Skip to content

TEL : 081-841-5075, 02-258-4050

Facebook Instagram YouTube
Privato Clinic – Innovation Of Beauty  |  Bangkok
  • หน้าหลัก
  • เกี่ยวกับพรีวาโต
  • บริการทั้งหมดExpand
    • ชะลอวัย
    • ยกกระชับผิวExpand
      • XERF
      • Potenza
      • Sofwave
      • Ulthera
      • Thermage-FLX
    • รักษาสิว
    • เลเซอร์
    • โปรแกรมฉีด
    • บำรุงผิว
  • บทความExpand
    • สิว
    • ยกกระชับ
    • ดูแลผิว
    • ทำเลเซอร์
  • ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว
  • โปรโมชั่น
  • ผลลัพธ์การรักษา
  • วิดีโอรีวิวจากเคสจริง
  • สาขาของเรา
  • ไทยExpand
    • ไทย
    • English
    • 中文 (中国)
  • ปรึกษาแพทย์
Privato Clinic – Innovation Of Beauty  |  Bangkok
Consult a Doctor
Lifting

ยาฉีดคีลอยด์: ราคาเท่าไหร่? ฉีดกี่ครั้ง? มีผลข้างเคียงไหม?

Byadmin ตุลาคม 14, 2025
By แพทย์หญิงนัชชนก หุ่นวิจิตร Updated on ตุลาคม 14, 2025
✦ Medically reviewed by  นายแพทย์เลอพงษ์ กรุดเงิน
ยาฉีดคีลอยด์: ราคาเท่าไหร่? ฉีดกี่ครั้ง? มีผลข้างเคียงไหม?

ยาฉีดคีลอยด์คือการรักษาแผลเป็นนูนมาตรฐานอันดับแรกโดยใช้สเตียรอยด์ฉีดเข้าไปในรอยแผลโดยตรงเพื่อทำให้แผลแบนราบและนุ่มลง ซึ่งโดยทั่วไปต้องฉีดประมาณ 3-4 ครั้ง ทุก 4 สัปดาห์ เพื่อลดขนาดของแผลเป็นและบรรเทาอาการคันได้อย่างมีประสิทธิภาพ

Table of Contents

Toggle
  • ยาฉีดคีลอยด์คืออะไรและทำงานอย่างไร
    • กลไกการออกฤทธิ์ของยาสเตียรอยด์ต่อแผลเป็น
    • ประเภทของยาที่ใช้ในการฉีดรักษาคีลอยด์
  • ใครเหมาะกับการรักษาด้วยยาฉีดคีลอยด์
    • ลักษณะแผลเป็นที่ตอบสนองต่อการรักษาได้ดี
    • ข้อห้ามและผู้ที่ไม่ควรฉีดคีลอยด์
  • ขั้นตอนการฉีดคีลอยด์: การเตรียมตัวและดูแลหลังทำ
    • การเตรียมตัวก่อนเข้ารับการฉีด
    • สิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างการฉีดยา
    • วิธีดูแลแผลหลังฉีดเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
  • ราคา จำนวนครั้ง และผลลัพธ์ที่คาดหวัง
    • ปัจจัยกำหนดราคาค่ารักษาต่อครั้ง
    • ต้องฉีดกี่ครั้งและบ่อยแค่ไหนจึงจะเห็นผล
    • ระยะเวลาเห็นผลและการเปลี่ยนแปลงของแผลเป็น
  • ข้อควรพิจารณาก่อนตัดสินใจฉีดคีลอยด์
    • การเลือกคลินิกและแพทย์ผู้ทำการรักษา
    • เปรียบเทียบการฉีดกับวิธีรักษาคีลอยด์แบบอื่น
    • การป้องกันคีลอยด์กลับมาเป็นซ้ำ
  • ผลข้างเคียงและความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น
    • ผลข้างเคียงทั่วไปที่สามารถจัดการได้
    • สัญญาณอันตรายที่ต้องรีบปรึกษาแพทย์
  • คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการฉีดคีลอยด์
    • ฉีดคีลอยด์เจ็บไหม?
    • ต้องฉีดคีลอยด์กี่ครั้งถึงจะเห็นผล?
    • ยาฉีดคีลอยด์มีผลข้างเคียงถาวรหรือไม่?
    • หลังฉีดคีลอยด์แล้วมีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำไหม?
    • สามารถใช้แผ่นแปะคีลอยด์ร่วมกับการฉีดได้หรือไม่?
    • ฉีดคีลอยด์เองที่บ้านได้ไหม?
  • References:

