกล่อง (Boxcar scars): เป็นหลุมกว้าง (3–5 มม.) รูปวงกลมหรือวงรี มีขอบชัดเจนและก้นแผลเรียบ พบได้ประมาณ 20–30%
- แผลเป็นหลุมแอ่ง (Rolling scars): เป็นหลุมกว้าง (>4 มม.) มีขอบไม่ชัดเจน ทำให้ผิวดูเป็นคลื่น พบได้ประมาณ 15–25% (Advances in the treatment of acne scars, Frontiers in Medicine, 2025)
รอยดำและรอยแดงจากแผล (Hyper-pigmentation)
รอยดำหลังการอักเสบ (PIH) และรอยแดงหลังการอักเสบ (PIE) คือการเปลี่ยนแปลงของสีผิวที่เกิดขึ้นหลังแผลหาย แต่ไม่ใช่แผลเป็นที่แท้จริง เนื่องจากไม่มีการเปลี่ยนแปลงของคอลลาเจนใต้ผิวหนัง และมักจะจางลงได้เองเมื่อเวลาผ่านไป
- รอยดำหลังการอักเสบ (Post-Inflammatory Hyperpigmentation: PIH) คือรอยแบนสีน้ำตาลหรือดำที่เกิดจากการผลิตเม็ดสีเมลานินมากเกินไปหลังการอักเสบ มักพบได้บ่อยในผู้ที่มีสีผิวเข้ม (Fitzpatrick III–VI) การสัมผัสแสงแดดจะทำให้อาการแย่ลง โดยทั่วไปรอยดำในชั้นหนังกำพร้าจะจางลงในเวลาประมาณ 3-6 เดือน แต่หากอยู่ในชั้นหนังแท้อาจใช้เวลานานเป็นปีหรืออาจเป็นรอยถาวร
- รอยแดงหลังการอักเสบ (Post-Inflammatory Erythema: PIE) คือรอยแดงหรือชมพูที่เกิดจากการขยายตัวหรือการสร้างใหม่ของหลอดเลือดฝอยหลังการอักเสบ มักพบได้บ่อยในผู้ที่มีสีผิวอ่อน (Fitzpatrick I–III) โดยทั่วไปรอยแดงมักจะจางลงได้เร็วกว่ารอยดำ ซึ่งส่วนใหญ่จะดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดภายใน 2-6 เดือน (Postinflammatory hyperpigmentation, StatPearls [Internet], 2024)

วิธีรักษาแผลเป็นที่หน้า ให้จางลงอย่างเห็นผล
วิธีรักษาแผลเป็นบนใบหน้าที่เห็นผลที่สุดคือการเลือกใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์ให้เหมาะกับชนิดของแผลเป็น ซึ่งมีตั้งแต่การใช้เลเซอร์ การฉีดยา การทำหัตถการขนาดเล็ก ไปจนถึงการใช้ยาทาเฉพาะที่ โดยแต่ละวิธีเหมาะกับแผลเป็นคนละประเภท
- แผลเป็นหลุม (Atrophic Scars):
- Fractional Laser: เป็นวิธีมาตรฐานที่ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ ทำให้หลุมสิวตื้นขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
- RF Microneedling: ใช้คลื่นวิทยุร่วมกับเข็มขนาดเล็กเพื่อส่งพลังงานความร้อนลงใต้ผิว ช่วยสร้างคอลลาเจนและเหมาะกับทุกสภาพผิว
- Subcision (การตัดพังผืด): ใช้เข็มสอดใต้ผิวหนังเพื่อตัดพังผืดที่ดึงรั้งแผลเป็นหลุมชนิดแอ่ง (Rolling scar) ทำให้ผิวเรียบเนียนขึ้น
- แผลเป็นนูนและคีลอยด์ (Hypertrophic & Keloid Scars):
- Intralesional Corticosteroids (การฉีดสเตียรอยด์): เป็นการรักษาหลักที่ช่วยให้แผลเป็นนูนและคีลอยด์ยุบและนิ่มลงได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- Silicone Gel/Sheets (ซิลิโคนเจลหรือแผ่นแปะ): เป็นการรักษาอันดับแรกๆ ที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นและควบคุมการสร้างคอลลาเจน ทำให้แผลเป็นนูนเรียบและจางลง
- Pulsed Dye Laser (PDL): เหมาะสำหรับแผลเป็นนูนที่มีสีแดง โดยเลเซอร์จะช่วยลดความแดงและทำให้แผลเป็นแบนราบลง
- รอยแดงและรอยดำ (PIE & PIH):
