Skip to content

TEL : 081-841-5075, 02-258-4050

Facebook Instagram YouTube
Privato Clinic – Innovation Of Beauty  |  Bangkok
  • หน้าหลัก
  • เกี่ยวกับพรีวาโต
  • บริการทั้งหมดExpand
    • ชะลอวัย
    • ยกกระชับผิวExpand
      • XERF
      • Potenza
      • Sofwave
      • Ulthera
      • Thermage-FLX
    • รักษาสิว
    • เลเซอร์
    • โปรแกรมฉีด
    • บำรุงผิว
  • บทความExpand
    • สิว
    • ยกกระชับ
    • ดูแลผิว
    • ทำเลเซอร์
  • ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว
  • โปรโมชั่น
  • ผลลัพธ์การรักษา
  • วิดีโอรีวิวจากเคสจริง
  • สาขาของเรา
  • ไทยExpand
    • ไทย
    • English
    • 中文 (中国)
  • ปรึกษาแพทย์
Privato Clinic – Innovation Of Beauty  |  Bangkok
Consult a Doctor
Lifting

ลดเหนียงใต้คาง: 15 วิธีเด็ด เห็นผลจริงใน 7 วัน ปลอดภัย

Byadmin กันยายน 6, 2025
By นายแพทย์เลอพงษ์ กรุดเงิน Updated on กันยายน 6, 2025
✦ Medically reviewed by  นายแพทย์พนิต อุนรัตน์

Table of Contents

Toggle
  • เหนียงใต้คางเกิดจากอะไร? สำรวจ 5 สาเหตุหลัก
  • ใครเหมาะกับการลดเหนียงใต้คาง
  • รวม 15 วิธีลดเหนียงใต้คาง เห็นผลเร่งด่วน
    • 1. บริหารใบหน้าด้วยท่าลดเหนียง
    • 2. ควบคุมอาหารและปรับโภชนาการ
    • 3. นวดกระตุ้นการไหลเวียนใต้คาง
    • 4. ปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตลดการสะสมไขมัน
    • 5. เคี้ยวหมากฝรั่งเพื่อบริหารกล้ามเนื้อ
    • 6. ฉีดเมโสแฟตสลายไขมันเหนียง
    • 7. ฉีดโบท็อกซ์เพื่อยกกระชับกรอบหน้า
    • 8. ร้อยไหมเก็บเหนียง
    • 9. ใช้เครื่อง Hifu / Ulthera / Thermage
    • 10. สลายไขมันด้วยความเย็น (CoolSculpting)
    • 11. ดูดไขมันเหนียง (Vaser Lipo)
    • 12. ใช้คลื่นวิทยุ (Radio Frequency – RF)
    • 13. เลเซอร์สลายไขมัน
    • 14. ผ่าตัดยกกระชับคอ (Neck Lift)
    • 15. ผ่าตัดกล้ามเนื้อใต้คาง
  • ตารางเปรียบเทียบ 15 วิธีลดเหนียง: เลือกแบบไหนเหมาะกับคุณ
  • ความเสี่ยงและผลข้างเคียงที่ควรรู้
    • ความเสี่ยงของวิธีธรรมชาติและท่าออกกำลังกาย
    • ความเสี่ยงจากการทำหัตถการและศัลยกรรม
  • การเตรียมตัวก่อนและวิธีดูแลหลังลดเหนียง
    • การเตรียมตัวก่อนทำ
    • การดูแลหลังทำ
  • คำถามที่พบบ่อย (FAQ)
    • ลดเหนียงวิธีไหนเห็นผลเร็วที่สุด?
    • ผอมแต่มีเหนียงเกิดจากอะไรและแก้ไขอย่างไร?
    • ออกกำลังกายอย่างเดียวช่วยให้เหนียงหายถาวรได้ไหม?
    • วิธีลดเหนียงสำหรับผู้ชายต่างจากผู้หญิงหรือไม่?
    • ลดเหนียงใต้คางเจ็บไหม?
  • อ้างอิง:

เหนียงใต้คางเกิดจากอะไร? สำรวจ 5 สาเหตุหลัก

ลดเหนียงใต้คางสำหรับผู้หญิง

เหนียงใต้คางเกิดจากหลายปัจจัยร่วมกัน ทั้งพันธุกรรม การเพิ่มขึ้นของน้ำหนัก อายุที่มากขึ้น ลักษณะโครงสร้างใบหน้า และท่าทางที่ไม่เหมาะสม

