Skip to content

TEL : 081-841-5075, 02-258-4050

Facebook Instagram YouTube
Privato Clinic – Innovation Of Beauty  |  Bangkok
  • หน้าหลัก
  • เกี่ยวกับพรีวาโต
  • บริการทั้งหมดExpand
    • ชะลอวัย
    • ยกกระชับผิวExpand
      • XERF
      • Potenza
      • Sofwave
      • Ulthera
      • Thermage-FLX
    • รักษาสิว
    • เลเซอร์
    • โปรแกรมฉีด
    • บำรุงผิว
  • บทความExpand
    • สิว
    • ยกกระชับ
    • ดูแลผิว
    • ทำเลเซอร์
  • ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว
  • โปรโมชั่น
  • ผลลัพธ์การรักษา
  • วิดีโอรีวิวจากเคสจริง
  • สาขาของเรา
  • ไทยExpand
    • ไทย
    • English
    • 中文 (中国)
  • ปรึกษาแพทย์
Privato Clinic – Innovation Of Beauty  |  Bangkok
Consult a Doctor
Lifting

9 วิธีแก้คอย่น คอเหี่ยว ให้กลับมาตึงกระชับ เรียบเนียน

Byadmin พฤศจิกายน 18, 2025
By แพทย์หญิงนัชชนก หุ่นวิจิตร Updated on พฤศจิกายน 18, 2025
✦ Medically reviewed by  นายแพทย์เลอพงษ์ กรุดเงิน
9 วิธีแก้คอย่น คอเหี่ยว ให้กลับมาตึงกระชับ เรียบเนียน

คอย่น คือปัญหาริ้วรอยและความหย่อนคล้อยที่เกิดจากการสูญเสียคอลลาเจนและพฤติกรรมก้มหน้า (Tech Neck) ซึ่งแก้ไขได้หลายวิธีตั้งแต่การฉีดโบท็อกซ์ลดริ้วรอยแนวตั้ง ไปจนถึงการร้อยไหมเพื่อยกกระชับผิวที่ให้ผลลัพธ์นาน 1-2 ปี

Table of Contents

Toggle
  • คอย่นเกิดจากอะไร? สาเหตุหลักที่ทำให้ผิวคอเหี่ยวย่น
  • เช็กสภาพผิวคอ: คุณมีปัญหาริ้วรอยและความหย่อนคล้อยระดับไหน
    • ระดับเริ่มต้น: ริ้วรอยเส้นบางๆ และผิวเริ่มขาดความชุ่มชื้น
    • ระดับปานกลาง: เส้นที่คอชัดเจนขึ้นและผิวเริ่มหย่อนคล้อย
    • ระดับรุนแรง: ร่องลึกและผิวหย่อนคล้อยมากจนเห็นได้ชัด
  • 9 วิธีแก้ปัญหาคอย่น: ตั้งแต่การดูแลตัวเองจนถึงหัตถการทางการแพทย์
    • 1. ทาครีมบำรุงและกันแดดที่คอเป็นประจำ
    • 2. ปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตและท่านอน
    • 3. นวดและบริหารกล้ามเนื้อคอเพื่อเพิ่มความกระชับ
    • 4. การทำทรีตเมนต์และผลัดเซลล์ผิว
    • 5. การฉีดโบทูลินัมท็อกซินลดรอยพับและเส้นแนวตั้ง
    • 6. การฉีดฟิลเลอร์เติมเต็มร่องลึกให้ตื้นขึ้น
    • 7. การใช้เครื่องมือกลุ่มพลังงาน (HIFU, Ulthera, Thermage)
    • 8. การร้อยไหมเพื่อยกกระชับผิวที่หย่อนคล้อย
    • 9. การผ่าตัดดึงคอสำหรับปัญหาหย่อนคล้อยรุนแรง
    • จะเลือกวิธีแก้คอย่นแบบไหนให้เหมาะกับตัวเอง?
  • ปัจจัยที่ควรพิจารณาก่อนเลือกวิธีรักษาคอย่น
    • การประเมินโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
    • ผลลัพธ์ที่คาดหวังและระยะเวลาเห็นผล
    • งบประมาณและค่าใช้จ่ายในการรักษา
  • ความเสี่ยงและข้อควรระวังในการรักษาคอย่น
  • คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการแก้ปัญหาคอย่น (FAQ)
    • ท่าบริหารลดริ้วรอยที่คอได้ผลจริงหรือไม่?
    • การทาครีมอย่างเดียวเพียงพอต่อการแก้คอย่นหรือไม่?
    • ควรเริ่มดูแลผิวบริเวณลำคอเมื่ออายุเท่าไหร่?
    • สามารถป้องกันการเกิดริ้วรอยที่คอในอนาคตได้หรือไม่?
  • References:

คอย่นเกิดจากอะไร? สาเหตุหลักที่ทำให้ผิวคอเหี่ยวย่น

คอย่นเกิดจากการเสื่อมสภาพของผิวตามวัย ร่วมกับปัจจัยภายนอกและพฤติกรรมการใช้ชีวิต ซึ่งสาเหตุหลักสามารถแบ่งได้ดังนี้

  • ปัจจัยภายใน (Intrinsic Aging): ผิวสูญเสียคอลลาเจนและอีลาสตินตามธรรมชาติ ทำให้บางลงและหย่อนคล้อย นอกจากนี้ กล้ามเนื้อบริเวณลำคอที่เรียกว่า แพลทิสมา (Platysma) จะอ่อนแอและแยกตัวออกจากกัน ทำให้เกิดเป็นเส้นแนวตั้งที่เห็นได้ชัด
  • ปัจจัยภายนอก (Extrinsic Factors):
  • แสงแดด: เป็นตัวการสำคัญที่ทำลายคอลลาเจนและอีลาสติน ทำให้ผิวเหี่ยวย่นก่อนวัย
  • พฤติกรรม “Tech Neck”: การก้มหน้ามองโทรศัพท์หรือหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นประจำ ทำให้เกิดรอยพับแนวนอนจนกลายเป็นริ้วรอยถาวร
  • ไลฟ์สไตล์อื่นๆ: การสูบบุหรี่ การดื่มน้ำไม่เพียงพอ และโภชนาการที่ไม่ดี ล้วนส่งผลให้โครงสร้างผิวเสื่อมสภาพเร็วขึ้น

เช็กสภาพผิวคอ: คุณมีปัญหาริ้วรอยและความหย่อนคล้อยระดับไหน

ระดับเริ่มต้น: ริ้วรอยเส้นบางๆ และผิวเริ่มขาดความชุ่มชื้น

สำหรับปัญหาริ้วรอยบริเวณลำคอในระดับเริ่มต้น ซึ่งมีลักษณะเป็นเส้นริ้วรอยบางๆ และผิวขาดความชุ่มชื้น การดูแลผิวที่บ้านอย่างสม่ำเสมอร่วมกับการทำหัตถการโดยผู้เชี่ยวชาญที่ไม่รุนแรง เช่น การผลัดเซลล์ผิว คือแนวทางการรักษาหลัก

  • การดูแลที่บ้าน: ควรทาครีมกันแดดในตอนกลางวัน และใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีส่วนผสมออกฤทธิ์ เช่น เรตินอยด์ เปปไทด์ และสารต้านอนุมูลอิสระ เพื่อกระตุ้นคอลลาเจนและเพิ่มความชุ่มชื้น
  • หัตถการโดยผู้เชี่ยวชาญ: การผลัดเซลล์ผิวด้วยสารเคมีที่ไม่รุนแรง (Light chemical peels) หรือการกรอผิว (Microdermabrasion) สามารถช่วยปรับสภาพผิวให้เรียบเนียนและลดเลือนริ้วรอยตื้นๆ ได้

ระดับปานกลาง: เส้นที่คอชัดเจนขึ้นและผิวเริ่มหย่อนคล้อย

สำหรับริ้วรอยที่คอระดับปานกลางซึ่งมีเส้นที่ชัดเจนและผิวเริ่มหย่อนคล้อย การรักษาที่เหมาะสมอาจเป็นการใช้อุปกรณ์พลังงาน การร้อยไหม หรือการฉีดสารต่างๆ ซึ่งมักจะให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดเมื่อใช้ร่วมกัน

