IPL เลเซอร์ลดรอยสิว ข้อควรทำ-ห้ามทำ หลังการรักษา
ipl รอยสิว คือการใช้พลังงานแสงความเข้มข้นสูงหลายช่วงคลื่นเพื่อลดรอยแดงและรอยดำจากสิวในครั้งเดียว พร้อมกระตุ้นคอลลาเจนให้ผิวเรียบเนียน แพทย์แนะนำหลีกเลี่ยงแสงแดดอย่างน้อย 4 สัปดาห์ก่อนทำเพื่อความปลอดภัยและผลลัพธ์สม่ำเสมอ.
IPL เลเซอร์ลดรอยสิว คืออะไร ช่วยรักษารอยสิวแบบไหนได้บ้าง
IPL คือเทคโนโลยีการใช้พลังงานแสงความเข้มข้นสูงหลายช่วงคลื่น เพื่อเข้าไปจับกับเม็ดสีและเส้นเลือดใต้ผิวหนัง ทำให้สามารถรักษารอยสิวได้หลายประเภทพร้อมกันในการรักษาครั้งเดียว
IPL สามารถช่วยรักษารอยสิวประเภทต่างๆ ได้ดังนี้:
- รอยแดง (Post-Inflammatory Erythema – PIE): เห็นผลได้ดีที่สุด โดยพลังงานแสงจะเข้าไปทำลายเส้นเลือดฝอยเล็กๆ ที่เป็นสาเหตุของรอยแดง ทำให้รอยจางลงอย่างเห็นได้ชัด
- รอยดำ (Post-Inflammatory Hyperpigmentation – PIH): พลังงานแสงจะทำให้เม็ดสีเมลานินที่ผิดปกติแตกตัวออกเป็นส่วนเล็กๆ และถูกร่างกายกำจัดออกไป ทำให้รอยดำค่อยๆ จางลง
- หลุมสิวที่ตื้นมากๆ และปัญหาผิว: IPL ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิว ซึ่งสามารถปรับสภาพผิวให้เรียบเนียนขึ้นและอาจช่วยให้หลุมสิวที่ตื้นมากๆ ดูดีขึ้นได้เล็กน้อย แต่ไม่สามารถรักษาหลุมสิวลึกได้
หลักการทำงานของ IPL กับการรักษารอยแดงรอยดำจากสิว
IPL ทำงานโดยใช้หลักการเลือกทำลายเฉพาะเป้าหมาย (Selective Photothermolysis) ซึ่งพลังงานแสงจะถูกดูดซับโดยเม็ดสีเมลานินในรอยดำและฮีโมโกลบินในเส้นเลือดของรอยแดง เมื่อเป้าหมายดูดซับพลังงานแสงจะเกิดความร้อนขึ้น
- สำหรับรอยดำ (PIH): ความร้อนจะทำให้เม็ดสีเมลานินส่วนเกินแตกตัวเป็นอนุภาคเล็กๆ จากนั้นร่างกายจะค่อยๆ กำจัดออกไป ทำให้รอยดำจางลง
- สำหรับรอยแดง (PIE): ความร้อนจะทำให้เส้นเลือดฝอยเล็กๆ ที่ขยายตัวแข็งตัวและยุบลง ส่งผลให้รอยแดงลดเลือนไป
กระบวนการนี้เป็นการทำลายอย่างจำเพาะเจาะจง จึงช่วยลดความเสียหายต่อเนื้อเยื่อผิวโดยรอบ
รอยสิวแบบไหนที่เหมาะกับการทำ IPL
IPL เหมาะที่สุดสำหรับ รอยสิวที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงของสีผิว เช่น รอยแดงและรอยดำ
IPL มีประสิทธิภาพในการรักษารอยสิวประเภทต่างๆ ดังนี้
- รอยแดง (Post-Inflammatory Erythema – PIE): IPL สามารถลดรอยแดงได้ดี โดยใช้พลังงานแสงเป้าหมายไปที่เส้นเลือดฝอยใต้ผิวหนัง ทำให้รอยแดงจางลง
- รอยดำ (Post-Inflammatory Hyperpigmentation – PIH): IPL ช่วยลดเลือนรอยดำโดยการทำลายเม็ดสีเมลานินส่วนเกิน ทำให้รอยดำค่อยๆ จางลง โดยเฉพาะในผู้ที่มีสีผิวขาวถึงปานกลาง
- หลุมสิวที่ตื้นมาก: IPL สามารถช่วยปรับสภาพผิวและหลุมสิวที่ตื้นมากๆ ให้ดีขึ้นได้เล็กน้อยจากการกระตุ้นคอลลาเจน แต่ไม่ใช่วิธีหลักในการรักษาหลุมสิวลึกหรือหลุมสิวแบบจิก (icepick scars)
ข้อแตกต่างระหว่าง IPL กับเลเซอร์รักษารอยสิวชนิดอื่น
IPL แตกต่างจากเลเซอร์ชนิดอื่นตรงที่ IPL ใช้ช่วงคลื่นแสงที่กว้าง ทำให้สามารถรักษารอยแดงและรอยดำได้พร้อมกันในการรักษาครั้งเดียว ในขณะที่เลเซอร์ชนิดอื่นจะใช้พลังงานแสงเพียงความยาวคลื่นเดียวที่จำเพาะเจาะจงกับปัญหาผิวแต่ละอย่าง ทำให้มีเป้าหมายการรักษา ผลลัพธ์ และระยะเวลาพักฟื้นที่แตกต่างกัน
ตารางเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่าง IPL กับเลเซอร์รักษารอยสิวชนิดอื่น:
| คุณสมบัติ | IPL (Intense Pulsed Light) | Fractional CO₂ Laser | Q-Switched & Picosecond Lasers | Pulsed Dye Laser (PDL) |
|---|---|---|---|---|
