ฉีดฟิลเลอร์ปาก ราคาเท่าไหร่ ใช้กี่ CC อยู่ได้นานแค่ไหน | คู่มือเริ่มต้น

ฟิลเลอร์ปาก คือการฉีดสารเติมเต็มประเภทกรดไฮยาลูรอนิกเพื่อเพิ่มปริมาตรและปรับรูปทรงริมฝีปากให้อวบอิ่มขึ้น โดยผลลัพธ์สามารถคงอยู่ได้นาน 6 ถึง 18 เดือน และสามารถสร้างสรรค์ทรงปากยอดนิยมอย่างทรงเกาหลีได้
ฟิลเลอร์ปากคืออะไร และเหมาะกับใครบ้าง
ฟิลเลอร์ปากคือสารเติมเต็มประเภทกรดไฮยาลูรอนิก (Hyaluronic Acid หรือ HA) ที่ฉีดเข้าไปในริมฝีปาก เพื่อเพิ่มปริมาตร ความอวบอิ่ม และปรับรูปทรงให้สวยงาม โดยสาร HA จะช่วยกักเก็บน้ำ ทำให้ริมฝีปากดูชุ่มชื้นและเต่งตึงขึ้น
ฟิลเลอร์ปากเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการแก้ไขปัญหาริมฝีปากหรือเสริมความงาม โดยผู้ที่เหมาะสมควรมีคุณสมบัติดังนี้
- ผู้ที่ต้องการฟื้นฟูริมฝีปากที่สูญเสียปริมาตรไปตามวัย หรือผู้ที่ต้องการเสริมรูปทรงริมฝีปากให้สวยงามยิ่งขึ้น
- ผู้ที่มีสุขภาพโดยรวมดี ไม่มีโรคประจำตัวที่ควบคุมไม่ได้ และไม่มีการติดเชื้อบริเวณริมฝีปาก เช่น เริม
- ผู้ที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป ซึ่งโครงสร้างใบหน้าและริมฝีปากเจริญเติบโตเต็มที่แล้ว
- ผู้ที่มีความคาดหวังต่อผลลัพธ์ที่สมจริง และเข้าใจว่าผลลัพธ์ไม่ถาวร
ลักษณะปัญหาปากที่สามารถแก้ไขได้ด้วยฟิลเลอร์
ฟิลเลอร์ปากสามารถแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับวัยและความงามได้หลากหลาย ตั้งแต่การคืนความอวบอิ่มที่หายไป เพิ่มความคมชัดให้ขอบปาก เติมเต็มริ้วรอยเล็กๆ และยกมุมปากที่ตก
นอกจากนี้ ฟิลเลอร์ยังสามารถแก้ไขลักษณะปัญหาอื่นๆ ได้ดังนี้:
- การสูญเสียความอวบอิ่ม: ฟิลเลอร์ช่วยฟื้นฟูริมฝีปากที่บางลงตามวัยให้กลับมาเต็มอิ่ม
- มุมปากตก: ช่วยพยุงและยกมุมปากขึ้น ทำให้ใบหน้าดูสดใสขึ้น
- ริ้วรอยรอบริมฝีปาก: สามารถเติมเต็มร่องลึกและริ้วรอยเล็กๆ (smoker’s lines) ให้เรียบเนียน
- ขอบปากไม่ชัด: ช่วยสร้างขอบปากให้คมชัดและได้รูปทรงมากขึ้น
- รูปทรงปากเปลี่ยนไป: แก้ไขรูปทรงปากกระจับ (Cupid’s bow) ที่แบนลง และปัญหาริมฝีปากที่ม้วนเข้าด้านในเนื่องจากการสูญเสียโครงสร้างกระดูกรองรับ
ใครที่ไม่เหมาะกับการฉีดฟิลเลอร์ปาก: ข้อห้ามและข้อควรระวัง
ผู้ที่ไม่เหมาะกับการฉีดฟิลเลอร์ปากคือ ผู้ที่มีการติดเชื้อบริเวณริมฝีปาก, สตรีมีครรภ์หรือให้นมบุตร, ผู้ที่แพ้ส่วนประกอบของฟิลเลอร์, และผู้ที่มีความคาดหวังไม่สมจริง
นอกจากนี้ ยังมีข้อห้ามและข้อควรระวังสำหรับกลุ่มอื่นๆ ดังนี้:
- ผู้ที่มีการติดเชื้อ: หากมีเริม สิวอักเสบ แผล หรือการติดเชื้อในช่องปาก ควรรักษาให้หายก่อน
- สตรีมีครรภ์และให้นมบุตร: เป็นข้อห้ามทั่วไปเนื่องจากยังไม่มีการศึกษาด้านความปลอดภัยที่เพียงพอ
