ร้อยไหมแบบไหนดี? เลือกชนิดไหมให้เหมาะกับปัญหาผิว

ร้อยไหมแบบไหนดีที่สุดขึ้นอยู่กับเป้าหมายการรักษาและสภาพผิวของแต่ละบุคคล โดยไหม PDO เหมาะสำหรับกระตุ้นคอลลาเจนและความหย่อนคล้อยเล็กน้อยด้วยผลลัพธ์ประมาณ 1 ปี, ไหม PLLA เหมาะกับผู้ที่ผิวบางและต้องการเพิ่มวอลลุ่มด้วยผลลัพธ์นาน 2 ปี, และไหม PCL ให้แรงยกแข็งแรงที่สุดสำหรับความหย่อนคล้อยปานกลางถึงมากด้วยผลลัพธ์ยาวนานถึง 2-3 ปี; แพทย์แนะนำการร้อยไหมเหมาะกับผู้ที่อยู่ในช่วงวัย 40-50 ปีที่ผิวเริ่มหย่อนคล้อยในระดับปานกลางและต้องการยกกระชับโดยไม่ต้องผ่าตัด พร้อมทั้งมักใช้ไหมเงี่ยงประมาณ 2-4 เส้นต่อข้างสำหรับยกแก้มและ 2-6 เส้นต่อข้างสำหรับกรอบหน้า.
การร้อยไหมคืออะไร? ช่วยแก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อยได้อย่างไร
การร้อยไหมคือหัตถการที่ใช้ไหมละลายสอดเข้าไปใต้ชั้นผิวเพื่อ ดึงยกผิวที่หย่อนคล้อยขึ้นทันที พร้อมกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ใต้ผิว ซึ่งช่วยแก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อยผ่าน 2 กลไกหลัก ดังนี้
- การยกกระชับทันที (Mechanical Lift): ไหมที่มีเงี่ยงจะทำหน้าที่เหมือนตะขอเกี่ยวและดึงรั้งเนื้อเยื่อผิวหนังขึ้นไปยังตำแหน่งที่ต้องการ ทำให้เห็นผลลัพธ์การยกกระชับได้ทันทีหลังทำ
- การกระตุ้นคอลลาเจน (Collagen Stimulation): ขณะที่ไหมค่อยๆ สลายไป ร่างกายจะตอบสนองโดยการสร้างคอลลาเจนและเนื้อเยื่อใหม่ขึ้นมาพันรอบเส้นไหม ทำให้ผิวบริเวณนั้นแข็งแรง เต่งตึง และกระชับขึ้นจากภายใน ซึ่งเป็นผลลัพธ์ที่คงอยู่ได้นานแม้ไหมจะสลายไปหมดแล้ว
ใครบ้างที่เหมาะกับการร้อยไหม และใครที่ควรหลีกเลี่ยง
ข้อบ่งชี้: สภาพผิวและปัญหาที่เหมาะกับการร้อยไหม
การร้อยไหมเหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยและริ้วรอยในระดับเล็กน้อยถึงปานกลาง ที่ต้องการผลลัพธ์การยกกระชับที่เห็นผลแต่ไม่เทียบเท่าการผ่าตัด
การร้อยไหมมีข้อบ่งชี้สำหรับผู้ที่มีลักษณะและเป้าหมายดังนี้:
- ผู้ที่อยู่ในช่วงวัย 40-50 ปี ซึ่งผิวเริ่มหย่อนคล้อยแต่ยังไม่มากเกินไป
- ผู้ที่ต้องการยกกระชับใบหน้าและกระตุ้นคอลลาเจนในระดับปานกลาง
- ผู้ที่ต้องการปรับกรอบหน้าให้คมชัดขึ้น หรือต้องการให้ใบหน้าดูสดชื่นขึ้น
- ผู้ที่ต้องการหลีกเลี่ยงการผ่าตัดใหญ่ การดมยาสลบ หรือไม่ต้องการมีระยะเวลาพักฟื้นนาน
- ใช้เพื่อคงสภาพผลลัพธ์หลังการผ่าตัดดึงหน้า
ข้อห้าม: กลุ่มที่ไม่ควรร้อยไหมเพื่อความปลอดภัย
ผู้ที่ไม่ควรร้อยไหมคือผู้ที่มีการติดเชื้อที่ผิวหนัง, มีโรคประจำตัวที่ควบคุมไม่ได้, มีประวัติเป็นแผลเป็นคีลอยด์ รวมถึงสตรีมีครรภ์และให้นมบุตร เพื่อความปลอดภัย ควรหลีกเลี่ยงการร้อยไหมหากมีเงื่อนไขดังต่อไปนี้
