Skip to content

TEL : 081-841-5075, 02-258-4050

Facebook Instagram YouTube
Privato Clinic – Innovation Of Beauty  |  Bangkok
  • หน้าหลัก
  • เกี่ยวกับพรีวาโต
  • บริการทั้งหมดExpand
    • ชะลอวัย
    • ยกกระชับผิวExpand
      • XERF
      • Potenza
      • Sofwave
      • Ulthera
      • Thermage-FLX
    • รักษาสิว
    • เลเซอร์
    • โปรแกรมฉีด
    • บำรุงผิว
  • บทความExpand
    • สิว
    • ยกกระชับ
    • ดูแลผิว
    • ทำเลเซอร์
  • ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว
  • โปรโมชั่น
  • ผลลัพธ์การรักษา
  • วิดีโอรีวิวจากเคสจริง
  • สาขาของเรา
  • ไทยExpand
    • ไทย
    • English
    • 中文 (中国)
  • ปรึกษาแพทย์
Privato Clinic – Innovation Of Beauty  |  Bangkok
Consult a Doctor
Lifting

ร้อยไหมแบบไหนดี? เลือกชนิดไหมให้เหมาะกับปัญหาผิว

Byadmin ตุลาคม 21, 2025
By แพทย์หญิงนัชชนก หุ่นวิจิตร Updated on ตุลาคม 21, 2025
✦ Medically reviewed by  นายแพทย์เลอพงษ์ กรุดเงิน
ร้อยไหมแบบไหนดี? เลือกชนิดไหมให้เหมาะกับปัญหาผิว (แก้มย้อย, ริ้วรอย)

ร้อยไหมแบบไหนดีที่สุดขึ้นอยู่กับเป้าหมายการรักษาและสภาพผิวของแต่ละบุคคล โดยไหม PDO เหมาะสำหรับกระตุ้นคอลลาเจนและความหย่อนคล้อยเล็กน้อยด้วยผลลัพธ์ประมาณ 1 ปี, ไหม PLLA เหมาะกับผู้ที่ผิวบางและต้องการเพิ่มวอลลุ่มด้วยผลลัพธ์นาน 2 ปี, และไหม PCL ให้แรงยกแข็งแรงที่สุดสำหรับความหย่อนคล้อยปานกลางถึงมากด้วยผลลัพธ์ยาวนานถึง 2-3 ปี; แพทย์แนะนำการร้อยไหมเหมาะกับผู้ที่อยู่ในช่วงวัย 40-50 ปีที่ผิวเริ่มหย่อนคล้อยในระดับปานกลางและต้องการยกกระชับโดยไม่ต้องผ่าตัด พร้อมทั้งมักใช้ไหมเงี่ยงประมาณ 2-4 เส้นต่อข้างสำหรับยกแก้มและ 2-6 เส้นต่อข้างสำหรับกรอบหน้า.

Table of Contents

Toggle
  • การร้อยไหมคืออะไร? ช่วยแก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อยได้อย่างไร
  • ใครบ้างที่เหมาะกับการร้อยไหม และใครที่ควรหลีกเลี่ยง
    • ข้อบ่งชี้: สภาพผิวและปัญหาที่เหมาะกับการร้อยไหม
    • ข้อห้าม: กลุ่มที่ไม่ควรร้อยไหมเพื่อความปลอดภัย
  • เปรียบเทียบชนิดของเส้นไหม: PDO, PCL, PLLA แตกต่างกันอย่างไร
    • ไหม PDO (Polydioxanone): เน้นกระตุ้นคอลลาเจนสำหรับริ้วรอยเล็กๆ
    • ไหม PCL (Polycaprolactone): ยืดหยุ่นสูง ยกกระชับได้ดีและอยู่นาน
    • ไหม PLLA (Poly-L-Lactic Acid): แข็งแรงที่สุด เหมาะกับเคสที่หย่อนคล้อยมาก
    • โครงสร้างไหมแบบต่างๆ: ไหมเรียบ ไหมเกลียว และไหมก้างปลา (COG)
    • เกณฑ์การเลือกชนิดและโครงสร้างไหมให้เหมาะกับเป้าหมาย
  • ผลลัพธ์ที่คาดหวัง: ร้อยไหมอยู่ได้นานแค่ไหนและต้องพักฟื้นกี่วัน
    • ระยะเวลาเห็นผลและผลลัพธ์คงอยู่ได้นานเท่าไหร่
    • การดูแลตัวเองหลังร้อยไหมและระยะเวลาพักฟื้น
  • ปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจก่อนเลือกร้อยไหม
    • การเลือกคลินิกและแพทย์ผู้ทำหัตถการที่มีประสบการณ์
    • จำนวนเส้นไหมที่เหมาะสมสำหรับแต่ละบริเวณบนใบหน้า
    • เปรียบเทียบร้อยไหมกับหัตถการยกกระชับอื่นๆ (HIFU, Ulthera)
  • ความเสี่ยง ผลข้างเคียง และข้อควรระวังในการร้อยไหม
    • ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้และวิธีรับมือเบื้องต้น
    • สัญญาณอันตรายที่ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที
  • ค่าใช้จ่ายในการร้อยไหม: ราคาขึ้นอยู่กับปัจจัยอะไรบ้าง
  • คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการร้อยไหม (FAQ)
    • ร้อยไหมเจ็บไหม?
    • ร้อยไหมอยู่ได้นานแค่ไหน?
    • ต้องใช้ไหมกี่เส้นถึงจะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน?
    • ร้อยไหมอันตรายหรือไม่?
    • หลังร้อยไหมใบหน้าจะบวมกี่วัน?
    • สามารถร้อยไหมซ้ำได้บ่อยแค่ไหน?
  • References:

การร้อยไหมคืออะไร? ช่วยแก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อยได้อย่างไร

การร้อยไหมคือหัตถการที่ใช้ไหมละลายสอดเข้าไปใต้ชั้นผิวเพื่อ ดึงยกผิวที่หย่อนคล้อยขึ้นทันที พร้อมกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ใต้ผิว ซึ่งช่วยแก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อยผ่าน 2 กลไกหลัก ดังนี้

  1. การยกกระชับทันที (Mechanical Lift): ไหมที่มีเงี่ยงจะทำหน้าที่เหมือนตะขอเกี่ยวและดึงรั้งเนื้อเยื่อผิวหนังขึ้นไปยังตำแหน่งที่ต้องการ ทำให้เห็นผลลัพธ์การยกกระชับได้ทันทีหลังทำ
  2. การกระตุ้นคอลลาเจน (Collagen Stimulation): ขณะที่ไหมค่อยๆ สลายไป ร่างกายจะตอบสนองโดยการสร้างคอลลาเจนและเนื้อเยื่อใหม่ขึ้นมาพันรอบเส้นไหม ทำให้ผิวบริเวณนั้นแข็งแรง เต่งตึง และกระชับขึ้นจากภายใน ซึ่งเป็นผลลัพธ์ที่คงอยู่ได้นานแม้ไหมจะสลายไปหมดแล้ว

ใครบ้างที่เหมาะกับการร้อยไหม และใครที่ควรหลีกเลี่ยง

ข้อบ่งชี้: สภาพผิวและปัญหาที่เหมาะกับการร้อยไหม

การร้อยไหมเหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยและริ้วรอยในระดับเล็กน้อยถึงปานกลาง ที่ต้องการผลลัพธ์การยกกระชับที่เห็นผลแต่ไม่เทียบเท่าการผ่าตัด

การร้อยไหมมีข้อบ่งชี้สำหรับผู้ที่มีลักษณะและเป้าหมายดังนี้:

  • ผู้ที่อยู่ในช่วงวัย 40-50 ปี ซึ่งผิวเริ่มหย่อนคล้อยแต่ยังไม่มากเกินไป
  • ผู้ที่ต้องการยกกระชับใบหน้าและกระตุ้นคอลลาเจนในระดับปานกลาง
  • ผู้ที่ต้องการปรับกรอบหน้าให้คมชัดขึ้น หรือต้องการให้ใบหน้าดูสดชื่นขึ้น
  • ผู้ที่ต้องการหลีกเลี่ยงการผ่าตัดใหญ่ การดมยาสลบ หรือไม่ต้องการมีระยะเวลาพักฟื้นนาน
  • ใช้เพื่อคงสภาพผลลัพธ์หลังการผ่าตัดดึงหน้า

ข้อห้าม: กลุ่มที่ไม่ควรร้อยไหมเพื่อความปลอดภัย

ผู้ที่ไม่ควรร้อยไหมคือผู้ที่มีการติดเชื้อที่ผิวหนัง, มีโรคประจำตัวที่ควบคุมไม่ได้, มีประวัติเป็นแผลเป็นคีลอยด์ รวมถึงสตรีมีครรภ์และให้นมบุตร เพื่อความปลอดภัย ควรหลีกเลี่ยงการร้อยไหมหากมีเงื่อนไขดังต่อไปนี้

  • มีการติดเชื้อที่ผิวหนัง: บริเวณที่จะทำหัตถการมีสิวอักเสบรุนแรง, เริม, หรือมีแผลเปิด
  • มีโรคประจำตัวที่ควบคุมไม่ได้: เช่น โรคเบาหวานหรือความดันโลหิตสูงที่ยังควบคุมไม่ได้ หรือโรคแพ้ภูมิตัวเอง (Lupus) อยู่ในระยะกำเริบ
  • รับประทานยาต้านการแข็งตัวของเลือด: ผู้ที่ใช้ยาละลายลิ่มเลือด (เช่น warfarin, clopidogrel) และไม่สามารถหยุดยาได้ตามคำแนะนำของแพทย์
  • มีประวัติการเกิดแผลเป็นคีลอยด์: เนื่องจากกระบวนการร้อยไหมกระตุ้นการสร้างพังผืด ซึ่งอาจทำให้เกิดแผลเป็นนูนได้
  • เป็นโรคแพ้ภูมิตัวเองบางชนิด: โดยเฉพาะโรคที่ส่งผลต่อการหายของแผล เช่น โรคหนังแข็ง (Scleroderma)
  • กำลังตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร: เนื่องจากยังไม่มีข้อมูลยืนยันความปลอดภัยที่ชัดเจน