สาเหตุหลัก 5 ประการที่ทำให้เกิดเหนียงใต้คาง ได้แก่

  1. พันธุกรรม: ลักษณะที่สืบทอดมา เช่น คางสั้น คางถอย หรือแนวกรามที่ไม่ชัดเจน ทำให้ไขมันใต้คางแม้เพียงเล็กน้อยก็สามารถมองเห็นได้ง่าย นอกจากนี้ DNA ยังเป็นตัวกำหนดว่าร่างกายจะสะสมไขมันไว้ที่ส่วนใดเป็นพิเศษ
  2. การเพิ่มขึ้นของน้ำหนัก: เมื่อร่างกายมีไขมันสะสมเพิ่มขึ้น ไขมันส่วนเกินนั้นสามารถไปปรากฏอยู่บริเวณใต้คางได้ โดยเฉพาะในผู้ที่มีแนวโน้มทางพันธุกรรมอยู่แล้ว
  3. อายุที่มากขึ้น: เมื่ออายุเพิ่มขึ้น ผิวจะสูญเสียคอลลาเจนและความยืดหยุ่น ทำให้ผิวหนังหย่อนคล้อยลงมา ซึ่งอาจทำให้ดูเหมือนมีเหนียงได้แม้ว่าจะมีไขมันไม่มากก็ตาม
  4. ลักษณะโครงสร้างใบหน้าและลำคอ: โครงสร้างบางอย่าง เช่น คางเล็กหรือคางหลุบเข้าไป ทำให้ไม่มีกระดูกพอที่จะขึงผิวให้ตึง หรือการมีต่อมใต้ขากรรไกรและกล้ามเนื้อบางมัดที่ใหญ่กว่าปกติ ก็สามารถทำให้ใต้คางดูนูนเหมือนมีเหนียงได้
  5. ท่าทางที่ไม่เหมาะสม: การก้มหน้ามองจอเป็นเวลานาน (Tech Neck) หรือการอยู่ในท่าหลังค่อม ทำให้กล้ามเนื้อคออ่อนแอและผิวหนังเกิดรอยพับ ซึ่งเป็นการเน้นให้เหนียงดูชัดเจนยิ่งขึ้น

ใครเหมาะกับการลดเหนียงใต้คาง

ผู้ที่เหมาะกับการลดเหนียงคือคนที่มีไขมันส่วนเกินใต้คางและผิวหนังยังมีความยืดหยุ่นดี แต่ความเหมาะสมจะขึ้นอยู่กับสาเหตุของเหนียงแต่ละบุคคล ซึ่งแพทย์จะเป็นผู้ประเมินและเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมที่สุด โดยสามารถแบ่งกลุ่มผู้ที่เหมาะกับการรักษาแต่ละประเภทได้ดังนี้

  • เหมาะกับการกำจัดไขมัน (Liposuction, Kybella, CoolSculpting): ผู้ที่มีเหนียงเกิดจากไขมันสะสมเป็นหลัก โดยที่ผิวหนังยังไม่หย่อนคล้อยมากนัก (มักเป็นผู้ที่อายุไม่เกิน 45 ปี) เพราะหลังกำจัดไขมันแล้วผิวจะสามารถหดกระชับกลับคืนมาได้ดี
  • เหมาะกับการยกกระชับผิว (Neck Lift, Thread Lift, HIFU, RF): ผู้ที่มีเหนียงเกิดจากผิวหนังหย่อนคล้อยหรือที่เรียกว่า “คอไก่งวง” ซึ่งมักพบในผู้สูงอายุ (ประมาณ 50 ปีขึ้นไป) หรือผู้ที่ลดน้ำหนักอย่างรวดเร็ว คนกลุ่มนี้อาจมีไขมันไม่มาก แต่ต้องการการยกกระชับเพื่อแก้ปัญหาความหย่อนยาน
  • เหมาะกับการรักษาเรื่องกล้ามเนื้อ (Botox, Platysmaplasty): ผู้ที่มีเส้นแนวตั้งที่คอชัดเจน (Platysmal Bands) ซึ่งเกิดจากการทำงานของกล้ามเนื้อคอ การฉีดโบท็อกซ์ (Nefertiti Lift) จะช่วยคลายกล้ามเนื้อส่วนนี้ ทำให้แนวกรามคมชัดขึ้น
  • เหมาะกับการเสริมโครงสร้าง (Chin Implant): ผู้ที่มีเหนียงเนื่องจากโครงสร้างกระดูกคางสั้นหรือถอยไปด้านหลัง ทำให้เนื้อเยื่อแม้มีไม่มากก็หย่อนลงมาเป็นเหนียงได้ การเสริมคางจะช่วยเพิ่มการรองรับและทำให้แนวกรามดูดีขึ้น