- Pulsed Dye Laser (PDL): มีประสิทธิภาพสูงในการลดรอยแดง (PIE) ที่เกิดหลังการอักเสบ
- Topical Treatments (ยาทา): เช่น กลุ่มเรตินอยด์ (Retinoids) หรือไนอะซินาไมด์ (Niacinamide) ช่วยลดรอยดำ (PIH) และปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ
- Sun Protection (การป้องกันแสงแดด): เป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการป้องกันไม่ให้รอยแผลเป็นมีสีเข้มขึ้น
การใช้ยาทาแผลเป็นและครีมลดรอย
ยาที่ใช้ทาแผลเป็นซึ่งมีประสิทธิภาพและได้รับการยอมรับเป็นมาตรฐานที่สุดคือผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของซิลิโคน โดยซิลิโคนในรูปแบบเจลหรือแผ่นแปะถือเป็นตัวเลือกแรกในการป้องกันและรักษารอยแผลเป็นนูน (Hypertrophic scar) เนื่องจากช่วยให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวและควบคุมการผลิตคอลลาเจน
สำหรับยาทาชนิดอื่น ๆ มีข้อมูลดังนี้
- สารสกัดจากหัวหอม: งานวิจัยพบว่าไม่ได้ให้ผลลัพธ์ที่ดีไปกว่าซิลิโคน และอาจทำให้เกิดการระคายเคืองได้
- วิตามินอี: ยังมีหลักฐานไม่เพียงพอที่จะสนับสนุนประสิทธิภาพในการลดรอยแผลเป็น และในบางกรณีอาจทำให้เกิดอาการแพ้หรือผิวหนังอักเสบ
- ยาทากลุ่มเรตินอยด์: มีประโยชน์ในการรักษารอยแผลเป็นชนิดหลุมสิว (Atrophic scar) แต่ไม่ใช่ตัวเลือกหลักสำหรับแผลเป็นนูน (Onion extract gel is not better than other topical treatments in scar management: A meta-analysis of RCTs, International Wound Journal, 2021)
การรักษาด้วยเลเซอร์ลบรอยแผลเป็น
การรักษาแผลเป็นด้วยเลเซอร์มีหลายประเภท โดยแต่ละประเภทจะมุ่งเน้นการรักษาลักษณะแผลเป็นที่แตกต่างกันไป
- เลเซอร์ชนิดผลัดเซลล์ผิวแบบ Fractional (Fractional Ablative Lasers): เช่น CO₂ และ Er:YAG เลเซอร์ชนิดนี้จะเจาะผิวหนังเป็นรูขนาดเล็กๆ เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ เหมาะสำหรับรักษารอยแผลเป็นหลุมสิว สามารถลดความรุนแรงของแผลเป็นได้ 40%–75% แต่ต้องใช้เวลาพักฟื้นประมาณ 5–10 วัน
- เลเซอร์ชนิดไม่ผลัดเซลล์ผิวแบบ Fractional (Fractional Non-Ablative Lasers): เลเซอร์ชนิดนี้จะส่งความร้อนลงไปใต้ผิวโดยไม่ทำลายผิวชั้นบน ให้ผลการรักษาในระดับปานกลาง (ประมาณ 30%–50%) โดยมีระยะเวลาพักฟื้นสั้นเพียง 1–3 วัน และมีความเสี่ยงต่อการเกิดรอยดำหลังการอักเสบ (PIH) ต่ำกว่า จึงเหมาะกับผู้ที่มีสีผิวเข้ม
- เลเซอร์ชนิด Pulsed Dye Laser (PDL): เลเซอร์ชนิดนี้จะมุ่งเป้าไปที่ฮีโมโกลบินในเส้นเลือด จึงเหมาะสำหรับรักษารอยแผลเป็นที่มีสีแดงหรือแผลเป็นนูนชนิดไฮเปอร์โทรฟิก (Hypertrophic) ที่ยังอยู่ในระยะเริ่มต้น โดยช่วยลดรอยแดงและทำให้แผลเป็นแบนราบลงได้ (Fractional CO₂ laser for acne scar treatment: Ablative vs. ablative + non-ablative comparison, Journal of Aesthetic Medicine, 2025)
การฉีดสลายคีลอยด์และศัลยกรรมตกแต่ง
การฉีดสลายคีลอยด์เป็นการรักษาหลักเพื่อทำให้แผลเป็นนูนและคีลอยด์แบนลง ในขณะที่การผ่าตัดตกแต่งใช้เพื่อปรับเปลี่ยนรูปร่างหรือทิศทางของแผลเป็น แต่มักต้องใช้ร่วมกับการรักษาอื่นเพื่อป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ
- การฉีดสลายคีลอยด์ (Intralesional Injections): เป็นการฉีดสเตียรอยด์ (Triamcinolone) เข้าไปในเนื้อแผลเป็นโดยตรงเพื่อสลายคอลลาเจนและยับยั้งการเติบโตของเซลล์ไฟโบรบลาสต์ สามารถทำให้แผลเป็นนูนแบนลงได้ 50-100% และลดขนาดคีลอยด์ได้มากกว่า 50% แต่อาจกลับมาเป็นซ้ำได้ การใช้ร่วมกับยา 5-FU อาจให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า
- การผ่าตัดตกแต่งแผลเป็น (Surgical Revision): เหมาะสำหรับแผลเป็นบางชนิด เช่น แผลเป็นเส้นยาวที่ไม่ตรงตามแนวผิวหนัง เทคนิคที่ใช้คือการตัดแผลเป็นเดิมออกแล้วเย็บปิดใหม่ หรือการทำ Z-plasty/W-plasty เพื่อเปลี่ยนทิศทางของแผลเป็นให้สังเกตเห็นได้น้อยลง สำหรับคีลoid การผ่าตัดเพียงอย่างเดียวมีอัตราการกลับมาเป็นซ้ำสูงมาก จึงจำเป็นต้องรักษาร่วมกับการฉีดสเตียรอยด์หรือการฉายรังสีหลังผ่าตัดเพื่อลดโอกาสการกลับมาเป็นซ้ำ (What causes keloids on black skin and how to treat them, Medical News Today, 2023)
วิธีดูแลแผลสดบนหน้า เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดแผลเป็น
วิธีที่ดีที่สุดในการดูแลแผลสดบนใบหน้าเพื่อป้องกันแผลเป็นคือการรักษาความสะอาดและความชุ่มชื้นของแผลอยู่เสมอ การดูแลแผลอย่างถูกวิธีตั้งแต่แรกจะช่วยลดโอกาสการเกิดแผลเป็นได้อย่างมาก
ขั้นตอนการดูแลแผลสดบนใบหน้า:
- ทำความสะอาดแผล: ล้างแผลเบาๆ ด้วยสบู่อ่อนและน้ำสะอาด หรือใช้น้ำเกลือ เพื่อกำจัดสิ่งสกปรกและเชื้อโรค หลีกเลี่ยงการใช้แอลกอฮอล์หรือไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์โดยตรงบนแผล เพราะอาจทำลายเนื้อเยื่อและทำให้แผลหายช้า
- รักษาความชุ่มชื้น: ทาขี้ผึ้ง เช่น ปิโตรเลียมเจลลี่ (วาสลีน) หรือปิดแผลด้วยพลาสเตอร์ชนิดไฮโดรคอลลอยด์ (hydrocolloid) การรักษาความชุ่มชื้นจะช่วยให้เซลล์ผิวหนังเคลื่อนตัวมาปิดแผลได้เร็วขึ้นเกือบสองเท่าเมื่อเทียบกับการปล่อยให้แผลแห้ง ซึ่งช่วยลดการเกิดแผลเป็นได้
- ป้องกันแสงแดด: หลังจากแผลเริ่มปิดสนิทแล้ว ควรทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 ขึ้นไปเป็นประจำทุกวันเป็นเวลาอย่างน้อย 6-12 เดือน เพื่อป้องกันไม่ให้แผลเป็นมีสีคล้ำหรือเกิดรอยดำ (PIH)
- หลีกเลี่ยงการแกะสะเก็ด: ห้ามแกะหรือดึงสะเก็ดแผลออก เพราะจะรบกวนกระบวนการสมานแผลและเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดแผลเป็น ควรปล่อยให้สะเก็ดหลุดออกไปเองตามธรรมชาติ
การทำความสะอาดและดูแลแผลตกสะเก็ด
ไม่ควรแกะสะเก็ดแผลออก แต่ควรดูแลให้สะเก็ดแผลนุ่มอยู่เสมอโดยการทาปิโตรเลียมเจลลี่ (วาสลีน) หรือขี้ผึ้ง การปล่อยให้แผลแห้งและตกสะเก็ดหนาอาจกลายเป็นแหล่งสะสมของแบคทีเรียและทำให้แผลหายช้าลง การทำความสะอาดอย่างเบามือและรักษาความชุ่มชื้นจะช่วยให้ผิวหนังสร้างขึ้นใหม่ได้เร็วขึ้นและลดโอกาสการเกิดแผลเป็นได้ดีกว่า (Wound healing, scarring and management, Clinical and Experimental Dermatology, 2024)