เปรียบเทียบชนิดของเส้นไหม: PDO, PCL, PLLA แตกต่างกันอย่างไร

ความแตกต่างที่สำคัญของไหม PDO, PLLA, และ PCL คือ ระยะเวลาการสลายตัว, ความสามารถในการกระตุ้นคอลลาเจน, และความแข็งแรงในการยกกระชับ โดยไหมแต่ละชนิดมีคุณสมบัติที่เหมาะกับสภาพผิวและเป้าหมายที่แตกต่างกัน ดังนี้

คุณสมบัติ ไหม PDO (Polydioxanone) ไหม PLLA (Poly-L-Lactic Acid) ไหม PCL (Polycaprolactone)
ระยะเวลา สลายตัวเร็วที่สุด (6-9 เดือน) ผลลัพธ์อยู่ได้ประมาณ 1 ปี สลายตัวช้า (12-18 เดือน) ผลลัพธ์อยู่ได้นานถึง 2 ปี สลายตัวช้าที่สุด (นานกว่า 2 ปี) ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 2-3 ปี
การกระตุ้นคอลลาเจน ดี ดีมาก ช่วยเพิ่มวอลลุ่มให้ผิว ดีเยี่ยมและยาวนานที่สุด
แรงยกกระชับ น้อยที่สุด เหมาะกับความหย่อนคล้อยเล็กน้อย ปานกลาง แข็งแรงและมีแรงยกมากที่สุด
เหมาะสำหรับ ผู้ที่ต้องการปรับปรุงคุณภาพผิว หรือยกกระชับเล็กน้อย ผู้ที่ผิวบางหรือต้องการเพิ่มความหนาและวอลลุ่ม ผู้ที่มีความหย่อนคล้อยปานกลางถึงมาก หรือต้องการผลลัพธ์ที่ยาวนานที่สุด

ไหม PDO (Polydioxanone): เน้นกระตุ้นคอลลาเจนสำหรับริ้วรอยเล็กๆ

ไหม PDO (Polydioxanone) เป็นไหมละลายที่เน้นการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนเพื่อปรับปรุงคุณภาพผิวและความกระชับ โดยไหมชนิดนี้จะสลายตัวในร่างกาย ซึ่งกระบวนการนี้จะกระตุ้นเซลล์ไฟโบรบลาสต์ให้สร้างคอลลาเจนชนิดที่ 1 และ 3 ขึ้นมาใหม่

  • ผลลัพธ์: ช่วยให้ผิวแน่นและเรียบเนียนขึ้น โดยจะคงอยู่ประมาณ 1 ปี
  • เหมาะสำหรับ: ผู้ที่มีปัญหาความหย่อนคล้อยเล็กน้อยถึงปานกลาง หรือผู้ที่ต้องการปรับปรุงคุณภาพผิวโดยไม่ต้องการเพิ่มปริมาตร
  • ลักษณะเด่น: ไหมมีความนิ่มและยืดหยุ่น ทำให้เหมาะกับบริเวณผิวบาง แต่มีแรงยกน้อยกว่าไหมชนิดอื่น

ไหม PCL (Polycaprolactone): ยืดหยุ่นสูง ยกกระชับได้ดีและอยู่นาน

ไหม PCL (Polycaprolactone) เป็นไหมที่ให้ผลลัพธ์ยาวนานที่สุด โดยสามารถคงอยู่ได้นาน 2-3 ปี เนื่องจากมีโครงสร้างโมเลกุลที่แข็งแรงและสลายตัวช้าที่สุดเมื่อเทียบกับไหมชนิดอื่น

ไหม PCL ให้แรงยกที่แข็งแรงและทนทาน จึงเหมาะสำหรับผู้ที่มีความหย่อนคล้อยระดับปานกลางถึงรุนแรง หรือผู้สูงวัยที่ต้องการผลลัพธ์ที่ชัดเจนและยาวนาน นอกจากนี้ยังกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนได้ดีที่สุด ทำให้ผิวแข็งแรงและยืดหยุ่นขึ้นในระยะยาว

ไหม PLLA (Poly-L-Lactic Acid): แข็งแรงที่สุด เหมาะกับเคสที่หย่อนคล้อยมาก

ไม่ถูกต้อง ไหมชนิด PCL (Polycaprolactone) เป็นไหมที่แข็งแรงและให้การสนับสนุนที่ยาวนานที่สุด จึงเหมาะสำหรับผู้ที่มีความหย่อนคล้อยปานกลางถึงรุนแรง

ในขณะที่ไหม PLLA เหมาะสำหรับผู้ที่มีความหย่อนคล้อยเล็กน้อยถึงปานกลางที่ต้องการกระตุ้นคอลลาเจนเพื่อเพิ่มความหนาและฟื้นฟูคุณภาพผิวไปพร้อมกับการยกกระชับ

โครงสร้างไหมแบบต่างๆ: ไหมเรียบ ไหมเกลียว และไหมก้างปลา (COG)

โครงสร้างของไหมแบ่งตามหน้าที่หลักได้ 3 ประเภท คือ ไหมเรียบ (Mono) สำหรับฟื้นฟูผิว, ไหมเกลียว (Screw) สำหรับเพิ่มปริมาตรเล็กน้อย, และไหมก้างปลา (Cog) สำหรับการยกกระชับโดยตรง โดยแต่ละแบบมีลักษณะและการใช้งานที่แตกต่างกัน ดังนี้