- มีการติดเชื้อที่ผิวหนัง: บริเวณที่จะทำหัตถการมีสิวอักเสบรุนแรง, เริม, หรือมีแผลเปิด
- มีโรคประจำตัวที่ควบคุมไม่ได้: เช่น โรคเบาหวานหรือความดันโลหิตสูงที่ยังควบคุมไม่ได้ หรือโรคแพ้ภูมิตัวเอง (Lupus) อยู่ในระยะกำเริบ
- รับประทานยาต้านการแข็งตัวของเลือด: ผู้ที่ใช้ยาละลายลิ่มเลือด (เช่น warfarin, clopidogrel) และไม่สามารถหยุดยาได้ตามคำแนะนำของแพทย์
- มีประวัติการเกิดแผลเป็นคีลอยด์: เนื่องจากกระบวนการร้อยไหมกระตุ้นการสร้างพังผืด ซึ่งอาจทำให้เกิดแผลเป็นนูนได้
- เป็นโรคแพ้ภูมิตัวเองบางชนิด: โดยเฉพาะโรคที่ส่งผลต่อการหายของแผล เช่น โรคหนังแข็ง (Scleroderma)
- กำลังตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร: เนื่องจากยังไม่มีข้อมูลยืนยันความปลอดภัยที่ชัดเจน
เปรียบเทียบชนิดของเส้นไหม: PDO, PCL, PLLA แตกต่างกันอย่างไร
ความแตกต่างที่สำคัญของไหม PDO, PLLA, และ PCL คือ ระยะเวลาการสลายตัว, ความสามารถในการกระตุ้นคอลลาเจน, และความแข็งแรงในการยกกระชับ โดยไหมแต่ละชนิดมีคุณสมบัติที่เหมาะกับสภาพผิวและเป้าหมายที่แตกต่างกัน ดังนี้
| คุณสมบัติ | ไหม PDO (Polydioxanone) | ไหม PLLA (Poly-L-Lactic Acid) | ไหม PCL (Polycaprolactone) |
|---|---|---|---|
| ระยะเวลา | สลายตัวเร็วที่สุด (6-9 เดือน) ผลลัพธ์อยู่ได้ประมาณ 1 ปี | สลายตัวช้า (12-18 เดือน) ผลลัพธ์อยู่ได้นานถึง 2 ปี | สลายตัวช้าที่สุด (นานกว่า 2 ปี) ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 2-3 ปี |
| การกระตุ้นคอลลาเจน | ดี | ดีมาก ช่วยเพิ่มวอลลุ่มให้ผิว | ดีเยี่ยมและยาวนานที่สุด |
| แรงยกกระชับ | น้อยที่สุด เหมาะกับความหย่อนคล้อยเล็กน้อย | ปานกลาง | แข็งแรงและมีแรงยกมากที่สุด |
| เหมาะสำหรับ | ผู้ที่ต้องการปรับปรุงคุณภาพผิว หรือยกกระชับเล็กน้อย | ผู้ที่ผิวบางหรือต้องการเพิ่มความหนาและวอลลุ่ม | ผู้ที่มีความหย่อนคล้อยปานกลางถึงมาก หรือต้องการผลลัพธ์ที่ยาวนานที่สุด |
ไหม PDO (Polydioxanone): เน้นกระตุ้นคอลลาเจนสำหรับริ้วรอยเล็กๆ
ไหม PDO (Polydioxanone) เป็นไหมละลายที่เน้นการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนเพื่อปรับปรุงคุณภาพผิวและความกระชับ โดยไหมชนิดนี้จะสลายตัวในร่างกาย ซึ่งกระบวนการนี้จะกระตุ้นเซลล์ไฟโบรบลาสต์ให้สร้างคอลลาเจนชนิดที่ 1 และ 3 ขึ้นมาใหม่
- ผลลัพธ์: ช่วยให้ผิวแน่นและเรียบเนียนขึ้น โดยจะคงอยู่ประมาณ 1 ปี
- เหมาะสำหรับ: ผู้ที่มีปัญหาความหย่อนคล้อยเล็กน้อยถึงปานกลาง หรือผู้ที่ต้องการปรับปรุงคุณภาพผิวโดยไม่ต้องการเพิ่มปริมาตร
- ลักษณะเด่น: ไหมมีความนิ่มและยืดหยุ่น ทำให้เหมาะกับบริเวณผิวบาง แต่มีแรงยกน้อยกว่าไหมชนิดอื่น