- ผู้ที่มีประวัติการแพ้: ผู้ที่แพ้ส่วนประกอบในฟิลเลอร์ เช่น กรดไฮยาลูรอนิก (HA) หรือยาชา (Lidocaine) รวมถึงผู้ที่มีประวัติแพ้อย่างรุนแรง (Anaphylaxis) ควรหลีกเลี่ยง
- ผู้ที่มีโรคประจำตัวบางชนิด: ผู้ป่วยโรคแพ้ภูมิตัวเองที่ควบคุมอาการไม่ได้, ผู้ที่มีภาวะเลือดออกผิดปกติ หรือผู้ที่ทานยากดภูมิคุ้มกัน ควรปรึกษาแพทย์อย่างละเอียดก่อนทำ
- ผู้ที่มีสภาพจิตใจไม่พร้อม: ผู้ที่มีภาวะไม่พอใจในรูปลักษณ์ของตนเอง (Body Dysmorphic Disorder – BDD) หรือมีความคาดหวังต่อผลลัพธ์ที่ไม่สมจริง อาจไม่เหมาะกับการฉีดฟิลเลอร์
เลือกฟิลเลอร์ยี่ห้อไหนดีให้เหมาะกับทรงปากที่ต้องการ
เปรียบเทียบฟิลเลอร์ปาก 3 ยี่ห้อชั้นนำที่คลินิกเลือกใช้
ฟิลเลอร์ปาก 3 ยี่ห้อชั้นนำที่นิยมใช้ในคลินิกคือ Juvéderm, Restylane และ Belotero ซึ่งแต่ละยี่ห้อมีเทคโนโลยีและคุณสมบัติที่แตกต่างกัน ทำให้เหมาะกับความต้องการในการปรับรูปทรงริมฝีปากที่หลากหลาย
- Juvéderm (สหรัฐอเมริกา): มีชื่อเสียงด้านเนื้อเจลที่เรียบเนียนและยืดหยุ่นสูงด้วยเทคโนโลยี Vycross เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเพิ่มความอวบอิ่มให้ริมฝีปากดูเป็นธรรมชาติและนุ่มฟู
- Restylane (สวีเดน): เป็นแบรนด์ที่มีผลิตภัณฑ์หลากหลาย โดยเฉพาะรุ่น Kysse ที่ใช้เทคโนโลยี XpresHAn (OBT) ซึ่งออกแบบมาเพื่อให้ฟิลเลอร์เคลื่อนไหวไปพร้อมกับริมฝีปากได้อย่างเป็นธรรมชาติ ทำให้ผลลัพธ์ดูไม่แข็งและเป็นที่นิยมอย่างสูง
- Belotero (เยอรมนี): โดดเด่นด้วยเทคโนโลยี CPM ที่ทำให้เนื้อเจลมีความเรียบเนียนและผสานเข้ากับเนื้อเยื่อได้ดีเป็นพิเศษ ช่วยลดโอกาสการเกิดก้อนหรือเป็นลำ เหมาะสำหรับการเติมเต็มเพื่อเพิ่มปริมาตรและให้ผลลัพธ์ที่ดูสม่ำเสมอ
ทรงปากยอดนิยม: ทรงเกาหลี ปากกระจับ และสายฝอ
ทรงปากยอดนิยมมี 3 สไตล์หลัก ได้แก่ ทรงเกาหลี (Cherry Lips) ที่เน้นความอวบอิ่มตรงกลาง, ปากกระจับ (Russian Doll Lips) ที่เน้นขอบปากบนให้คมชัด และทรงสายฝอที่เน้นความอวบอิ่มทั่วทั้งริมฝีปาก
แต่ละสไตล์มีลักษณะเด่นดังนี้:
- ทรงเกาหลี (Cherry Lips): เป็นเทรนด์ที่เน้นการเติมฟิลเลอร์เฉพาะส่วนกลางของริมฝีปากบนและล่างให้ดูอวบอิ่มคล้ายผลเชอร์รี่ 2 คู่ โดยจะปล่อยให้มุมปากดูเรียวเล็กตามธรรมชาติ ทำให้ได้ลุคที่ดูอ่อนเยาว์ น่ารัก และเป็นธรรมชาติ
- ปากกระจับ (Russian Doll Lips): เป็นเทคนิคที่เน้นการสร้างขอบปากบนให้มีความโค้งและแหลมคมชัดเจนเหมือนรูปตัว M หรือปีกนก คล้ายกับปากของตุ๊กตารัสเซีย เทคนิคนี้จะช่วยยกริมฝีปากให้ดูสูงและเป็นทรงมากขึ้น ทำให้ใบหน้าดูมีมิติและสวยหวาน
- ทรงสายฝอ (Western Style): สไตล์นี้จะเน้นการเติมฟิลเลอร์ให้ริมฝีปากดูอวบอิ่มและเต็มทั่วทั้งริมฝีปากบนและล่าง เพื่อให้ได้ลุคที่ดูเซ็กซี่ มีความคมชัด และโดดเด่น มักจะให้ความสำคัญกับปริมาณและความอิ่มฟูของริมฝีปากโดยรวม
