ฉีดเมโสแฟต อันตรายไหม? สลายไขมันเฉพาะจุดต้องรู้อะไรบ้าง

การฉีดเมโสแฟต คือหัตถการสลายไขมันส่วนเกินเฉพาะจุดโดยใช้สารประกอบเข้าไปทำลายเซลล์ไขมันโดยตรง ซึ่งเหมาะสำหรับลดไขมันดื้อด้านอย่างเหนียงและแก้ม โดยทั่วไปต้องฉีดประมาณ 2-4 ครั้ง ห่างกัน 4-6 สัปดาห์เพื่อให้เห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนและผลลัพธ์จะคงอยู่ถาวรหากควบคุมน้ำหนักได้ดี
เมโสแฟตคืออะไร? หลักการทำงานเพื่อสลายไขมันส่วนเกิน
เมโสแฟต คือ การฉีดสารประกอบเพื่อสลายไขมันส่วนเกินเฉพาะจุด โดยตัวยาจะออกฤทธิ์ทำลายเยื่อหุ้มเซลล์ไขมันโดยตรง ทำให้เซลล์ไขมันตายและสลายไป
หลักการทำงานมีขั้นตอนดังนี้:
- ทำลายเซลล์ไขมัน: สารประกอบหลัก เช่น กรดดีออกซีโคลิก (Deoxycholic acid) จะเข้าไปทำลายเยื่อหุ้มเซลล์ไขมัน ทำให้เซลล์แตกและตาย
- กำจัดซากเซลล์: ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายจะส่งเม็ดเลือดขาวเข้ามาเก็บกินซากเซลล์ไขมันที่ตายแล้ว
- ขับไขมันออก: ไขมันที่ถูกปล่อยออกมาจะถูกลำเลียงผ่านระบบน้ำเหลืองและหลอดเลือดเพื่อไปเผาผลาญที่ตับ และถูกขับออกจากร่างกายตามกระบวนการธรรมชาติภายในเวลาหลายสัปดาห์
ใครเหมาะกับการฉีดเมโสแฟต? การประเมินความเหมาะสมเบื้องต้น
ผู้ที่เหมาะกับการฉีดเมโสแฟตคือคนที่มีไขมันสะสมเฉพาะจุดที่ลดยาก มีสุขภาพโดยรวมดี และมีความยืดหยุ่นของผิวที่ดี โดยผู้ที่เหมาะสมควรมีคุณสมบัติดังนี้
- มีไขมันดื้อด้านเฉพาะจุด: เหมาะสำหรับผู้ที่รูปร่างค่อนข้างดีแต่มีไขมันส่วนเกินที่กำจัดได้ยากแม้จะออกกำลังกายแล้ว เช่น เหนียง แก้ม พุงส่วนล่าง ห่วงยาง หรือไขมันช่วงรักแร้และหลัง เนื่องจากการฉีดเมโสแฟตเป็นการปรับรูปร่างเฉพาะส่วน ไม่ใช่การลดน้ำหนักโดยรวม
- ผิวมีความยืดหยุ่นดี: ผิวหนังต้องสามารถหดกระชับกลับได้หลังจากไขมันสลายไป เพื่อป้องกันปัญหาผิวหย่อนคล้อยหลังการรักษา ผู้ที่มีอายุน้อยหรือผิวไม่หย่อนคล้อยมากมักจะเห็นผลลัพธ์ที่ดีกว่า
- มีสุขภาพแข็งแรง: ไม่มีโรคประจำตัวที่ควบคุมไม่ได้ เช่น เบาหวาน โรคเกี่ยวกับการแข็งตัวของเลือด หรือไม่มีการติดเชื้อในบริเวณที่จะฉีด
- มีความคาดหวังที่สมเหตุสมผล: เข้าใจว่าผลลัพธ์จะเกิดขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปและเป็นการเปลี่ยนแปลงในระดับปานกลาง ไม่ใช่การลดขนาดอย่างรวดเร็วในทันที
ตำแหน่งที่นิยมฉีดเมโสแฟตเพื่อปรับรูปหน้าและสัดส่วน
เมโสแฟตลดแก้มและปรับกรอบหน้า
เมโสแฟตเป็นการฉีดสลายไขมันส่วนเกินเพื่อลดแก้มและเหนียง ทำให้ใบหน้าดูเรียวและกรอบหน้าคมชัดขึ้น ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ที่มีไขมันสะสมเฉพาะจุดที่ลดได้ยาก แม้จะควบคุมอาหารหรือออกกำลังกายแล้วก็ตาม
หลักการทำงานคือตัวยาจะเข้าไปสลายเซลล์ไขมันโดยตรง จากนั้นร่างกายจะกำจัดไขมันที่สลายไปตามกระบวนการทางธรรมชาติ โดยทั่วไปแล้วการฉีดเมโสแฟตเพื่อปรับกรอบหน้ามีรายละเอียดดังนี้
