Skip to content

TEL : 081-841-5075, 02-258-4050

Facebook Instagram YouTube
Privato Clinic – Innovation Of Beauty  |  Bangkok
  • หน้าหลัก
  • เกี่ยวกับพรีวาโต
  • บริการทั้งหมดExpand
    • ชะลอวัย
    • ยกกระชับผิวExpand
      • XERF
      • Potenza
      • Sofwave
      • Ulthera
      • Thermage-FLX
    • รักษาสิว
    • เลเซอร์
    • โปรแกรมฉีด
    • บำรุงผิว
  • บทความExpand
    • สิว
    • ยกกระชับ
    • ดูแลผิว
    • ทำเลเซอร์
  • ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว
  • โปรโมชั่น
  • ผลลัพธ์การรักษา
  • วิดีโอรีวิวจากเคสจริง
  • สาขาของเรา
  • ไทยExpand
    • ไทย
    • English
    • 中文 (中国)
  • ปรึกษาแพทย์
Privato Clinic – Innovation Of Beauty  |  Bangkok
Consult a Doctor
Laser

เลเซอร์รอยสิว กี่ครั้งเห็นผล จางรอยดำใน 6 สัปดาห์

Byadmin กันยายน 27, 2025กันยายน 27, 2025
By นายแพทย์พนิต อุนรัตน์ Updated on กันยายน 27, 2025
✦ Medically reviewed by  นายแพทย์เลอพงษ์ กรุดเงิน
เลเซอร์รอยสิว กี่ครั้งเห็นผล

เลเซอร์รอยสิว คือการเลือกชนิดเลเซอร์ให้ตรงกับรอยแดง รอยดำ และหลุมสิวเพื่อฟื้นผิวอย่างเป็นระบบ โดยเนื้อหายืนยันว่ารอยดำจางได้ภายใน 6 สัปดาห์เมื่อทำอย่างถูกต้อง.

Table of Contents

Toggle
  • เลเซอร์รอยสิวเหมาะกับใครและรักษารอยแบบไหนได้บ้าง
    • ประเมินสภาพผิวและประเภทของรอยสิวที่รักษาได้
    • ข้อจำกัดและผู้ที่ไม่เหมาะกับการทำเลเซอร์รอยสิว
  • ประเภทของเลเซอร์รอยสิวที่นิยมใช้ในคลินิก
    • กลุ่มเลเซอร์สำหรับรักษารอยแดงโดยเฉพาะ (PIE)
    • กลุ่มเลเซอร์สำหรับรักษารอยดำและเม็ดสี (PIH)
    • การเลือกระหว่างเลเซอร์เฉพาะจุดและทั่วใบหน้า
  • ต้องทำเลเซอร์รอยสิวกี่ครั้งจึงจะเห็นผลลัพธ์
    • จำนวนครั้งและระยะห่างในการรักษาโดยเฉลี่ย
    • กรอบเวลากว่ารอยสิวจะจางลงและผลลัพธ์ที่คาดหวัง
  • ค่าใช้จ่ายในการเลเซอร์รอยสิว: ราคาต่อครั้งและแบบคอร์ส
    • ปัจจัยที่ส่งผลต่อราคาค่ารักษาเลเซอร์รอยสิว
    • ตัวอย่างกรอบราคาเริ่มต้นต่อครั้งและแบบแพ็กเกจ
  • การเตรียมตัวก่อนและขั้นตอนการดูแลผิวหลังทำเลเซอร์
    • สิ่งที่ควรทำและควรเลี่ยงก่อนเข้ารับการรักษา
    • วิธีดูแลผิวเพื่อลดผลข้างเคียงและส่งเสริมการฟื้นฟู
  • ข้อควรพิจารณาก่อนตัดสินใจทำเลเซอร์รอยสิว
    • วิธีเลือกคลินิกและแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่น่าเชื่อถือ
    • เปรียบเทียบเลเซอร์กับการรักษารอยสิวด้วยวิธีอื่น
  • ผลข้างเคียงและความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้จากการเลเซอร์
  • คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการเลเซอร์รอยสิว
    • ต้องทำเลเซอร์เพื่อลดรอยสิวกี่ครั้งถึงจะเห็นผล
    • หลังทำเลเซอร์ลดรอยสิวต้องดูแลตัวเองอย่างไร
    • เลเซอร์รอยสิวมีผลข้างเคียงอะไรบ้าง
    • เลเซอร์รอยสิวช่วยเรื่องหลุมสิวได้ไหม
    • รอยสิวสามารถหายเองได้หรือไม่หากไม่รักษา
  • References:

เลเซอร์รอยสิวเหมาะกับใครและรักษารอยแบบไหนได้บ้าง

ประเมินสภาพผิวและประเภทของรอยสิวที่รักษาได้

การประเมินสภาพผิวและรอยสิวจะพิจารณาจากชนิดของรอยแผลเป็นเพื่อเลือกเลเซอร์ที่เหมาะสม ควบคู่ไปกับการประเมินสภาพผิวและสุขภาพโดยรวมของผู้ป่วยเพื่อความปลอดภัย การประเมินจะจำแนกประเภทของรอยสิวเพื่อจับคู่กับเทคโนโลยีเลเซอร์ที่ให้ผลดีที่สุด ดังนี้