หลักเกณฑ์การเลือกยี่ห้อและรุ่นฟิลเลอร์โดยแพทย์
แพทย์จะเลือกยี่ห้อและรุ่นของฟิลเลอร์โดยพิจารณาจากลักษณะทางกายวิภาคของริมฝีปากผู้ป่วยและผลลัพธ์ที่ต้องการเป็นหลัก โดยมีเกณฑ์การพิจารณาที่สำคัญดังนี้
- ลักษณะริมฝีปาก: สำหรับริมฝีปากบาง แพทย์มักเลือกใช้ฟิลเลอร์เนื้อนิ่มและเบาเพื่อความเป็นธรรมชาติและลดการเกิดก้อน ในขณะที่ริมฝีปากหนาสามารถใช้ฟิลเลอร์ที่เนื้อแน่นขึ้นเพื่อสร้างทรงที่ชัดเจนได้
- ผลลัพธ์ที่ต้องการ: หากผู้ป่วยต้องการริมฝีปากที่ดูนุ่มฟู แพทย์จะเลือกฟิลเลอร์ที่มีความยืดหยุ่นสูง แต่หากต้องการขอบปากที่คมชัด อาจเลือกใช้ฟิลเลอร์ที่เนื้อแน่นขึ้นเล็กน้อยเพื่อคงรูปทรงได้ดี
- คุณสมบัติของฟิลเลอร์: แพทย์จะพิจารณาคุณสมบัติทางเทคนิค เช่น ค่า G’ (ความแน่น) และ Cohesivity (การเกาะตัวของเนื้อฟิลเลอร์) เพื่อให้เหมาะกับบริเวณที่ฉีดและเป้าหมายที่ต้องการ
- เทคนิคการฉีด: ในบางกรณี แพทย์อาจใช้ฟิลเลอร์มากกว่าหนึ่งชนิดในบริเวณต่างๆ ของริมฝีปาก เช่น ใช้ฟิลเลอร์เนื้อยืดหยุ่นสำหรับเติมเต็ม และใช้ฟิลเลอร์เนื้อแน่นเพื่อยกมุมปาก
ราคาฟิลเลอร์ปาก: ต้องใช้กี่ CC และผลลัพธ์อยู่ได้นานแค่ไหน
ปัจจัยกำหนดราคา: ยี่ห้อ ปริมาณ และประสบการณ์ของแพทย์
ราคาของการฉีดฟิลเลอร์ปากขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ได้แก่ ยี่ห้อของฟิลเลอร์ ประสบการณ์ของแพทย์ สถานที่ตั้งของคลินิก และโปรโมชั่นต่างๆ
ปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อราคามีดังนี้:
- ยี่ห้อฟิลเลอร์: แบรนด์พรีเมียมที่นำเข้า เช่น Restylane หรือ Juvéderm มักมีราคาสูงกว่า (ประมาณ 9,000–14,000 บาทต่อซีซี) ในขณะที่แบรนด์ที่ไม่เป็นที่รู้จักอาจมีราคาถูกกว่า
- ประสบการณ์ของแพทย์และชื่อเสียงของคลินิก: แพทย์ที่มีประสบการณ์สูงและคลินิกที่มีชื่อเสียงอาจคิดค่าบริการสูงกว่าสำหรับทักษะและความเชี่ยวชาญ
- สถานที่ตั้ง: คลินิกในกรุงเทพฯ และเมืองท่องเที่ยวมักมีราคาสูงกว่าคลินิกในจังหวัดอื่นๆ เนื่องจากความต้องการและค่าใช้จ่ายที่สูงกว่า
- โปรโมชั่นและแพ็กเกจ: หลายคลินิกเสนอโปรโมชั่นหรือแพ็กเกจส่วนลดเมื่อซื้อฟิลเลอร์หลายซีซีพร้อมกัน
ปริมาณฟิลเลอร์ (CC) ที่แนะนำสำหรับแต่ละทรงปาก
ปริมาณฟิลเลอร์ที่แนะนำจะแตกต่างกันไปตามทรงปากที่ต้องการ โดยทั่วไปจะอยู่ที่ประมาณ 0.5-2 CC
- ปากทรงเชอร์รี่ (Cherry Lips): ใช้ฟิลเลอร์ประมาณ 1 CC หรือน้อยกว่า เพื่อสร้างความอวบอิ่มบริเวณกลางริมฝีปาก
- ปากทรงธรรมชาติ (Natural Look): ใช้ฟิลเลอร์ประมาณ 0.5 – 1.5 CC เพื่อเพิ่มความอวบอิ่มเล็กน้อยและปรับรูปทรงให้สมดุล