- จำนวนครั้ง: โดยเฉลี่ยต้องฉีดประมาณ 2-4 ครั้ง แต่ละครั้งห่างกันประมาณ 4-6 สัปดาห์ เพื่อให้เห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน
- ผลลัพธ์: จะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงหลังฉีดประมาณ 2-3 สัปดาห์ และจะเห็นผลเต็มที่ประมาณ 1-2 เดือนหลังการฉีดครั้งสุดท้าย
- การรักษาควบคู่: เพื่อให้กรอบหน้าคมชัดยิ่งขึ้น แพทย์มักแนะนำให้ทำร่วมกับการฉีดโบท็อกซ์เพื่อลดขนาดกล้ามเนื้อกราม ซึ่งจะช่วยให้ใบหน้าดูเรียวเป็นทรง V-line มากขึ้น
เมโสแฟตสลายไขมันเหนียงใต้คาง
เมโสแฟตเป็นการฉีดตัวยาเพื่อสลายเซลล์ไขมันสะสมเฉพาะจุด ซึ่งเป็นวิธีที่นิยมและมีประสิทธิภาพในการลดไขมันบริเวณเหนียงใต้คาง
ตัวยาจะเข้าไปทำลายเยื่อหุ้มเซลล์ไขมัน ทำให้เซลล์ไขมันตายและถูกร่างกายกำจัดออกไปตามกระบวนการทางธรรมชาติ วิธีนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีไขมันใต้คางไม่มากนักและผิวหนังยังมีความยืดหยุ่นดี โดยทั่วไปต้องฉีดประมาณ 2-4 ครั้ง ห่างกันทุก 4-6 สัปดาห์ เพื่อให้เห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน ซึ่งผลลัพธ์จะคงอยู่ถาวรหากควบคุมน้ำหนักให้คงที่
เมโสแฟตสำหรับต้นแขน ต้นขา และหน้าท้อง
เมโสแฟตสามารถใช้เพื่อลดไขมันเฉพาะจุดบริเวณต้นแขน ต้นขา และหน้าท้องได้ โดยมีประสิทธิภาพดีกับไขมันสะสมที่ไม่ใหญ่จนเกินไปและมีผิวหนังที่ยังกระชับอยู่
การฉีดเมโสแฟตในบริเวณร่างกายมีรายละเอียดดังนี้:
- บริเวณที่นิยม: สามารถใช้ได้กับต้นแขนด้านหลัง (ท้องแขน), ไขมันรอบเอว (ห่วงยาง), หน้าท้องส่วนล่าง, รวมถึงต้นขาด้านในและด้านนอก
- ปริมาณยา: บริเวณลำตัวมักต้องใช้ปริมาณยามากกว่าใบหน้า โดยทั่วไปอยู่ที่ 20-30 ซีซีต่อครั้ง ขึ้นอยู่กับขนาดของพื้นที่และปริมาณไขมัน
- เทคนิคการฉีด: สำหรับพื้นที่กว้างอย่างหน้าท้องหรือต้นขา แพทย์อาจใช้เทคนิคเข็มปลายทู่ (Microcannula) เพื่อกระจายยาได้ทั่วถึงและลดการเกิดรอยช้ำ
- จำนวนครั้ง: โดยเฉลี่ยแล้วต้องทำประมาณ 3-6 ครั้ง ห่างกันทุก 4-6 สัปดาห์ เพื่อให้เห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน
- ผลลัพธ์: สามารถคาดหวังการลดลงของเส้นรอบวงได้เล็กน้อย หรือทำให้เสื้อผ้าพอดีตัวมากขึ้น แต่ไม่ใช่การลดน้ำหนักโดยรวม
ผลลัพธ์ที่คาดหวัง: ต้องฉีดกี่ครั้งและอยู่ได้นานแค่ไหน
ระยะเวลาเห็นผลและจำนวนครั้งที่แนะนำ
โดยทั่วไป แนะนำให้ทำ 2-4 ครั้ง โดยจะเริ่มเห็นผลการเปลี่ยนแปลงประมาณ 2-3 สัปดาห์หลังฉีด และเห็นผลเต็มที่ในแต่ละครั้งที่ 4-6 สัปดาห์
จำนวนครั้งและระยะเวลาเห็นผลจะแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับปริมาณไขมันและบริเวณที่ทำการรักษา โดยมีรายละเอียดดังนี้
- จำนวนครั้งที่แนะนำ: โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 2-4 ครั้ง สำหรับไขมันเฉพาะจุดส่วนใหญ่ หากมีไขมันน้อยอาจต้องการเพียง 2 ครั้ง แต่ถ้ามีไขมันมากอาจต้องทำ 4 ครั้งขึ้นไป