  • รอยแดง (PIE): รักษาด้วยเลเซอร์หลอดเลือด (Vascular lasers) เช่น Pulsed-Dye Laser (PDL)
  • รอยดำ (PIH): รักษาด้วยเลเซอร์ที่จัดการเม็ดสี (Pigment-targeting lasers) เช่น Q-switched และ Picosecond lasers
  • หลุมสิว (Depressed scars): รักษาด้วยเลเซอร์ผลัดผิว (Resurfacing lasers) เช่น CO₂ และ Er:YAG
  • รอยแผลเป็นนูน (Elevated scars): เลเซอร์ช่วยให้แผลเรียบขึ้นได้บางส่วน แต่มักใช้ร่วมกับการฉีดยา

นอกจากนี้ แพทย์จะประเมินปัจจัยอื่นๆ เช่น สีผิว (ผู้มีผิวสีเข้มต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ) และตรวจหาข้อห้ามในการทำเลเซอร์ ซึ่งรวมถึงการมีสิวอักเสบ, การติดเชื้อที่ผิวหนัง, ประวัติการเกิดคีลอยด์, การตั้งครรภ์ หรือการได้รับแสงแดดจัดล่าสุด

ข้อจำกัดและผู้ที่ไม่เหมาะกับการทำเลเซอร์รอยสิว

ผู้ที่ไม่เหมาะกับการทำเลเซอร์รอยสิวคือผู้ที่มีการติดเชื้อที่ผิวหนัง, มีโรคประจำตัวที่ส่งผลต่อการหายของแผล, มีประวัติเป็นคีลอยด์ง่าย, เพิ่งโดนแดดจัด, และหญิงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร นอกจากนี้ยังมีข้อจำกัดอื่นๆ ที่ควรพิจารณา ดังนี้

  • การติดเชื้อหรือสิวอักเสบ: ไม่ควรทำเลเซอร์ในขณะที่ผิวหนังมีการติดเชื้อหรือมีสิวอักเสบเห่อ
  • โรคประจำตัว: ผู้ป่วยเบาหวานที่ควบคุมไม่ได้หรือมีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง เนื่องจากแผลจะหายช้า
  • ประวัติแผลเป็นคีลอยด์: ผู้ที่มีแนวโน้มเกิดแผลเป็นนูนหรือคีลอยด์ได้ง่ายมีความเสี่ยงสูง
  • ผิวที่เพิ่งโดนแดด: ผู้ที่เพิ่งสัมผัสแดดจัดหรืออาบแดดมาไม่นาน
  • การตั้งครรภ์และให้นมบุตร: โดยทั่วไปจะหลีกเลี่ยงการทำเลเซอร์ในกลุ่มนี้
  • เงื่อนไขอื่นๆ: รวมถึงผู้ที่เคยได้รับการฉายรังสีบนใบหน้า, เป็นโรคเกี่ยวกับเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน หรือมีประวัติเป็นเริมบริเวณที่จะทำเลเซอร์ ซึ่งต้องได้รับยาป้องกันก่อนทำ

ประเภทของเลเซอร์รอยสิวที่นิยมใช้ในคลินิก

กลุ่มเลเซอร์สำหรับรักษารอยแดงโดยเฉพาะ (PIE)

กลุ่มเลเซอร์สำหรับรักษารอยแดงจากสิวโดยเฉพาะ (PIE) คือ กลุ่มเลเซอร์ที่จับกับเส้นเลือด (Vascular Lasers) ซึ่งทำงานโดยการลดรอยแดงและเส้นเลือดฝอยที่เหลืออยู่หลังการอักเสบ

เลเซอร์ในกลุ่มนี้ที่นิยมใช้ ได้แก่:

  • Pulsed-Dye Laser (PDL)
  • KTP 532 nm
  • Long-pulsed 1064 nm Nd:YAG

กลุ่มเลเซอร์สำหรับรักษารอยดำและเม็ดสี (PIH)

เลเซอร์ที่ใช้รักษารอยดำ (PIH) คือกลุ่มเลเซอร์ที่มุ่งเป้าไปที่เม็ดสีโดยเฉพาะ เช่น Q-switched nanosecond lasers และ Picosecond lasers เลเซอร์เหล่านี้ทำงานโดยการปล่อยพลังงานไปทำลายเม็ดสีเมลานินที่สะสมอยู่ในผิวให้แตกตัว ทำให้รอยดำจางลง

  • Q-switched nanosecond lasers: เช่น Nd:YAG ที่ความยาวคลื่น 1064 นาโนเมตร (สำหรับเม็ดสีในผิวชั้นหนังแท้) หรือ 532 นาโนเมตร (สำหรับเม็ดสีในผิวชั้นหนังกำพร้า)
  • Picosecond lasers: เป็นเทคโนโลยีที่ใหม่กว่า สามารถทำลายเม็ดสีได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยใช้จำนวนครั้งในการรักษาน้อยกว่าและมีความเสี่ยงต่อผิวข้างเคียงน้อยกว่า