  • ไหมเรียบ (Mono Threads): เป็นไหมเส้นเรียบ ไม่มีเงี่ยงหรือเกลียว ใช้สำหรับกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนเพื่อฟื้นฟูคุณภาพผิว เพิ่มความยืดหยุ่นและความกระชับ แต่ไม่ได้ให้ผลลัพธ์ด้านการยกกระชับเนื้อเยื่อที่หย่อนคล้อย
  • ไหมเกลียว (Screw Threads): เป็นไหมที่มีลักษณะเป็นเกลียวหรือม้วนพันรอบเข็ม ช่วยเพิ่มปริมาตรและกระตุ้นคอลลาเจนได้ดีกว่าไหมเรียบ เหมาะสำหรับเติมเต็มร่องตื้นๆ หรือเพิ่มความแน่นของผิว
  • ไหมก้างปลา (Barbed/Cog Threads): เป็นไหมที่มีเงี่ยงหรือ “ก้าง” ยื่นออกมาจากเส้นไหม ซึ่งจะทำหน้าที่เกาะเกี่ยวและดึงรั้งเนื้อเยื่อผิวหนังขึ้นไป ทำให้เกิดการยกกระชับได้อย่างชัดเจน เหมาะสำหรับการแก้ปัญหาความหย่อนคล้อยบริเวณแก้ม กรอบหน้า และลำคอ

เกณฑ์การเลือกชนิดและโครงสร้างไหมให้เหมาะกับเป้าหมาย

เกณฑ์การเลือกชนิดและโครงสร้างของไหมจะพิจารณาจากเป้าหมายการรักษา, วัสดุของไหม, อายุ, และลักษณะผิวของผู้รับบริการเป็นหลัก เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่เหมาะสมที่สุดในแต่ละบุคคล

เกณฑ์การพิจารณาที่สำคัญมีดังนี้:

เป้าหมายการรักษา (Treatment Goal):

  • เพื่อยกกระชับ (Lifting): จะใช้ไหมเงี่ยง (Barbed/Cog) ซึ่งมีตะขอเล็กๆ ช่วยยึดเกาะและดึงเนื้อเยื่อที่หย่อนคล้อยขึ้น เหมาะสำหรับการปรับกรอบหน้า ยกแก้ม หรือลดเหนียง
  • เพื่อฟื้นฟูคุณภาพผิว (Skin Rejuvenation): จะใช้ไหมเรียบ (Mono) เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวแน่นกระชับและยืดหยุ่นขึ้น แต่ให้แรงยกได้ไม่มาก
  • ชนิดของวัสดุไหม (Thread Material):
  • PDO (Polydioxanone): เหมาะสำหรับความหย่อนคล้อยเล็กน้อยถึงปานกลาง ให้ผลลัพธ์ประมาณ 1 ปี เน้นการกระชับผิวโดยไม่เพิ่มวอลลุ่ม
  • PLLA (Poly-L-Lactic Acid): เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวบางหรือสูญเสียปริมาตรบนใบหน้า เพราะช่วยกระตุ้นคอลลาเจนเพื่อเติมเต็มผิว ให้ผลลัพธ์นานขึ้นประมาณ 2 ปี
  • PCL (Polycaprolactone): เหมาะสำหรับความหย่อนคล้อยปานกลางถึงมาก หรือผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ยาวนานที่สุด (2-3 ปี) เนื่องจากให้แรงยกที่แข็งแรงที่สุด
  • อายุและสภาพผิว (Age and Skin Condition):
  • วัยกลางคน (40-50 ปี): มักต้องการไหมที่กระตุ้นคอลลาเจนได้ดี เช่น PLLA
  • ผู้สูงวัย (60 ปีขึ้นไป): มักเลือกใช้ PCL ที่ให้การพยุงผิวได้ยาวนานที่สุดสำหรับผิวที่หย่อนคล้อยมาก
  • ผิวบาง: ควรใช้ไหม PDO หรือ PLLA เพื่อหลีกเลี่ยงการมองเห็นหรือคลำเจอเส้นไหม
  • ผิวหนาและหนัก: ต้องการไหมที่แข็งแรงอย่าง PCL เพื่อให้สามารถยกผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • บริเวณที่ทำการรักษา (Treatment Area):
  • กรอบหน้าและแก้ม: ต้องการแรงยกสูง จึงมักใช้ไหม PCL หรือไหมเงี่ยง PDO ขนาดใหญ่
  • ลำคอ: ซึ่งมีผิวบอบบาง อาจต้องใช้ไหมหลายชนิดผสมกัน เช่น ไหม PDO สำหรับริ้วรอยตื้นๆ ร่วมกับไหม PLLA/PCL เพื่อแก้ปัญหาความหย่อนคล้อยเชิงโครงสร้าง

ผลลัพธ์ที่คาดหวัง: ร้อยไหมอยู่ได้นานแค่ไหนและต้องพักฟื้นกี่วัน

ระยะเวลาเห็นผลและผลลัพธ์คงอยู่ได้นานเท่าไหร่

การร้อยไหมจะเห็นผลลัพธ์การยกกระชับได้ทันทีหลังทำ และจะเห็นผลชัดเจนที่สุดใน 3-6 เดือน โดยผลลัพธ์จะคงอยู่ได้นานประมาณ 6 เดือนถึง 3 ปี ขึ้นอยู่กับชนิดของไหม