ยาฉีดคีลอยด์คืออะไรและทำงานอย่างไร

ยาฉีดคีลอยด์คือ การรักษาแผลเป็นนูนโดยการฉีดตัวยาเข้าไปในรอยแผลเป็นโดยตรง ซึ่งเป็นวิธีมาตรฐานอันดับแรกในการรักษาคีลอยด์และแผลเป็นนูนเกิน (hypertrophic scar)

ตัวยาหลักที่ใช้คือสเตียรอยด์ ไตรแอมซิโนโลน อะเซโตไนด์ (Triamcinolone Acetonide หรือ TAC) ซึ่งทำงานโดยการออกฤทธิ์ต้านการอักเสบและยับยั้งการแบ่งตัวของเซลล์ที่สร้างแผลเป็น (fibroblast) อย่างรุนแรง ส่งผลให้แผลเป็นแบนราบและนุ่มลง ทั้งยังช่วยลดอาการคันและเจ็บปวดได้อีกด้วย ในบางกรณีอาจใช้ร่วมกับยาอื่น เช่น 5-ฟลูออโรยูราซิล (5-FU) เพื่อเสริมประสิทธิภาพในการรักษา

กลไกการออกฤทธิ์ของยาสเตียรอยด์ต่อแผลเป็น

ยาสเตียรอยด์ออกฤทธิ์ต่อแผลเป็นโดยอาศัยฤทธิ์ต้านการอักเสบ (anti-inflammatory) และยับยั้งการแบ่งตัวของเซลล์ (antiproliferative) ที่รุนแรง ยาจะเข้าไปลดการอักเสบภายในเนื้อเยื่อแผลเป็น และยับยั้งการทำงานของเซลล์ไฟโบรบลาสต์ (fibroblast) ซึ่งทำหน้าที่สร้างคอลลาเจนส่วนเกิน ทำให้แผลเป็นนุ่มลง ยุบตัว และแบนราบขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยบรรเทาอาการคันและเจ็บปวดได้อย่างรวดเร็ว

ประเภทของยาที่ใช้ในการฉีดรักษาคีลอยด์

ยาหลักที่ใช้ในการฉีดรักษาคีลอยด์คือ ยาสเตียรอยด์กลุ่มคอร์ติโคสเตียรอยด์ โดยเฉพาะไตรแอมซิโนโลน อะเซโตไนด์ (Triamcinolone Acetonide หรือ TAC) ซึ่งเป็นยามาตรฐานอันดับแรกในการรักษา เนื่องจากมีฤทธิ์ต้านการอักเสบและยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์ได้ดี

นอกจากนี้ยังมียาชนิดอื่นๆ ที่อาจใช้ร่วมด้วยหรือใช้เป็นทางเลือก ได้แก่:

  • 5-ฟลูออโรยูราซิล (5-Fluorouracil หรือ 5-FU): มักใช้ร่วมกับ TAC เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษา
  • บลีโอมัยซิน (Bleomycin): เป็นยาทางเลือกอันดับสอง เนื่องจากมีความเสี่ยงต่อการเกิดแผลและผลข้างเคียงต่อระบบร่างกาย
  • โบทูลินั่ม ท็อกซิน เอ (Botulinum Toxin A หรือ BTX-A): เป็นยาที่มีแนวโน้มให้ผลดีและมีความเสี่ยงเรื่องรอยด่างขาวน้อยกว่าสเตียรอยด์
  • อินเตอร์เฟียรอน (Interferon-α/γ): ใช้ในวงจำกัดเนื่องจากมีผลข้างเคียงคล้ายอาการไข้หวัดใหญ่

ใครเหมาะกับการรักษาด้วยยาฉีดคีลอยด์

ลักษณะแผลเป็นที่ตอบสนองต่อการรักษาได้ดี

แผลเป็นที่ตอบสนองต่อการรักษาได้ดีมักเป็นแผลเป็นชนิดนูนเกิน (hypertrophic scar) แผลเป็นใหม่ที่มีอายุน้อยกว่า 1 ปี มีขนาดเล็ก และมีสีแดง ซึ่งบ่งชี้ว่ามีการไหลเวียนของเลือดสูง ทำให้ตัวยาสามารถเข้าถึงได้ดี