ไหม PCL (Polycaprolactone): ยืดหยุ่นสูง ยกกระชับได้ดีและอยู่นาน
ไหม PCL (Polycaprolactone) เป็นไหมที่ให้ผลลัพธ์ยาวนานที่สุด โดยสามารถคงอยู่ได้นาน 2-3 ปี เนื่องจากมีโครงสร้างโมเลกุลที่แข็งแรงและสลายตัวช้าที่สุดเมื่อเทียบกับไหมชนิดอื่น
ไหม PCL ให้แรงยกที่แข็งแรงและทนทาน จึงเหมาะสำหรับผู้ที่มีความหย่อนคล้อยระดับปานกลางถึงรุนแรง หรือผู้สูงวัยที่ต้องการผลลัพธ์ที่ชัดเจนและยาวนาน นอกจากนี้ยังกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนได้ดีที่สุด ทำให้ผิวแข็งแรงและยืดหยุ่นขึ้นในระยะยาว
ไหม PLLA (Poly-L-Lactic Acid): แข็งแรงที่สุด เหมาะกับเคสที่หย่อนคล้อยมาก
ไม่ถูกต้อง ไหมชนิด PCL (Polycaprolactone) เป็นไหมที่แข็งแรงและให้การสนับสนุนที่ยาวนานที่สุด จึงเหมาะสำหรับผู้ที่มีความหย่อนคล้อยปานกลางถึงรุนแรง
ในขณะที่ไหม PLLA เหมาะสำหรับผู้ที่มีความหย่อนคล้อยเล็กน้อยถึงปานกลางที่ต้องการกระตุ้นคอลลาเจนเพื่อเพิ่มความหนาและฟื้นฟูคุณภาพผิวไปพร้อมกับการยกกระชับ
โครงสร้างไหมแบบต่างๆ: ไหมเรียบ ไหมเกลียว และไหมก้างปลา (COG)
โครงสร้างของไหมแบ่งตามหน้าที่หลักได้ 3 ประเภท คือ ไหมเรียบ (Mono) สำหรับฟื้นฟูผิว, ไหมเกลียว (Screw) สำหรับเพิ่มปริมาตรเล็กน้อย, และไหมก้างปลา (Cog) สำหรับการยกกระชับโดยตรง โดยแต่ละแบบมีลักษณะและการใช้งานที่แตกต่างกัน ดังนี้
- ไหมเรียบ (Mono Threads): เป็นไหมเส้นเรียบ ไม่มีเงี่ยงหรือเกลียว ใช้สำหรับกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนเพื่อฟื้นฟูคุณภาพผิว เพิ่มความยืดหยุ่นและความกระชับ แต่ไม่ได้ให้ผลลัพธ์ด้านการยกกระชับเนื้อเยื่อที่หย่อนคล้อย
- ไหมเกลียว (Screw Threads): เป็นไหมที่มีลักษณะเป็นเกลียวหรือม้วนพันรอบเข็ม ช่วยเพิ่มปริมาตรและกระตุ้นคอลลาเจนได้ดีกว่าไหมเรียบ เหมาะสำหรับเติมเต็มร่องตื้นๆ หรือเพิ่มความแน่นของผิว
- ไหมก้างปลา (Barbed/Cog Threads): เป็นไหมที่มีเงี่ยงหรือ “ก้าง” ยื่นออกมาจากเส้นไหม ซึ่งจะทำหน้าที่เกาะเกี่ยวและดึงรั้งเนื้อเยื่อผิวหนังขึ้นไป ทำให้เกิดการยกกระชับได้อย่างชัดเจน เหมาะสำหรับการแก้ปัญหาความหย่อนคล้อยบริเวณแก้ม กรอบหน้า และลำคอ
เกณฑ์การเลือกชนิดและโครงสร้างไหมให้เหมาะกับเป้าหมาย
เกณฑ์การเลือกชนิดและโครงสร้างของไหมจะพิจารณาจากเป้าหมายการรักษา, วัสดุของไหม, อายุ, และลักษณะผิวของผู้รับบริการเป็นหลัก เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่เหมาะสมที่สุดในแต่ละบุคคล
เกณฑ์การพิจารณาที่สำคัญมีดังนี้:
เป้าหมายการรักษา (Treatment Goal):
