ผิวเปลือกส้ม (เซลลูไลท์) คืออะไร สาเหตุ และวิธีรักษาให้ได้ผล

ผิวเปลือกส้มหรือเซลลูไลท์คือลักษณะผิวที่เป็นรอยบุ๋มคล้ายเปลือกส้มซึ่งเกิดจากไขมันดันผ่านเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน พบได้ใน 80–90% ของผู้หญิง และบทความนี้อธิบายสาเหตุพร้อมวิธีรักษาที่ได้ผล
ผิวเปลือกส้ม หรือ เซลลูไลท์ คืออะไร
เซลลูไลท์คือลักษณะผิวหนังที่เป็นลอนคลื่นหรือมีรอยบุ๋มคล้ายเปลือกส้ม ซึ่งเกิดจากการที่ไขมันใต้ผิวหนังดันตัวผ่านเนื้อเยื่อเกี่ยวพันที่เป็นเส้นใยขึ้นมาสู่ชั้นผิวหนัง ภาวะนี้ถือเป็นเรื่องของความสวยงาม ไม่ใช่โรคหรือการติดเชื้อ และมักพบบริเวณต้นขา บั้นท้าย และหน้าท้องส่วนล่าง เซลลูไลท์พบได้ในผู้หญิงหลังวัยแรกรุ่นถึง 80–90% แต่พบได้น้อยในผู้ชาย เนื่องจากความแตกต่างของโครงสร้างผิวหนัง (High-frequency ultrasound in the assessment of cellulite—correlation between measurements, clinical assessment, and severity scores, MDPI Diagnostics, 2024)
ลักษณะของเซลลูไลท์และระดับความรุนแรง
เซลลูไลท์มีลักษณะเป็นรอยบุ๋มหรือผิวขรุขระคล้ายเปลือกส้มหรือผิวที่นอน (mattress) ซึ่งเกิดจากการที่ไขมันใต้ผิวหนังดันตัวผ่านเนื้อเยื่อเกี่ยวพันขึ้นมา มักพบบริเวณต้นขาและบั้นท้าย
โดยทั่วไปสามารถแบ่งระดับความรุนแรงตามเกณฑ์ Nürnberger–Müller ได้ดังนี้:
- ระดับ 0: ไม่เห็นเซลลูไลท์แม้จะบีบผิวหนัง
- ระดับ 1: เห็นรอยบุ๋มเมื่อบีบผิวหนังหรือเกร็งกล้ามเนื้อเท่านั้น
- ระดับ 2: เห็นเซลลูไลท์ได้ชัดเจนเมื่อยืน แต่จะหายไปเมื่อนอนราบ
- ระดับ 3: เห็นรอยบุ๋มและก้อนไขมันได้ชัดเจนแม้จะอยู่ในท่านอนราบ (Comparison of cellulite severity scales and imaging methods, Oxford Academic, 2020)
ความแตกต่างระหว่างผิวเปลือกส้มที่ตัวและผิวเปลือกส้มที่หน้า
ผิวเปลือกส้มที่ตัวและที่หน้าเกิดจากสาเหตุที่แตกต่างกัน โดยเซลลูไลท์ที่พบบริเวณลำตัว เช่น ต้นขาและบั้นท้าย เกิดจากการที่ไขมันใต้ผิวหนังนูนขึ้นมาผ่านเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน ทำให้ผิวมีลักษณะเป็นรอยบุ๋ม ในทางตรงกันข้าม ผิวเปลือกส้มบนใบหน้า (Peau d’orange) มักเกิดจากรูขุมขนที่ขยายใหญ่ขึ้นหรืออาการบวมน้ำ (edema) ไม่ได้เกิดจากโครงสร้างของไขมันและเนื้อเยื่อเกี่ยวพันแบบเดียวกับเซลลูไลท์ (How to fix orange peel skin: Top treatments backed by dermatologists, Kindlaserandskin.com)
สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดเซลลูไลท์และผิวเปลือกส้ม
ปัจจัยทางพันธุกรรมและฮอร์โมน
ปัจจัยทางพันธุกรรมและฮอร์โมนเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดเซลลูไลท์ โดยทั้งสองปัจจัยนี้มีบทบาทดังนี้