หลังทำจะเห็นการเปลี่ยนแปลงจากการดึงของเส้นไหมทันที แต่ผลลัพธ์จะค่อยๆ ดีขึ้นเรื่อยๆ เมื่อร่างกายสร้างคอลลาเจนใหม่ โดยผิวจะเริ่มแน่นและเรียบเนียนขึ้นในเดือนแรก และจะเห็นผลการยกกระชับและฟื้นฟูผิวเต็มที่ในช่วง 3-6 เดือน

ระยะเวลาของผลลัพธ์จะแตกต่างกันไปตามชนิดของไหมที่ใช้ ดังนี้:

  • ไหม PDO: คงผลลัพธ์อยู่ได้ประมาณ 6-18 เดือน
  • ไหม PLLA: คงผลลัพธ์อยู่ได้ประมาณ 18-24 เดือน
  • ไหม PCL: คงผลลัพธ์อยู่ได้นานที่สุด ประมาณ 2-3 ปี

การดูแลตัวเองหลังร้อยไหมและระยะเวลาพักฟื้น

การดูแลตัวเองหลังร้อยไหมที่สำคัญคือการหลีกเลี่ยงการกดทับใบหน้า งดกิจกรรมหนัก และทานอาหารอ่อน โดยส่วนใหญ่จะใช้เวลาพักฟื้นประมาณ 1-2 สัปดาห์

ในช่วงแรก อาการบวมและช้ำจะเกิดขึ้นได้มากที่สุดใน 24-48 ชั่วโมงแรก และจะค่อยๆ ดีขึ้นภายใน 3-5 วัน โดยมีข้อควรปฏิบัติดังนี้

  • การประคบเย็น: ในช่วง 1-2 วันแรก ควรประคบเย็นบริเวณที่ทำครั้งละ 15-20 นาที เพื่อช่วยลดอาการบวมและช้ำ
  • การนอน: ควรนอนหนุนหมอนสูงหรือนอนหงายเป็นเวลา 3-5 คืน เพื่อลดอาการบวม
  • การทำความสะอาด: งดล้างหน้าอย่างน้อย 12-24 ชั่วโมง หลังจากนั้นให้ทำความสะอาดใบหน้าอย่างเบามือ หลีกเลี่ยงการถูหรือนวดแรงๆ เป็นเวลา 2 สัปดาห์
  • กิจกรรม: งดออกกำลังกายหนัก การยกของหนัก หรือกิจกรรมที่ต้องก้มหน้าเป็นเวลา 1-2 สัปดาห์ เพื่อป้องกันไม่ให้ไหมเคลื่อนที่
  • การแสดงสีหน้า: หลีกเลี่ยงการแสดงสีหน้า έντονα เช่น การอ้าปากกว้าง หาว หรือเคี้ยวอาหารแข็งๆ ในช่วง 2 สัปดาห์แรก
  • อาหาร: แนะนำให้ทานอาหารอ่อนๆ ที่ไม่ต้องเคี้ยวมากในช่วง 2-3 วันแรก
  • การนัดหมาย: ควรเลื่อนนัดทำฟันหรือทำทรีตเมนต์ใบหน้าอื่นๆ ออกไปอย่างน้อย 2-3 สัปดาห์
  • การรับมือกับอาการปวด: หากมีอาการปวด สามารถรับประทานยาพาราเซตามอลได้ แต่ควรหลีกเลี่ยงยาในกลุ่ม NSAIDs (เช่น ibuprofen) ในช่วงแรกเพราะอาจเพิ่มความเสี่ยงของรอยช้ำ

ปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจก่อนเลือกร้อยไหม

การเลือกคลินิกและแพทย์ผู้ทำหัตถการที่มีประสบการณ์

ควรเลือกแพทย์ผู้ชำนาญและคลินิกที่มีมาตรฐาน โดยให้ความสำคัญกับทักษะและประสบการณ์ของแพทย์มากกว่าราคา เนื่องจากผลลัพธ์และความปลอดภัยของการร้อยไหมขึ้นอยู่กับเทคนิคของผู้ทำหัตถการเป็นอย่างยิ่ง

ข้อควรระวังคือ หากแพทย์แนะนำให้ใช้ไหมจำนวนมากเกินไปโดยไม่มีเหตุผลที่ชัดเจน เพราะอาจเพิ่มความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนได้ ควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าผู้ที่ทำหัตถการเป็นแพทย์ที่มีคุณวุฒิและผ่านการฝึกอบรมมาอย่างถูกต้อง และหลีกเลี่ยงการทำกับบุคคลที่ไม่ใช่แพทย์ในสถานที่ไม่ใช่คลินิก

จำนวนเส้นไหมที่เหมาะสมสำหรับแต่ละบริเวณบนใบหน้า

จำนวนเส้นไหมที่เหมาะสมจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับบริเวณที่ทำและระดับการยกกระชับที่ต้องการ โดยทั่วไปแพทย์จะประเมินเป็นรายบุคคล แต่มีจำนวนที่นิยมใช้โดยประมาณดังนี้