ปัจจัยที่บ่งชี้ว่าแผลเป็นจะตอบสนองต่อการรักษาได้ดี ได้แก่:

  • ชนิดของแผลเป็น: แผลเป็นนูนเกิน (hypertrophic scar) ตอบสนองต่อการรักษาได้ดีกว่าแผลเป็นคีลอยด์ (keloid)
  • อายุของแผลเป็น: แผลเป็นที่เพิ่งเกิดใหม่ (อายุน้อยกว่า 1 ปี) ซึ่งยังคงมีการเจริญเติบโต จะยุบตัวได้ดีกว่าแผลเป็นเก่าที่แข็งและนานแล้ว
  • ขนาด: แผลเป็นขนาดเล็กตอบสนองต่อการรักษาได้ดีกว่าแผลเป็นขนาดใหญ่
  • อาการ: แผลเป็นที่มีอาการคันหรือเจ็บจะตอบสนองได้ดีในแง่ของการลดอาการ โดยมักเห็นผลอย่างรวดเร็วหลังการฉีด

ข้อห้ามและผู้ที่ไม่ควรฉีดคีลอยด์

ข้อห้ามที่สำคัญที่สุดสำหรับการฉีดคีลอยด์คือ การมีการติดเชื้อหรือเป็นแผลเปิดบริเวณคีลอยด์ เนื่องจากการฉีดอาจทำให้การติดเชื้อลุกลามได้

นอกจากนี้ กลุ่มผู้ที่ไม่ควรฉีดหรือต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ ได้แก่

  • ผู้ที่เคยมีประวัติแพ้ยาสเตียรอยด์ชนิดฉีด
  • ผู้ที่เป็นโรคคุชชิง (Cushing’s syndrome) หรือมีภาวะฮอร์โมนคอร์ติซอลสูง
  • หญิงตั้งครรภ์ (โดยทั่วไปจะเลื่อนการรักษาที่ไม่เร่งด่วนออกไปก่อน)
  • ผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องรุนแรง หรือแผลหายยาก เช่น ผู้ป่วยเบาหวานที่ควบคุมไม่ได้
  • ผู้ที่ไม่สามารถมารับการรักษาและติดตามผลได้อย่างต่อเนื่อง

ขั้นตอนการฉีดคีลอยด์: การเตรียมตัวและดูแลหลังทำ

การเตรียมตัวก่อนเข้ารับการฉีด

โดยทั่วไป ไม่จำเป็นต้องมีการเตรียมตัวเป็นพิเศษ เนื่องจากการฉีดคีลอยด์ส่วนใหญ่แพทย์จะผสมยาชา (Lidocaine) เข้ากับตัวยาเพื่อช่วยลดความเจ็บปวดอยู่แล้ว

สำหรับผู้ที่ไวต่อความเจ็บปวดมากหรือในเด็ก อาจมีการใช้ยาชาเฉพาะที่ในรูปแบบครีม (เช่น EMLA) ทาบริเวณที่จะฉีดก่อนประมาณ 30-60 นาที นอกจากนี้ บางคลินิกอาจใช้วิธีประคบเย็นหรือใช้เครื่องเป่าลมเย็นบริเวณผิวหนังทันทีก่อนฉีดเพื่อช่วยลดความรู้สึกเจ็บ

สิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างการฉีดยา

ระหว่างการฉีดยา แพทย์จะผสมยาชาเข้ากับสเตียรอยด์เพื่อลดความเจ็บปวด โดยผู้ป่วยจะรู้สึกเจ็บแปลบหรือมีแรงกดดันสั้นๆ ขณะที่แพทย์ใช้เข็มขนาดเล็กฉีดยาเข้าไปในเนื้อเยื่อแผลเป็นจนแผลมีสีซีดขาว ซึ่งบ่งชี้ว่ายาได้กระจายตัวอย่างเหมาะสม ก่อนฉีดอาจมีการประคบเย็นหรือทายาชาเฉพาะที่เพื่อช่วยลดความรู้สึกเจ็บ โดยขั้นตอนทั้งหมดใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีต่อแผลเป็นหนึ่งจุด

วิธีดูแลแผลหลังฉีดเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

การดูแลแผลหลังฉีดคีลอยด์ที่ดีที่สุดคือการรักษาความสะอาด หลีกเลี่ยงการระคายเคือง และใช้การรักษาเสริม เช่น แผ่นซิลิโคนและการป้องกันแสงแดด เพื่อช่วยให้การรักษามีประสิทธิภาพและลดโอกาสการกลับมาเป็นซ้ำ

คำแนะนำในการดูแลตัวเองที่บ้านมีดังนี้:

  • รักษาความสะอาด: รักษาบริเวณที่ฉีดให้สะอาดและแห้ง งดทาเครื่องสำอางหรือครีมอื่นๆ บนแผลเป็นเวลา 24 ชั่วโมงเพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ
  • หลีกเลี่ยงการกระทบกระเทือน: งดการแกะ เกา หรือเสียดสีบริเวณแผล และหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนักที่อาจทำให้ผิวหนังบริเวณนั้นตึงในวันแรก
  • ใช้ซิลิโคนเจลหรือแผ่นแปะ: ใช้ซิลิโคนเจลหรือแผ่นแปะตามคำแนะนำของแพทย์ทุกวัน เพื่อช่วยรักษาความชุ่มชื้นและกดทับแผลเป็น ซึ่งจะช่วยเสริมผลการรักษาของยาฉีด
  • ป้องกันแสงแดด: ทาครีมกันแดด (SPF 30 ขึ้นไป) หรือปิดแผลเพื่อป้องกันรังสียูวี ซึ่งอาจทำให้รอยแผลเป็นมีสีคล้ำขึ้น
  • ไปตามนัดหมาย: การไปฉีดยาตามนัดอย่างสม่ำเสมอเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

ราคา จำนวนครั้ง และผลลัพธ์ที่คาดหวัง

ปัจจัยกำหนดราคาค่ารักษาต่อครั้ง

ปัจจัยหลักที่กำหนดราคาค่ารักษาคีลอยด์ต่อครั้งคือขนาดและจำนวนของแผลเป็น ปริมาณยาที่ใช้ รวมถึงประเภทและที่ตั้งของสถานพยาบาล โดยมีรายละเอียดดังนี้

  • ขนาดและจำนวนของคีลอยด์: แผลเป็นที่มีขนาดใหญ่หรือมีหลายตำแหน่งจะมีค่าใช้จ่ายสูงกว่า
  • ปริมาณยาที่ใช้: หากต้องใช้ยาในปริมาณมาก ค่ารักษาก็จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
  • ประเภทและที่ตั้งของสถานพยาบาล: โรงพยาบาลเอกชนขนาดใหญ่มักมีราคาสูงกว่าคลินิกขนาดเล็ก และราคาอาจแตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่
  • โปรโมชันและแพ็กเกจ: คลินิกหลายแห่งมักมีโปรโมชันหรือแพ็กเกจเหมาจ่าย ซึ่งอาจทำให้ราคาต่อครั้งถูกลง

ต้องฉีดกี่ครั้งและบ่อยแค่ไหนจึงจะเห็นผล

โดยทั่วไปแล้ว ต้องฉีดประมาณ 3-4 ครั้ง ห่างกันทุก 4 สัปดาห์ จึงจะเห็นผลการรักษาที่ชัดเจน

  • จำนวนครั้ง: คีลอยด์ขนาดเล็กอาจยุบตัวลงหลังฉีด 2-3 ครั้ง ในขณะที่คีลอยด์ขนาดใหญ่อาจต้องฉีด 6 ครั้งขึ้นไป
  • ระยะเวลาเห็นผล: อาการคันหรือเจ็บจะลดลงภายในไม่กี่วันหลังฉีดครั้งแรก ส่วนการยุบตัวของแผลเป็นจะเริ่มเห็นได้ชัดเจนหลังฉีดไปแล้ว 2-3 ครั้ง (ประมาณ 2-3 เดือน)

ระยะเวลาเห็นผลและการเปลี่ยนแปลงของแผลเป็น

โดยทั่วไป อาการคันหรือเจ็บจะลดลงภายในไม่กี่วันหลังฉีดครั้งแรก ส่วนการเปลี่ยนแปลงที่มองเห็นได้ เช่น แผลเป็นแบนราบลง จะเริ่มสังเกตได้ในเวลาประมาณ 3-4 สัปดาห์

การเปลี่ยนแปลงของแผลเป็นจะเกิดขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปตามลำดับดังนี้