- ปากทรงรัสเซียนดอลล์ (Russian Doll Pout): อาจต้องใช้ฟิลเลอร์ 1.5 – 2 CC ซึ่งมักจะแบ่งทำ 2 ครั้ง เพื่อยกริมฝีปากให้สูงและมีขอบที่คมชัด
ความคงทนของผลลัพธ์และการฉีดเติมเพื่อรักษาทรง
โดยทั่วไป ผลลัพธ์ของฟิลเลอร์ปากจะคงอยู่ได้นานประมาณ 6 ถึง 18 เดือน แต่ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักจะกลับมาฉีดเติมเพื่อรักษาผลลัพธ์ไว้ที่ประมาณ 9 ถึง 12 เดือน
ปัจจัยหลายอย่างมีผลต่อระยะเวลาที่ฟิลเลอร์จะคงอยู่ ได้แก่
- ชนิดของฟิลเลอร์: ผลิตภัณฑ์รุ่นใหม่ๆ เช่น Juvéderm Volbella และ Restylane Kysse มักจะอยู่ได้นานถึง 12 เดือน ในขณะที่ฟิลเลอร์ที่นิ่มกว่าอาจอยู่ได้ประมาณ 6 เดือน
- อัตราการเผาผลาญของแต่ละบุคคล: ผู้ที่มีอัตราการเผาผลาญสูง เช่น นักกีฬาหรือผู้ที่สูบบุหรี่ ฟิลเลอร์อาจสลายตัวเร็วกว่า
- ปริมาณที่ฉีด: การฉีดในปริมาณที่มากกว่าอาจใช้เวลาสลายตัวนานกว่าเล็กน้อย
- การทำทรีตเมนต์ซ้ำ: ผลลัพธ์อาจอยู่ได้นานขึ้นหลังจากการฉีดหลายครั้ง เนื่องจากฟิลเลอร์สามารถกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนของร่างกายได้
ขั้นตอนการฉีดฟิลเลอร์ปากและการดูแลตัวเองหลังทำ
การเตรียมตัวก่อนเข้ารับบริการฉีดฟิลเลอร์ปาก
การเตรียมตัวก่อนฉีดฟิลเลอร์ปากที่สำคัญคือการปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินความพร้อม งดยาและอาหารเสริมบางชนิดที่อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดรอยช้ำ และเตรียมผิวให้สะอาดในวันนัด
เพื่อให้การฉีดฟิลเลอร์เป็นไปอย่างราบรื่นและปลอดภัย ควรปฏิบัติตามคำแนะนำต่อไปนี้:
- ปรึกษาแพทย์: แจ้งประวัติสุขภาพและโรคประจำตัว โดยเฉพาะประวัติการเป็นโรคเริม (cold sores) เพื่อให้แพทย์พิจารณาให้ยาป้องกันก่อนทำหัตถการ
- งดยาและอาหารเสริม: หยุดใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือด เช่น แอสไพรินและไอบูโพรเฟน รวมถึงอาหารเสริมที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด เช่น น้ำมันปลา วิตามินอี แปะก๊วย และกระเทียม เป็นเวลาประมาณ 5-7 วันก่อนฉีด
- งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์: หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์อย่างน้อย 24-48 ชั่วโมงก่อนการฉีด เพื่อลดความเสี่ยงของอาการบวมและรอยช้ำ
- เตรียมตัวในวันฉีด: มาถึงคลินิกด้วยใบหน้าที่สะอาดปราศจากเครื่องสำอาง ซึ่งทางคลินิกจะทำความสะอาดฆ่าเชื้อบริเวณริมฝีปากและทายาชาเฉพาะที่ให้ก่อนเริ่มขั้นตอนการฉีด
สิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างการฉีด: ใช้เวลาเท่าไหร่ เจ็บไหม
ขั้นตอนการฉีดฟิลเลอร์ปากใช้เวลาประมาณ 15–30 นาที และความเจ็บปวดอยู่ในระดับที่ทนได้ โดยผู้ป่วยส่วนใหญ่ให้คะแนนความเจ็บปวดประมาณ 3-5 จาก 10 เมื่อใช้ยาชาเฉพาะที่