  • ยกแก้ม/ร่องแก้ม: ใช้ไหมเงี่ยงประมาณ 2-4 เส้นต่อข้าง
  • กรอบหน้า/เหนียง: ใช้ประมาณ 2-6 เส้นต่อข้าง ขึ้นอยู่กับความหย่อนคล้อย
  • ยกคิ้ว: ใช้ไหมเพียง 1-2 เส้นต่อข้าง
  • ยกกระชับคอ: อาจใช้ไหมประมาณ 2-6 เส้นบริเวณใต้คาง

เปรียบเทียบร้อยไหมกับหัตถการยกกระชับอื่นๆ (HIFU, Ulthera)

การร้อยไหมเป็นการยกกระชับเชิงกลที่เห็นผลทันที ในขณะที่ HIFU/Ultherapy ใช้พลังงานเพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและให้ผลลัพธ์ที่ค่อยเป็นค่อยไป การร้อยไหมจะให้ผลลัพธ์การยกที่มองเห็นได้ชัดเจนและตรงจุดมากกว่า

ความแตกต่างที่สำคัญระหว่างการร้อยไหมและ HIFU/Ultherapy มีดังนี้

  • กลไกการทำงาน: การร้อยไหมใช้ไหมที่มีเงี่ยงเกี่ยวและดึงเนื้อเยื่อที่หย่อนคล้อยขึ้นทันที ส่วน HIFU/Ultherapy ใช้พลังงานอัลตราซาวด์เพื่อสร้างความร้อนใต้ผิวหนัง ทำให้เกิดการหดตัวและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่
  • ผลลัพธ์: การร้อยไหมให้ผลลัพธ์การยกที่มองเห็นได้ทันทีหลังทำ และจะดีขึ้นเรื่อยๆ ในช่วง 2-3 เดือน ในขณะที่ HIFU/Ultherapy จะไม่เห็นผลทันที แต่ผิวจะค่อยๆ ตึงและกระชับขึ้นในช่วง 2-3 เดือน
  • ความรู้สึกระหว่างทำ: HIFU/Ultherapy อาจทำให้รู้สึกเจ็บได้ระหว่างทำจากความร้อนที่ส่งลงไปใต้ผิว ส่วนการร้อยไหมจะรู้สึกเจ็บเล็กน้อยหรือตึงๆ หลังทำเมื่อยาชาหมดฤทธิ์
  • การทำงานร่วมกัน: หัตถการทั้งสองสามารถทำร่วมกันได้ โดยมักจะทำ HIFU/Ultherapy ก่อนเพื่อกระชับผิวชั้นลึก จากนั้นจึงร้อยไหมเพื่อยกกระชับส่วนที่หย่อนคล้อยให้ได้ผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้น

ความเสี่ยง ผลข้างเคียง และข้อควรระวังในการร้อยไหม

ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้และวิธีรับมือเบื้องต้น

ผลข้างเคียงที่พบได้บ่อยที่สุดหลังการร้อยไหมคือ อาการบวม รอยช้ำ และอาการเจ็บหรือตึงบริเวณที่ทำ ซึ่งโดยทั่วไปอาการเหล่านี้จะค่อยๆ ดีขึ้นเองภายในไม่กี่วันถึงหนึ่งสัปดาห์

วิธีรับมือเบื้องต้นสำหรับผลข้างเคียงที่พบบ่อย มีดังนี้:

  • อาการบวมและรอยช้ำ: ประคบเย็นเบาๆ ในช่วง 24-48 ชั่วโมงแรก และนอนหนุนหมอนสูงเพื่อช่วยลดอาการบวม
  • อาการเจ็บหรือตึง: สามารถรับประทานยาแก้ปวดพาราเซตามอลได้ แต่ควรหลีกเลี่ยงยาแก้ปวดกลุ่ม NSAIDs (เช่น ibuprofen) ในช่วงแรกเพราะอาจเพิ่มความเสี่ยงของรอยช้ำ
  • รอยบุ๋มหรือผิวหนังย่น: โดยส่วนใหญ่มักจะเรียบเนียนขึ้นเองภายใน 1-2 สัปดาห์เมื่อเนื้อเยื่อเข้าที่และอาการบวมลดลง
  • อาการคัน: เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการสมานแผล สามารถบรรเทาได้ด้วยการรับประทานยาแก้แพ้

สัญญาณอันตรายที่ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที

สัญญาณอันตรายที่ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันทีคืออาการที่บ่งชี้ถึงการติดเชื้อ รวมถึงปัญหาเกี่ยวกับเส้นไหม หรือการกระทบกระเทือนเส้นประสาท

คุณควรติดต่อแพทย์ทันทีหากพบอาการต่อไปนี้:

  • อาการติดเชื้อ: บริเวณที่ร้อยไหมมีอาการบวม แดง ร้อน หรือปวดมากขึ้นเรื่อยๆ หลังจากผ่านไป 3-4 วัน, มีไข้, หรือมีหนองไหลออกมาจากแผล
  • เส้นไหมโผล่: ปลายไหมโผล่ออกมาจากผิวหนัง
  • ผลกระทบต่อเส้นประสาท: เกิดอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงผิดปกติ

ค่าใช้จ่ายในการร้อยไหม: ราคาขึ้นอยู่กับปัจจัยอะไรบ้าง

ราคาของการร้อยไหมขึ้นอยู่กับชนิดและจำนวนเส้นไหมที่ใช้ รวมถึงชื่อเสียงของคลินิกและประสบการณ์ของแพทย์ผู้ทำหัตถการ ปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อค่าใช้จ่ายมีดังนี้

  • ชนิดของไหม: ไหมแต่ละประเภทมีราคาแตกต่างกัน โดยไหม PCL ซึ่งให้ผลลัพธ์ยาวนานที่สุดมักมีราคาสูงกว่าไหม PDO นอกจากนี้ ไหมแบรนด์พรีเมียม เช่น Mint Lift ก็จะมีราคาสูงกว่าไหมทั่วไป
  • จำนวนเส้นไหม: ยิ่งต้องใช้ไหมจำนวนมากเพื่อยกกระชับในบริเวณกว้างหรือแก้ปัญหาความหย่อนคล้อยที่ชัดเจน ค่าใช้จ่ายโดยรวมก็จะสูงขึ้นตามไปด้วย คลินิกส่วนใหญ่มักเสนอราคาเป็นแพ็กเกจตามจำนวนเส้นไหม
  • คลินิกและแพทย์ผู้ทำหัตถการ: ความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ของแพทย์ รวมถึงมาตรฐานและชื่อเสียงของคลินิกเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อราคา เนื่องจากหัตถการร้อยไหมต้องอาศัยเทคนิคและความแม่นยำสูงเพื่อผลลัพธ์ที่ดีและปลอดภัย

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการร้อยไหม (FAQ)

ร้อยไหมเจ็บไหม?

ระหว่างทำหัตถการจะเจ็บน้อยมาก เนื่องจากแพทย์จะใช้ยาชาเฉพาะที่บริเวณจุดที่ร้อยไหม ทำให้รู้สึกเพียงแรงกดหรือแรงดึงขณะสอดไหมเท่านั้น

หลังจากยาชาหมดฤทธิ์ อาจมีอาการปวดระบมหรือรู้สึกตึงเล็กน้อยตามแนวไหม ซึ่งเป็นอาการปกติที่สามารถบรรเทาได้ด้วยยาแก้ปวดทั่วไป และจะหายไปเองภายใน 2-3 วัน

ร้อยไหมอยู่ได้นานแค่ไหน?

ระยะเวลาของผลลัพธ์จากการร้อยไหมขึ้นอยู่กับชนิดของวัสดุที่ใช้ โดยไหม PDO อยู่ได้นานประมาณ 6-18 เดือน, ไหม PLLA อยู่ได้นาน 18-24 เดือน และไหม PCL อยู่ได้นานที่สุดคือประมาณ 2-3 ปี

ระยะเวลาที่แตกต่างกันเกิดจากความสามารถในการละลายและกระตุ้นคอลลาเจนของไหมแต่ละชนิด ดังนี้

  • ไหม PDO (Polydioxanone): เป็นไหมที่ได้รับความนิยมสูงสุด ละลายเร็วที่สุด ให้ผลลัพธ์นานประมาณ 1 ปี
  • ไหม PLLA (Poly-L-Lactic Acid): ละลายช้ากว่าและกระตุ้นคอลลาเจนได้ดี ทำให้ผลลัพธ์คงอยู่นานประมาณ 2 ปี
  • ไหม PCL (Polycaprolactone): เป็นไหมที่ละลายช้าที่สุดและให้การกระตุ้นคอลลาเจนที่ยาวนานที่สุด ผลลัพธ์จึงอยู่ได้นานถึง 2-3 ปี

นอกจากชนิดของไหมแล้ว ปัจจัยส่วนบุคคล เช่น อายุ คุณภาพผิว และไลฟ์สไตล์ ก็มีผลต่อระยะเวลาของผลลัพธ์เช่นกัน

ต้องใช้ไหมกี่เส้นถึงจะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน?

จำนวนเส้นไหมที่ต้องใช้จะแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับบริเวณที่ต้องการยกกระชับและระดับความหย่อนคล้อยของผิวแต่ละบุคคล

โดยทั่วไปแล้ว จำนวนเส้นไหมที่ใช้ในแต่ละบริเวณมีดังนี้:

  • ยกแก้มและร่องน้ำหมาก: ใช้ไหมเงี่ยงประมาณ 2-4 เส้นต่อข้าง
  • เก็บกรอบหน้าและเหนียง: ใช้ประมาณ 2-6 เส้นต่อข้าง ขึ้นอยู่กับความหย่อนคล้อย
  • ยกคิ้ว: อาจใช้เพียง 1-2 เส้นต่อข้าง

ทั้งนี้ แพทย์จะเป็นผู้ประเมินและแนะนำจำนวนเส้นไหมที่เหมาะสมที่สุดเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนและเป็นธรรมชาติ

ร้อยไหมอันตรายหรือไม่?