- ระยะเวลาเห็นผล:
- 2-3 สัปดาห์: เริ่มสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงเมื่ออาการบวมลดลง
- 4-6 สัปดาห์: เห็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุดจากการฉีดในแต่ละครั้ง
- 8-12 สัปดาห์หลังฉีดครั้งสุดท้าย: เป็นช่วงเวลาที่ประเมินผลลัพธ์สุดท้ายหลังจากทำครบคอร์ส
- ความถี่ในการทำ: แต่ละครั้งควรเว้นระยะห่างกันประมาณ 4-6 สัปดาห์ เพื่อให้กระบวนการสลายไขมันและการอักเสบดำเนินไปอย่างสมบูรณ์
ผลลัพธ์จากการฉีดเมโสแฟตอยู่ได้นานเท่าไร
ผลลัพธ์จากการฉีดเมโสแฟตสามารถคงอยู่ได้อย่างถาวร เนื่องจากเซลล์ไขมันที่ถูกทำลายไปแล้วจะไม่กลับมาใหม่
อย่างไรก็ตาม ผลลัพธ์จะคงอยู่ได้นานตราบเท่าที่คุณสามารถรักษาน้ำหนักตัวให้คงที่ หากน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น เซลล์ไขมันที่เหลืออยู่ในบริเวณนั้นหรือบริเวณอื่นก็สามารถขยายใหญ่ขึ้นได้ ซึ่งอาจทำให้ไขมันกลับมาสะสมอีกครั้ง โดยทั่วไปแล้ว หากควบคุมน้ำหนักได้ดี ก็ไม่จำเป็นต้องกลับมาฉีดซ้ำเพื่อคงผลลัพธ์ไว้
ปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพและระยะเวลาของผลลัพธ์
ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพและระยะเวลาของผลลัพธ์คือการรักษาน้ำหนักตัวให้คงที่ และความเหมาะสมของผู้เข้ารับการรักษา
ประสิทธิภาพของการฉีดเมโสแฟตจะขึ้นอยู่กับว่าผู้รับการรักษามีไขมันสะสมเฉพาะจุดในปริมาณที่ไม่มากเกินไปและมีผิวที่ยังยืดหยุ่นดีหรือไม่ เนื่องจากหัตถการนี้เป็นการปรับรูปร่างเฉพาะส่วน ไม่ใช่การลดน้ำหนักโดยรวม
สำหรับระยะเวลาของผลลัพธ์นั้นสามารถคงอยู่ได้อย่างถาวร เพราะเซลล์ไขมันที่ถูกทำลายไปแล้วจะไม่สร้างขึ้นมาใหม่ แต่ผลลัพธ์จะคงอยู่ได้ก็ต่อเมื่อผู้รับการรักษาสามารถควบคุมน้ำหนักตัวให้คงที่ได้ หากน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น เซลล์ไขมันที่ยังเหลืออยู่ก็สามารถขยายขนาดขึ้น ทำให้ไขมันกลับมาสะสมในบริเวณเดิมได้อีกครั้ง
อัตราค่าบริการและปัจจัยกำหนดราคาฉีดเมโสแฟต
ราคาเมโสแฟตต่อ CC และต่อคอร์สโดยประมาณ
โดยทั่วไป ราคาเมโสแฟตอยู่ที่ประมาณ 2,000–5,000 บาทต่อครั้ง สำหรับการรักษาเฉพาะจุด เช่น ใบหน้าหรือเหนียง
ราคาจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับปริมาณยาและพื้นที่ที่ทำการรักษา โดยมีรายละเอียดดังนี้
- ราคาต่อ CC หรือต่อขวด: คลินิกส่วนใหญ่มักคิดราคาเป็นขวด (Vial) โดย 1 ขวดมักมีปริมาณ 10 cc ราคาจะอยู่ที่ประมาณ 3,000–4,000 บาทต่อขวด หรืออาจเริ่มต้นที่ประมาณ 2,000 บาทสำหรับปริมาณน้อยๆ (เช่น 6 cc)
- ราคาต่อคอร์ส: สำหรับการรักษาพื้นที่ใหญ่ขึ้น เช่น หน้าท้องหรือต้นขา ซึ่งต้องใช้ยาในปริมาณมากและทำหลายครั้ง ราคาต่อคอร์สอาจอยู่ระหว่าง 15,000–30,000 บาท
ทั้งนี้ ราคาอาจแตกต่างกันไปตามยี่ห้อของเมโสแฟต โปรโมชันของคลินิก และปริมาณยาที่ใช้ในแต่ละบุคคล
ปัจจัยที่มีผลต่อราคา: ยี่ห้อ ปริมาณยา และตำแหน่งที่ฉีด