  • การบรรเทาอาการ: อาการคันและความเจ็บปวดมักจะดีขึ้นอย่างรวดเร็วภายในไม่กี่วันหลังการฉีดครั้งแรก
  • การยุบตัวของแผล: แผลเป็นจะเริ่มดูแบนราบหรือซีดลงหลังจากผ่านไปประมาณ 3-4 สัปดาห์ ซึ่งเป็นช่วงเวลาใกล้เคียงกับการฉีดครั้งที่สอง
  • ผลลัพธ์ที่ชัดเจน: การเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดเจนส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นหลังจากการฉีด 2-3 ครั้ง (ประมาณ 2-3 เดือน) โดยผู้ป่วยส่วนใหญ่จะพบว่าแผลเป็นยุบตัวลงมากกว่า 50%

ข้อควรพิจารณาก่อนตัดสินใจฉีดคีลอยด์

การเลือกคลินิกและแพทย์ผู้ทำการรักษา

ควรเลือกแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เช่น แพทย์ผิวหนังหรือศัลยแพทย์ตกแต่ง และคลินิกที่น่าเชื่อถือ โดยให้ความสำคัญกับคลินิกที่มีเทคนิคปลอดเชื้อและแพทย์ที่มีประสบการณ์มากกว่าการเลือกจากราคาที่ถูกที่สุดเพียงอย่างเดียว เพื่อความปลอดภัยในการรักษา

เปรียบเทียบการฉีดกับวิธีรักษาคีลอยด์แบบอื่น

การฉีดยาเป็นวิธีรักษาคีลอยด์อันดับแรก เนื่องจากมีความสมดุลระหว่างประสิทธิภาพ ความปลอดภัย และค่าใช้จ่าย ในขณะที่วิธีอื่น เช่น การผ่าตัด การฉายรังสี และเลเซอร์ มีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันไป และมักใช้สำหรับคีลอยด์ที่ไม่ตอบสนองต่อการฉีดหรือใช้รักษาร่วมกัน

ตารางเปรียบเทียบวิธีการรักษาคีลอยด์แบบต่างๆ:

วิธีการรักษา ข้อดี ข้อเสีย / ความเสี่ยง เหมาะสำหรับ
การฉีดยา (Steroids) เป็นวิธีมาตรฐาน ปลอดภัย ทำให้แผลเป็นแบนราบและนุ่มลง ลดอาการคันและเจ็บได้ดี ค่าใช้จ่ายไม่สูง ต้องทำหลายครั้ง อาจเกิดผิวบุ๋ม (atrophy) หรือสีผิวเปลี่ยน คีลอยด์ส่วนใหญ่ (เป็นวิธีแรกที่เลือกใช้)
การผ่าตัด กำจัดก้อนคีลอยด์ออกได้ทันที เสี่ยงกลับมาเป็นซ้ำสูงมาก (50–100%) หากทำอย่างเดียว คีลอยด์ขนาดใหญ่มาก และต้องรักษาร่วมกับวิธีอื่น เช่น การฉีดยาหรือการฉายรังสีตามหลัง
การฉายรังสี มีประสิทธิภาพสูงมากในการป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำหลังผ่าตัด (ลดโอกาสเหลือ <20%) ค่าใช้จ่ายสูง มีความเสี่ยงระยะยาว (แม้จะน้อย) จึงมักใช้ในผู้ใหญ่และกรณีที่รุนแรง คีลอยด์ที่ดื้อต่อการรักษา หรือใช้ป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำหลังผ่าตัด
เลเซอร์ (Laser) ช่วยลดรอยแดงและปรับผิวให้เรียบเนียนขึ้น ความเสี่ยงต่ำ ไม่ค่อยได้ผลในการลดขนาดคีลอยด์ที่นูนหนามาก ต้องทำหลายครั้ง คีลอยด์ที่ยังมีรอยแดง หรือแผลเป็นนูน (hypertrophic scar)
การจี้เย็น (Cryotherapy) ทำให้คีลอยด์แบนราบลงได้ดีในแผลขนาดเล็ก เจ็บ และมักทำให้เกิดรอยด่างขาวถาวร ไม่เหมาะกับผู้มีผิวคล้ำ คีลอยด์ขนาดเล็ก