ก่อนการฉีดจะมีการทายาชาเพื่อลดความรู้สึก และฟิลเลอร์หลายยี่ห้อก็มีส่วนผสมของยาชาอยู่แล้ว ความรู้สึกระหว่างฉีดมักถูกอธิบายว่าเหมือนการหยิกหรือมีแรงกดเบาๆ สำหรับผู้ที่กังวลเรื่องความเจ็บมากเป็นพิเศษ สามารถเลือกใช้การฉีดยาชาแบบบล็อกเส้นประสาท (Dental Block) เพื่อให้ริมฝีปากชาสนิทและไม่รู้สึกเจ็บเลยก็ได้
การดูแลหลังฉีดทันทีและในช่วง 1-2 สัปดาห์แรก
การดูแลหลังฉีดฟิลเลอร์ปากทันทีคือ การประคบเย็นเพื่อลดบวม หลีกเลี่ยงการสัมผัสรุนแรง ความร้อน แอลกอฮอล์ และการออกกำลังกายหนักเป็นเวลา 24 ชั่วโมง
การดูแลทันที (24-48 ชั่วโมงแรก):
- ประคบเย็น: ใช้เจลเย็นหรือน้ำแข็งประคบเบาๆ เพื่อลดอาการบวมและช้ำ
- หลีกเลี่ยงการสัมผัส: งดการกด นวด หรือถูบริเวณริมฝีปากแรงๆ รวมถึงการจูบอย่างหนัก
- งดกิจกรรมบางอย่าง: หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนัก, การดื่มแอลกอฮอล์, และการสัมผัสความร้อนสูง เช่น ซาวน่า หรืออาบน้ำร้อนจัด
- งดแต่งหน้า: ไม่ควรทาลิปสติกหรือเครื่องสำอางบริเวณริมฝีปากอย่างน้อย 24 ชั่วโมง เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ
- อาหารและเครื่องดื่ม: หลีกเลี่ยงอาหารและเครื่องดื่มที่ร้อนจัดหรือเผ็ดจัด และงดใช้หลอดดูดในวันแรก
การฟื้นตัวในช่วง 1-2 สัปดาห์:
- 1-3 วันแรก: เป็นช่วงที่ริมฝีปากจะบวมมากที่สุด อาจรู้สึกตึงหรือเป็นก้อนเล็กน้อย ซึ่งเป็นเรื่องปกติ
- 3-5 วัน: อาการบวมจะเริ่มลดลงอย่างเห็นได้ชัด
- 1 สัปดาห์: อาการบวมและรอยช้ำส่วนใหญ่จะหายไป ริมฝีปากจะเริ่มนุ่มขึ้น
- 2 สัปดาห์: ฟิลเลอร์จะเข้าที่และเห็นผลลัพธ์สุดท้าย อาการบวมและก้อนเล็กๆ จะหายไปหมด สามารถกลับไปทำกิจกรรมทุกอย่างได้ตามปกติ และเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสำหรับการนัดติดตามผลกับแพทย์
ปัจจัยสำคัญที่ต้องพิจารณาก่อนตัดสินใจฉีดฟิลเลอร์ปาก
วิธีเลือกคลินิกและแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่น่าเชื่อถือ
การเลือกคลินิกและแพทย์ที่น่าเชื่อถือควร เลือกแพทย์ที่มีใบประกอบวิชาชีพและมีความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง เช่น แพทย์ผิวหนังหรือศัลยแพทย์ตกแต่ง ซึ่งปฏิบัติงานในสถานพยาบาลที่สะอาดและได้มาตรฐาน
ปัจจัยสำคัญในการพิจารณาเพิ่มเติม ได้แก่:
- ประสบการณ์ของแพทย์: ควรสอบถามเกี่ยวกับประสบการณ์ของแพทย์โดยตรงว่าทำการฉีดฟิลเลอร์ปากบ่อยเพียงใด
- ความพร้อมในการจัดการภาวะแทรกซ้อน: คลินิกที่น่าเชื่อถือควรมีเอนไซม์ไฮยาลูโรนิเดส (Hyaluronidase) เตรียมพร้อมไว้เสมอสำหรับใช้ในกรณีฉุกเฉิน
- ผลิตภัณฑ์ที่ใช้: ต้องมั่นใจว่าคลินิกใช้ฟิลเลอร์ของแท้ที่ผ่านการรับรองจากอย.