โดยทั่วไป เลเซอร์มักถูกใช้เป็นทางเลือกรองจากการใช้ยาทาลดรอยดำ เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายสูงกว่า แต่ก็เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพสำหรับรอยดำที่ดื้อต่อการรักษาหรือเมื่อต้องการผลลัพธ์ที่รวดเร็วขึ้น

การเลือกระหว่างเลเซอร์เฉพาะจุดและทั่วใบหน้า

การเลือกระหว่างการทำเลเซอร์เฉพาะจุดกับทั่วใบหน้าขึ้นอยู่กับการกระจายตัวและความรุนแรงของรอยแผลเป็น การรักษาเฉพาะจุดเหมาะสำหรับผู้ที่มีแผลเป็นไม่กี่แห่งและมีขอบเขตชัดเจน ซึ่งจะช่วยลดระยะเวลาพักฟื้นและค่าใช้จ่าย ในขณะที่การรักษาทั่วใบหน้าเหมาะสำหรับผู้ที่มีแผลเป็นกระจายเป็นวงกว้าง เพื่อให้ได้ผิวที่มีเนื้อสัมผัสสม่ำเสมอและหลีกเลี่ยงความแตกต่างระหว่างบริเวณที่รักษาและไม่ได้รับการรักษา

แพทย์อาจใช้วิธีผสมผสานโดยใช้เลเซอร์พลังงานสูงในบริเวณที่มีแผลเป็นหนาแน่น แล้วตามด้วยเลเซอร์พลังงานต่ำทั่วใบหน้าเพื่อผลลัพธ์ที่กลมกลืนกัน

ต้องทำเลเซอร์รอยสิวกี่ครั้งจึงจะเห็นผลลัพธ์

จำนวนครั้งและระยะห่างในการรักษาโดยเฉลี่ย

โดยทั่วไปแล้ว การรักษาหลุมสิวด้วยเลเซอร์ต้องทำต่อเนื่อง 3-5 ครั้ง โดยเว้นระยะห่างแต่ละครั้งประมาณ 4-6 สัปดาห์ เพื่อให้ผิวได้ฟื้นฟูและสร้างคอลลาเจนอย่างเต็มที่

จำนวนครั้งและระยะห่างที่แน่นอนจะแตกต่างกันไปตามประเภทของเลเซอร์และความรุนแรงของปัญหาผิว ดังนี้

  • เลเซอร์กลุ่ม Fractional (รักษาหลุมสิว): หลุมสิวตื้นอาจต้องทำประมาณ 3 ครั้ง ในขณะที่หลุมสิวลึกอาจต้องทำ 5 ครั้งขึ้นไป
  • เลเซอร์กลุ่ม Vascular (รักษารอยแดง): ต้องทำประมาณ 2-4 ครั้ง
  • เลเซอร์กลุ่ม Pigment (รักษารอยดำ): อาจต้องทำ 1-3 ครั้ง

สำหรับเลเซอร์ชนิดอ่อนโยนอาจเว้นระยะห่างสั้นลงที่ 3-4 สัปดาห์ได้

กรอบเวลากว่ารอยสิวจะจางลงและผลลัพธ์ที่คาดหวัง

รอยสิวประเภทรอยแดงและรอยดำสามารถจางลงได้เองภายใน 3-12 เดือน แต่หลุมสิวที่เป็นรอยแผลเป็นจะไม่หายไปเอง หากไม่ได้รับการรักษา การทำเลเซอร์จะช่วยเร่งกระบวนการและปรับปรุงลักษณะของหลุมสิวได้อย่างมีนัยสำคัญ

กรอบเวลาและผลลัพธ์ที่คาดหวังขึ้นอยู่กับประเภทของรอยสิว:

  • รอยแดง (PIE): โดยทั่วไปจะจางลงเองใน 3-6 เดือน การรักษาด้วยเลเซอร์หลอดเลือด (Vascular laser) 1-2 ครั้ง สามารถลดรอยแดงได้มากกว่า 50% และอาจลดลงได้ถึง 80-90% หากทำต่อเนื่อง
  • รอยดำ (PIH): อาจใช้เวลา 6-12 เดือนหรือนานกว่านั้นในการจางลงเอง การรักษาด้วยเลเซอร์สำหรับเม็ดสี (Pigment laser) 2-3 ครั้ง สามารถทำให้รอยจางลงได้ประมาณ 50-75%
  • หลุมสิว (Atrophic scars): หลุมสิวจะไม่ตื้นขึ้นเอง การรักษาด้วยเลเซอร์สามารถช่วยให้ดีขึ้นได้ 50-75% ซึ่งถือเป็นผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยม แต่โดยทั่วไปแล้วไม่สามารถทำให้รอยแผลเป็นหายไปได้อย่างสมบูรณ์ ผลลัพธ์สูงสุดจะเห็นได้ชัดเจนในช่วง 3-6 เดือนหลังจากทำการรักษาครั้งสุดท้าย