- เพื่อยกกระชับ (Lifting): จะใช้ไหมเงี่ยง (Barbed/Cog) ซึ่งมีตะขอเล็กๆ ช่วยยึดเกาะและดึงเนื้อเยื่อที่หย่อนคล้อยขึ้น เหมาะสำหรับการปรับกรอบหน้า ยกแก้ม หรือลดเหนียง
- เพื่อฟื้นฟูคุณภาพผิว (Skin Rejuvenation): จะใช้ไหมเรียบ (Mono) เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวแน่นกระชับและยืดหยุ่นขึ้น แต่ให้แรงยกได้ไม่มาก
- ชนิดของวัสดุไหม (Thread Material):
- PDO (Polydioxanone): เหมาะสำหรับความหย่อนคล้อยเล็กน้อยถึงปานกลาง ให้ผลลัพธ์ประมาณ 1 ปี เน้นการกระชับผิวโดยไม่เพิ่มวอลลุ่ม
- PLLA (Poly-L-Lactic Acid): เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวบางหรือสูญเสียปริมาตรบนใบหน้า เพราะช่วยกระตุ้นคอลลาเจนเพื่อเติมเต็มผิว ให้ผลลัพธ์นานขึ้นประมาณ 2 ปี
- PCL (Polycaprolactone): เหมาะสำหรับความหย่อนคล้อยปานกลางถึงมาก หรือผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ยาวนานที่สุด (2-3 ปี) เนื่องจากให้แรงยกที่แข็งแรงที่สุด
- อายุและสภาพผิว (Age and Skin Condition):
- วัยกลางคน (40-50 ปี): มักต้องการไหมที่กระตุ้นคอลลาเจนได้ดี เช่น PLLA
- ผู้สูงวัย (60 ปีขึ้นไป): มักเลือกใช้ PCL ที่ให้การพยุงผิวได้ยาวนานที่สุดสำหรับผิวที่หย่อนคล้อยมาก
- ผิวบาง: ควรใช้ไหม PDO หรือ PLLA เพื่อหลีกเลี่ยงการมองเห็นหรือคลำเจอเส้นไหม
- ผิวหนาและหนัก: ต้องการไหมที่แข็งแรงอย่าง PCL เพื่อให้สามารถยกผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- บริเวณที่ทำการรักษา (Treatment Area):
- กรอบหน้าและแก้ม: ต้องการแรงยกสูง จึงมักใช้ไหม PCL หรือไหมเงี่ยง PDO ขนาดใหญ่
- ลำคอ: ซึ่งมีผิวบอบบาง อาจต้องใช้ไหมหลายชนิดผสมกัน เช่น ไหม PDO สำหรับริ้วรอยตื้นๆ ร่วมกับไหม PLLA/PCL เพื่อแก้ปัญหาความหย่อนคล้อยเชิงโครงสร้าง
ผลลัพธ์ที่คาดหวัง: ร้อยไหมอยู่ได้นานแค่ไหนและต้องพักฟื้นกี่วัน
ระยะเวลาเห็นผลและผลลัพธ์คงอยู่ได้นานเท่าไหร่
การร้อยไหมจะเห็นผลลัพธ์การยกกระชับได้ทันทีหลังทำ และจะเห็นผลชัดเจนที่สุดใน 3-6 เดือน โดยผลลัพธ์จะคงอยู่ได้นานประมาณ 6 เดือนถึง 3 ปี ขึ้นอยู่กับชนิดของไหม
หลังทำจะเห็นการเปลี่ยนแปลงจากการดึงของเส้นไหมทันที แต่ผลลัพธ์จะค่อยๆ ดีขึ้นเรื่อยๆ เมื่อร่างกายสร้างคอลลาเจนใหม่ โดยผิวจะเริ่มแน่นและเรียบเนียนขึ้นในเดือนแรก และจะเห็นผลการยกกระชับและฟื้นฟูผิวเต็มที่ในช่วง 3-6 เดือน
ระยะเวลาของผลลัพธ์จะแตกต่างกันไปตามชนิดของไหมที่ใช้ ดังนี้:
- ไหม PDO: คงผลลัพธ์อยู่ได้ประมาณ 6-18 เดือน
- ไหม PLLA: คงผลลัพธ์อยู่ได้ประมาณ 18-24 เดือน
- ไหม PCL: คงผลลัพธ์อยู่ได้นานที่สุด ประมาณ 2-3 ปี
การดูแลตัวเองหลังร้อยไหมและระยะเวลาพักฟื้น