  • อุปกรณ์ที่ให้พลังงาน (HIFU/RF): เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวหย่อนคล้อยเล็กน้อยถึงปานกลาง โดยจะช่วยกระตุ้นคอลลาเจนเพื่อให้ผิวกระชับขึ้น
  • การร้อยไหม: เป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่มีความหย่อนคล้อยระดับปานกลางที่ต้องการการยกกระชับที่มากกว่าการใช้อุปกรณ์ แต่ยังไม่พร้อมสำหรับการผ่าตัด
  • โบท็อกซ์: มีประสิทธิภาพในการลดเส้นแนวตั้งที่คอ (Platysmal Bands) ในระดับเล็กน้อยถึงปานกลาง
  • ฟิลเลอร์: สามารถใช้เติมเต็มริ้วรอยแนวนอนให้ดูตื้นขึ้น แต่ไม่ได้ช่วยเรื่องความหย่อนคล้อยของผิวโดยตรง

ระดับรุนแรง: ร่องลึกและผิวหย่อนคล้อยมากจนเห็นได้ชัด

การผ่าตัดดึงคอ (Platysmaplasty) ถือเป็นวิธีมาตรฐานสำหรับการรักษาริ้วรอยลำคอระดับรุนแรงที่มีผิวหย่อนคล้อยและมีร่องลึกอย่างเห็นได้ชัด

การผ่าตัดเป็นวิธีที่ให้ผลลัพธ์การเปลี่ยนแปลงได้มากที่สุด เนื่องจากเป็นการแก้ไขที่โครงสร้างโดยตรง โดยศัลยแพทย์จะทำการกำจัดผิวหนังส่วนเกินออกไป พร้อมกับเย็บกระชับกล้ามเนื้อ Platysma ที่หย่อนคล้อยหรือแยกออกจากกันให้กลับมาชิดกันดังเดิม ซึ่งช่วยแก้ปัญหาเหนียงย้วย (turkey wattle) ทำให้ลำคอเรียบเนียนและกรอบหน้าคมชัดขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยผลลัพธ์สามารถอยู่ได้นาน 5-10 ปีหรือมากกว่านั้น

9 วิธีแก้ปัญหาคอย่น: ตั้งแต่การดูแลตัวเองจนถึงหัตถการทางการแพทย์

1. ทาครีมบำรุงและกันแดดที่คอเป็นประจำ

การทาครีมกันแดดและครีมบำรุงผิวที่คอเป็นประจำทุกวัน คือหนึ่งในวิธีป้องกันริ้วรอยที่คอที่มีประสิทธิภาพที่สุด ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังแนะนำให้ใช้ครีมกันแดดในตอนเช้าเพื่อปกป้องคอลลาเจนและอีลาสตินจากรังสียูวี และใช้ครีมบำรุงที่มีส่วนผสม เช่น เรตินอยด์ เปปไทด์ และสารต้านอนุมูลอิสระ เพื่อช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและปรับปรุงสภาพผิว การดูแลผิวบริเวณลำคออย่างสม่ำเสมอโดยใช้ผลิตภัณฑ์เดียวกับที่ใช้บนใบหน้า สามารถชะลอสัญญาณแห่งวัยได้อย่างมีนัยสำคัญ

2. ปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตและท่านอน

การปรับท่าทางในชีวิตประจำวันและท่านอนสามารถช่วยป้องกันการเกิดร่องลึกถาวรที่คอได้ โดยการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้จะช่วยลดการกดทับและการพับของผิวหนังซึ่งเป็นสาเหตุของริ้วรอย

  • ท่าทางระหว่างวัน: การรักษาท่าทางให้ดี เช่น นั่งหลังตรงและให้คออยู่ในแนวเดียวกับกระดูกสันหลัง จะช่วยลดการพับของผิวหนังที่เกิดจากการก้มหน้าหรือ “คอตก” เป็นเวลานาน
  • ท่านอน: ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้นอนหงายและใช้หมอนที่มีความสูงพอดี (ประมาณ 6-8 ซม. สำหรับผู้ใหญ่) เพื่อให้คออยู่ในแนวราบ ซึ่งจะช่วยป้องกันการเกิดรอยพับลึกที่คอในระหว่างการนอนหลับ

3. นวดและบริหารกล้ามเนื้อคอเพื่อเพิ่มความกระชับ

ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่เห็นตรงกันว่าการบริหารกล้ามเนื้อคอไม่สามารถกำจัดริ้วรอยหรือความหย่อนคล้อยที่มีอยู่แล้วได้ แต่การยืดกล้ามเนื้อและการนวดเบาๆ อาจช่วยเพิ่มการไหลเวียนโลหิตและช่วยให้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวซึมซาบได้ดีขึ้น