ค่าใช้จ่ายในการเลเซอร์รอยสิว: ราคาต่อครั้งและแบบคอร์ส

ปัจจัยที่ส่งผลต่อราคาค่ารักษาเลเซอร์รอยสิว

ปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อราคาค่ารักษาเลเซอร์รอยสิว ได้แก่ ขนาดพื้นที่ที่รักษา, ประเภทของเลเซอร์, ความเชี่ยวชาญของแพทย์, สถานที่ตั้งของคลินิก และการรักษาเสริมอื่นๆ ปัจจัยเหล่านี้ทำให้ค่าใช้จ่ายในการรักษาแต่ละครั้งมีความแตกต่างกันไป

  • ขนาดพื้นที่ที่รักษา: การรักษาทั่วทั้งใบหน้าจะมีราคาสูงกว่าการรักษาเฉพาะส่วน เช่น เฉพาะแก้ม หรือการรักษาเฉพาะจุด
  • ชนิดและเทคโนโลยีของเลเซอร์: เลเซอร์ที่มีเทคโนโลยีใหม่กว่า เช่น Picosecond laser มักมีราคาสูงกว่าเลเซอร์ชนิดอื่น เนื่องจากต้นทุนของเครื่องที่สูงกว่า
  • ความเชี่ยวชาญของแพทย์: แพทย์ผิวหนังที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญสูงอาจมีค่าบริการที่สูงกว่า
  • สถานที่ตั้งของคลินิก: โดยทั่วไปโรงพยาบาลขนาดใหญ่ หรือคลินิกที่ตั้งอยู่ในกรุงเทพฯ และเมืองท่องเที่ยว มักมีราคาสูงกว่าคลินิกในเมืองเล็กๆ
  • การรักษาเสริมและค่าใช้จ่ายอื่นๆ: ราคาแพ็กเกจอาจรวมหรือไม่รวมค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม เช่น ค่ายาชา, การทำทรีตเมนต์เสริม (เช่น PRP) หรือผลิตภัณฑ์สำหรับดูแลผิวหลังทำเลเซอร์

ตัวอย่างกรอบราคาเริ่มต้นต่อครั้งและแบบแพ็กเกจ

ราคาเริ่มต้นสำหรับการรักษาหลุมสิวด้วยเลเซอร์อาจอยู่ที่ประมาณ 800 บาทต่อครั้ง สำหรับการรักษาพื้นฐาน ไปจนถึง 50,000 บาทสำหรับแพ็กเกจแบบพรีเมียมเต็มใบหน้า โดยราคาจะแตกต่างกันไปตามประเภทของเลเซอร์และคลินิก

  • ราคาต่อครั้ง: เลเซอร์บางชนิด เช่น Q-switched laser อาจมีราคาเริ่มต้นที่หลักพันบาทต่อครั้ง ในขณะที่เลเซอร์ที่ใหม่กว่าอย่าง Pico laser อาจมีราคาตั้งแต่ 4,000 ถึง 12,000 บาทขึ้นไปต่อครั้ง
  • ราคาแบบแพ็กเกจ: คลินิกส่วนใหญ่มักเสนอแพ็กเกจที่คุ้มค่ากว่าการจ่ายรายครั้ง เช่น การรักษาครั้งเดียวราคา 7,000 บาท แต่แพ็กเกจ 5 ครั้งอาจอยู่ที่ 30,000 บาท ซึ่งช่วยประหยัดได้ 5,000 บาท
  • ค่าใช้จ่ายโดยรวม: โดยทั่วไป ค่าใช้จ่ายตลอดคอร์สการรักษามักจะอยู่ที่หลักหมื่นบาท เช่น คอร์สการรักษา 4 ครั้ง ครั้งละ 10,000 บาท จะมีค่าใช้จ่ายรวม 40,000 บาท

การเตรียมตัวก่อนและขั้นตอนการดูแลผิวหลังทำเลเซอร์

สิ่งที่ควรทำและควรเลี่ยงก่อนเข้ารับการรักษา

ก่อนเข้ารับการรักษาด้วยเลเซอร์ ควร หลีกเลี่ยงแสงแดด งดใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวและยาบางชนิด และแจ้งประวัติทางการแพทย์ที่สำคัญให้แพทย์ทราบ เพื่อเตรียมสภาพผิวให้พร้อมและลดความเสี่ยงของผลข้างเคียง

สิ่งที่ควรทำ:

  • ทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 ขึ้นไปเป็นประจำทุกวัน
  • แจ้งแพทย์ให้ทราบหากมีประวัติเป็นโรคเริมบริเวณใบหน้า เพื่อรับยาป้องกัน
  • ในวันนัดหมาย ควรมาด้วยใบหน้าที่สะอาดปราศจากเครื่องสำอางหรือโลชั่น

สิ่งที่ควรเลี่ยง:

  • หลีกเลี่ยงการเผชิญแสงแดดโดยตรงเป็นเวลา 4 สัปดาห์ก่อนทำเลเซอร์
  • หยุดสูบบุหรี่ เพื่อช่วยให้แผลสมานตัวได้ดีขึ้น
  • งดใช้ผลิตภัณฑ์ที่อาจก่อให้เกิดการระคายเคือง เช่น เรตินอยด์, กรดผลไม้ (AHA/BHA) หรือผลิตภัณฑ์ผลัดเซลล์ผิว ประมาณ 1-2 สัปดาห์ก่อนทำ
  • หยุดยาที่ทำให้ผิวไวต่อแสง เช่น ดอกซีไซคลิน (doxycycline) ประมาณ 2-3 วันก่อนทำตามคำแนะนำของแพทย์

วิธีดูแลผิวเพื่อลดผลข้างเคียงและส่งเสริมการฟื้นฟู

การดูแลผิวหลังทำเลเซอร์ที่สำคัญที่สุดคือ การทำความสะอาดอย่างอ่อนโยน ทาครีมให้ความชุ่มชื้นสม่ำเสมอ และหลีกเลี่ยงแสงแดดอย่างเคร่งครัด เพื่อช่วยให้ผิวฟื้นตัวได้ดีและลดความเสี่ยงของผลข้างเคียง

เพื่อให้ผิวฟื้นฟูได้อย่างเหมาะสม ควรปฏิบัติตามคำแนะนำต่อไปนี้:

  • ทำความสะอาด: ในช่วงวันแรกๆ ให้ทำความสะอาดผิววันละ 2-5 ครั้งด้วยน้ำเกลือหรือผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่อ่อนโยนตามคำแนะนำของแพทย์
  • ให้ความชุ่มชื้น: ทาครีมให้ความชุ่มชื้นหรือขี้ผึ้ง (emollient) บ่อยๆ เพื่อป้องกันการเกิดสะเก็ดแข็งและช่วยให้ผิวชุ่มชื้นอยู่เสมอ
  • ลดอาการบวม: สามารถใช้การประคบเย็นในช่วง 48 ชั่วโมงแรก และนอนหนุนหมอนสูงเพื่อช่วยลดอาการบวม
  • หลีกเลี่ยงการระคายเคือง: ห้ามแกะหรือขัดสะเก็ดแผลโดยเด็ดขาด และงดใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีส่วนผสมรุนแรง เช่น เรตินอยด์, กรดผลไม้ (AHA/BHA) หรือวิตามินซี อย่างน้อย 1-2 สัปดาห์
  • ป้องกันแสงแดด: การป้องกันแสงแดดเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง ควรทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 ขึ้นไปทุกวัน และหลีกเลี่ยงการเผชิญแสงแดดโดยตรงเป็นเวลาหลายสัปดาห์
  • งดกิจกรรมบางอย่าง: ควรหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนักๆ การอบซาวน่า หรือกิจกรรมที่ทำให้เหงื่อออกมากเป็นเวลา 2-3 วัน เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ

ข้อควรพิจารณาก่อนตัดสินใจทำเลเซอร์รอยสิว

วิธีเลือกคลินิกและแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่น่าเชื่อถือ

การเลือกคลินิกและแพทย์ที่น่าเชื่อถือควรพิจารณาจากแพทย์ที่ได้รับการรับรองด้านผิวหนังหรือเลเซอร์ และเลือกคลินิกที่ได้รับใบอนุญาตซึ่งใช้อุปกรณ์เลเซอร์ที่ได้มาตรฐาน การเลือกอย่างรอบคอบจะช่วยให้มั่นใจในความปลอดภัยและผลลัพธ์ที่ดี

ข้อควรพิจารณาเพิ่มเติมมีดังนี้:

  • คุณสมบัติและประสบการณ์ของแพทย์: ตรวจสอบว่าแพทย์มีใบรับรองด้านผิวหนังหรือเวชศาสตร์เลเซอร์หรือไม่ สอบถามเกี่ยวกับประสบการณ์ในการรักษาหลุมสิวและขอดูภาพก่อนและหลังการรักษาของผู้ป่วยจริง
  • มาตรฐานของคลินิก: คลินิกควรได้รับใบอนุญาตอย่างถูกต้องและใช้อุปกรณ์เลเซอร์ที่ผ่านการรับรอง (เช่น FDA-approved หรือ CE-certified) ควรระวังคลินิกที่เสนอราคาต่ำกว่าตลาดมากผิดปกติ เพราะอาจบ่งชี้ถึงการใช้อุปกรณ์ที่ไม่ได้มาตรฐาน
  • การปรึกษา: สอบถามข้อมูลสำคัญให้ชัดเจน เช่น จำนวนครั้งที่คาดว่าจะต้องทำ, ค่าใช้จ่ายต่อครั้งและแบบแพ็กเกจ, ความเสี่ยงและระยะเวลาพักฟื้น รวมถึงการดูแลหลังการรักษา

เปรียบเทียบเลเซอร์กับการรักษารอยสิวด้วยวิธีอื่น

การรักษาด้วยเลเซอร์มักมีประสิทธิภาพในการปรับปรุงผิวสัมผัสของหลุมสิวลึกได้ดีกว่าวิธีอื่น แต่ก็มีค่าใช้จ่ายสูงกว่าและต้องใช้เวลาพักฟื้นนานกว่า ในขณะที่วิธีอื่นอาจมีความเสี่ยงน้อยกว่าหรือเหมาะกับรอยบางประเภทมากกว่า