ราคาของการฉีดเมโสแฟตขึ้นอยู่กับปัจจัยหลักหลายประการ ได้แก่ ยี่ห้อของตัวยา ปริมาณยาที่ใช้ และขนาดของบริเวณที่ทำการรักษา
- ยี่ห้อ (Brand): เมโสแฟตแต่ละยี่ห้อมีราคาแตกต่างกัน โดยยี่ห้อที่เป็นสูตรพิเศษหรือพรีเมียมมักมีราคาสูงกว่าสูตรมาตรฐาน
- ปริมาณยา (Dosage): ค่าใช้จ่ายจะเพิ่มขึ้นตามปริมาณยา (หน่วยเป็น cc หรือ vial) ที่ใช้ ยิ่งต้องใช้ยาในปริมาณมาก ราคาก็จะยิ่งสูงขึ้น
- บริเวณที่ฉีด (Treatment Area): พื้นที่การรักษาที่ใหญ่ขึ้น เช่น หน้าท้องหรือต้นขา จะต้องใช้ปริมาณยามากกว่าบริเวณเล็กๆ อย่างแก้มหรือเหนียง ทำให้ค่าใช้จ่ายต่อครั้งสูงกว่า
การเตรียมตัวก่อนและวิธีดูแลตัวเองหลังฉีดเมโสแฟต
ข้อควรปฏิบัติก่อนเข้ารับบริการเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ควรเตรียมตัวโดยการงดยาและอาหารเสริมที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด งดดื่มแอลกอฮอล์ และหลีกเลี่ยงการให้ผิวสัมผัสความร้อนหรือแสงแดดจัด
ข้อควรปฏิบัติอื่นๆ เพิ่มเติมมีดังนี้:
- งดยาและอาหารเสริม: หยุดยาแก้ปวดกลุ่ม NSAIDs (เช่น แอสไพริน, ไอบูโพรเฟน) และอาหารเสริม เช่น น้ำมันปลา วิตามินอี หรือแปะก๊วย เป็นเวลา 7-10 วันก่อนฉีดเพื่อลดความเสี่ยงของรอยช้ำ
- งดแอลกอฮอล์: หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ 24-48 ชั่วโมงก่อนทำ เพราะอาจทำให้บวมและช้ำง่ายขึ้น
- งดสูบบุหรี่: ควรงดสูบบุหรี่อย่างน้อย 1 สัปดาห์ทั้งก่อนและหลังการรักษา เนื่องจากจะขัดขวางกระบวนการฟื้นฟูของร่างกาย
- ดูแลผิว: ในวันนัดหมาย ควรทำความสะอาดผิวบริเวณที่จะฉีดให้เรียบร้อยและงดการทาครีมหรือแต่งหน้า
- การเตรียมตัวอื่นๆ: ควรดื่มน้ำให้เพียงพอและรับประทานอาหารมื้อเบาๆ มาก่อนเข้ารับบริการ
คำแนะนำการดูแลตัวเองเพื่อลดบวมและเพิ่มประสิทธิภาพ
การดูแลตัวเองหลังฉีดเมโสแฟตที่สำคัญคือการประคบเย็น หลีกเลี่ยงความร้อน การออกกำลังกายหนัก และแอลกอฮอล์ในช่วง 48 ชั่วโมงแรก เพื่อลดอาการบวมและช่วยให้กระบวนการสลายไขมันมีประสิทธิภาพสูงสุด
คำแนะนำในการปฏิบัติตัวมีดังนี้:
- ประคบเย็น: ใช้แผ่นประคบเย็นหรือน้ำแข็งห่อผ้าประคบบริเวณที่ฉีดครั้งละ 10-15 นาทีในช่วงวันแรกเพื่อลดอาการบวม
- ห้ามนวด: ห้ามนวด กด หรือสัมผัสบริเวณที่ฉีดแรงๆ เพราะอาจทำให้ตัวยากระจายตัวผิดปกติและระคายเคืองเนื้อเยื่อ
- หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนัก: งดกิจกรรมที่ทำให้เหงื่อออกมากหรือหัวใจเต้นเร็ว เช่น วิ่งหนัก ยกเวท หรือโยคะร้อน เป็นเวลาอย่างน้อย 48 ชั่วโมง
- หลีกเลี่ยงความร้อนและแอลกอฮอล์: งดการเข้าซาวน่า สตรีม อาบน้ำร้อนจัด และดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นเวลา 48 ชั่วโมง เพราะจะกระตุ้นให้บวมมากขึ้น
- ดื่มน้ำให้เพียงพอ: การดื่มน้ำมากๆ จะช่วยให้ร่างกายขับไขมันที่สลายออกมาทางระบบน้ำเหลืองได้ดีขึ้น