| เป้าหมายหลัก | รอยแดง (PIE) และรอยดำ (PIH) แบบกระจาย | หลุมสิว รอยแผลเป็นลึก (Texture) | รอยดำ (PIH) และเม็ดสีที่ชัดเจน | รอยแดง (PIE) และเส้นเลือด |
| กลไก | ใช้ความร้อนทำลายเม็ดสีและเส้นเลือดส่วนเกิน | ทำให้เกิดการผลัดเซลล์ผิวชั้นลึกเพื่อสร้างคอลลาเจนใหม่ | ใช้พลังงานสูงทำลายเม็ดสีให้แตกละเอียด | ทำให้เส้นเลือดฝอยหดตัวและสลายไป |
| ผลลัพธ์ | ลดรอยแดงและรอยดำได้ดี ปรับปรุงหลุมสิวได้เล็กน้อย | ลดความลึกของหลุมสิวได้ดีมาก (50–75%) | ลดรอยดำได้ดี โดยเฉพาะในผิวคล้ำ | ลดรอยแดงได้ดี มีประสิทธิภาพเทียบเท่า IPL |
| ระยะเวลาพักฟื้น | น้อยมาก (หน้าแดงเล็กน้อย 2-3 ชั่วโมง) | นาน (5–10 วัน) มีสะเก็ดและแผล | น้อย | น้อย แต่อาจเกิดรอยช้ำ (purpura) ได้ |
| ความเจ็บ | น้อย (เหมือนโดนยางดีด) | มากกว่า ต้องใช้ยาชา | ปานกลาง | ปานกลาง |
| เหมาะสำหรับ | ผู้ที่มีปัญหารอยแดงและรอยดำผสมกัน และไม่ต้องการพักฟื้น | ผู้ที่มีปัญหาหลุมสิวลึกเป็นหลัก | ผู้ที่มีปัญหารอยดำเป็นหลัก โดยเฉพาะในผิวคล้ำ | ผู้ที่มีปัญหารอยแดงเป็นหลัก หรือไม่ตอบสนองต่อ IPL |
ใครเหมาะและไม่เหมาะกับการทำ IPL ลดรอยสิว
ผู้ที่เหมาะสมกับการรักษาด้วย IPL
ผู้ที่เหมาะสมกับการรักษาด้วย IPL ที่สุดคือผู้ที่มีสีผิวขาวถึงปานกลาง (skin type I-IV) และมีปัญหารอยแผลเป็นจากสิวชนิดรอยแดง รอยดำ หรือรอยแผลเป็นชนิดตื้นๆ เนื่องจากแสง IPL สามารถกำหนดเป้าหมายไปที่เม็ดสีของรอยสิวได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยมีความเสี่ยงต่อผิวหนังโดยรอบน้อย
ผู้ที่เหมาะกับการรักษาด้วย IPL มีลักษณะดังนี้:
- สีผิว: เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวขาวถึงผิวสองสี (Fitzpatrick skin type I-IV) ส่วนผู้ที่มีผิวคล้ำมาก (type V-VI) มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดผลข้างเคียง เช่น รอยไหม้หรือรอยดำหลังการอักเสบ
- ประเภทของรอยแผลเป็น: เหมาะสมที่สุดสำหรับผู้ที่มีปัญหารอยแดง (Post-Inflammatory Erythema) และรอยดำ (Post-Inflammatory Hyperpigmentation) รวมถึงรอยแผลเป็นที่มีลักษณะตื้นมาก
- ข้อจำกัด: IPL ไม่ค่อยได้ผลกับหลุมสิวลึก (icepick or tethered scars) หรือแผลเป็นนูน (hypertrophic scars) ซึ่งต้องการการรักษาที่รุนแรงกว่า
ข้อห้ามและข้อควรระวังสำหรับผู้ที่จะทำ IPL
ข้อห้ามและข้อควรระวังหลักสำหรับผู้ที่จะทำ IPL คือ การมีผิวสีเข้ม การใช้ยาบางชนิด โรคประจำตัวที่ไวต่อแสง และสภาพผิวในปัจจุบัน
รายละเอียดของข้อห้ามและข้อควรระวังมีดังนี้
ข้อห้ามเด็ดขาด (Contraindications)
- ผิวไหม้แดดหรือเพิ่งอาบแดดมา
- ใช้ยาไอโสเตรติโนอิน (Isotretinoin) หรือ Accutane ภายใน 6 เดือนที่ผ่านมา
- มีโรคที่ไวต่อแสง เช่น โรคลูปัส (Lupus) หรือมีประวัติการชักเมื่อเจอแสงจ้า
- มีการติดเชื้อ มีแผลเปิด หรือมีสิวอักเสบเป็นหนองในบริเวณที่จะทำ
ข้อควรระวังเป็นพิเศษ (Precautions)
- ผู้ที่มีผิวสีเข้มมาก (Fitzpatrick V–VI): มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดรอยไหม้หรือรอยดำหลังทำ
- ผู้ที่มีประวัติเป็นแผลเป็นคีลอยด์: ควรปรึกษาแพทย์อย่างละเอียดก่อนทำ
- ผู้ที่มีประวัติเป็นเริม: ต้องได้รับยาป้องกันเชื้อไวรัสก่อนทำเพื่อป้องกันการกำเริบ
- ผู้ที่เพิ่งลอกผิวหรือทำเลเซอร์: ควรเว้นระยะอย่างน้อย 2-4 สัปดาห์ก่อนทำ IPL
- ผู้ที่ใช้ผลิตภัณฑ์ผลัดเซลล์ผิว: ควรหยุดใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของเรตินอยด์, AHA, BHA หรือยาแต้มสิวอย่างน้อย 1-2 สัปดาห์ก่อนทำ