- หลีกเลี่ยงผู้ที่ไม่ใช่แพทย์: ห้ามฉีดฟิลเลอร์กับผู้ที่ไม่ใช่บุคลากรทางการแพทย์ หรือในสถานที่ที่ไม่ใช่คลินิกที่ถูกสุขลักษณะโดยเด็ดขาด
การประเมินความคาดหวังที่เป็นจริงกับผลลัพธ์
การประเมินความคาดหวังที่เป็นจริงเป็นส่วนสำคัญของกระบวนการให้คำปรึกษา เพื่อให้แน่ใจว่าผู้ป่วยจะพึงพอใจกับผลลัพธ์
แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะอธิบายถึงผลลัพธ์ที่เป็นไปได้ตามโครงสร้างริมฝีปากเดิมของผู้ป่วย และพิจารณาสัดส่วนของใบหน้าโดยรวมเพื่อให้ผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติและสมดุล ตัวอย่างเช่น ผู้ที่มีริมฝีปากบางมากจะได้รับการปรับปรุงให้ดีขึ้น แต่ไม่สามารถทำให้ดูอวบอิ่มมากเกินไปในครั้งเดียวได้ นอกจากนี้ แพทย์จะสื่อสารให้เข้าใจถึงผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น เช่น อาการบวมและระยะเวลาพักฟื้น เพื่อป้องกันความไม่พอใจที่เกิดจากความเข้าใจผิด
การฉีดสลายฟิลเลอร์: ทางเลือกเมื่อผลลัพธ์ไม่เป็นที่พอใจ
การฉีดสลายฟิลเลอร์จะใช้เอนไซม์ไฮยาลูโรนิเดส (Hyaluronidase) ซึ่งเป็นสารที่สามารถย่อยสลายฟิลเลอร์ประเภทกรดไฮยาลูรอนิก (Hyaluronic Acid: HA) ได้โดยเฉพาะ เอนไซม์นี้จะเข้าไปทำลายโครงสร้างของฟิลเลอร์ ทำให้ฟิลเลอร์เปลี่ยนสภาพจากเจลเป็นของเหลวเพื่อให้ร่างกายดูดซึมและกำจัดออกไป โดยจะเริ่มทำงานภายในไม่กี่นาทีและเห็นผลชัดเจนภายใน 24 ชั่วโมง
การฉีดสลายฟิลเลอร์มักทำในกรณีต่อไปนี้
- ภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์: เช่น การอุดตันของหลอดเลือด ซึ่งต้องได้รับการแก้ไขทันทีเพื่อป้องกันเนื้อเยื่อเสียหาย
- ผลลัพธ์ไม่เป็นที่พอใจ: เช่น ฉีดฟิลเลอร์มากเกินไป, รูปทรงไม่สวยงาม, เป็นก้อน หรือไม่สมมาตร
- ภาวะแทรกซ้อนระยะยาว: เช่น การเกิดก้อนแข็งหรือก้อนอักเสบ (Granulomas) ที่ไม่หายไปเอง
ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นและวิธีรับมือเบื้องต้น
อาการบวม ช้ำ และเป็นก้อน: แบบไหนปกติหรือไม่ปกติ
อาการบวม รอยช้ำ และการคลำเจอก้อนเล็กๆ ที่จะนิ่มลงเองถือเป็นอาการปกติหลังฉีดฟิลเลอร์ปาก แต่หากมีอาการปวดรุนแรง สีผิวเปลี่ยนเป็นสีขาวซีดหรือม่วงคล้ำ ถือเป็นสัญญาณอันตรายที่ต้องรีบพบแพทย์ทันที
อาการที่พบได้ทั่วไปและถือว่า ปกติ ได้แก่:
- อาการบวม: เป็นอาการที่พบได้บ่อยที่สุด โดยจะบวมมากในช่วง 2-3 วันแรก และจะค่อยๆ ยุบลงจนเข้าที่ในเวลาประมาณ 1-2 สัปดาห์
- รอยช้ำ: สามารถเกิดขึ้นได้บริเวณที่ฉีดและจะค่อยๆ จางหายไปเองภายใน 7-10 วัน
- ก้อนเล็กๆ: การคลำเจอก้อนเล็กๆ หรือรู้สึกว่าปากแข็งๆ ในช่วงสัปดาห์แรกเป็นเรื่องปกติ ซึ่งจะค่อยๆ นิ่มและเรียบเนียนไปเองเมื่อฟิลเลอร์เข้าที่
อาการที่ถือว่า ไม่ปกติ และเป็นสัญญาณเตือนที่ควรติดต่อแพทย์ทันที ได้แก่:
- อาการปวดรุนแรง: ปวดมากผิดปกติและปวดขึ้นเรื่อยๆ ไม่ทุเลาลง
- สีผิวเปลี่ยนไป: ริมฝีปากหรือผิวหนังบริเวณใกล้เคียงเปลี่ยนเป็นสีขาวซีด ม่วง หรือดำคล้ำ ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของการอุดตันในหลอดเลือด
- ก้อนที่อักเสบ: ก้อนที่มีลักษณะแดง ร้อน ปวด หรือขยายขนาดใหญ่ขึ้น อาจเป็นสัญญาณของการติดเชื้อ
- อาการบวมผิดปกติ: บวมมากอย่างรวดเร็ว หรือมีอาการบวมร่วมกับหายใจลำบาก ซึ่งอาจเป็นอาการแพ้รุนแรง
- การมองเห็นผิดปกติ: หากมีอาการตาพร่ามัวหรือการมองเห็นเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน
สัญญาณอันตรายที่ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที
สัญญาณอันตรายที่ต้องรีบปรึกษาแพทย์ทันที ได้แก่ อาการปวดรุนแรงผิดปกติ, ริมฝีปากหรือผิวหนังเปลี่ยนเป็นสีขาวซีดหรือคล้ำ, การมองเห็นผิดปกติ, และอาการบวมอย่างรุนแรงร่วมกับหายใจลำบาก
หากพบอาการเหล่านี้หลังฉีดฟิลเลอร์ปาก ควรรีบติดต่อคลินิกหรือพบแพทย์โดยด่วน:
- อาการปวดรุนแรงเฉียบพลัน: ปวดมากเกินกว่าปกติ หรือปวดมากขึ้นเรื่อยๆ
- การเปลี่ยนแปลงของสีผิว: ริมฝีปากหรือผิวหนังโดยรอบมีสีขาวซีด (Blanching) หรือเปลี่ยนเป็นสีม่วงคล้ำ ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของหลอดเลือดอุดตัน
- ปัญหาด้านการมองเห็น: ปวดตา, มองเห็นภาพเบลอ, หรือการมองเห็นเปลี่ยนแปลงกะทันหัน
- อาการทางระบบประสาท: อ่อนแรง, ชาบริเวณใบหน้า แขน หรือขา, หรือพูดลำบาก
- อาการแพ้อย่างรุนแรง: มีอาการบวมมากผิดปกติ, เป็นลมพิษทั่วตัว, หรือหายใจลำบาก
- สัญญาณการติดเชื้อ: มีไข้, ผิวหนังแดงและร้อนลุกลาม
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการฉีดฟิลเลอร์ปาก
ฟิลเลอร์ปาก 1 cc ราคาประมาณเท่าไหร่?