- ทานยาแก้ปวด: หากมีอาการปวด สามารถรับประทานยาพาราเซตามอลได้ แต่ควรหลีกเลี่ยงยาในกลุ่ม NSAIDs เช่น แอสไพริน หรือไอบูโพรเฟน เพราะอาจเพิ่มความเสี่ยงเรื่องรอยช้ำ
- การนอน (กรณีฉีดใบหน้า/เหนียง): ควรนอนหนุนหมอนให้ศีรษะสูงขึ้นในคืนแรกเพื่อช่วยลดอาการบวม
ข้อควรพิจารณา: เลือกคลินิกอย่างไรให้ปลอดภัย
การเลือกคลินิกที่ปลอดภัยควรพิจารณาจากคลินิกที่ได้มาตรฐาน ดำเนินการโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และใช้ผลิตภัณฑ์ของแท้ที่ผ่านการรับรองจาก อย. เพื่อความปลอดภัยและผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ ควรคำนึงถึงปัจจัยต่างๆ ดังนี้
- สถานพยาบาลและแพทย์: ต้องเป็นคลินิกที่ได้รับใบอนุญาตอย่างถูกต้องและฉีดโดยแพทย์เท่านั้น ไม่ควรฉีดกับบุคคลที่ไม่มีใบอนุญาตหรือในสถานที่ไม่ใช่คลินิก เช่น ร้านเสริมสวย
- ผลิตภัณฑ์ที่ใช้: ตรวจสอบให้แน่ใจว่าเป็นผลิตภัณฑ์ของแท้ที่ขึ้นทะเบียนกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) โดยสามารถขอดูบรรจุภัณฑ์หรือกล่องยาได้ ควรระวังคลินิกที่ราคาถูกผิดปกติ เพราะอาจใช้ยาหิ้ว ยาปลอม หรือยาที่ไม่ได้มาตรฐาน
- ความสะอาดและปลอดเชื้อ: คลินิกต้องมีสภาพแวดล้อมที่สะอาด มีการใช้อุปกรณ์ที่ผ่านการฆ่าเชื้อ และแพทย์ต้องปฏิบัติตามหลักการป้องกันการติดเชื้ออย่างเคร่งครัด
- การให้คำปรึกษา: แพทย์ควรมีการประเมินสภาพร่างกายและปัญหาของผู้รับบริการอย่างละเอียดก่อนทำหัตถการ พร้อมทั้งอธิบายข้อมูล ขั้นตอน ความเสี่ยง และผลลัพธ์ที่คาดหวังได้อย่างชัดเจน
- ความเป็นมืออาชีพ: คลินิกที่มีมาตรฐานจะมีการซักประวัติ เก็บข้อมูลการรักษา ถ่ายรูปก่อน-หลัง และให้คำแนะนำในการดูแลตัวเองหลังทำอย่างละเอียด รวมถึงมีช่องทางติดต่อในกรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน
การตรวจสอบตัวยาเมโสแฟตของแท้และแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
การตรวจสอบเมโสแฟตของแท้และแพทย์ผู้เชี่ยวชาญสามารถทำได้โดยเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน ตรวจสอบคุณสมบัติของแพทย์ และขอดูบรรจุภัณฑ์ของตัวยา เพื่อให้แน่ใจว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการรับรองจาก อย. ไทย และนำเข้าอย่างถูกกฎหมาย
คุณสามารถตรวจสอบได้จากปัจจัยต่อไปนี้:
- คลินิกที่น่าเชื่อถือ: ต้องเป็นสถานพยาบาลที่ได้รับใบอนุญาตอย่างถูกต้อง ไม่ใช่ร้านเสริมสวยทั่วไป และควรมีสภาพแวดล้อมที่สะอาด ปลอดเชื้อ
- แพทย์ผู้ทำหัตถการ: ผู้ฉีดต้องเป็นแพทย์ที่มีคุณสมบัติและประสบการณ์ คลินิกที่ดีจะมีการให้คำปรึกษาและประเมินโดยแพทย์ก่อนทำการรักษาเสมอ
- ผลิตภัณฑ์ของแท้: คุณมีสิทธิ์สอบถามชื่อยี่ห้อของเมโสแฟตและขอดูขวดหรือบรรจุภัณฑ์ที่ยังไม่ถูกเปิด เพื่อตรวจสอบว่าเป็นของแท้ที่ผ่านการรับรองจาก อย. และไม่ใช่ยาหิ้ว (ผลิตภัณฑ์ที่ลักลอบนำเข้า)