การประเมินผิวและรอยสิวก่อนเริ่มการรักษา
ก่อนเริ่มการรักษาด้วย IPL จะต้องมีการ ประเมินสภาพผิว ประเภทของรอยสิว และอาจรวมถึงการทำ patch test เพื่อวางแผนการรักษาที่เหมาะสมและปลอดภัย
โดยผู้ให้บริการจะประเมินปัจจัยต่างๆ ดังนี้
- ประเมินสภาพผิวและรอยสิว: ผู้ให้บริการจะประเมินสภาพผิวตาม Fitzpatrick scale เพื่อกำหนดค่าพลังงานที่เหมาะสม และจำแนกประเภทของรอยสิวว่าเป็นรอยแดง (PIE) รอยดำ (PIH) หรือรอยแผลเป็นหลุม
- ตรวจสอบสิวที่ยังอักเสบ: มีการบันทึกตำแหน่งสิวที่ยังอักเสบอยู่ และประเมินความสม่ำเสมอของสีผิว รวมถึงตรวจสอบรอยโรคอื่นๆ ที่อาจต้องมีการตรวจชิ้นเนื้อ
- ทำ Patch Test: ในผู้ที่มีสีผิวเข้มหรือมีแนวโน้มเกิดรอยดำง่าย อาจมีการทดสอบยิงเลเซอร์ (patch test) ในบริเวณเล็กๆ เช่น หลังหูหรือแนวกราม เพื่อดูการตอบสนองของผิวก่อนทำการรักษาจริง
ขั้นตอนการทำ IPL เลเซอร์ลดรอยสิว และสิ่งที่ควรเตรียม
การเตรียมผิวก่อนทำ IPL
การเตรียมผิวก่อนทำ IPL ที่สำคัญที่สุดคือ การหลีกเลี่ยงแสงแดดอย่างน้อย 4 สัปดาห์และหยุดใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่อาจก่อให้เกิดการระคายเคือง เพื่อให้ผิวอยู่ในสภาพที่แข็งแรงและลดความเสี่ยงของผลข้างเคียง
ข้อควรปฏิบัติก่อนการทำ IPL มีดังนี้:
- หลีกเลี่ยงแสงแดด: งดการเผชิญแสงแดดโดยตรง การอาบแดด หรือใช้ผลิตภัณฑ์ทำให้ผิวแทนเป็นเวลาอย่างน้อย 4 สัปดาห์ก่อนทำ และทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูงเป็นประจำ
- หยุดใช้ผลิตภัณฑ์ผลัดเซลล์ผิว: งดใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของเรตินอยด์ (Tretinoin, Retin-A), กรด AHA/BHA, เบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ (Benzoyl Peroxide) และสครับขัดผิวเป็นเวลาประมาณ 1-2 สัปดาห์ก่อนทำ
- งดหัตถการอื่น: ควรเว้นระยะจากการทำเคมีคอลพีลลิ่ง (Chemical Peels) หรือเลเซอร์ผลัดผิว (Resurfacing) อย่างน้อย 2-4 สัปดาห์
- แจ้งประวัติการใช้ยา: ต้องแจ้งแพทย์หากเคยใช้ยาไอโสเตรติโนอิน (Isotretinoin) หรือ แอคโนติน (Accutane) ภายใน 6 เดือนที่ผ่านมา
- แจ้งประวัติโรคเริม: หากมีประวัติเป็นโรคเริมบริเวณใบหน้า แพทย์อาจให้รับประทานยาป้องกันการกำเริบก่อนทำ
- ใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยน: ในช่วงก่อนทำ ควรใช้เพียงผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่อ่อนโยน มอยส์เจอไรเซอร์ และครีมกันแดดเท่านั้น
ขั้นตอนการทำ IPL แต่ละครั้ง
ขั้นตอนการทำ IPL เริ่มต้นด้วยการทำความสะอาดผิว ทาเจลเย็น สวมอุปกรณ์ป้องกันดวงตา จากนั้นจึงใช้หัวอุปกรณ์ยิงแสงไปทั่วบริเวณที่ทำการรักษา โดยทั่วไปแล้ว การทำ IPL ในแต่ละครั้งใช้เวลาประมาณ 15-30 นาที และมีขั้นตอนดังนี้
- การเตรียมผิว: เจ้าหน้าที่จะทำความสะอาดผิวบริเวณที่จะทำการรักษาให้ปราศจากเครื่องสำอางและสิ่งสกปรก จากนั้นจะทาเจลเย็น (coupling gel) ให้ทั่วเพื่อช่วยนำส่งพลังงานแสงและให้ความเย็นสบายแก่ผิว
- การป้องกันดวงตา: ผู้รับบริการและผู้ให้บริการจะต้องสวมอุปกรณ์ป้องกันดวงตาโดยเฉพาะ เพื่อป้องกันอันตรายจากแสงความเข้มสูง
- การยิงแสง: ผู้ให้บริการจะวางหัวยิงแสงของเครื่อง IPL ลงบนผิว แล้วปล่อยพลังงานแสงเป็นช็อตสั้นๆ ในลักษณะการประทับ (stamping) ไปทีละจุดจนทั่วบริเวณที่ต้องการรักษา โดยอาจมีการยิงซ้ำ 1-2 รอบเพื่อกำหนดเป้าหมายการรักษาที่ต่างกัน เช่น รอบแรกสำหรับรอยแดง/รอยดำในวงกว้าง และรอบที่สองสำหรับเน้นเฉพาะจุด