ราคาฟิลเลอร์ปาก 1 cc โดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 8,000–12,000 บาท สำหรับฟิลเลอร์กรดไฮยาลูรอนิก (HA) คุณภาพสูงที่ผ่านการรับรองจาก อย.
ราคาอาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ เช่น:
- ยี่ห้อฟิลเลอร์: แบรนด์พรีเมียมนำเข้า เช่น Restylane หรือ Juvéderm อาจมีราคาสูงถึง 9,000–14,000 บาทต่อ cc
- โปรโมชั่นและคลินิก: บางคลินิกอาจมีโปรโมชั่นเริ่มต้นที่ประมาณ 5,900 บาทต่อ cc
- ชื่อเสียงของคลินิกและประสบการณ์ของแพทย์: คลินิกที่มีชื่อเสียงและแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอาจมีราคาสูงกว่า
ควรระวังข้อเสนอราคาที่ถูกเกินไป เพราะอาจเป็นฟิลเลอร์ที่ไม่ได้มาตรฐานหรือของปลอมได้
ฉีดฟิลเลอร์ปาก อยู่ได้นานแค่ไหน?
โดยทั่วไปแล้วฟิลเลอร์ปากจะอยู่ได้นานประมาณ 6-12 เดือน แต่ฟิลเลอร์บางรุ่นอาจอยู่ได้นานถึง 18 เดือน ทั้งนี้ระยะเวลาจะขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง
ปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อระยะเวลาของฟิลเลอร์ปาก ได้แก่:
- ยี่ห้อและรุ่นของฟิลเลอร์: ฟิลเลอร์รุ่นใหม่ๆ ที่มีความหนาแน่นสูง เช่น Restylane Kysse หรือ Juvéderm Volbella มักจะอยู่ได้นานใกล้เคียง 12 เดือน ในขณะที่ฟิลเลอร์ที่นิ่มกว่าอาจอยู่ได้ประมาณ 6 เดือน
- การเผาผลาญของแต่ละบุคคล: ผู้ที่มีอัตราการเผาผลาญสูง สูบบุหรี่ หรือออกกำลังกายหนัก ฟิลเลอร์อาจสลายตัวเร็วกว่า
- ปริมาณที่ฉีด: การฉีดในปริมาณที่เหมาะสมจะช่วยให้ผลลัพธ์อยู่ได้นานขึ้น
- การดูแลหลังฉีด: การปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์จะช่วยรักษาสภาพฟิลเลอร์ได้ดีขึ้น
โดยส่วนใหญ่แล้ว ผู้ที่ฉีดฟิลเลอร์ปากมักจะกลับมาเติมเพื่อคงผลลัพธ์ไว้ที่ประมาณ 9-12 เดือน
ต้องใช้ฟิลเลอร์กี่ CC ถึงจะเห็นผล?
โดยทั่วไปแล้ว การฉีดฟิลเลอร์ปาก 1 CC ก็เพียงพอที่จะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดูเป็นธรรมชาติ แต่ปริมาณที่เหมาะสมจะขึ้นอยู่กับรูปปากเดิมและผลลัพธ์ที่ต้องการ
- เพื่อผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ: สำหรับผู้ที่มีริมฝีปากบาง การใช้ฟิลเลอร์ 1 CC จะช่วยเพิ่มความอวบอิ่มได้อย่างชัดเจนแต่ยังคงความเป็นธรรมชาติ สำหรับผู้ที่ต้องการเพียงแค่เติมเต็มเล็กน้อย อาจใช้เพียง 0.5 CC ก็เพียงพอ
- สำหรับทรงปากเฉพาะ: การทำปากทรง “Cherry Lips” ซึ่งเน้นความอวบอิ่มตรงกลาง ก็มักจะใช้ฟิลเลอร์ประมาณ 1 CC
- สำหรับผู้ที่ฉีดครั้งแรก: แพทย์มักจะแนะนำให้เริ่มต้นที่ 1 CC ก่อน เพื่อประเมินผลลัพธ์และป้องกันการเติมที่มากเกินไป แล้วจึงพิจารณาเติมเพิ่มในภายหลังหากต้องการ
ฉีดฟิลเลอร์ปากเจ็บไหม?