แผลเป็นที่หน้าแบบไหนควรรักษาเอง แบบไหนควรพบแพทย์
แผลตื้นๆ หรือรอยถลอกเล็กน้อยสามารถดูแลเองได้ แต่แผลลึก ขอบแผลแยก หรือมีสัญญาณการติดเชื้อควรไปพบแพทย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเป็นแผลที่ต้องได้รับการเย็บอย่างประณีตเพื่อลดการเกิดแผลเป็นในอนาคต
คุณควรไปพบแพทย์เมื่อแผลมีลักษณะดังนี้:
- เป็นแผลลึก มีขอบแยกกว้างกว่า 5 มิลลิเมตร หรือมองเห็นเนื้อเยื่อไขมันข้างใต้
- มีเลือดออกไม่หยุดหลังจากกดแผลแล้ว
- มีสัญญาณของการติดเชื้อ เช่น ปวด บวม แดง ร้อน มีหนอง หรือมีไข้
- แผลเป็นที่เกิดขึ้นแล้วมีลักษณะหนาขึ้นหรือขยายตัวอย่างรวดเร็ว ซึ่งอาจเป็นคีลอยด์
สำหรับแผลตื้นๆ หรือรอยขีดข่วนเล็กน้อย สามารถดูแลเองได้โดยการทำความสะอาด รักษาความชุ่มชื้น และป้องกันแผลจากแสงแดด (Clinical and Experimental Dermatology, 2024)
เทคโนโลยีเลเซอร์ลบรอยแผลเป็นที่ปลอดภัยและได้มาตรฐาน
เทคโนโลยีเลเซอร์ที่ปลอดภัยและได้มาตรฐานสำหรับการรักษารอยแผลเป็นมีหลายประเภท ได้แก่ เลเซอร์กลุ่ม Fractional Ablative, Fractional Non-Ablative, Pulsed Dye Laser (PDL) และ Picosecond Laser ซึ่งแต่ละชนิดมีจุดเด่นและเหมาะกับรอยแผลเป็นที่แตกต่างกันไป
- Fractional Ablative Laser (เช่น CO₂, Er:YAG): มีประสิทธิภาพสูงในการรักษารอยแผลเป็นหลุม โดยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ได้อย่างชัดเจน แต่ต้องใช้เวลาพักฟื้นนาน
- Fractional Non-Ablative Laser: ให้ผลการรักษาที่ดีในระดับปานกลางสำหรับรอยแผลเป็นหลุม แต่ใช้เวลาพักฟื้นน้อย และมีความเสี่ยงเกิดรอยดำหลังทำ (PIH) ต่ำกว่า จึงเหมาะกับผู้ที่มีสีผิวเข้ม
- Pulsed Dye Laser (PDL): เหมาะสำหรับรักษารอยแผลเป็นที่มีสีแดงหรือรอยแผลเป็นนูนแดงในช่วงแรกโดยเฉพาะ
- Radiofrequency (RF) Microneedling: แม้ไม่ใช่เลเซอร์ แต่เป็นเทคโนโลยีพลังงานที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพเทียบเคียงได้ โดยใช้พลังงานความร้อนผ่านเข็มขนาดเล็กเพื่อกระตุ้นคอลลาเจน มีความเสี่ยงต่ำและเหมาะกับทุกสภาพผิว
อุปกรณ์เหล่านี้ส่วนใหญ่ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยา (FDA) ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งบ่งชี้ถึงมาตรฐานความปลอดภัยและประสิทธิภาพในการรักษา (Fractional CO₂ laser for acne scar treatment: Ablative vs. ablative + non-ablative comparison, Journal of Aesthetic Medicine, 2025)
ข้อควรรู้และการดูแลตัวเองเมื่อเป็นแผลเป็น
เป็นแผลห้ามกินอะไร? ความเชื่อ vs ความจริง
ไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ยืนยันว่าการกินอาหารบางชนิด เช่น อาหารทะเล ไข่ หรือซอสสีเข้ม จะทำให้แผลแย่ลงโดยตรง แต่ในทางกลับกัน การได้รับสารอาหารที่เพียงพอ โดยเฉพาะโปรตีน วิตามินซี และสังกะสี มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อกระบวนการสมานแผล
ความเชื่อที่ว่าอาหารบางอย่างส่งผลเสียต่อแผลนั้นไม่ได้รับการสนับสนุนจากข้อมูลทางการแพทย์สมัยใหม่:
- อาหารทะเลและไข่: เป็นแหล่งโปรตีนที่ดีซึ่งจำเป็นต่อการซ่อมแซมเนื้อเยื่อ หากไม่มีอาการแพ้ก็สามารถรับประทานได้
- ซอสสีเข้ม (เช่น ซีอิ๊ว): สีของอาหารไม่มีผลต่อการสร้างเม็ดสีเมลานินที่ผิวหนัง ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้รอยแผลคล้ำ
- อาหารรสจัดหรือของหมักดอง: อาจระคายเคืองแผลในช่องปาก แต่ไม่มีผลโดยตรงต่อแผลที่ผิวหนังภายนอก
สิ่งที่ควรให้ความสำคัญคือการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์และครบถ้วน เพื่อให้ร่างกายมีวัตถุดิบเพียงพอในการซ่อมแซมบาดแผลให้หายเร็วขึ้น (Wound healing, scarring and management, Clinical and Experimental Dermatology, 2024)
แผลเป็นคันเกิดจากอะไรและวิธีบรรเทา
แผลเป็นคันเกิดจากการฟื้นฟูของปลายประสาท การหลั่งสารฮีสตามีน และความแห้งตึงของผิวหนังใหม่ อาการคันเป็นเรื่องปกติในแผลเป็นที่กำลังสมานตัว โดยเฉพาะในแผลเป็นนูนและคีลอยด์ ซึ่งมีเซลล์ที่หลั่งสารฮีสตามีนจำนวนมาก
วิธีบรรเทาอาการคันที่สามารถทำได้ด้วยตนเอง ได้แก่:
- รักษาความชุ่มชื้น: การทาครีมหรือโลชั่นจะช่วยลดอาการคันที่เกิดจากผิวแห้ง
- ใช้ซิลิโคนเจล: แผ่นแปะหรือเจลซิลิโคนช่วยลดการสูญเสียน้ำและลดอาการคันได้อย่างมีนัยสำคัญ
- ใช้ยาแก้แพ้: ยารับประทานหรือยาทาเฉพาะที่กลุ่มแก้แพ้ (antihistamine) สามารถช่วยยับยั้งสารฮีสตามีนได้
- นวดแผลเป็น: การนวดเบาๆ ช่วยลดความไวของปลายประสาทและทำให้แผลเป็นนุ่มลง
- ใช้ยาสเตียรอยด์: สำหรับแผลเป็นที่คันมาก การใช้ยาสเตียรอยด์ชนิดทาหรือฉีดเข้าที่แผลจะช่วยลดการอักเสบและอาการคันได้ (Scarring skin: Mechanisms and therapies, International Journal of Molecular Sciences, 2024)
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับแผลเป็นที่หน้า (FAQ)
แผลเป็นที่หน้ารักษานานไหมกว่าจะหาย
แผลเป็นบนใบหน้าใช้เวลานานประมาณ 12–18 เดือนในการฟื้นฟูสภาพและจางลงตามธรรมชาติ ในช่วง 1–3 เดือนแรก แผลเป็นอาจมีสีแดง นูน และแข็งขึ้น ซึ่งเป็นกระบวนการฟื้นฟูตามปกติ หลังจากนั้นแผลจะค่อยๆ เรียบเนียนและมีสีจางลงเมื่อเวลาผ่านไปประมาณ 6–12 เดือน
เลเซอร์แผลเป็นราคาเท่าไหร่
ค่าใช้จ่ายในการทำเลเซอร์แผลเป็นจะแตกต่างกันอย่างมาก โดยขึ้นอยู่กับประเภทของเลเซอร์และสถานที่ สำหรับในกรุงเทพฯ ราคาเลเซอร์ชนิดแฟรกชันนอล (fractional laser) สำหรับรอยแผลเป็นจากสิวอาจอยู่ที่ประมาณ 200–400 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 7,000–14,000 บาท) ต่อครั้ง
หากเปรียบเทียบกับในสหรัฐอเมริกา ค่าใช้จ่ายจะสูงกว่ามาก:
- เลเซอร์ชนิดมีแผล (Ablative fractional laser): เฉลี่ยประมาณ 2,500 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 90,000 บาท) ต่อครั้งสำหรับทั่วใบหน้า
- เลเซอร์ชนิดไม่มีแผล (Non-ablative fractional laser): เฉลี่ยประมาณ 1,200–1,500 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 44,000–55,000 บาท) ต่อครั้ง
โดยทั่วไป การรักษามักต้องทำต่อเนื่อง 2-4 ครั้ง และส่วนใหญ่ถือเป็นการรักษาเพื่อความงามซึ่งประกันสุขภาพมักไม่ครอบคลุมค่าใช้จ่าย