- ฮอร์โมน ฮอร์โมนเอสโตรเจนมีบทบาทสำคัญในการเกิดเซลลูไลท์ โดยจะส่งเสริมการสะสมไขมันบริเวณต้นขาและสะโพก และอาจส่งผลต่อโครงสร้างของเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน ทำให้เกิดการกักเก็บของเหลว เซลลูไลท์จึงมักปรากฏหลังวัยแรกรุ่นและอาจแย่ลงในช่วงตั้งครรภ์
- พันธุกรรม พันธุกรรมเป็นตัวกำหนดความอ่อนไหวต่อการเกิดเซลlulite โดยประวัติครอบครัวเป็นตัวบ่งชี้ที่สำคัญ มีการระบุยีนบางตัวที่เกี่ยวข้อง เช่น ยีน ACE และ HIF1A ซึ่งเชื่อมโยงกับการเปลี่ยนแปลงของระบบไหลเวียนเลือดฝอยและเนื้อเยื่อพังผืด (Cellulite, Grokipedia, 2025)
พฤติกรรมที่กระตุ้นให้เกิดเซลลูไลท์สะสม
พฤติกรรมที่กระตุ้นให้เกิดเซลลูไลท์ ได้แก่ การใช้ชีวิตแบบนั่งนิ่ง การรับประทานอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพ และการสูบบุหรี่ พฤติกรรมเหล่านี้ส่งผลต่อการสะสมไขมัน การไหลเวียนโลหิต และโครงสร้างของผิวหนัง
ปัจจัยด้านไลฟ์สไตล์อื่นๆ ที่อาจทำให้เซลลูไลท์แย่ลง ได้แก่
- การใช้ชีวิตแบบนั่งนิ่ง: การขาดการออกกำลังกายทำให้กล้ามเนื้อลดลงและระบบไหลเวียนเลือดทำงานได้ไม่ดี ทำให้เซลลูไลท์ปรากฏชัดขึ้น
- การรับประทานอาหาร: อาหารที่มีแคลอรี ไขมัน และเกลือสูง จะเพิ่มการสะสมไขมันและทำให้เกิดการคั่งของน้ำในร่างกาย
- การสูบบุหรี่: การสูบบุหรี่ทำลายคอลลาเจนและทำให้หลอดเลือดหดตัว ซึ่งทำให้โครงสร้างผิวอ่อนแอลง
- การเปลี่ยนแปลงของน้ำหนักตัวบ่อยครั้ง: การเพิ่มและลดน้ำหนักสลับไปมา (yo-yo dieting) ทำให้ผิวหนังสูญเสียความยืดหยุ่น
- การสวมเสื้อผ้าที่รัดแน่นเกินไป: การใส่เสื้อผ้าที่รัดแน่นเป็นประจำอาจขัดขวางการไหลเวียนของเลือดและน้ำเหลืองได้ (Wikipedia, 2023)
วิธีลดเซลลูไลท์ต้นขาและแก้ผิวเปลือกส้มด้วยตัวเอง
การลดเซลลูไลท์ที่ต้นขาและแก้ผิวเปลือกส้มด้วยตนเองวิธีที่ดีที่สุดคือ การผสมผสานระหว่างการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ การควบคุมน้ำหนัก และการใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวเฉพาะที่ แม้ว่าจะไม่สามารถกำจัดเซลลูไลท์ให้หายขาดได้ แต่วิธีเหล่านี้สามารถช่วยลดการมองเห็นและทำให้ผิวดูเรียบเนียนขึ้นได้
- การออกกำลังกาย การออกกำลังกายเป็นหนึ่งในวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุด เพราะช่วยลดไขมันในร่างกายและสร้างกล้ามเนื้อไปพร้อมกัน ทำให้ผิวหนังดูกระชับขึ้น ควรทำทั้งการออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอเพื่อเผาผลาญไขมัน และการฝึกความแข็งแรง (Strength Training) เพื่อสร้างกล้ามเนื้อบริเวณต้นขาและบั้นท้าย เช่น ท่าสควอท (Squat) และท่าลังจ์ (Lunge)
- ครีมทาผิว ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของคาเฟอีน (Caffeine) และเรตินอล (Retinol) สามารถช่วยปรับปรุงลักษณะของผิวได้ชั่วคราว คาเฟอีนช่วยลดการบวมน้ำของเซลล์ไขมันและทำให้ผิวตึงขึ้น ส่วนเรตินอลช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวหนังชั้นนอกหนาและแข็งแรงขึ้น