- ราคาที่สมเหตุสมผล: ควรระวังราคาที่ต่ำกว่ามาตรฐานมากเกินไป เพราะอาจเป็นสัญญาณของการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีคุณภาพ ของปลอม หรือเจือจางสารละลาย ซึ่งอาจส่งผลเสียและเป็นอันตรายได้
คำถามที่ควรถามแพทย์ก่อนตัดสินใจฉีดเมโสแฟต
คำถามสำคัญที่ควรถามแพทย์ก่อนตัดสินใจฉีดเมโสแฟต ได้แก่ คำถามเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ที่ใช้, ความเหมาะสมของตัวเรา, ผลลัพธ์ที่คาดหวัง, ความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น และค่าใช้จ่ายทั้งหมด
เพื่อให้มั่นใจในความปลอดภัยและได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ควรสอบถามข้อมูลต่อไปนี้จากแพทย์ผู้ทำการรักษา:
- ผลิตภัณฑ์ที่ใช้: คลินิกใช้เมโสแฟตยี่ห้ออะไร เป็นของแท้ที่ผ่านการรับรองจาก อย. หรือไม่ และสามารถขอดูกล่องหรือขวดยาได้หรือไม่
- ความเหมาะสม: สภาพผิวและปริมาณไขมันที่เป็นอยู่ เหมาะสมกับการฉีดเมโสแฟตหรือไม่ หรือควรใช้วิธีอื่น
- จำนวนครั้งและผลลัพธ์: ต้องฉีดประมาณกี่ครั้งจึงจะเห็นผล และผลลัพธ์ที่คาดหวังได้ควรเป็นอย่างไร
- ความเสี่ยงและผลข้างเคียง: ผลข้างเคียงที่พบบ่อยมีอะไรบ้าง และมีความเสี่ยงร้ายแรงอื่นๆ หรือไม่
- การดูแลหลังฉีด: ต้องปฏิบัติตัวอย่างไรหลังฉีด และมีข้อห้ามอะไรบ้าง
- ค่าใช้จ่าย: ค่าใช้จ่ายทั้งหมดสำหรับคอร์สการรักษาอยู่ที่เท่าไหร่ และรวมค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง
- กรณีเกิดปัญหา: หากเกิดภาวะแทรกซ้อนหรือผลลัพธ์ไม่เป็นที่พอใจ มีแนวทางการดูแลหรือแก้ไขอย่างไร
ความเสี่ยง ผลข้างเคียง และข้อห้ามในการฉีดเมโสแฟต
ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้และวิธีรับมือเบื้องต้น
ผลข้างเคียงที่พบบ่อยที่สุดหลังการฉีดเมโสแฟตคือ อาการบวม แดง ช้ำ เจ็บ และอาจรู้สึกชาหรือเป็นก้อนแข็งบริเวณที่ฉีด ซึ่งเป็นปฏิกิริยาปกติของร่างกายและจะค่อยๆ หายไปเอง
วิธีรับมือเบื้องต้นสำหรับผลข้างเคียงทั่วไป มีดังนี้:
- อาการบวมและปวด: ประคบเย็นบริเวณที่ฉีดครั้งละ 10-15 นาทีในช่วง 48 ชั่วโมงแรกเพื่อช่วยลดอาการบวม หากปวดสามารถรับประทานยาพาราเซตามอลได้ แต่ควรหลีกเลี่ยงยาแก้ปวดกลุ่ม NSAIDs เพราะอาจเพิ่มรอยช้ำ
- รอยช้ำ: จะค่อยๆ จางหายไปเองภายใน 1-2 สัปดาห์
- ก้อนแข็งและอาการชา: เป็นอาการปกติที่เกิดจากกระบวนการอักเสบเพื่อสลายไขมัน ซึ่งจะค่อยๆ นิ่มลงและหายไปเองในเวลาไม่กี่สัปดาห์
- ข้อควรปฏิบัติ: หลีกเลี่ยงการนวดคลึงบริเวณที่ฉีด, การออกกำลังกายหนัก, การสัมผัสความร้อน (เช่น ซาวน่า) และการดื่มแอลกอฮอล์ในช่วง 2-3 วันแรก
อย่างไรก็ตาม หากมีอาการผิดปกติรุนแรง เช่น ปวดมาก, บวมเพิ่มขึ้นไม่หยุด, มีไข้, ผิวหนังเปลี่ยนสี, หรือกล้ามเนื้ออ่อนแรง (เช่น ปากเบี้ยว) ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที
กลุ่มบุคคลที่ไม่ควรฉีดเมโสแฟตโดยเด็ดขาด
กลุ่มบุคคลที่ไม่ควรฉีดเมโสแฟตโดยเด็ดขาดคือ สตรีมีครรภ์หรือผู้ที่กำลังให้นมบุตร และผู้ที่มีการติดเชื้อหรือการอักเสบในบริเวณที่จะฉีด