โดยสรุปแล้ว วิธีการเหล่านี้เหมาะสำหรับการป้องกันและปรับสภาพผิวเล็กน้อย มากกว่าที่จะใช้แก้ไขความหย่อนคล้อยหรือร่องลึกอย่างเห็นได้ชัด

4. การทำทรีตเมนต์และผลัดเซลล์ผิว

การผลัดเซลล์ผิวโดยผู้เชี่ยวชาญ เช่น การทำเคมิคอลพีล (Chemical Peel) แบบอ่อนถึงปานกลาง สามารถช่วยปรับสภาพผิวและลดเลือนริ้วรอยตื้นๆ บริเวณลำคอได้ แพทย์ผิวหนังมักใช้น้ำยาที่มีกรดอ่อนๆ เช่น กรดไกลโคลิก (Glycolic Acid) หรือกรดไตรคลอโรอะซิติก (Trichloroacetic Acid) เพื่อจัดการกับสีผิวที่ไม่สม่ำเสมอและความหยาบกร้าน ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ได้เล็กน้อย

เนื่องจากผิวหนังบริเวณลำคอมีความบอบบาง การใช้พีลลิ่งที่รุนแรงเกินไปจึงมีความเสี่ยงสูงที่จะทำให้เกิดรอยดำหรือแผลหายช้า ดังนั้น การผลัดเซลล์ผิวแบบค่อยเป็นค่อยไปจึงเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยกว่า และมักใช้รักษาริ้วรอยตื้นๆ หรือความเสียหายจากแสงแดด แต่ไม่สามารถแก้ไขปัญหาริ้วรอยลึกได้ทั้งหมด

5. การฉีดโบทูลินัมท็อกซินลดรอยพับและเส้นแนวตั้ง

การฉีดโบทูลินัมท็อกซินช่วยลดเส้นแนวตั้งที่คอโดยการทำให้กล้ามเนื้อพลาทิสมา (Platysma) คลายตัว ซึ่งจะช่วยลดแรงดึงที่ทำให้เกิดรอยพับและเส้นแนวตั้งที่มองเห็นได้ชัดเจน

การฉีดโบท็อกซ์ไม่ได้ช่วยกระชับผิวโดยตรง แต่จะออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทและกล้ามเนื้อเพื่อลดการหดตัวของกล้ามเนื้อพลาทิสมา ทำให้เส้นแนวตั้งที่คอดูเรียบเนียนขึ้นและกรอบหน้าคมชัดขึ้น ซึ่งเป็นเทคนิคที่เรียกว่า “Nefertiti lift” ผลลัพธ์จะเริ่มเห็นผลภายใน 1–2 สัปดาห์ และคงอยู่ประมาณ 3–4 เดือน เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาริ้วรอยแนวตั้งระดับน้อยถึงปานกลาง

6. การฉีดฟิลเลอร์เติมเต็มร่องลึกให้ตื้นขึ้น

การฉีดฟิลเลอร์กรดไฮยาลูรอนิก (Hyaluronic Acid) ที่มีความยืดหยุ่นและอ่อนนุ่มสามารถช่วยเติมเต็มร่องลึกแนวนอนที่คอ (necklace lines) ให้ดูตื้นและเรียบเนียนขึ้นได้ ฟิลเลอร์จะเข้าไปเติมเต็มร่องริ้วร

7. การใช้เครื่องมือกลุ่มพลังงาน (HIFU, Ulthera, Thermage)

เครื่องมือกลุ่มพลังงาน เช่น HIFU และคลื่นวิทยุ (RF) ช่วยยกกระชับผิวบริเวณลำคอโดยไม่ต้องผ่าตัด ผ่านการส่งพลังงานความร้อนลงไปกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ในชั้นผิวหนังส่วนลึก

เครื่องมือทั้งสองชนิดทำงานแตกต่างกันเล็กน้อย:

  • HIFU (High-Intensity Focused Ultrasound เช่น Ultherapy): ใช้พลังงานอัลตราซาวนด์ความเข้มข้นสูงส่งไปที่ชั้นผิวหนังส่วนลึกและชั้น SMAS (ชั้นเดียวกับที่ศัลยกรรมดึงหน้า) ทำให้เกิดการยกกระชับโครงสร้างผิวและกรอบหน้าที่ชัดเจนขึ้น ผลลัพธ์จะค่อยๆ ปรากฏในช่วง 2-3 เดือน
  • คลื่นวิทยุ (Radiofrequency หรือ RF เช่น Thermage): ใช้พลังงานแม่เหล็กไฟฟ้าให้ความร้อนแก่ชั้นหนังแท้ในวงกว้างกว่า ทำให้เส้นใยคอลลาเจนหดตัวทันทีและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในระยะยาว ช่วยให้ผิวโดยรวมเรียบเนียนและกระชับขึ้น เหมาะสำหรับลดริ้วรอยเล็กๆ และผิวที่หย่อนคล้อยไม่มาก