การดูแลตัวเองหลังร้อยไหมที่สำคัญคือการหลีกเลี่ยงการกดทับใบหน้า งดกิจกรรมหนัก และทานอาหารอ่อน โดยส่วนใหญ่จะใช้เวลาพักฟื้นประมาณ 1-2 สัปดาห์
ในช่วงแรก อาการบวมและช้ำจะเกิดขึ้นได้มากที่สุดใน 24-48 ชั่วโมงแรก และจะค่อยๆ ดีขึ้นภายใน 3-5 วัน โดยมีข้อควรปฏิบัติดังนี้
- การประคบเย็น: ในช่วง 1-2 วันแรก ควรประคบเย็นบริเวณที่ทำครั้งละ 15-20 นาที เพื่อช่วยลดอาการบวมและช้ำ
- การนอน: ควรนอนหนุนหมอนสูงหรือนอนหงายเป็นเวลา 3-5 คืน เพื่อลดอาการบวม
- การทำความสะอาด: งดล้างหน้าอย่างน้อย 12-24 ชั่วโมง หลังจากนั้นให้ทำความสะอาดใบหน้าอย่างเบามือ หลีกเลี่ยงการถูหรือนวดแรงๆ เป็นเวลา 2 สัปดาห์
- กิจกรรม: งดออกกำลังกายหนัก การยกของหนัก หรือกิจกรรมที่ต้องก้มหน้าเป็นเวลา 1-2 สัปดาห์ เพื่อป้องกันไม่ให้ไหมเคลื่อนที่
- การแสดงสีหน้า: หลีกเลี่ยงการแสดงสีหน้า έντονα เช่น การอ้าปากกว้าง หาว หรือเคี้ยวอาหารแข็งๆ ในช่วง 2 สัปดาห์แรก
- อาหาร: แนะนำให้ทานอาหารอ่อนๆ ที่ไม่ต้องเคี้ยวมากในช่วง 2-3 วันแรก
- การนัดหมาย: ควรเลื่อนนัดทำฟันหรือทำทรีตเมนต์ใบหน้าอื่นๆ ออกไปอย่างน้อย 2-3 สัปดาห์
- การรับมือกับอาการปวด: หากมีอาการปวด สามารถรับประทานยาพาราเซตามอลได้ แต่ควรหลีกเลี่ยงยาในกลุ่ม NSAIDs (เช่น ibuprofen) ในช่วงแรกเพราะอาจเพิ่มความเสี่ยงของรอยช้ำ
ปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจก่อนเลือกร้อยไหม
การเลือกคลินิกและแพทย์ผู้ทำหัตถการที่มีประสบการณ์
ควรเลือกแพทย์ผู้ชำนาญและคลินิกที่มีมาตรฐาน โดยให้ความสำคัญกับทักษะและประสบการณ์ของแพทย์มากกว่าราคา เนื่องจากผลลัพธ์และความปลอดภัยของการร้อยไหมขึ้นอยู่กับเทคนิคของผู้ทำหัตถการเป็นอย่างยิ่ง
ข้อควรระวังคือ หากแพทย์แนะนำให้ใช้ไหมจำนวนมากเกินไปโดยไม่มีเหตุผลที่ชัดเจน เพราะอาจเพิ่มความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนได้ ควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าผู้ที่ทำหัตถการเป็นแพทย์ที่มีคุณวุฒิและผ่านการฝึกอบรมมาอย่างถูกต้อง และหลีกเลี่ยงการทำกับบุคคลที่ไม่ใช่แพทย์ในสถานที่ไม่ใช่คลินิก
จำนวนเส้นไหมที่เหมาะสมสำหรับแต่ละบริเวณบนใบหน้า
จำนวนเส้นไหมที่เหมาะสมจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับบริเวณที่ทำและระดับการยกกระชับที่ต้องการ โดยทั่วไปแพทย์จะประเมินเป็นรายบุคคล แต่มีจำนวนที่นิยมใช้โดยประมาณดังนี้
- ยกแก้ม/ร่องแก้ม: ใช้ไหมเงี่ยงประมาณ 2-4 เส้นต่อข้าง
- กรอบหน้า/เหนียง: ใช้ประมาณ 2-6 เส้นต่อข้าง ขึ้นอยู่กับความหย่อนคล้อย
- ยกคิ้ว: ใช้ไหมเพียง 1-2 เส้นต่อข้าง
- ยกกระชับคอ: อาจใช้ไหมประมาณ 2-6 เส้นบริเวณใต้คาง
เปรียบเทียบร้อยไหมกับหัตถการยกกระชับอื่นๆ (HIFU, Ulthera)