เนื่องจากยังไม่มีข้อมูลยืนยันความปลอดภัยของสารที่ใช้ต่อทารก และการฉีดในบริเวณที่มีการติดเชื้ออาจทำให้เชื้อโรคแพร่กระจายได้ นอกจากนี้ กลุ่มผู้ที่มีโรคประจำตัวรุนแรง เช่น โรคตับผิดปกติ มีภาวะเลือดออกง่าย หรือโรคภูมิคุ้มกันทำลายตนเองที่ควบคุมไม่ได้ ก็จัดเป็นข้อห้ามเช่นกัน และควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินความเสี่ยงก่อนเสมอ
สัญญาณอันตรายที่ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที
สัญญาณอันตรายที่ควรติดต่อคลินิกหรือพบแพทย์ทันที คืออาการที่รุนแรงกว่าผลข้างเคียงปกติ เช่น อาการบวมที่ไม่สมมาตรและเพิ่มขึ้น, ปวดรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ, มีไข้, ผิวหนังพุพองหรือเปลี่ยนสี, กลืนหรือพูดลำบาก, หรือกล้ามเนื้ออ่อนแรง
อาการผิดปกติที่ควรแจ้งแพทย์ทันที ได้แก่:
- อาการบวมที่ไม่สมมาตรและเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ หลังจากผ่านไป 2-3 วันแรก ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของการติดเชื้อหรือก้อนเลือด
- อาการปวดรุนแรง ที่แย่ลงเรื่อยๆ แทนที่จะค่อยๆ ดีขึ้น
- มีไข้หรือหนาวสั่น ซึ่งอาจบ่งชี้ถึงการติดเชื้อ
- ผิวหนังพุพองหรือเปลี่ยนเป็นสีคล้ำ อาจเป็นสัญญาณว่าผิวหนังบริเวณนั้นขาดเลือด
- กลืนหรือพูดลำบากอย่างรุนแรง (อาการรู้สึกเหมือนมีก้อนในคอเล็กน้อยในช่วงแรกถือเป็นเรื่องปกติ แต่ถ้ารุนแรงควรแจ้งแพทย์)
- กล้ามเนื้ออ่อนแรง เช่น ยิ้มแล้วมุมปากตกไม่เท่ากัน หรือขยับริมฝีปากล่างลำบาก ซึ่งอาจเกิดจากการระคายเคืองเส้นประสาทชั่วคราว
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการฉีดเมโสแฟต (FAQ)
ฉีดเมโสแฟตเจ็บไหม?
การฉีดเมโสแฟต มีความเจ็บอยู่ในระดับที่ทนได้ โดยเป็นความรู้สึกเจ็บเล็กน้อยถึงปานกลางเท่านั้น
ก่อนการฉีดมักมีการทายาชาหรือประคบเย็นเพื่อช่วยลดความรู้สึกเจ็บ ในระหว่างที่ฉีดตัวยาอาจรู้สึกแสบเล็กน้อย ซึ่งจะหายไปเองในไม่กี่นาที หลังการฉีดอาจมีอาการปวดระบมคล้ายรอยฟกช้ำได้ประมาณ 2-3 วัน แต่ความเจ็บปวดรุนแรงไม่ใช่เรื่องปกติ
ฉีดแฟตแล้วหน้าบวมกี่วัน?
โดยทั่วไปแล้ว อาการบวมหลังฉีดแฟตจะเริ่มลดลงใน 5-7 วัน
อาการบวมจะเห็นได้ชัดเจนที่สุดในช่วง 2-3 วันแรก และจะบวมเต็มที่ในวันที่ 3-5 หลังจากนั้นอาการบวมจะค่อยๆ ยุบลง และจะเริ่มเห็นผลการรักษาที่ชัดเจนขึ้นในสัปดาห์ที่ 2-3 เป็นต้นไป
เมโสแฟตเห็นผลภายในกี่วัน?
โดยทั่วไปจะเริ่มเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนขึ้นในช่วง 2-3 สัปดาห์หลังการฉีด เมื่ออาการบวมลดลงและไขมันเริ่มสลายตัว
ผลลัพธ์จากการฉีดแต่ละครั้งจะเห็นได้ชัดเจนที่สุดเมื่อผ่านไปประมาณ 4-6 สัปดาห์ และผลลัพธ์สุดท้ายหลังฉีดครบคอร์สจะเห็นได้เต็มที่ในช่วง 8-12 สัปดาห์หลังการฉีดครั้งสุดท้าย
ทำไมฉีดเมโสแฟตแล้วไม่เห็นผล?