ทั้งสองวิธีให้ผลลัพธ์การยกกระชับในระดับปานกลาง เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาความหย่อนคล้อยเล็กน้อยถึงปานกลาง และผลลัพธ์จะค่อยๆ ดีขึ้นเต็มที่ใน 2-6 เดือน

8. การร้อยไหมเพื่อยกกระชับผิวที่หย่อนคล้อย

การร้อยไหมเป็นการใช้ไหมละลายชนิด PDO, PLLA หรือ PCL สอดเข้าไปใต้ผิวหนัง เพื่อสร้างแรงยกพยุงผิวที่หย่อนคล้อยได้ทันที และกระตุ้นให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนขึ้นมาใหม่ในระยะยาว

ไหมจะค่อยๆ สลายไปในเวลาประมาณ 6-9 เดือน แต่ผลลัพธ์จากการสร้างคอลลาเจนใหม่จะช่วยให้ผิวคงความกระชับได้นาน 1-2 ปี การร้อยไหมเหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยในระดับปานกลางซึ่งยังไม่พร้อมหรือไม่จำเป็นต้องผ่าตัด

ขั้นตอนนี้ใช้เวลาไม่นาน (ประมาณ 45 นาที) และมีระยะเวลาพักฟื้นสั้น แต่ผลลัพธ์ที่ได้จะไม่ชัดเจนและไม่ถาวรเท่ากับการผ่าตัดดึงคอ

9. การผ่าตัดดึงคอสำหรับปัญหาหย่อนคล้อยรุนแรง

การผ่าตัดดึงคอ (Platysmaplasty) คือมาตรฐานสูงสุด (gold standard) สำหรับการแก้ไขปัญหาผิวหนังหย่อนคล้อยและแถบกล้ามเนื้อที่คอในระดับรุนแรง ซึ่งเป็นวิธีที่ให้ผลลัพธ์ชัดเจนและยาวนานที่สุด

  • กระบวนการ: ศัลยแพทย์จะเปิดแผลบริเวณหลังหูและใต้คาง เพื่อเย็บกล้ามเนื้อ Platysma ให้กระชับ จากนั้นจะดึงผิวหนังให้ตึงและตัดส่วนเกินออก
  • ผลลัพธ์: ช่วยให้ลำคอเรียบเนียนและกระชับขึ้นอย่างมาก กรอบหน้าคมชัดขึ้น และแก้ไขปัญหา “เหนียงไก่งวง” ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • การพักฟื้น: โดยทั่วไปใช้เวลาพักฟื้นเบื้องต้นประมาณ 1-2 สัปดาห์ แต่อาการบวมหรือรู้สึกตึงอาจคงอยู่นานหลายเดือน
  • ความคงทน: ผลลัพธ์สามารถคงอยู่ได้นาน 5-10 ปีขึ้นไป ขึ้นอยู่กับไลฟ์สไตล์และการดูแลตัวเองของแต่ละบุคคล

จะเลือกวิธีแก้คอย่นแบบไหนให้เหมาะกับตัวเอง?

การเลือกวิธีแก้คอย่นที่เหมาะสมที่สุดขึ้นอยู่กับความรุนแรงของปัญหา ซึ่งแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะประเมินจากลักษณะริ้วรอย ความหย่อนคล้อย และเส้นที่ปรากฏ เพื่อวางแผนการรักษาที่เหมาะกับแต่ละบุคคล

โดยทั่วไปสามารถแบ่งแนวทางการเลือกได้ดังนี้:

  • ริ้วรอยแนวนอน แต่ผิวไม่หย่อนคล้อยมาก: อาจพิจารณาใช้ฟิลเลอร์เพื่อเติมเต็มร่องลึก
  • เส้นแนวตั้งที่คอชัด แต่ผิวหนังยังกระชับ: สามารถใช้โบท็อกซ์เพื่อคลายกล้ามเนื้อที่เป็นสาเหตุ
  • ผิวหย่อนคล้อยเล็กน้อยถึงปานกลาง: อาจเลือกใช้เครื่องมือยกกระชับ เช่น HIFU, RF หรือการร้อยไหม
  • ผิวหย่อนคล้อยรุนแรงและมีเหนียง: การผ่าตัดดึงคอ (Neck Lift) ถือเป็นวิธีที่ได้ผลดีที่สุด