- เสร็จสิ้นการรักษา: หลังจากยิงแสงครบแล้ว เจ้าหน้าที่จะเช็ดเจลเย็นออก ทำความสะอาดผิวอีกครั้ง และทาครีมบำรุงหรือครีมลดการอักเสบเพื่อปลอบประโลมผิว
ความรู้สึกขณะทำและระยะเวลาในการรักษา
ความรู้สึกขณะทำ IPL เหมือนหนังยางดีดเบาๆ และรู้สึกอุ่นๆ โดยแต่ละครั้งใช้เวลาประมาณ 15-30 นาที ความเจ็บอยู่ในระดับที่ทนได้และมักไม่จำเป็นต้องใช้ยาชา เนื่องจากมีการใช้เจลเย็นและระบบความเย็นจากหัวอุปกรณ์ช่วยลดความรู้สึกร้อน
สำหรับการรักษาที่ให้ผลลัพธ์ชัดเจนมักต้องทำต่อเนื่อง 3-6 ครั้ง โดยเว้นระยะห่างระหว่างการทำแต่ละครั้งประมาณ 3-4 สัปดาห์เพื่อให้ผิวได้ฟื้นตัว
ผลลัพธ์การรักษา ระยะเวลา และจำนวนครั้งที่ต้องทำ
IPL รักษารอยสิว กี่ครั้งเห็นผล
โดยทั่วไปแล้ว การรักษารอยสิวด้วย IPL ต้องทำต่อเนื่อง 3-6 ครั้งจึงจะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน โดยแต่ละครั้งจะเว้นระยะห่างกันประมาณ 3-4 สัปดาห์
การเปลี่ยนแปลงที่สังเกตได้จะขึ้นอยู่กับประเภทของรอยสิว ดังนี้
- รอยแดง (Erythema): มักจะดีขึ้นประมาณ 50-75% หลังทำครั้งที่ 3 หรือ 4
- รอยดำ (PIH): รอยดำที่ฝังแน่นอาจต้องใช้เวลา 4-5 ครั้งจึงจะจางลงอย่างเห็นได้ชัด แต่ในผู้ที่มีผิวขาวอาจเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงได้ตั้งแต่ 1-2 ครั้งแรก
ระยะห่างระหว่างการทำแต่ละครั้ง
โดยทั่วไปแล้ว การทำ IPL เพื่อรักษารอยสิวแต่ละครั้งจะเว้นระยะห่างกันประมาณ 3–4 สัปดาห์
การเว้นระยะห่างนี้จำเป็นเพื่อให้ผิวได้ฟื้นตัวและเม็ดสีที่ถูกทำลายได้หลุดลอกออกไป ทั้งนี้ ไม่ควรทำทรีตเมนต์ถี่เกินไป โดยต้องเว้นระยะอย่างน้อย 2 สัปดาห์ (แต่โดยทั่วไปมักเว้น 4 สัปดาห์) เพื่อหลีกเลี่ยงการอักเสบสะสม
ความคงทนของผลลัพธ์และการดูแลต่อเนื่อง
ผลลัพธ์จากการทำ IPL สามารถคงอยู่ได้นานหลายปี แต่จำเป็นต้องมีการดูแลอย่างต่อเนื่องเพื่อรักษาสภาพผิวที่ดีไว้ ความคงทนของผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับการป้องกันแสงแดดอย่างสม่ำเสมอและการควบคุมไม่ให้เกิดสิวใหม่ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยป้องกันการเกิดรอยดำและรอยแดงซ้ำ
เพื่อรักษาผลลัพธ์ให้ยาวนานที่สุด ควรปฏิบัติดังนี้:
- การทำทรีตเมนต์ซ้ำ (Maintenance): แนะนำให้ทำ IPL ปีละ 1-2 ครั้ง เพื่อจัดการกับรอยใหม่ๆ ที่อาจเกิดขึ้นและคงผลลัพธ์เดิมไว้
- การดูแลผิวอย่างต่อเนื่อง: ใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ช่วยกระตุ้นคอลลาเจน เช่น เรตินอยด์หรือวิตามินซี และที่สำคัญที่สุดคือการทาครีมกันแดดเป็นประจำทุกวัน
ราคา IPL เลเซอร์ลดรอยสิว และปัจจัยที่มีผลต่อค่าใช้จ่าย
ช่วงราคาทั่วไปของการทำ IPL ต่อครั้ง
โดยทั่วไป ช่วงราคาของการทำ IPL ต่อครั้งอยู่ที่ประมาณ 1,500–2,500 บาท อย่างไรก็ตาม ราคาอาจแตกต่างกันไป โดยคลินิกเสริมความงามทั่วไปอาจเริ่มต้นที่ 500–1,000 บาทสำหรับพื้นที่เล็กๆ ในขณะที่ศูนย์ผิวหนังชั้นนำอาจมีราคาสูงถึง 3,000 บาทขึ้นไปสำหรับการทำทั่วใบหน้า
แพ็คเกจและโปรโมชั่นที่คุ้มค่า
การซื้อทรีตเมนต์แบบแพ็กเกจมักจะคุ้มค่ากว่าการจ่ายรายครั้ง โดยโดยทั่วไปจะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้ประมาณ 15–30%
ราคาแพ็กเกจสำหรับการทำ IPL เพื่อรักษารอยสิวในประเทศไทยมักอยู่ในช่วงประมาณ 4,000–10,000 บาท ขึ้นอยู่กับจำนวนครั้งและทรีตเมนต์อื่นๆ ที่รวมอยู่ด้วย ก่อนตัดสินใจซื้อ ควรตรวจสอบรายละเอียดของแพ็กเกจให้ดี เช่น จำนวนครั้งที่เพียงพอต่อการเห็นผล วันหมดอายุ และเงื่อนไขอื่นๆ ที่คลินิกระบุไว้