การร้อยไหมเป็นการยกกระชับเชิงกลที่เห็นผลทันที ในขณะที่ HIFU/Ultherapy ใช้พลังงานเพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและให้ผลลัพธ์ที่ค่อยเป็นค่อยไป การร้อยไหมจะให้ผลลัพธ์การยกที่มองเห็นได้ชัดเจนและตรงจุดมากกว่า
ความแตกต่างที่สำคัญระหว่างการร้อยไหมและ HIFU/Ultherapy มีดังนี้
- กลไกการทำงาน: การร้อยไหมใช้ไหมที่มีเงี่ยงเกี่ยวและดึงเนื้อเยื่อที่หย่อนคล้อยขึ้นทันที ส่วน HIFU/Ultherapy ใช้พลังงานอัลตราซาวด์เพื่อสร้างความร้อนใต้ผิวหนัง ทำให้เกิดการหดตัวและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่
- ผลลัพธ์: การร้อยไหมให้ผลลัพธ์การยกที่มองเห็นได้ทันทีหลังทำ และจะดีขึ้นเรื่อยๆ ในช่วง 2-3 เดือน ในขณะที่ HIFU/Ultherapy จะไม่เห็นผลทันที แต่ผิวจะค่อยๆ ตึงและกระชับขึ้นในช่วง 2-3 เดือน
- ความรู้สึกระหว่างทำ: HIFU/Ultherapy อาจทำให้รู้สึกเจ็บได้ระหว่างทำจากความร้อนที่ส่งลงไปใต้ผิว ส่วนการร้อยไหมจะรู้สึกเจ็บเล็กน้อยหรือตึงๆ หลังทำเมื่อยาชาหมดฤทธิ์
- การทำงานร่วมกัน: หัตถการทั้งสองสามารถทำร่วมกันได้ โดยมักจะทำ HIFU/Ultherapy ก่อนเพื่อกระชับผิวชั้นลึก จากนั้นจึงร้อยไหมเพื่อยกกระชับส่วนที่หย่อนคล้อยให้ได้ผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้น
ความเสี่ยง ผลข้างเคียง และข้อควรระวังในการร้อยไหม
ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้และวิธีรับมือเบื้องต้น
ผลข้างเคียงที่พบได้บ่อยที่สุดหลังการร้อยไหมคือ อาการบวม รอยช้ำ และอาการเจ็บหรือตึงบริเวณที่ทำ ซึ่งโดยทั่วไปอาการเหล่านี้จะค่อยๆ ดีขึ้นเองภายในไม่กี่วันถึงหนึ่งสัปดาห์
วิธีรับมือเบื้องต้นสำหรับผลข้างเคียงที่พบบ่อย มีดังนี้:
- อาการบวมและรอยช้ำ: ประคบเย็นเบาๆ ในช่วง 24-48 ชั่วโมงแรก และนอนหนุนหมอนสูงเพื่อช่วยลดอาการบวม
- อาการเจ็บหรือตึง: สามารถรับประทานยาแก้ปวดพาราเซตามอลได้ แต่ควรหลีกเลี่ยงยาแก้ปวดกลุ่ม NSAIDs (เช่น ibuprofen) ในช่วงแรกเพราะอาจเพิ่มความเสี่ยงของรอยช้ำ
- รอยบุ๋มหรือผิวหนังย่น: โดยส่วนใหญ่มักจะเรียบเนียนขึ้นเองภายใน 1-2 สัปดาห์เมื่อเนื้อเยื่อเข้าที่และอาการบวมลดลง
- อาการคัน: เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการสมานแผล สามารถบรรเทาได้ด้วยการรับประทานยาแก้แพ้
สัญญาณอันตรายที่ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที
สัญญาณอันตรายที่ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันทีคืออาการที่บ่งชี้ถึงการติดเชื้อ รวมถึงปัญหาเกี่ยวกับเส้นไหม หรือการกระทบกระเทือนเส้นประสาท
คุณควรติดต่อแพทย์ทันทีหากพบอาการต่อไปนี้:
- อาการติดเชื้อ: บริเวณที่ร้อยไหมมีอาการบวม แดง ร้อน หรือปวดมากขึ้นเรื่อยๆ หลังจากผ่านไป 3-4 วัน, มีไข้, หรือมีหนองไหลออกมาจากแผล