ปัจจัยที่ควรพิจารณาก่อนเลือกวิธีรักษาคอย่น

การประเมินโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

การประเมินโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่ผ่านการรับรองเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อสร้างแผนการรักษาที่ปลอดภัย เหมาะสมกับแต่ละบุคคล และให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

ผู้เชี่ยวชาญ เช่น แพทย์ผิวหนังหรือศัลยแพทย์ตกแต่ง จะช่วยในด้านต่างๆ ดังนี้:

  • การประเมินที่ครอบคลุม: แพทย์จะประเมินคุณภาพผิว, ลักษณะของแถบกล้ามเนื้อแนวตั้ง (platysmal bands), การกระจายของไขมัน และสภาวะสุขภาพโดยรวม เพื่อวางแผนการรักษาที่เหมาะสมที่สุด
  • ความปลอดภัย: เนื่องจากลำคอมีโครงสร้างที่สำคัญ แพทย์ผู้มีประสบการณ์จะทราบวิธีทำการรักษาอย่างปลอดภัย เช่น เทคนิคการฉีดที่ถูกต้องเพื่อหลีกเลี่ยงเส้นเลือดหรือเส้นประสาท
  • การวางแผนที่เหมาะสม: ผู้เชี่ยวชาญสามารถแนะนำทางเลือกที่หลากหลาย ตั้งแต่การดูแลผิวไปจนถึงการผ่าตัด และสามารถผสมผสานวิธีการรักษาต่างๆ ได้อย่างปลอดภัยเพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
  • การตั้งเป้าหมายที่เป็นจริง: แพทย์จะช่วยให้ผู้ป่วยเข้าใจถึงผลลัพธ์ที่เป็นไปได้ของแต่ละหัตถการ เพื่อให้มีความคาดหวังที่สมจริงและพึงพอใจกับผลการรักษา

ผลลัพธ์ที่คาดหวังและระยะเวลาเห็นผล

ผลลัพธ์และระยะเวลาในการเห็นผลของการรักษาคอย่นจะแตกต่างกันอย่างมาก ขึ้นอยู่กับประเภทของหัตถการที่เลือกใช้

  • โบท็อกซ์ (Botox): ช่วยให้เส้นแนวตั้งที่คอดูจางลงและกรอบหน้าคมชัดขึ้น ผลลัพธ์จะเริ่มเห็นใน 1-2 สัปดาห์ และคงอยู่ประมาณ 3-4 เดือน
  • ฟิลเลอร์ (Fillers): ช่วยเติมเต็มริ้วรอยแนวนอนให้ดูตื้นและเรียบเนียนขึ้น ผลลัพธ์คงอยู่ประมาณ 6-12 เดือน
  • เครื่องมือที่ใช้พลังงาน (HIFU/RF): ช่วยกระตุ้นคอลลาเจนเพื่อให้ผิวกระชับขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป ผลลัพธ์จะค่อยๆ ปรากฏในช่วง 2-6 เดือนหลังทำ
  • ร้อยไหม (Thread Lifts): ช่วยยกกระชับผิวได้ทันทีและจะเห็นผลชัดเจนขึ้นเมื่อคอลลาเจนถูกสร้างขึ้นใหม่ ผลลัพธ์คงอยู่ประมาณ 1-2 ปี
  • การผ่าตัดดึงคอ (Neck Lift Surgery): ให้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนและยาวนานที่สุดในการกำจัดผิวหนังส่วนเกินและกล้ามเนื้อที่หย่อนคล้อย ผลลัพธ์จะคงอยู่ได้นาน 5-10 ปีขึ้นไป แต่ต้องใช้เวลาพักฟื้นและรอให้แผลเป็นจางลงหลายเดือน

งบประมาณและค่าใช้จ่ายในการรักษา

ค่าใช้จ่ายในการรักษาคอย่นแตกต่างกันอย่างมาก ขึ้นอยู่กับประเภทของหัตถการ โดยการรักษาแบบไม่ต้องผ่าตัดจะมีค่าใช้จ่ายต่อครั้งน้อยกว่า แต่การผ่าตัดจะมีค่าใช้จ่ายเริ่มต้นสูงที่สุด