การร้อยไหมถือว่ามีความปลอดภัยสูง เมื่อทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่ผ่านการฝึกอบรมมาอย่างถูกต้องและใช้เทคนิคที่ปลอดเชื้อ

วัสดุที่ใช้เป็นไหมละลายที่เข้ากันได้ดีกับร่างกาย (Biocompatible) และได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยา (FDA) จึงมีโอกาสเกิดการแพ้น้อยมาก ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง เช่น การติดเชื้อ หรือเส้นประสาทเสียหายนั้นพบได้น้อยมาก โดยผลข้างเคียงส่วนใหญ่มักไม่รุนแรง เช่น อาการบวม รอยช้ำ หรือรู้สึกตึงผิว ซึ่งจะหายไปเองในเวลาไม่นาน

หลังร้อยไหมใบหน้าจะบวมกี่วัน?

โดยทั่วไปอาการบวมหลังร้อยไหมจะดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดภายใน 3-5 วัน และส่วนใหญ่จะหายเป็นปกติภายใน 1 สัปดาห์ อาการบวมจะเกิดขึ้นมากที่สุดในช่วง 24-48 ชั่วโมงแรกหลังทำหัตถการ และอาจมีอาการบวมเล็กน้อยหลงเหลืออยู่ได้นานถึง 2 สัปดาห์ แต่โดยปกติแล้วอาการบวมที่คนอื่นสังเกตเห็นได้จะหายไปภายในหนึ่งสัปดาห์

สามารถร้อยไหมซ้ำได้บ่อยแค่ไหน?

โดยทั่วไปสามารถร้อยไหมซ้ำได้ทุกๆ 12–18 เดือน เพื่อคงผลลัพธ์ไว้ แต่ความถี่ที่เหมาะสมจะขึ้นอยู่กับชนิดของไหมที่ใช้

  • ไหม PDO สามารถทำซ้ำได้ทุกปีเพื่อกระตุ้นคอลลาเจนและรักษาผลลัพธ์
  • ไหม PLLA และ PCL ซึ่งมีอายุการใช้งานยาวนานกว่า อาจเว้นระยะได้นานถึง 2 ปีก่อนที่จะทำซ้ำ

References:

  1. Cleveland Clinic. (n.d.). Thread Lift: What to Expect, Benefits & Complications. Cleveland Clinic Healthcare Center. clevelandclinic.org
  2. Dermax Medical Aesthetics. (n.d.). How Many PDO Threads Do I Need. Dermax Medical Aesthetics Clinical Guide. dermaxmed.com
  3. TBL Clinic. (2025). Thread Lift Price Update 2025: How Many Threads and Cost Factors. TBL Clinic Medical Team Blog. tblclinic.com
  4. V Square Clinic. (n.d.). Thread Lift Promotion Prices: PDO vs PCL Threads Comparison. V Square Clinic Medical Blog. vsquareclinic.com
  5. AftrGlo Clinic. (2025). PDO Thread Lift Innovations 2025 – Emerging Trends & Future Directions in Facial Rejuvenation. AftrGlo Hernando Beauty Center. aftrglohernando.com
  6. New Beauty. (n.d.). Thread Lift and PDO Thread Procedures – Clinical Review. New Beauty Magazine. newbeauty.com
  7. Wiley. Advances in Thread Lift Technology and Aesthetic Applications. Wiley Online Library. wiley.com
  8. MedRxiv. (2024). Clinical Research on PDO and PCL Thread Characteristics and Outcomes. MedRxiv Preprint Server. medrxiv.org

แนะแนวเรื่อง

Previous Previous
Ulthera Prime vs SPT: เจ็บน้อยลงจริงไหม? เทียบราคาและเทคโนโลยี
NextContinue
Ulthera Prime ช่วยอะไร? ต่างจาก Ulthera SPT และรุ่นเก่าอย่างไร

สาขาพรีวาโต คลินิก

    สาขาอโศก ตั้งอยู่ที่ ชั้น 2 อาคารมิดทาวน์
    Phone: 02-258-4050 , 081-841-5075
    สาขาสีลม ตั้งอยู่ที่ ชั้น 1 อาคารซี.พี.ทาวเวอร์
    Phone: 02-780-2011 , 098-272-5244
    สาขาราชพฤกษ์ ตั้งอยู่ที่ ชั้น 2 ศูนย์การค้า เดอะคริสตัล เอสบี (ด้านบนร้านสตาร์บัคส์)
    Phone: 02-102-2778 , 098-272-5244

ติดต่อเรา

    Facebook: Privato Clinic
    Messenger: Privato Clinic
    Instagram: privatoclinic
    Email: privatoclinic@gmail.com
    Line: @privatoclinic

Copyright© 2022-2024. All Rights Reserved

Scroll to top
  • หน้าหลัก
  • เกี่ยวกับพรีวาโต
  • บริการทั้งหมด
    • ชะลอวัย
    • ยกกระชับผิว
      • XERF
      • Potenza
      • Sofwave
      • Ulthera
      • Thermage-FLX
    • รักษาสิว
    • เลเซอร์
    • โปรแกรมฉีด
    • บำรุงผิว
  • บทความ
    • สิว
    • ยกกระชับ
    • ดูแลผิว
    • ทำเลเซอร์
  • ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว
  • โปรโมชั่น
  • ผลลัพธ์การรักษา
  • วิดีโอรีวิวจากเคสจริง
  • สาขาของเรา
  • ไทย
    • ไทย
    • English
    • 中文 (中国)
  • ปรึกษาแพทย์
Facebook Instagram YouTube