การป้องกันคีลอยด์กลับมาเป็นซ้ำ

การป้องกันคีลอยด์กลับมาเป็นซ้ำต้องอาศัยหลายวิธีร่วมกัน โดยมีเป้าหมายเพื่อควบคุมแผลเป็นในระยะยาวหลังจากที่แผลเรียบลงแล้ว

วิธีการป้องกันที่สำคัญมีดังนี้:

  • การใช้อุปกรณ์กดทับ (Pressure Therapy): การใช้อุปกรณ์ที่สร้างแรงกดอย่างสม่ำเสมอ เช่น ต่างหูแบบหนีบสำหรับคีลอยด์ที่ใบหู หรือเสื้อผ้าที่ออกแบบมาเพื่อกดทับแผลเป็นบริเวณหน้าอกหรือแขนขา สามารถลดอัตราการกลับมาเป็นซ้ำได้อย่างมีนัยสำคัญ
  • แผ่นซิลิโคนเจล (Silicone Gel Sheets): การใช้แผ่นซิลิโคนแปะบนแผลเป็นทุกวันเป็นเวลาอย่างน้อย 3-6 เดือน จะช่วยรักษาความชุ่มชื้นและควบคุมการสร้างคอลลาเจน ซึ่งได้รับการพิสูจน์แล้วว่าช่วยลดการเกิดซ้ำได้
  • การป้องกันแสงแดด: ควรทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 ขึ้นไป หรือปกปิดแผลเป็นจากแสงแดด เพื่อป้องกันการอักเสบและปัญหาสีผิวคล้ำที่อาจกระตุ้นให้แผลเป็นแย่ลง
  • การติดตามผลระยะยาว: การพบแพทย์อย่างสม่ำเสมอ เช่น ทุก 3-4 เดือนในปีแรกหลังการรักษา เพื่อตรวจหาการกลับมาเป็นซ้ำในระยะเริ่มต้น หากพบว่าแผลเริ่มนูนขึ้นใหม่ แพทย์จะสามารถให้การรักษาเพิ่มเติมได้ทันที
  • การหลีกเลี่ยงการบาดเจ็บซ้ำ: ควรหลีกเลี่ยงการกระทำที่อาจก่อให้เกิดแผลในบริเวณเดิม เช่น การเจาะหูซ้ำ หรือการสักทับบริเวณที่เคยเป็นคีลอยด์

ผลข้างเคียงและความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น

ผลข้างเคียงทั่วไปที่สามารถจัดการได้

ผลข้างเคียงที่พบบ่อยที่สุดจากการฉีดคีลอยด์คือ ผิวหนังฝ่อหรือยุบตัว รอยด่างขาว และเส้นเลือดฝอยขยายตัว

ผลข้างเคียงเหล่านี้สามารถจัดการได้และมักเกิดขึ้นเฉพาะบริเวณที่ฉีดเท่านั้น:

  • ผิวหนังฝ่อ (Skin Atrophy): เป็นผลข้างเคียงที่พบบ่อยที่สุด ผิวหนังบริเวณที่ฉีดจะบางและยุบตัวลง ซึ่งมักเกิดขึ้นเฉพาะที่และอาจฟื้นตัวได้บางส่วนเมื่อหยุดการฉีด
  • รอยด่างขาว (Hypopigmentation): สีผิวบริเวณที่รักษาจะจางลง โดยเฉพาะในผู้ที่มีผิวคล้ำ เนื่องจากสเตียรอยด์ไปลดการทำงานของเซลล์สร้างเม็ดสี
  • เส้นเลือดฝอยขยายตัว (Telangiectasia): อาจเกิดเส้นเลือดฝอยเล็กๆ สีแดงคล้ายใยแมงมุมบนผิวหนังบริเวณที่ฉีด ซึ่งเป็นผลมาจากผิวที่บางลง

สัญญาณอันตรายที่ต้องรีบปรึกษาแพทย์

สัญญาณอันตรายที่ต้องรีบปรึกษาแพทย์หลังการฉีดคีลอยด์คือ อาการปวดรุนแรงหรือมีของเหลวผิดปกติไหลซึมออกมาจากแผล

อาการเหล่านี้เป็นสัญญาณที่พบได้ไม่บ่อยและอาจบ่งชี้ถึงการติดเชื้อ ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการตรวจจากแพทย์ทันที

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการฉีดคีลอยด์

ฉีดคีลอยด์เจ็บไหม?