  • การฉีดโบท็อกซ์และฟิลเลอร์: มีค่าใช้จ่ายน้อยที่สุดในเบื้องต้น แต่ต้องทำซ้ำทุกๆ 3-12 เดือนเพื่อคงผลลัพธ์
  • การร้อยไหม: มีค่าใช้จ่ายสูงกว่าการฉีด แต่ยังคงน้อยกว่าการผ่าตัด
  • การผ่าตัดดึงคอ: เป็นวิธีที่มีค่าใช้จ่ายสูงที่สุด โดยในประเทศไทยอาจมีราคาถึงหลักแสนบาท แต่ให้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนและยาวนานที่สุด (5-10 ปีขึ้นไป) ซึ่งอาจคุ้มค่ากว่าในระยะยาวเมื่อเทียบกับการทำหัตถการอื่นซ้ำหลายครั้ง

ความเสี่ยงและข้อควรระวังในการรักษาคอย่น

ความเสี่ยงและข้อควรระวังในการรักษาคอย่นนั้นมีแตกต่างกันไปในแต่ละวิธี ซึ่งสามารถลดความเสี่ยงได้โดยการเลือกแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์และความเข้าใจในกายวิภาคของลำคอเป็นอย่างดี

ความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในแต่ละวิธี มีดังนี้:

  • การฉีดโบท็อกซ์ (Botox): หากฉีดผิดตำแหน่งหรือใช้ปริมาณยาที่ไม่เหมาะสม อาจทำให้กล้ามเนื้อคออ่อนแรงชั่วคราวหรือมีอาการกลืนลำบากได้
  • การฉีดฟิลเลอร์ (Fillers): มีความเสี่ยงที่จะฉีดเข้าหลอดเลือดซึ่งอาจทำให้เนื้อเยื่อตายได้ นอกจากนี้ยังอาจเกิดก้อนแข็งใต้ผิวหนังชั่วคราว
  • การร้อยไหม (Thread Lifts): ผลข้างเคียงที่พบได้บ่อยคืออาการบวม ช้ำ หรือคลำเจอปมไหม ส่วนภาวะแทรกซ้อนที่พบได้ยากคือไหมโผล่ การติดเชื้อ หรือเส้นประสาทได้รับความเสียหาย
  • เครื่องมือที่ใช้พลังงาน (HIFU/RF): ความเสี่ยงหลักคือผิวไหม้หรือเนื้อเยื่อเสียหายหากใช้พลังงานไม่ถูกต้อง และในบางกรณีที่พบได้ยาก HIFU อาจทำให้เส้นประสาทอักเสบชั่วคราวได้
  • การผ่าตัดดึงคอ (Neck Lift): มีความเสี่ยงจากการผ่าตัดทั่วไป เช่น ก้อนเลือดคั่ง (hematoma) การติดเชื้อ แผลเป็นที่ไม่สวยงาม และความเสี่ยงเฉพาะที่ เช่น การบาดเจ็บของเส้นประสาทที่ควบคุมการเคลื่อนไหวของริมฝีปากล่าง ซึ่งส่วนใหญ่มักเป็นอาการชั่วคราว

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการแก้ปัญหาคอย่น (FAQ)

ท่าบริหารลดริ้วรอยที่คอได้ผลจริงหรือไม่?

ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่เห็นตรงกันว่าท่าบริหารไม่สามารถกำจัดริ้วรอยหรือความหย่อนคล้อยที่มีอยู่แล้วได้ และในบางกรณี การบริหารกล้ามเนื้อคอมากเกินไปอาจทำให้เกิดริ้วรอยได้

อย่างไรก็ตาม การยืดกล้ามเนื้อเบาๆ และการนวดอาจช่วยเพิ่มการไหลเวียนโลหิตและช่วยให้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวซึมซาบได้ดีขึ้น โดยควรทำอย่างนุ่มนวลเพื่อเป็นมาตรการเสริมสำหรับการป้องกันและปรับสภาพผิวเล็กน้อยเท่านั้น ไม่สามารถแก้ไขความหย่อนคล้อยหรือรอยพับลึกที่เกิดขึ้นแล้วได้

การทาครีมอย่างเดียวเพียงพอต่อการแก้คอย่นหรือไม่?