การเปรียบเทียบวิธีการรักษารอยสิวต่างๆ มีดังนี้

วิธีการรักษา ข้อดีหลัก ข้อเสียหลัก เหมาะสำหรับ
เลเซอร์ มีประสิทธิภาพสูงในการปรับผิวสัมผัสของหลุมสิว ควบคุมความลึกได้แม่นยำ ค่าใช้จ่ายสูง ต้องใช้เวลาพักฟื้น และมีความเสี่ยงเกิดรอยดำหลังการอักเสบ (PIH) หลุมสิวระดับปานกลางถึงรุนแรง (เช่น หลุมสิวแบบกล่องและแบบคลื่น)
การลอกผิวด้วยสารเคมี คุ้มค่า เหมาะกับการรักษารอยดำ ควบคุมความลึกได้ไม่แม่นยำเท่าเลเซอร์ และมีความเสี่ยงเกิดรอยดำ รอยแผลเป็นตื้นๆ รอยดำ และหลุมสิวแบบจิก (ด้วยเทคนิค TCA CROSS)
Microneedling ปลอดภัยมากสำหรับผู้ที่มีผิวคล้ำ (เสี่ยงเกิดรอยดำต่ำ) ผลลัพธ์จะค่อยเป็นค่อยไปกว่าเลเซอร์ รอยแผลเป็นระดับน้อยถึงปานกลาง และผู้ที่มีผิวคล้ำ
ยาทา ราคาไม่แพง ใช้งานง่ายที่บ้าน มีผลน้อยมากต่อผิวสัมผัสของหลุมสิว และเห็นผลช้า ลดเลือนรอยดำ และใช้เพื่อสนับสนุนการรักษาด้วยวิธีอื่น

โดยทั่วไปแล้ว เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด แพทย์มักแนะนำให้ใช้วิธีการรักษาแบบผสมผสานซึ่งปรับให้เหมาะกับประเภทของรอยแผลเป็นแต่ละชนิด

ผลข้างเคียงและความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้จากการเลเซอร์

ผลข้างเคียงที่พบบ่อยจากการทำเลเซอร์คือ อาการบวมแดง รู้สึกร้อนเหมือนโดนแดด และอาจมีสะเก็ดบางๆ ส่วนความเสี่ยงที่รุนแรงแต่พบได้น้อยกว่าคือรอยดำหลังทำเลเซอร์ (PIH) การติดเชื้อ และการเกิดแผลเป็นถาวร

อาการทั่วไป เช่น บวม แดง และรู้สึกร้อน เป็นปฏิกิริยาปกติของผิวและมักจะหายไปเองภายใน 2-7 วัน ในขณะที่ความเสี่ยงอื่นๆ สามารถลดลงได้ด้วยการเลือกแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและการดูแลตัวเองหลังทำอย่างเคร่งครัด

  • รอยดำหลังทำเลเซอร์ (PIH): เป็นความเสี่ยงที่สำคัญ โดยเฉพาะในผู้ที่มีสีผิวเข้ม รอยดำนี้มักเป็นเพียงชั่วคราวและจะค่อยๆ จางลงใน 3-6 เดือน
  • การติดเชื้อ: พบได้น้อยมาก แต่มีความเสี่ยงที่จะเกิดการติดเชื้อแบคทีเรียหรือการกำเริบของโรคเริม ซึ่งป้องกันได้ด้วยการดูแลความสะอาดและยาที่แพทย์สั่ง
  • แผลเป็นและรอยด่างขาว: เป็นความเสี่ยงที่พบได้ยากมากหากทำกับผู้เชี่ยวชาญ อาจเกิดจากการตั้งค่าพลังงานที่รุนแรงเกินไปหรือการดูแลแผลที่ไม่เหมาะสม
  • การบาดเจ็บที่ดวงตา: เป็นความเสี่ยงร้ายแรงหากไม่สวมใส่อุปกรณ์ป้องกันดวงตาที่เหมาะสมระหว่างการทำเลเซอร์

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการเลเซอร์รอยสิว

ต้องทำเลเซอร์เพื่อลดรอยสิวกี่ครั้งถึงจะเห็นผล

โดยทั่วไปแล้ว ต้องทำเลเซอร์ประมาณ 3-5 ครั้ง เพื่อให้เห็นผลการรักษาที่ชัดเจน แต่จำนวนครั้งที่แน่นอนจะขึ้นอยู่กับชนิดและความรุนแรงของรอยสิว

จำนวนครั้งในการรักษาโดยประมาณสำหรับรอยสิวแต่ละประเภทมีดังนี้:

  • หลุมสิว (Atrophic scars): มักจะต้องทำ 3-5 ครั้งขึ้นไป โดยหลุมสิวชนิดตื้นจะตอบสนองต่อการรักษาได้ดีกว่าหลุมสิวชนิดลึก
  • รอยแดง (PIE): โดยทั่วไปต้องทำประมาณ 2-4 ครั้ง
  • รอยดำ (PIH): อาจต้องทำประมาณ 1-3 ครั้ง