การฉีดคีลอยด์ทำให้เกิดความเจ็บปวดบ้าง แต่โดยทั่วไปแล้วสามารถทนได้ เนื่องจากแพทย์มักผสมยาชา (lidocaine) เข้ากับสเตียรอยด์เพื่อลดความรู้สึกไม่สบาย และอาจมีการประคบเย็นหรือใช้สเปรย์เย็นที่ผิวก่อนฉีดเพื่อช่วยลดความเจ็บปวด

โดยทั่วไปจะรู้สึกเหมือนโดนหยิกเบาๆ และอาจมีความรู้สึกแสบหรือตึงเล็กน้อยเพียงไม่กี่วินาที ซึ่งความเจ็บปวดจะหายไปทันทีหลังฉีดเสร็จ

ต้องฉีดคีลอยด์กี่ครั้งถึงจะเห็นผล?

โดยทั่วไป จะเริ่มเห็นผลการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนหลังฉีดไปแล้วประมาณ 2-3 ครั้ง หรือในช่วง 2-3 เดือนแรกของการรักษา อย่างไรก็ตาม อาการคันหรือเจ็บมักจะดีขึ้นอย่างรวดเร็วภายในไม่กี่วันหลังการฉีดครั้งแรก

จำนวนครั้งในการฉีดทั้งหมดจะขึ้นอยู่กับขนาดและการตอบสนองของคีลอยด์แต่ละบุคคล

  • คีลอยด์ขนาดเล็ก: อาจยุบตัวลงอย่างน่าพอใจหลังฉีดประมาณ 3 ครั้ง
  • คีลอยด์ขนาดใหญ่หรือนานแล้ว: อาจต้องฉีด 5-8 ครั้ง หรือมากกว่านั้นเพื่อให้แผลเรียบเนียนที่สุด

ยาฉีดคีลอยด์มีผลข้างเคียงถาวรหรือไม่?

ใช่ ผลข้างเคียงบางอย่างจากการฉีดคีลอยด์อาจคงอยู่ถาวรได้

ผลข้างเคียงที่พบได้และอาจคงอยู่ถาวรในบางกรณีคือภาวะเส้นเลือดฝอยขยายตัว (Telangiectasia) ซึ่งทำให้เห็นเป็นเส้นเลือดฝอยเล็กๆ สีแดงบริเวณที่ฉีด นอกจากนี้ ผลข้างเคียงอื่นๆ เช่น ผิวหนังยุบตัว บางลง หรือบุ๋ม (Atrophy) และสีผิวจางลง (Hypopigmentation) ก็อาจเกิดขึ้นได้ ซึ่งแม้ว่าอาการเหล่านี้จะสามารถดีขึ้นได้เองหลังจากหยุดการรักษา แต่ก็อาจคงอยู่เป็นเวลานานในผู้ป่วยบางราย

หลังฉีดคีลอยด์แล้วมีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำไหม?

มีโอกาสที่คีลอยด์จะกลับมาเป็นซ้ำได้ โดยอัตราการกลับมาเป็นซ้ำหลังการฉีดสเตียรอยด์อย่างเดียวมีตั้งแต่ 9% ถึง 50% ขึ้นอยู่กับขนาด ตำแหน่งของคีลอยด์ และปัจจัยส่วนบุคคล

อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงนี้สามารถลดลงได้อย่างมากด้วยการดูแลต่อเนื่อง เช่น การใช้แผ่นซิลิโคน การสวมใส่อุปกรณ์กดทับ และการกลับมาพบแพทย์เพื่อตรวจติดตาม ซึ่งหากพบสัญญาณการกลับมาเป็นซ้ำในระยะเริ่มต้น แพทย์อาจฉีดยากระตุ้น (booster) เพื่อควบคุมไม่ให้แผลเป็นกลับมานูนใหญ่อีกครั้ง

สามารถใช้แผ่นแปะคีลอยด์ร่วมกับการฉีดได้หรือไม่?

ได้ การใช้แผ่นแปะซิลิโคนสำหรับคีลอยด์ร่วมกับการฉีดถือเป็นวิธีที่แนะนำ โดยทั่วไปแพทย์จะแนะนำให้ใช้แผ่นแปะซิลิโคนหรือซิลิโคนเจลทุกวันในช่วงระหว่างการฉีดแต่ละครั้งและต่อเนื่องไปอีกอย่างน้อย 3-6 เดือนหลังการรักษา เพื่อช่วยรักษาความชุ่มชื้น กดทับแผลเป็น และป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ

ฉีดคีลอยด์เองที่บ้านได้ไหม?