- เส้นไหมโผล่: ปลายไหมโผล่ออกมาจากผิวหนัง
- ผลกระทบต่อเส้นประสาท: เกิดอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงผิดปกติ
ค่าใช้จ่ายในการร้อยไหม: ราคาขึ้นอยู่กับปัจจัยอะไรบ้าง
ราคาของการร้อยไหมขึ้นอยู่กับชนิดและจำนวนเส้นไหมที่ใช้ รวมถึงชื่อเสียงของคลินิกและประสบการณ์ของแพทย์ผู้ทำหัตถการ ปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อค่าใช้จ่ายมีดังนี้
- ชนิดของไหม: ไหมแต่ละประเภทมีราคาแตกต่างกัน โดยไหม PCL ซึ่งให้ผลลัพธ์ยาวนานที่สุดมักมีราคาสูงกว่าไหม PDO นอกจากนี้ ไหมแบรนด์พรีเมียม เช่น Mint Lift ก็จะมีราคาสูงกว่าไหมทั่วไป
- จำนวนเส้นไหม: ยิ่งต้องใช้ไหมจำนวนมากเพื่อยกกระชับในบริเวณกว้างหรือแก้ปัญหาความหย่อนคล้อยที่ชัดเจน ค่าใช้จ่ายโดยรวมก็จะสูงขึ้นตามไปด้วย คลินิกส่วนใหญ่มักเสนอราคาเป็นแพ็กเกจตามจำนวนเส้นไหม
- คลินิกและแพทย์ผู้ทำหัตถการ: ความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ของแพทย์ รวมถึงมาตรฐานและชื่อเสียงของคลินิกเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อราคา เนื่องจากหัตถการร้อยไหมต้องอาศัยเทคนิคและความแม่นยำสูงเพื่อผลลัพธ์ที่ดีและปลอดภัย
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการร้อยไหม (FAQ)
ร้อยไหมเจ็บไหม?
ระหว่างทำหัตถการจะเจ็บน้อยมาก เนื่องจากแพทย์จะใช้ยาชาเฉพาะที่บริเวณจุดที่ร้อยไหม ทำให้รู้สึกเพียงแรงกดหรือแรงดึงขณะสอดไหมเท่านั้น
หลังจากยาชาหมดฤทธิ์ อาจมีอาการปวดระบมหรือรู้สึกตึงเล็กน้อยตามแนวไหม ซึ่งเป็นอาการปกติที่สามารถบรรเทาได้ด้วยยาแก้ปวดทั่วไป และจะหายไปเองภายใน 2-3 วัน
ร้อยไหมอยู่ได้นานแค่ไหน?
ระยะเวลาของผลลัพธ์จากการร้อยไหมขึ้นอยู่กับชนิดของวัสดุที่ใช้ โดยไหม PDO อยู่ได้นานประมาณ 6-18 เดือน, ไหม PLLA อยู่ได้นาน 18-24 เดือน และไหม PCL อยู่ได้นานที่สุดคือประมาณ 2-3 ปี
ระยะเวลาที่แตกต่างกันเกิดจากความสามารถในการละลายและกระตุ้นคอลลาเจนของไหมแต่ละชนิด ดังนี้
- ไหม PDO (Polydioxanone): เป็นไหมที่ได้รับความนิยมสูงสุด ละลายเร็วที่สุด ให้ผลลัพธ์นานประมาณ 1 ปี
- ไหม PLLA (Poly-L-Lactic Acid): ละลายช้ากว่าและกระตุ้นคอลลาเจนได้ดี ทำให้ผลลัพธ์คงอยู่นานประมาณ 2 ปี
- ไหม PCL (Polycaprolactone): เป็นไหมที่ละลายช้าที่สุดและให้การกระตุ้นคอลลาเจนที่ยาวนานที่สุด ผลลัพธ์จึงอยู่ได้นานถึง 2-3 ปี
นอกจากชนิดของไหมแล้ว ปัจจัยส่วนบุคคล เช่น อายุ คุณภาพผิว และไลฟ์สไตล์ ก็มีผลต่อระยะเวลาของผลลัพธ์เช่นกัน
ต้องใช้ไหมกี่เส้นถึงจะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน?