เกณฑ์การเลือกสถานพยาบาลและแพทย์ผู้ทำ
เกณฑ์สำคัญในการเลือกสถานพยาบาลและแพทย์คือความเชี่ยวชาญของแพทย์ผู้ทำ และคุณภาพของเครื่อง IPL ที่ใช้ ซึ่งควรเป็นเครื่องที่ทันสมัยและได้รับการรับรองมาตรฐาน
เพื่อให้การรักษามีความปลอดภัยและได้ผลลัพธ์ที่ดี ควรพิจารณาปัจจัยต่อไปนี้:
- ประสบการณ์ของแพทย์: เลือกคลินิกที่มีแพทย์ผู้มีประสบการณ์สูงในการใช้ IPL รักษารอยสิวโดยเฉพาะ และควรเป็นสถานพยาบาลที่ดำเนินการภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างถูกต้อง
- คุณภาพของเครื่องมือ: ควรเลือกคลินิกที่ใช้เครื่อง IPL รุ่นใหม่ที่ผ่านการรับรองจากองค์การอาหารและยา (FDA) เช่น Lumenis® M22 หรือ Sciton® BBL เนื่องจากเครื่องเหล่านี้สามารถปรับตั้งค่าพลังงานและฟิลเตอร์ให้เหมาะกับสภาพผิวแต่ละบุคคลได้อย่างละเอียดและปลอดภัย
- มาตรฐานและความน่าเชื่อถือ: คลินิกควรมีมาตรฐานความปลอดภัยที่ชัดเจน เช่น มีอุปกรณ์ป้องกันดวงตาให้ผู้รับบริการ สถานที่สะอาด และมีชื่อเสียงที่ดีในด้านการรักษาด้วยเลเซอร์และแสง
จากการรักษาสู่การดูแลผิว: สิ่งสำคัญที่ต้องพิจารณา
การดูแลผิวระหว่างคอร์สการรักษา
การดูแลผิวระหว่างคอร์สการรักษา IPL คือการเน้นให้ความชุ่มชื้น ป้องกันแสงแดดอย่างเข้มงวด และหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่ก่อให้เกิดการระคายเคือง ควรใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดและมอยส์เจอไรเซอร์ที่อ่อนโยนซึ่งมีส่วนผสม เช่น กรดไฮยาลูรอนิกและเซราไมด์ ควบคู่ไปกับการทาครีมกันแดดในวงกว้าง (SPF 30+) ทุกวัน โดยเฉพาะครีมกันแดดชนิดกายภาพ (Physical Sunscreen)
สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงตลอดช่วงการรักษา ได้แก่:
- ผลิตภัณฑ์ที่รุนแรง เช่น เรตินอยด์ เบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ และกรดผลัดเซลล์ผิว (AHA/BHA)
- ผลิตภัณฑ์ที่มีน้ำหอมหรือก่อให้เกิดการอุดตัน (non-comedogenic)
ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่เหมาะสมหลังทำ IPL
ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่เหมาะสมหลังทำ IPL คือผลิตภัณฑ์ที่เน้นการให้ความชุ่มชื้น ปลอบประโลมผิว และมีความอ่อนโยน โดยควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสม เช่น กรดไฮยาลูรอนิก (hyaluronic acid) เซราไมด์ (ceramides) หรือสารสกัดจากพืชที่ช่วยปลอบประโลมผิวอย่างว่านหางจระเข้ (aloe vera)
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูงและเป็นชนิด Broad-spectrum โดยแนะนำให้ใช้ครีมกันแดดชนิด Physical (mineral) ที่มีส่วนผสมของซิงค์ออกไซด์ (zinc oxide) หรือไทเทเนียมไดออกไซด์ (titanium dioxide) เพราะมีความอ่อนโยนและระคายเคืองน้อยกว่า
ในช่วงแรกควรหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ต่อไปนี้:
- ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมรุนแรง เช่น เรตินอยด์, เบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ (benzoyl peroxide)
- กรดผลัดเซลล์ผิว (AHA/BHA)
- สครับขัดผิว
- โทนเนอร์ที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์
การป้องกันรอยสิวใหม่ไม่ให้เกิดขึ้น
วิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันรอยสิวใหม่คือ การควบคุมสิวที่ยังขึ้นอยู่ควบคู่ไปกับการป้องกันแสงแดดอย่างสม่ำเสมอ เนื่องจากการเกิดสิวใหม่สามารถสร้างรอยแดงรอยดำขึ้นมาใหม่ได้ตลอดเวลา ทำให้ผลการรักษาไม่ชัดเจน นอกจากนี้ การสัมผัสกับรังสียูวี (UV) ยังกระตุ้นให้เกิดรอยดำหลังการอักเสบ (PIH) และลดทอนประสิทธิภาพของ IPL ดังนั้น การรักษาสิวควบคู่กับการทาครีมกันแดดอย่างเคร่งครัดจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด
ข้อควรทำและห้ามทำหลังการรักษาด้วย IPL
การดูแลผิวใน 24-48 ชั่วโมงแรก
ในช่วง 24-48 ชั่วโมงแรกหลังทำ IPL ควรเน้นการปลอบประโลมผิวและหลีกเลี่ยงการระคายเคือง โดยผิวอาจมีอาการแดงหรือรู้สึกอุ่นๆ ซึ่งเป็นเรื่องปกติและจะหายไปเองภายในไม่กี่ชั่วโมง
ข้อควรปฏิบัติและข้อห้ามมีดังนี้:
- ควรทำ:
- ประคบเย็นเพื่อลดความร้อนบนผิว
- ทาผลิตภัณฑ์ที่ช่วยปลอบประโลมผิว เช่น เจลว่านหางจระเข้ หรือครีมที่แพทย์แนะนำ
- ใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าและมอยส์เจอไรเซอร์สูตรอ่อนโยน
- เริ่มทาครีมกันแดดในวันรุ่งขึ้น
- ห้ามทำ:
- หลีกเลี่ยงความร้อนสูง เช่น ซาวน่า หรือการอาบน้ำร้อน
- งดการออกกำลังกายหนักๆ เพื่อไม่ให้เหงื่อออกมาก
- งดใช้สกินแคร์ที่รุนแรง เช่น สครับ, โทนเนอร์ที่มีแอลกอฮอล์ หรือยารักษาสิว
- งดแต่งหน้าอย่างน้อย 24 ชั่วโมง
- ห้ามถู ขัด หรือแกะเกาบริเวณที่ทำเลเซอร์
IPL ห้ามโดนแดดกี่วัน และวิธีป้องกันแสง
หลังทำ IPL ควรหลีกเลี่ยงการโดนแสงแดดโดยตรงอย่างน้อย 2 สัปดาห์ และควรป้องกันผิวจากแสงอย่างเคร่งครัดเพื่อป้องกันผลข้างเคียงและรักษาผลลัพธ์ของการรักษา
วิธีป้องกันแสงแดดที่มีประสิทธิภาพ ได้แก่:
- ทาครีมกันแดดเป็นประจำ: ควรเลือกใช้ครีมกันแดดชนิด Physical (Mineral) ที่มีส่วนผสมของ Zinc Oxide หรือ Titanium Dioxide ซึ่งอ่อนโยนต่อผิวและป้องกันได้ทั้งรังสี UVA/UVB ควรทาซ้ำทุก 2 ชั่วโมงเมื่ออยู่กลางแจ้ง
- ใช้อุปกรณ์ป้องกันและหลีกเลี่ยงแดดจัด: สวมหมวกปีกกว้าง กางร่ม และพยายามหลีกเลี่ยงการอยู่กลางแดดจัด โดยเฉพาะช่วงเวลา 10.00-16.00 น.
อาการปกติและอาการที่ควรพบแพทย์
อาการปกติหลังทำ IPL คือ รอยแดงเล็กน้อย อาการอุ่นที่ผิว บวมเล็กน้อย และรอยดำที่เข้มขึ้นชั่วคราว ซึ่งอาการเหล่านี้มักจะหายไปเองภายใน 2-3 วัน
อาการปกติที่พบได้:
- รอยแดงเล็กน้อย อาการอุ่น หรือรู้สึกตึงที่ผิว
- อาการบวมเล็กน้อย โดยเฉพาะบริเวณใต้ตา
- รอยดำหรือกระเข้มขึ้นชั่วคราวก่อนจะตกสะเก็ดและหลุดลอกออกไป
- ผิวแห้งและลอกเป็นขุย
อาการที่ควรปรึกษาแพทย์:
- รอยแดงหรืออาการบวมที่รุนแรงและไม่ดีขึ้นภายใน 3 วัน
- มีของเหลวสีเหลืองหรือหนอง ซึ่งเป็นสัญญาณของการติดเชื้อ
- เกิดแผลพุพอง
- มีไข้หรือหนาวสั่น
- การกำเริบของโรคเริม (ตุ่มน้ำใสบริเวณริมฝีปาก)
ผลข้างเคียง ความเสี่ยง และข้อผิดพลาดที่พบบ่อย
อาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นหลังทำ IPL
อาการข้างเคียงที่พบบ่อยที่สุดหลังทำ IPL คืออาการบวมแดงเล็กน้อย รู้สึกอุ่นที่ผิว และรอยดำเดิมเข้มขึ้นชั่วคราว ซึ่งอาการเหล่านี้มักจะหายไปเองภายในไม่กี่ชั่วโมงถึงสองสามวัน
อาการข้างเคียงอื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ ได้แก่:
- อาการทั่วไปที่หายได้เอง:
- รอยแดง บวม และรู้สึกอุ่นที่ผิว ซึ่งมักจะหายไปภายในไม่กี่ชั่วโมงถึง 1 วัน
- จุดด่างดำหรือกระเข้มขึ้นกว่าเดิม ก่อนจะค่อยๆ ตกสะเก็ดและหลุดลอกออกไปใน 1 สัปดาห์
- ผิวแห้งและลอกเป็นขุยเล็กน้อย
- อาการข้างเคียงที่อาจพบได้แต่ไม่บ่อย:
- รอยดำหลังการอักเสบ (PIH) ซึ่งมักเป็นเพียงชั่วคราวและจางลงได้
- สิวผดหรือสิวอุดตันขึ้นชั่วคราว
- รอยช้ำเล็กน้อย