- การนวด การนวดด้วยมือหรืออุปกรณ์ช่วยนวด เช่น ลูกกลิ้ง สามารถช่วยกระตุ้นการไหลเวียนโลหิตและระบบน้ำเหลือง ทำให้ผิวดูเรียบเนียนขึ้นได้ชั่วคราวจากการลดอาการบวมน้ำ แต่ผลลัพธ์จะไม่คงอยู่ถาวร
- การควบคุมอาหาร การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันและเกลือสูง จะช่วยควบคุมน้ำหนักและลดการสะสมของไขมันส่วนเกิน ซึ่งอาจทำให้เซลลูไลท์ดูเด่นชัดน้อยลง (Is it possible to get rid of cellulite with exercises?, Healthline, 2022)
การนวดสลายเซลลูไลท์และการใช้ครีมกระชับสัดส่วน
การนวดและครีมกระชับสัดส่วน ช่วยให้เซลลูไลท์ดูจางลงได้เพียงเล็กน้อยและเป็นผลชั่วคราวเท่านั้น โดยไม่สามารถกำจัดเซลลูไลท์ได้อย่างถาวร
- การนวด: ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนโลหิตและน้ำเหลือง ทำให้ผิวดูเรียบเนียนขึ้นจากการลดการบวมน้ำ แต่ผลลัพธ์จะหายไปเมื่อหยุดทำ เนื่องจากไม่ได้เปลี่ยนแปลงโครงสร้างของเซลลูไลท์
- ครีมกระชับสัดส่วน: ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมอย่างคาเฟอีนและเรตินอลอาจช่วยให้ผิวดูเรียบเนียนขึ้นเล็กน้อย โดยคาเฟอีนช่วยลดการคั่งของน้ำในเซลล์ไขมันชั่วคราว ส่วนเรตินอลช่วยให้ผิวชั้นนอกหนาขึ้นเพื่อ “พราง” เซลล์ลูไลท์ แต่ผลลัพธ์จะคงอยู่ตราบเท่าที่ใช้ผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง (Medical News Today, 2024)
ท่าออกกำลังกายลดเซลลูไลท์ต้นขาแบบเร่งด่วน
ไม่มีท่าออกกำลังกายใดที่สามารถลดเซลลูไลท์ต้นขาได้แบบเร่งด่วน แต่การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอจะช่วยลดการปรากฏของเซลลูไลท์ได้ โดยโปรแกรมที่ได้ผลดีที่สุดคือการผสมผสานระหว่างการออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอเพื่อเผาผลาญไขมัน และการฝึกความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ (เวทเทรนนิ่ง) เพื่อสร้างกล้ามเนื้อที่กระชับ ทำให้ผิวหนังดูเรียบเนียนขึ้น
ท่าออกกำลังกายที่แนะนำสำหรับต้นขาและบั้นท้าย ได้แก่
- สควอท (Squats)
- ลังจ์ (Lunges)
- กลูทบริดจ์ (Glute Bridges)
โปรแกรมออกกำลังกายที่อ้างว่าเห็นผลเร่งด่วนมักไม่ได้ผลจริง เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของกล้ามเนื้อและไขมันต้องใช้เวลาหลายเดือนจึงจะเห็นผลอย่างมีนัยสำคัญ (Is it possible to get rid of cellulite with exercises?, Healthline, 2022)
การรักษาผิวเปลือกส้มให้เห็นผลด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์
โปรแกรมสลายเซลลูไลท์และยกกระชับผิว
โปรแกรมสลายเซลลูไลท์และยกกระชับผิวมีหลากหลายวิธี ตั้งแต่การใช้พลังงานความร้อนไปจนถึงการตัดพังผืดใต้ผิวหนังโดยตรง ซึ่งแต่ละวิธีให้ผลลัพธ์และความคงทนแตกต่างกันไป