ทั้งนี้ ผู้ป่วยมักจะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นหลังจากการทำครั้งแรกไปแล้วประมาณ 6 สัปดาห์ แต่ผลลัพธ์ที่ชัดเจนที่สุดจะปรากฏหลังจากการรักษาครั้งสุดท้ายไปแล้ว 3-6 เดือน

หลังทำเลเซอร์ลดรอยสิวต้องดูแลตัวเองอย่างไร

การดูแลตัวเองหลังทำเลเซอร์รอยสิวที่สำคัญที่สุดคือ การรักษาความสะอาดและความชุ่มชื้นของผิว ควบคู่กับการหลีกเลี่ยงแสงแดดอย่างเคร่งครัด เพื่อให้ผิวฟื้นฟูได้อย่างดีที่สุดและลดความเสี่ยงของผลข้างเคียง

คำแนะนำในการดูแลตัวเองเพิ่มเติมมีดังนี้:

  • ทำความสะอาดและให้ความชุ่มชื้น: ทำความสะอาดผิวด้วยน้ำเกลือหรือผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยนตามคำแนะนำของแพทย์ และทายาขี้ผึ้งหรือมอยส์เจอไรเซอร์เพื่อป้องกันผิวแห้งเป็นสะเก็ด
  • ป้องกันแสงแดด: ทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 ขึ้นไปทุกวัน และพยายามหลีกเลี่ยงการโดนแดดโดยตรงเป็นเวลาหลายสัปดาห์ เนื่องจากผิวจะไวต่อแสงมาก
  • งดผลิตภัณฑ์ที่อาจระคายเคือง: หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีส่วนผสมออกฤทธิ์ เช่น เรตินอยด์, AHA/BHA, หรือวิตามินซี เป็นเวลาอย่างน้อย 1-2 สัปดาห์ หรือจนกว่าแพทย์จะอนุญาต
  • ปล่อยให้ผิวฟื้นฟู: ห้ามแกะหรือขัดสะเก็ดแผลที่เกิดขึ้นโดยเด็ดขาด เพื่อป้องกันการเกิดแผลเป็นใหม่
  • หลีกเลี่ยงกิจกรรมบางอย่าง: งดการออกกำลังกายหนักๆ ที่ทำให้เหงื่อออกมาก รวมถึงการเข้าซาวน่าหรืออยู่ในที่ร้อนจัดประมาณ 2-7 วัน เพื่อลดการอักเสบและป้องกันการติดเชื้อ

เลเซอร์รอยสิวมีผลข้างเคียงอะไรบ้าง

ผลข้างเคียงที่พบบ่อยที่สุดของเลเซอร์รอยสิวคืออาการแดง บวม และรู้สึกแสบร้อนคล้ายผิวไหม้แดด ซึ่งเป็นอาการชั่วคราว ในขณะที่ความเสี่ยงที่สำคัญกว่านั้นคือรอยดำหลังการอักเสบ (PIH) และการติดเชื้อ

ผลข้างเคียงสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทหลัก ดังนี้

  • อาการข้างเคียงทั่วไปที่คาดว่าจะเกิดขึ้น:
  • รอยแดงและอาการบวม: เป็นอาการปกติที่พบได้มากที่สุด อาจมีอาการแสบร้อนร่วมด้วย โดยจะค่อยๆ ดีขึ้นภายใน 2-7 วัน
  • การตกสะเก็ด: โดยเฉพาะเลเซอร์ชนิดที่มีแผล (Ablative) ผิวอาจมีของเหลวซึมและตกสะเก็ดเล็กๆ ซึ่งจะหลุดลอกออกไปเอง
  • อาการคัน: อาจเกิดขึ้นได้ในระหว่างที่ผิวหนังกำลังฟื้นฟู
  • สิวผดหรือสิวอุดตัน: อาจเกิดขึ้นจากการใช้ผลิตภัณฑ์ให้ความชุ่มชื้นที่เข้มข้นเกินไป
  • ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้ (พบได้ไม่บ่อย):
  • รอยดำหลังทำเลเซอร์ (PIH): เป็นความเสี่ยงที่พบบ่อยในผู้ที่มีสีผิวเข้ม รอยดำนี้มักเป็นเพียงชั่วคราวและจะค่อยๆ จางลงใน 3-6 เดือน
  • การติดเชื้อ: อาจเกิดการติดเชื้อแบคทีเรียหากดูแลแผลไม่ดี หรือเกิดการกำเริบของโรคเริมในผู้ที่มีประวัติมาก่อน
  • แผลเป็น: พบได้น้อยมาก มักเกิดจากการตั้งค่าพลังงานที่ไม่เหมาะสมหรือการดูแลแผลที่ไม่ถูกต้อง
  • รอยด่างขาว (Hypopigmentation): การสูญเสียเม็ดสีของผิวหนัง ซึ่งอาจเกิดขึ้นอย่างถาวร
  • การบาดเจ็บที่ดวงตา: อาจเกิดขึ้นได้หากไม่สวมใส่อุปกรณ์ป้องกันดวงตาที่เหมาะสมระหว่างการทำเลเซอร์