การทาครีมอย่างเดียว ไม่เพียงพอต่อการแก้ไขปัญหาริ้วรอยที่คอที่รุนแรง เนื่องจากไม่สามารถจัดการกับการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง เช่น กล้ามเนื้อหย่อนคล้อยหรือไขมันได้

ครีมบำรุง เช่น เรตินอยด์และสารต้านอนุมูลอิสระ มีความสำคัญอย่างยิ่งในการป้องกันและบำรุงรักษาผิว แต่สำหรับรอยพับลึกหรือผิวหนังที่หย่อนคล้อยมากจำเป็นต้องใช้วิธีการรักษาโดยผู้เชี่ยวชาญ เช่น เลเซอร์ การฉีดสารเติมเต็ม หรือการผ่าตัด เพื่อให้เห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน

ควรเริ่มดูแลผิวบริเวณลำคอเมื่ออายุเท่าไหร่?

ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังแนะนำให้เริ่มดูแลผิวบริเวณลำคออย่างจริงจังในช่วงอายุ 20 หรือ 30 ปี การเริ่มต้นดูแลแต่เนิ่นๆ จะช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยลึกและสัญญาณแห่งวัยอื่นๆ ได้อย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากการป้องกันนั้นง่ายกว่าการแก้ไขในภายหลัง

สามารถป้องกันการเกิดริ้วรอยที่คอในอนาคตได้หรือไม่?

ใช่, สามารถป้องกันหรือชะลอการเกิดริ้วรอยที่คอได้อย่างมีนัยสำคัญ

การเริ่มต้นดูแลป้องกันตั้งแต่อายุ 20 หรือ 30 ปี ถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุด โดยมาตรการหลักๆ ได้แก่ การทาครีมกันแดดทุกวัน การใช้มอยส์เจอไรเซอร์ที่มีส่วนผสมออกฤทธิ์ เช่น เรตินอยด์และสารต้านอนุมูลอิสระ และการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต เช่น การรักษาท่าทางที่ดี และการนอนในท่าที่เหมาะสมเพื่อลดการกดทับผิวหนังบริเวณคอ

References:

  1. PubMed, 2025, pubmed.ncbi.nlm.nih.gov
  2. National Institutes of Health, 2025, ncbi.nlm.nih.gov
  3. Cosmoderma, 2025, cosmoderma.org
  4. Cleveland Clinic, 2025, clevelandclinic.org
  5. Medical News Today, 2025, medicalnewstoday.com

แนะแนวเรื่อง

Previous Previous
ดื้อโบท็อก คืออะไร? เกิดจากสาเหตุใด มีวิธีแก้ไขและป้องกันอย่างไร

สาขาพรีวาโต คลินิก

    สาขาอโศก ตั้งอยู่ที่ ชั้น 2 อาคารมิดทาวน์
    Phone: 02-258-4050 , 081-841-5075
    สาขาสีลม ตั้งอยู่ที่ ชั้น 1 อาคารซี.พี.ทาวเวอร์
    Phone: 02-780-2011 , 098-272-5244
    สาขาราชพฤกษ์ ตั้งอยู่ที่ ชั้น 2 ศูนย์การค้า เดอะคริสตัล เอสบี (ด้านบนร้านสตาร์บัคส์)
    Phone: 02-102-2778 , 098-272-5244

ติดต่อเรา

    Facebook: Privato Clinic
    Messenger: Privato Clinic
    Instagram: privatoclinic
    Email: privatoclinic@gmail.com
    Line: @privatoclinic

Copyright© 2022-2024. All Rights Reserved

Scroll to top
  • หน้าหลัก
  • เกี่ยวกับพรีวาโต
  • บริการทั้งหมด
    • ชะลอวัย
    • ยกกระชับผิว
      • XERF
      • Potenza
      • Sofwave
      • Ulthera
      • Thermage-FLX
    • รักษาสิว
    • เลเซอร์
    • โปรแกรมฉีด
    • บำรุงผิว
  • บทความ
    • สิว
    • ยกกระชับ
    • ดูแลผิว
    • ทำเลเซอร์
  • ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว
  • โปรโมชั่น
  • ผลลัพธ์การรักษา
  • วิดีโอรีวิวจากเคสจริง
  • สาขาของเรา
  • ไทย
    • ไทย
    • English
    • 中文 (中国)
  • ปรึกษาแพทย์
Facebook Instagram YouTube