วิธีการรักษาที่ได้รับการยอมรับในระดับคลินิก ได้แก่:
- คลื่นวิทยุ (Radiofrequency – RF): ใช้ความร้อนกระตุ้นคอลลาเจนและทำให้ผิวแน่นขึ้น ให้ผลลัพธ์ปานกลางและต้องทำซ้ำเพื่อคงผล
- คลื่นกระแทก (Acoustic Wave Therapy – AWT): ใช้คลื่นแรงดันกระแทกเพื่อทำให้พังผืดนิ่มลงและกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต ให้ผลลัพธ์เล็กน้อยถึงปานกลาง
- การตัดพังผืดใต้ผิวหนัง (Subcision): เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพสูงสำหรับรอยบุ๋มโดยเฉพาะ โดยจะตัดพังผืดที่ดึงรั้งผิวหนัง ให้ผลลัพธ์ยาวนานหลายปี (เช่น เครื่อง Cellfina®)
- เลเซอร์ (Minimally Invasive Laser): ใช้ใยเลเซอร์สอดใต้ผิวหนังเพื่อตัดพังผืด สลายไขมัน และกระตุ้นคอลลาเจน ให้ผลลัพธ์ที่ยาวนาน (เช่น เครื่อง Cellulaze®)
โดยทั่วไป วิธีการที่แก้ไขโครงสร้างพังผืดโดยตรง เช่น การตัดพังผืด จะให้ผลลัพธ์ที่ยาวนานที่สุด ในขณะที่วิธีที่ไม่รุกล้ำมักจะต้องทำซ้ำเพื่อคงสภาพผิว (What happened to Qwo, the cellulite injectable?, American Board of Cosmetic Surgery, 2023)
การใช้เครื่องมือเลเซอร์ช่วยลดผิวเปลือกส้ม
การรักษาด้วยเลเซอร์แบบแผลเล็กเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการลดเซลลูไลท์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้เลเซอร์ที่สอดใยแก้วนำแสงขนาดเล็กเข้าไปใต้ผิวหนัง เช่น Cellulaze® ซึ่งพลังงานเลเซอร์จะเข้าไปทำ 3 อย่างคือ ตัดพังผืดที่ดึงรั้งผิวให้เป็นรอยบุ๋ม, สลายไขมันบางส่วน, และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่เพื่อทำให้ผิวหนาและกระชับขึ้น การรักษาวิธีนี้สามารถลดเซลลูไลท์ได้ถึง 50–80% และผลลัพธ์คงอยู่นาน 1-3 ปีหรือมากกว่านั้น
ในขณะที่เลเซอร์แบบไม่รุกล้ำผิว (non-invasive) เช่น การใช้แสง LED หรือเลเซอร์พลังงานต่ำ มีหลักฐานสนับสนุนน้อยกว่าและมักให้ผลลัพธ์เพียงเล็กน้อย (American Board of Cosmetic Surgery, 2023)
เซลลูไลท์รักษาหายได้ไหม หรือต้องทำต่อเนื่อง
เซลลูไลท์ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้อย่างถาวร เนื่องจากเป็นภาวะเรื้อรังที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างทางกายวิภาคและชีววิทยาของแต่ละบุคคล แต่การรักษาสามารถช่วยให้ผิวเรียบเนียนขึ้นและรอยบุ๋มดูลดลงได้อย่างมีนัยสำคัญและยาวนาน
ความคงทนของผลลัพธ์และจำเป็นในการทำต่อเนื่องขึ้นอยู่กับวิธีการรักษา:
- การรักษาที่เน้นโครงสร้าง (Structural interventions): เช่น การตัดพังผืด (Subcision) ด้วยเครื่อง Cellfina สามารถให้ผลลัพธ์ที่ยาวนาน 3-5 ปี หรือมากกว่านั้น
- การรักษาแบบไม่รุกราน (Non-invasive treatments): เช่น การใช้คลื่นวิทยุ (RF) หรือคลื่นกระแทก (Shockwave) ให้ผลลัพธ์เพียงชั่วคราว และจำเป็นต้องทำต่อเนื่องทุกๆ 2-4 เดือนเพื่อคงผลลัพธ์ไว้