สาเหตุหลักที่ฉีดเมโสแฟตแล้วไม่เห็นผลอาจเกิดจาก ปริมาณไขมันสะสมมีมากเกินไป, คุณภาพของตัวยาหรือเทคนิคการฉีดที่ไม่ได้มาตรฐาน, หรือผลลัพธ์ยังอยู่ในช่วงที่กำลังเปลี่ยนแปลง
ปัจจัยอื่นๆ ที่อาจส่งผลให้ไม่เห็นผลลัพธ์ ได้แก่
- ปริมาณไขมันมากเกินไป: เมโสแฟตเหมาะสำหรับลดไขมันเฉพาะจุดในปริมาณน้อย หากมีไขมันสะสมมากเกินไป การลดลงอาจไม่ชัดเจนจนสังเกตได้
- ตัวยาและเทคนิคการฉีด: การใช้ยาที่ไม่ได้มาตรฐาน เจือจาง หรือฉีดในตำแหน่งที่ไม่ถูกต้องอาจทำให้ผลลัพธ์ไม่ดีเท่าที่ควร
- การตอบสนองของร่างกาย: บางคนอาจมีการเผาผลาญไขมันที่ช้ากว่า หรือมีไขมันที่เป็นพังผืดซึ่งสลายได้ยากกว่าคนทั่วไป
- การไม่ควบคุมน้ำหนัก: หากน้ำหนักตัวโดยรวมเพิ่มขึ้นในช่วงที่รักษา อาจทำให้มองไม่เห็นผลลัพธ์ของการสลายไขมันเฉพาะจุด
- ผลลัพธ์ต้องใช้เวลา: ผลลัพธ์จากการฉีดเมโสแฟตจะค่อยเป็นค่อยไปและเห็นผลชัดเจนเต็มที่ในเวลาหลายสัปดาห์ถึงหลายเดือนหลังฉีดครบตามกำหนด
ฉีดเมโสแฟตสามารถทำร่วมกับหัตถการอื่นได้หรือไม่?
ได้ การฉีดเมโสแฟตสามารถทำร่วมกับหัตถการอื่นได้ เพื่อให้ผลลัพธ์โดยรวมดียิ่งขึ้น
การทำหัตถการร่วมกันที่นิยมทำมีดังนี้:
- โบท็อกซ์ (Botox): ฉีดเมโสแฟตเพื่อลดไขมันบริเวณแก้มหรือเหนียง ร่วมกับการฉีดโบท็อกซ์เพื่อลดขนาดกล้ามเนื้อกรามหรือลิฟต์กรอบหน้า ทำให้ใบหน้าดูเรียวเป็นทรง V-line มากขึ้น
- HIFU หรือ Ultherapy: หลังจากฉีดสลายไขมันแล้ว สามารถทำ HIFU เพื่อยกกระชับผิวที่อาจหย่อนคล้อย ทำให้กรอบหน้าคมชัดและผิวแน่นขึ้น
- ร้อยไหม (Thread Lifting): ใช้เมโสแฟตเพื่อกำจัดไขมันบริเวณแก้มหรือเหนียง จากนั้นจึงร้อยไหมเพื่อยกกระชับผิว ทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ทั้งเรียวและตึงกระชับ
- การสลายไขมันด้วยความเย็น (Cryolipolysis): อาจใช้การสลายไขมันด้วยความเย็นเพื่อลดไขมันในปริมาณมากก่อน แล้วจึงใช้เมโสแฟตเพื่อเก็บรายละเอียดในส่วนที่ยังมีไขมันเหลืออยู่เล็กน้อย
- การดูดไขมัน (Liposuction): สามารถใช้เมโสแฟตเพื่อแก้ไขความไม่เรียบเนียนหรือไขมันส่วนเกินเล็กๆ น้อยๆ ที่อาจหลงเหลืออยู่หลังการดูดไขมัน
เมโสแฟตสลายไขมันถาวรจริงหรือ?
การสลายไขมันด้วยเมโสแฟตให้ผลลัพธ์ที่ถาวร เนื่องจากเซลล์ไขมันที่ถูกทำลายไปแล้วจะไม่สามารถสร้างขึ้นใหม่ได้
อย่างไรก็ตาม ผลลัพธ์จะคงอยู่ได้นานก็ต่อเมื่อผู้รับการรักษาสามารถรักษาน้ำหนักตัวให้คงที่ หากน้ำหนักเพิ่มขึ้น เซลล์ไขมันที่ยังเหลืออยู่ในบริเวณนั้นหรือบริเวณอื่นก็สามารถขยายขนาดใหญ่ขึ้นได้ ซึ่งอาจทำให้ไขมันกลับมาสะสมใหม่ได้อีกครั้ง
References:
- Pipeline Medical. (n.d.). The Science Behind KYBELLA®: How Deoxycholic Acid Works to Reduce Submental Fullness. Pipeline Medical. pipelinemedical.com
- American Society of Plastic Surgeons (ASPS). (n.d.). Injection Lipolysis – Nonsurgical Fat Reduction. ASPS Patient Guide. plasticsurgery.org
- Woffenden, C. (n.d.). Do Fat Dissolving Injections Work? Evolve Medical Clinic. evolvemedical.co.uk
- V Square Clinic. (2025). Mesofat Injection Price – Update and FAQs. V Square Clinic. vsquareclinic.com
- Velantis Dermatology. (n.d.). Lipolysis Injections: Procedure, Risks, and Side Effects. Velantis Dermatology. velantisdermatology.com
- Waldman Plastic Surgery and Dermatology. (n.d.). Kybella Submental Fat Reduction – Patient Information. Waldman Plastic Surgery. waldmanplasticsurgeryanddermatology.com