ส่วนผลข้างเคียงที่รุนแรง เช่น แผลเป็น การเปลี่ยนแปลงของสีผิวอย่างถาวร หรือการติดเชื้อนั้นพบได้น้อยมาก หากทำโดยผู้เชี่ยวชาญและปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด
ความเสี่ยงจากการทำ IPL ไม่ถูกวิธี
การทำ IPL ที่ไม่ถูกวิธีมีความเสี่ยงหลักคือ อาจทำให้ผิวไหม้ เกิดรอยดำหลังการอักเสบ (PIH) รอยด่างขาว หรือแผลพุพองได้
ความเสี่ยงเหล่านี้มักเกิดจากการใช้พลังงานที่ไม่เหมาะสมกับสภาพผิว การเลือกผู้รับการรักษาที่ไม่ถูกต้อง (เช่น ผู้ที่ผิวคล้ำมาก เพิ่งตากแดดมา หรือใช้ยาบางชนิด) และความไม่ชำนาญของผู้ให้บริการ นอกจากนี้ การไม่สวมใส่อุปกรณ์ป้องกันดวงตาที่เหมาะสมอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อดวงตา และการใช้อุปกรณ์ที่ไม่ได้มาตรฐานก็เพิ่มความเสี่ยงของผลข้างเคียงเช่นกัน
ข้อผิดพลาดในการดูแลผิวที่ทำให้ผลการรักษาไม่ดี
การไม่ป้องกันผิวจากแสงแดดและการดูแลผิวหลังทำเลเซอร์อย่างไม่เหมาะสม คือข้อผิดพลาดสำคัญที่ทำให้ผลการรักษาด้วย IPL ไม่ดีเท่าที่ควร
ข้อผิดพลาดทั่วไปที่ควรหลีกเลี่ยง ได้แก่:
- การปล่อยให้ผิวโดนแดดโดยไม่ป้องกัน ซึ่งจะกระตุ้นให้เกิดรอยดำขึ้นมาใหม่และลดทอนผลการรักษา
- การแกะ เกา หรือขัดถูผิวแรงๆ บริเวณที่ทำการรักษา ซึ่งอาจทำให้เกิดแผลเป็นหรือสีผิวไม่สม่ำเสมอ
- การใช้ผลิตภัณฑ์ที่รุนแรง เช่น สครับ, เรตินอยด์, หรือกรดผลัดเซลล์ผิว (AHA/BHA) เร็วเกินไปหลังการรักษา
- การให้ผิวสัมผัสความร้อนสูง เช่น การเข้าซาวน่า, การอาบน้ำร้อน หรือการออกกำลังกายอย่างหนักในช่วง 2-3 วันแรกหลังทำเลเซอร์
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ IPL เลเซอร์ลดรอยสิว
เครื่อง IPL ได้ผลจริงไหม
เครื่อง IPL ได้ผลจริง โดยเฉพาะในการรักษารอยแดงและรอยดำที่เกิดจากสิว เทคโนโลยีนี้ใช้คลื่นแสงหลายช่วงความยาวเพื่อเข้าไปทำลายเม็ดสีเมลานินส่วนเกิน (รอยดำ) และทำให้เส้นเลือดฝอยหดตัว (รอยแดง) ส่งผลให้รอยต่างๆ จางลง นอกจากนี้ IPL ยังช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวเรียบเนียนและช่วยปรับปรุงหลุมสิวชนิดตื้นๆ ได้เล็กน้อย
อย่างไรก็ตาม IPL ไม่เหมาะกับการรักษาหลุมสิวลึก เช่น หลุมสิวแบบจิก (icepick scars) ซึ่งต้องใช้วิธีการรักษาที่รุนแรงกว่า
ทำ IPL แล้วสิวขึ้นเพิ่มเป็นเรื่องปกติหรือไม่
การเกิดสิวเพิ่มขึ้นหลังทำ IPL เป็นผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้ แต่ไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้นกับทุกคน อาการนี้เรียกว่า “acneiform eruptions” ซึ่งมักเป็นสิวผดหรือสิวหัวขาวเล็กๆ ที่เกิดจากความร้อนหรือผลิตภัณฑ์ที่ใช้หลังการรักษา
โดยทั่วไปสิวเหล่านี้มักจะหายไปได้เอง และสามารถลดความเสี่ยงได้โดยการใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่ไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน (non-comedogenic) ตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ
IPL กับ Fractional Laser ต่างกันอย่างไร
Fractional Laser เน้นการรักษาหลุมสิวและผิวสัมผัส ในขณะที่ IPL เน้นการลดรอยแดงและรอยดำ Fractional Laser เป็นเลเซอร์กลุ่มที่ทำให้เกิดการผลัดเซลล์ผิว (ablative) ซึ่งสามารถลดความลึกของหลุมสิวได้อย่างมีนัยสำคัญ แต่ต้องใช้เวลาพักฟื้นนานและมีความเสี่ยงสูงกว่า ในทางตรงกันข้าม IPL เป็นการใช้แสงแบบไม่ทำลายผิวชั้นบน (non-ablative) จึงเหมาะกับการรักษาสีผิวที่ไม่สม่ำเสมอโดยมีระยะเวลาพักฟื้นน้อยมาก
ตารางเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่าง IPL และ Fractional Laser:
| คุณสมบัติ | IPL (Intense Pulsed Light) | Fractional Laser (เช่น CO₂) |
|---|---|---|
| เป้าหมายหลัก | ลดรอยแดง รอยดำ (ปัญหาเม็ดสี) | รักษาหลุมสิว ปรับผิวสัมผัส |
| หลักการทำงาน | ไม่ทำลายผิวชั้นบน (Non-ablative) | ทำลายผิวเป็นจุดเล็กๆ เพื่อสร้างผิวใหม่ (Ablative) |
| ผลลัพธ์ด้านหลุมสิว | ปรับปรุงได้เล็กน้อย | ปรับปรุงได้ดีมาก (50-75%) |
| ระยะเวลาพักฟื้น | น้อยมาก (มีรอยแดงเล็กน้อย 2-3 ชั่วโมง) | นาน (5-10 วัน) |
| ความเสี่ยง | ต่ำกว่า | สูงกว่า |
ทำ IPL พร้อมกับการรักษาสิวอื่นๆ ได้ไหม
สามารถทำ IPL ควบคู่ไปกับการรักษาสิววิธีอื่นได้ และการทำร่วมกันมักจะให้ผลลัพธ์ที่ดีและรวดเร็วยิ่งขึ้น โดยแพทย์อาจแนะนำแนวทางการรักษาแบบผสมผสานตามสภาพผิวของแต่ละบุคคล
- การทำหัตถการอื่นร่วมด้วย: สามารถทำ IPL สลับกับการรักษาอื่น เช่น ไมโครนีดลิ่ง (microneedling) หรือการผลัดเซลล์ผิว (chemical peels) เพื่อจัดการทั้งปัญหารอยแดงรอยดำและหลุมสิวไปพร้อมกัน
- การใช้ยาทา: ในระหว่างคอร์สการรักษาด้วย IPL สามารถใช้ยาทารักษาสิวที่อ่อนโยน เช่น กรดอะซีลาอิก (azelaic acid) เพื่อควบคุมการเกิดสิวใหม่ได้
- ข้อควรระวัง: ควรหยุดใช้ผลิตภัณฑ์รักษาสิวที่อาจก่อให้เกิดการระคายเคือง เช่น เรตินอยด์ (retinoids) หรือเบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ (benzoyl peroxide) ประมาณ 1-2 สัปดาห์ก่อนทำ IPL เพื่อลดความเสี่ยงต่อการระคายเคืองผิว
ผิวแพ้ง่ายสามารถทำ IPL ได้หรือไม่
ผู้ที่มีผิวแพ้ง่ายสามารถทำ IPL ได้ แต่ต้องอยู่ภายใต้การประเมินอย่างละเอียดโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เนื่องจากผิวลักษณะนี้มีความเสี่ยงที่จะเกิดการระคายเคืองหรืออาการกำเริบได้มากกว่าปกติหลังการรักษา
แพทย์จะทำการประเมินสภาพผิวอย่างละเอียด อาจมีการทดสอบในบริเวณเล็กๆ (Test Patch) และปรับตั้งค่าพลังงานให้เหมาะสมเพื่อลดความเสี่ยง นอกจากนี้ ผู้ที่มีผิวแพ้ง่ายควรหยุดใช้ผลิตภัณฑ์ที่อาจก่อให้เกิดการระคายเคือง เช่น เรตินอยด์ หรือกรดผลัดเซลล์ผิว ก่อนเข้ารับการรักษา
หลังทำ IPL กี่วันถึงจะแต่งหน้าได้
โดยทั่วไปแล้ว ควรหลีกเลี่ยงการแต่งหน้าอย่างน้อย 24 ชั่วโมง หลังทำ IPL เนื่องจากเกราะป้องกันผิวจะยังคงเปิดอยู่ ซึ่งอาจทำให้เกิดการระคายเคืองหรือการติดเชื้อได้ หากไม่มีปัญหาผิวใดๆ อาจเริ่มใช้เครื่องสำอางประเภทมิเนอรัล (mineral makeup) ได้ในวันที่ 2 แต่ทางที่ดีที่สุดคือการปล่อยให้ผิวได้พักและฟื้นตัวอย่างเต็มที่
References:
- Gade, A. et al. (n.d.). Intense Pulsed Light (IPL) Therapy – StatPearls. StatPearls Publishing. ncbi.nlm.nih.gov
- Mathew, M.L. et al. (2018). Intense Pulsed Light Therapy for Acne-Induced Post-Inflammatory Erythema. Indian Dermatology Online Journal, 9:159-164. pubmed.ncbi.nlm.nih.gov
- Pure Medical Spa. (n.d.). IPL vs Fractional CO2 Laser Treatment Comparison. Pure Medical Spa. puremedicalspa.us
- Whalen Dermatology. (n.d.). IPL Contraindications and Pre/Post-Treatment Instructions (Patient Info Sheet). Whalen Dermatology. whalenderm.com
- Darst Dermatology. (n.d.). Pre and Post Treatment Instructions for IPL/Photofacial. Darst Dermatology Patient Education. darstdermatology.com
- Gangnam Clinic. (n.d.). เลเซอร์รอยสิว ลดรอยดำ รอยแดง…ทำกี่ครั้งหาย [Laser for Acne Scars, Fading Dark/Red Marks]. Gangnam Consult. gangnamconsult.com