ดังนั้น การรักษาส่วนใหญ่จึงจำเป็นต้องมีการทำซ้ำหรือดูแลต่อเนื่องเพื่อรักษาสภาพผิวให้เรียบเนียนไว้ให้นานที่สุด (American Board of Cosmetic Surgery, 2023)
การดูแลตัวเองและวิธีป้องกันไม่ให้เซลลูไลท์กลับมา
การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อลดการสะสมไขมัน
การออกกำลังกายเป็นประจำและการควบคุมอาหาร คือการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่สำคัญที่สุดในการช่วยลดการสะสมของไขมันและทำให้เซลลูไลท์ดูจางลง การปรับเปลี่ยนเหล่านี้ช่วยลดปริมาณไขมันใต้ผิวหนังและเสริมสร้างกล้ามเนื้อ ทำให้ผิวหนังดูกระชับและเรียบเนียนขึ้น
พฤติกรรมอื่นๆ ที่สามารถช่วยได้ ได้แก่:
- การออกกำลังกาย: ควรทำทั้งแบบคาร์ดิโอเพื่อเผาผลาญไขมัน และการฝึกความแข็งแรง (strength training) เพื่อสร้างกล้ามเนื้อ โดยเน้นที่ส่วนล่างของร่างกาย เช่น การสควอท (squats) และการลังจ์ (lunges)
- การควบคุมอาหาร: หลีกเลี่ยงอาหารที่มีแคลอรีสูง ไขมันอิ่มตัวสูง และมีรสเค็มจัด เพื่อป้องกันการสะสมไขมันและการบวมน้ำ ควรเน้นรับประทานอาหารที่สมดุลซึ่งอุดมไปด้วยผัก ผลไม้ และไฟเบอร์
- พฤติกรรมอื่นๆ: ควรหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ซึ่งทำลายการไหลเวียนเลือดและคอลลาเจน และพยายามรักษาน้ำหนักให้คงที่ เนื่องจากการลดและเพิ่มน้ำหนักสลับไปมาอาจทำให้เซลลูไลท์แย่ลงได้ (Cleveland Clinic, 2021)
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับผิวเปลือกส้ม
คนผอมมีเซลลูไลท์และผิวเปลือกส้มได้หรือไม่
คนผอมและคนที่ดูแลรูปร่างก็สามารถมีเซลลูไลท์ได้ เนื่องจากเซลลูไลท์เกิดจากโครงสร้างของเนื้อเยื่อเกี่ยวพันและชั้นไขมันใต้ผิวหนังเป็นหลัก ไม่ได้ขึ้นอยู่กับปริมาณไขมันเพียงอย่างเดียว แม้แต่คนที่มีไขมันน้อย หากมีโครงสร้างเนื้อเยื่อเกี่ยวพันที่เอื้อต่อการเกิดเซลลูไลท์ (ซึ่งถูกกำหนดโดยพันธุกรรมและฮอร์โมน) ก็สามารถเกิดผิวเปลือกส้มได้ ด้วยเหตุนี้ แม้แต่นักกีฬาหรือนางแบบก็สามารถมีเซลลูไลท์ได้เช่นกัน
การดูดไขมันช่วยลดผิวเปลือกส้มได้จริงไหม
การดูดไขมัน ไม่ใช่วิธีที่แนะนำสำหรับรักษาเซลลูไลท์ และในบางครั้งอาจทำให้ลักษณะของเซลลูไลท์ดูแย่ลงได้ เนื่องจากการดูดไขมันเป็นการกำจัดไขมันชั้นลึกเพื่อปรับรูปร่าง แต่ไม่ได้จัดการกับโครงสร้างของไขมันใต้ผิวหนังและพังผืดที่เป็นสาเหตุของรอยบุ๋ม
ในทางกลับกัน การกำจัดไขมันที่เป็นฐานรองรับออกไปอาจทำให้ผิวหนังหย่อนคล้อยลง ส่งผลให้รอยบุ๋มของเซลลูไลท์เห็นได้ชัดเจนยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม การดูดไขมันอาจเป็นประโยชน์เมื่อทำร่วมกับหัตถการที่รักษาเซลลูไลท์โดยตรง เช่น การตัดพังผืด (Subcision) เพื่อลดทั้งปริมาณไขมันและรอยบุ๋มไปพร้อมกัน