การฉีดฟิลเลอร์ปาก มีความเจ็บปวดอยู่ในระดับที่ทนได้ โดยผู้ป่วยส่วนใหญ่มักให้คะแนนความเจ็บประมาณ 3-5 จาก 10 เมื่อใช้ยาชาเฉพาะที่
เพื่อจัดการกับความเจ็บปวด ก่อนการฉีดจะมีการใช้ยาชาแบบทา หรือในบางกรณีอาจใช้การฉีดยาชาเพื่อบล็อกเส้นประสาท (Dental Block) ซึ่งจะทำให้ริมฝีปากชาและไม่รู้สึกเจ็บ นอกจากนี้ ฟิลเลอร์หลายชนิดยังผสมยาชามาในตัว ซึ่งจะช่วยบรรเทาความเจ็บปวดระหว่างขั้นตอนการฉีดได้ดียิ่งขึ้น
ฟิลเลอร์ปากเป็นก้อนอันตรายหรือไม่?
โดยทั่วไปแล้ว ฟิลเลอร์ปากเป็นก้อนไม่ถือว่าเป็นอันตราย เนื่องจากมักเป็นผลข้างเคียงที่พบได้ปกติในช่วงแรกหลังการฉีด ซึ่งเกิดจากการบวมและตัวฟิลเลอร์ที่ยังไม่เข้าที่กับเนื้อเยื่อ
ก้อนลักษณะนี้มักจะนิ่มลงและหายไปเองภายใน 1-2 สัปดาห์ อย่างไรก็ตาม หากก้อนมีลักษณะแข็งขึ้น แดง เจ็บปวด หรือมีสีผิวเปลี่ยนไป (เช่น ซีดขาวหรือคล้ำ) ควรปรึกษาแพทย์ทันที เพราะอาจเป็นสัญญาณของภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงกว่าได้
หลังฉีดฟิลเลอร์ปาก สามารถแปรงฟันได้ตามปกติหรือไม่?
หลังฉีดฟิลเลอร์ปาก สามารถแปรงฟันได้ตามปกติ แต่ควรทำด้วยความระมัดระวังเป็นพิเศษ ในช่วง 24-48 ชั่วโมงแรกหลังการฉีด ควรแปรงฟันอย่างเบามือเพื่อหลีกเลี่ยงการกดทับหรือเสียดสีบริเวณริมฝีปากที่ยังบวมและบอบบาง ซึ่งอาจส่งผลต่อการเซ็ตตัวของฟิลเลอร์ได้
References:
- U.S. Food and Drug Administration (FDA). (n.d.). Dermal Fillers (Soft Tissue Fillers) – Guidance for Consumers. FDA. fda.gov
- Cooper, H., Gray, T., Fronek, L., et al. Lip augmentation with hyaluronic acid fillers: A review of considerations and techniques. Journal of Drugs in Dermatology. jddonline.com
- Lafaille, P., & Benedetto, A. Fillers: Contraindications, side effects and precautions. Journal of Cutaneous and Aesthetic Surgery. pmc.ncbi.nlm.nih.gov
- Coppini, M., Caponio, V.C.A., Mauceri, R., et al. Aesthetic lip filler augmentation is not free of adverse reactions: Lack of evidence-based practice from a systematic review. Frontiers in Oral Health. frontiersin.org
- Cosmetic Injectables Center. Restylane Kysse: Scientific Comparison, Clinical Performance, and How It Stacks Up Against Other Lip Fillers. cosmeticinjectables.com
- Infiniz Clinic. ฉีดฟิลเลอร์ปาก ราคาอัปเดต 2568 รวมยี่ห้อยอดฮิตในไทย [Lip filler injection price update 2025 – including popular brands in Thailand]. infinizclinic.com
- Aura Bangkok Clinic. ฟิลเลอร์ปาก ปากสวยทรงชัด รวมทรงปากยอดฮิต 2025 [Lip fillers for beautifully defined lips – top lip shapes of 2025]. aurabangkokclinic.com
- Gurucheck Thailand. รีวิว 10 คลินิกฟิลเลอร์ ราคาดี ในกรุงเทพ อันดับท็อป! [Review of 10 top-ranked filler clinics in Bangkok with good prices!]. gurucheck.co.th