เลเซอร์รอยสิวช่วยเรื่องหลุมสิวได้ไหม

ได้ เลเซอร์สามารถช่วยรักษาหลุมสิวได้ โดยการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและเนื้อเยื่อใหม่ขึ้นมาเติมเต็มหลุมสิวให้ตื้นขึ้น

เลเซอร์กลุ่มผลัดเซลล์ผิว (Resurfacing Lasers) เช่น CO₂ และ Er:YAG ถือเป็นวิธีหลักในการรักษาหลุมสิวประเภทต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นหลุมสิวแบบจิก (icepick) แบบกล่อง (boxcar) หรือแบบแอ่ง (rolling) อย่างไรก็ตาม เลเซอร์มักไม่สามารถทำให้หลุมสิวหายไปได้อย่างสมบูรณ์ 100% แต่จะช่วยให้รอยหลุมตื้นขึ้นและสังเกตเห็นได้น้อยลงอย่างมาก โดยผลลัพธ์การรักษาที่ดีเยี่ยมอาจหมายถึงการที่หลุมสิวดีขึ้นประมาณ 50–75%

รอยสิวสามารถหายเองได้หรือไม่หากไม่รักษา

รอยสิวที่เป็นรอยดำรอยแดงสามารถจางลงและหายเองได้ แต่รอยสิวที่เป็นหลุมมักจะไม่หายไปเอง รอยแดงอาจใช้เวลา 3-6 เดือนในการจางลง ส่วนรอยดำอาจใช้เวลา 6-12 เดือนหรือนานกว่านั้น ในขณะที่หลุมสิวซึ่งเกิดจากการสูญเสียคอลลาเจนมักจะคงอยู่ถาวรหากไม่ได้รับการรักษาเพื่อกระตุ้นการสร้างเนื้อเยื่อใหม่

References:

  1. National Center for Biotechnology Information. (n.d.). PMC research articles on laser treatment for acne scars. PMC. pmc.ncbi.nlm.nih.gov
  2. Annals of Dermatology. (n.d.). Research on laser therapy for dermatological conditions. Annals of Dermatology. anndermatol.org
  3. Journal of Korean Medical Science. (n.d.). Clinical studies on laser treatments. JKMS. jkms.org
  4. Cleveland Clinic. (n.d.). Laser treatment for acne scars information. Cleveland Clinic. clevelandclinic.org
  5. Mayo Clinic. (n.d.). Acne scar treatment and laser therapy. Mayo Clinic. mayoclinic.org
  6. Frontiers in Medicine. (n.d.). Research on dermatological laser treatments. Frontiers. frontiersin.org
  7. MDPI. (n.d.). Research publications on laser therapy and dermatology. MDPI. mdpi.com
  8. National Institutes of Health. (n.d.). Research on laser treatments for skin conditions. NIH. nih.gov

แนะแนวเรื่อง

Previous Previous
IPL เลเซอร์ลดรอยสิว ข้อควรทำ-ห้ามทำ หลังการรักษา
NextContinue
เลเซอร์แผลเป็น คืออะไร ราคาโดยรวม กี่ครั้งเห็นผล

สาขาพรีวาโต คลินิก

    สาขาอโศก ตั้งอยู่ที่ ชั้น 2 อาคารมิดทาวน์
    Phone: 02-258-4050 , 081-841-5075
    สาขาสีลม ตั้งอยู่ที่ ชั้น 1 อาคารซี.พี.ทาวเวอร์
    Phone: 02-780-2011 , 098-272-5244
    สาขาราชพฤกษ์ ตั้งอยู่ที่ ชั้น 2 ศูนย์การค้า เดอะคริสตัล เอสบี (ด้านบนร้านสตาร์บัคส์)
    Phone: 02-102-2778 , 098-272-5244

ติดต่อเรา

    Facebook: Privato Clinic
    Messenger: Privato Clinic
    Instagram: privatoclinic
    Email: privatoclinic@gmail.com
    Line: @privatoclinic

Copyright© 2022-2024. All Rights Reserved

Scroll to top
  • หน้าหลัก
  • เกี่ยวกับพรีวาโต
  • บริการทั้งหมด
    • ชะลอวัย
    • ยกกระชับผิว
      • XERF
      • Potenza
      • Sofwave
      • Ulthera
      • Thermage-FLX
    • รักษาสิว
    • เลเซอร์
    • โปรแกรมฉีด
    • บำรุงผิว
  • บทความ
    • สิว
    • ยกกระชับ
    • ดูแลผิว
    • ทำเลเซอร์
  • ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว
  • โปรโมชั่น
  • ผลลัพธ์การรักษา
  • วิดีโอรีวิวจากเคสจริง
  • สาขาของเรา
  • ไทย
    • ไทย
    • English
    • 中文 (中国)
  • ปรึกษาแพทย์
Facebook Instagram YouTube