จำนวนเส้นไหมที่ต้องใช้จะแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับบริเวณที่ต้องการยกกระชับและระดับความหย่อนคล้อยของผิวแต่ละบุคคล
โดยทั่วไปแล้ว จำนวนเส้นไหมที่ใช้ในแต่ละบริเวณมีดังนี้:
- ยกแก้มและร่องน้ำหมาก: ใช้ไหมเงี่ยงประมาณ 2-4 เส้นต่อข้าง
- เก็บกรอบหน้าและเหนียง: ใช้ประมาณ 2-6 เส้นต่อข้าง ขึ้นอยู่กับความหย่อนคล้อย
- ยกคิ้ว: อาจใช้เพียง 1-2 เส้นต่อข้าง
ทั้งนี้ แพทย์จะเป็นผู้ประเมินและแนะนำจำนวนเส้นไหมที่เหมาะสมที่สุดเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนและเป็นธรรมชาติ
ร้อยไหมอันตรายหรือไม่?
การร้อยไหมถือว่ามีความปลอดภัยสูง เมื่อทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่ผ่านการฝึกอบรมมาอย่างถูกต้องและใช้เทคนิคที่ปลอดเชื้อ
วัสดุที่ใช้เป็นไหมละลายที่เข้ากันได้ดีกับร่างกาย (Biocompatible) และได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยา (FDA) จึงมีโอกาสเกิดการแพ้น้อยมาก ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง เช่น การติดเชื้อ หรือเส้นประสาทเสียหายนั้นพบได้น้อยมาก โดยผลข้างเคียงส่วนใหญ่มักไม่รุนแรง เช่น อาการบวม รอยช้ำ หรือรู้สึกตึงผิว ซึ่งจะหายไปเองในเวลาไม่นาน
หลังร้อยไหมใบหน้าจะบวมกี่วัน?
โดยทั่วไปอาการบวมหลังร้อยไหมจะดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดภายใน 3-5 วัน และส่วนใหญ่จะหายเป็นปกติภายใน 1 สัปดาห์ อาการบวมจะเกิดขึ้นมากที่สุดในช่วง 24-48 ชั่วโมงแรกหลังทำหัตถการ และอาจมีอาการบวมเล็กน้อยหลงเหลืออยู่ได้นานถึง 2 สัปดาห์ แต่โดยปกติแล้วอาการบวมที่คนอื่นสังเกตเห็นได้จะหายไปภายในหนึ่งสัปดาห์
สามารถร้อยไหมซ้ำได้บ่อยแค่ไหน?
โดยทั่วไปสามารถร้อยไหมซ้ำได้ทุกๆ 12–18 เดือน เพื่อคงผลลัพธ์ไว้ แต่ความถี่ที่เหมาะสมจะขึ้นอยู่กับชนิดของไหมที่ใช้
- ไหม PDO สามารถทำซ้ำได้ทุกปีเพื่อกระตุ้นคอลลาเจนและรักษาผลลัพธ์
- ไหม PLLA และ PCL ซึ่งมีอายุการใช้งานยาวนานกว่า อาจเว้นระยะได้นานถึง 2 ปีก่อนที่จะทำซ้ำ
References:
- Cleveland Clinic. (n.d.). Thread Lift: What to Expect, Benefits & Complications. Cleveland Clinic Healthcare Center. clevelandclinic.org
- Dermax Medical Aesthetics. (n.d.). How Many PDO Threads Do I Need. Dermax Medical Aesthetics Clinical Guide. dermaxmed.com
- TBL Clinic. (2025). Thread Lift Price Update 2025: How Many Threads and Cost Factors. TBL Clinic Medical Team Blog. tblclinic.com
- V Square Clinic. (n.d.). Thread Lift Promotion Prices: PDO vs PCL Threads Comparison. V Square Clinic Medical Blog. vsquareclinic.com
- AftrGlo Clinic. (2025). PDO Thread Lift Innovations 2025 – Emerging Trends & Future Directions in Facial Rejuvenation. AftrGlo Hernando Beauty Center. aftrglohernando.com
- New Beauty. (n.d.). Thread Lift and PDO Thread Procedures – Clinical Review. New Beauty Magazine. newbeauty.com
- Wiley. Advances in Thread Lift Technology and Aesthetic Applications. Wiley Online Library. wiley.com
- MedRxiv. (2024). Clinical Research on PDO and PCL Thread Characteristics and Outcomes. MedRxiv Preprint Server. medrxiv.org