ไม่สามารถฉีดคีลอยด์เองที่บ้านได้ เนื่องจากการฉีดคีลอยด์เป็นหัตถการทางการแพทย์ที่ต้องทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น เพื่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพสูงสุด

การฉีดคีลอยด์เองมีความเสี่ยงสูงหลายประการ ได้แก่

  • การติดเชื้อ: หากใช้อุปกรณ์ที่ไม่ปลอดเชื้อหรือทำในสภาพแวดล้อมที่ไม่สะอาด อาจทำให้เกิดการติดเชื้อรุนแรงได้
  • ผลข้างเคียงจากการฉีดผิดวิธี: การฉีดที่ตื้นหรือลึกเกินไป หรือฉีดเข้าผิวหนังปกติรอบๆ อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงถาวร เช่น ผิวหนังยุบตัว (skin atrophy) สีผิวจางลง (hypopigmentation) หรือเกิดเส้นเลือดฝอยขยายตัว (telangiectasia)
  • การใช้ยาและปริมาณที่ไม่เหมาะสม: แพทย์จะประเมินขนาดและความหนาของคีลอยด์เพื่อเลือกความเข้มข้นและปริมาณยาที่ถูกต้อง การใช้ยาผิดขนาดอาจทำให้การรักษาไม่ได้ผลหรือเกิดอันตรายได้

References:

  1. American Academy of Dermatology (AAD). (n.d.). Keloid Scars: Diagnosis and Treatment. AAD. aad.org
  2. National Institute of Health. (n.d.). Intralesional Corticosteroid Injection for Keloids and Hypertrophic Scars. NIH. nih.gov
  3. UpToDate. (n.d.). Treatment of Keloids and Hypertrophic Scars. UpToDate. uptodate.com
  4. Frontiers in Medicine. (n.d.). Management Strategies for Keloid Scars. Frontiers. frontiersin.org
  5. Lippincott Williams & Wilkins (LWW). (n.d.). Keloid Treatment Guidelines. LWW Journals. lww.com
  6. Springer. (n.d.). Clinical Approaches to Keloid Therapy. Springer. springer.com

แนะแนวเรื่อง

Previous Previous
หลังฉีดโบท็อก ออกกำลังกายได้ไหม? แบบไหนทำได้ แบบไหนต้องงด
NextContinue
ฉีดโบท็อกกินปลาร้าได้ไหม? รวมอาหารต้องห้ามและข้อควรระวัง

สาขาพรีวาโต คลินิก

    สาขาอโศก ตั้งอยู่ที่ ชั้น 2 อาคารมิดทาวน์
    Phone: 02-258-4050 , 081-841-5075
    สาขาสีลม ตั้งอยู่ที่ ชั้น 1 อาคารซี.พี.ทาวเวอร์
    Phone: 02-780-2011 , 098-272-5244
    สาขาราชพฤกษ์ ตั้งอยู่ที่ ชั้น 2 ศูนย์การค้า เดอะคริสตัล เอสบี (ด้านบนร้านสตาร์บัคส์)
    Phone: 02-102-2778 , 098-272-5244

ติดต่อเรา

    Facebook: Privato Clinic
    Messenger: Privato Clinic
    Instagram: privatoclinic
    Email: privatoclinic@gmail.com
    Line: @privatoclinic

Copyright© 2022-2024. All Rights Reserved

Scroll to top
  • หน้าหลัก
  • เกี่ยวกับพรีวาโต
  • บริการทั้งหมด
    • ชะลอวัย
    • ยกกระชับผิว
      • XERF
      • Potenza
      • Sofwave
      • Ulthera
      • Thermage-FLX
    • รักษาสิว
    • เลเซอร์
    • โปรแกรมฉีด
    • บำรุงผิว
  • บทความ
    • สิว
    • ยกกระชับ
    • ดูแลผิว
    • ทำเลเซอร์
  • ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว
  • โปรโมชั่น
  • ผลลัพธ์การรักษา
  • วิดีโอรีวิวจากเคสจริง
  • สาขาของเรา
  • ไทย
    • ไทย
    • English
    • 中文 (中国)
  • ปรึกษาแพทย์
Facebook Instagram YouTube