รวม 15 วิธีลดเหนียงใต้คาง เห็นผลเร่งด่วน

1. บริหารใบหน้าด้วยท่าลดเหนียง

การบริหารใบหน้าและลำคอช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ซึ่งอาจทำให้ผิวบริเวณใต้คางดูกระชับขึ้นเล็กน้อย แต่ไม่สามารถกำจัดไขมันเหนียงได้โดยตรง

การบริหารใบหน้า เช่น การทำคางสองชั้น (chin tucks) หรือการยืดกล้ามเนื้อด้วยการทำปากจู๋ (pouting stretches) จะช่วยให้กล้ามเนื้อบริเวณลำคอ (platysma) แข็งแรงขึ้น ทำให้ผิวหนังดูกระชับและ “ยกขึ้น” เล็กน้อย อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญเน้นย้ำว่าการออกกำลังกายเฉพาะส่วนไม่สามารถเผาผลาญไขมันใต้คางได้ และไม่สามารถกำจัดเหนียงที่มีไขมันสะสมอยู่มากได้

โดยสรุป การบริหารใบหน้าเป็นวิธีที่ปลอดภัยและไม่มีค่าใช้จ่าย สามารถทำเพื่อเสริมการรักษาอื่น ๆ หรือช่วยปรับปรุงลักษณะของเหนียงเล็กน้อยได้ แต่ไม่ควรคาดหวังผลลัพธ์ที่ชัดเจนในการลดไขมัน

2. ควบคุมอาหารและปรับโภชนาการ

การควบคุมอาหารและปรับโภชนาการเป็นวิธีลดไขมันทั่วร่างกาย ซึ่งเป็นวิธีที่ดีต่อสุขภาพและมีประสิทธิภาพในการลดเหนียง โดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินร่วมกับการออกกำลังกายจะบังคับให้ร่างกายดึงไขมันที่สะสมไว้ออกมาใช้เป็นพลังงาน รวมถึงไขมันบริเวณใต้คางด้วย

หลักการสำคัญในการปรับโภชนาการเพื่อลดเหนียง ได้แก่:

  • เน้นอาหารที่มีประโยชน์: รับประทานอาหารที่อุดมด้วยโปรตีนไร้มัน ผัก และอาหารที่มีเส้นใยสูง
  • ลดอาหารที่ไม่มีประโยชน์: ลดการบริโภคน้ำตาล ไขมันแปรรูป และอาหารที่มีแคลอรีสูง
  • ดื่มน้ำให้เพียงพอ: การดื่มน้ำอย่างสม่ำเสมอช่วยป้องกันอาการบวมซึ่งอาจทำให้เหนียงดูชัดขึ้น
  • ลดน้ำหนัก: สำหรับผู้ที่มีน้ำหนักเกิน การลดน้ำหนักตัวลงเพียง 5–10% ก็สามารถช่วยให้เหนียงลดลงได้อย่างเห็นได้ชัด

ผลลัพธ์จากการปรับโภชนาการจะค่อยเป็นค่อยไปและอาจใช้เวลาหลายสัปดาห์ถึงหลายเดือนจึงจะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน อย่างไรก็ตาม วิธีนี้อาจไม่ได้ผลเต็มที่สำหรับผู้ที่มีเหนียงจากพันธุกรรมแม้จะมีน้ำหนักตัวที่เหมาะสมแล้วก็ตาม

3. นวดกระตุ้นการไหลเวียนใต้คาง

การนวดใต้คางสามารถช่วยลดอาการบวมและระบายของเหลวที่คั่งค้างได้ ซึ่งทำให้แนวกรามดูคมชัดขึ้นได้เล็กน้อย แต่ผลลัพธ์ที่ได้จะเป็นเพียงชั่วคราวและไม่สามารถกำจัดไขมันได้

การนวด เช่น กัวซา (Gua Sha) หรือการนวดระบายน้ำเหลือง จะช่วยเพิ่มการไหลเวียนโลหิตและระบายของเหลวส่วนเกินที่ทำให้บริเวณใต้คางดูบวมขึ้นได้ โดยเฉพาะหลังตื่นนอนหรือหลังรับประทานอาหารรสเค็ม อย่างไรก็ตาม ผลลัพธ์นี้ไม่ถาวร เพราะเหนียงที่เกิดจากไขมันจะกลับมาเหมือนเดิมเมื่อของเหลวกลับสู่ภาวะปกติ

โดยสรุป การนวดเป็นวิธีเสริมที่ปลอดภัยและอาจช่วยให้ผิวดูดีขึ้น แต่ไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาเหนียงที่เกิดจากไขมันโดยตรง และมักจะได้ผลดีที่สุดเมื่อใช้ร่วมกับการรักษาอื่น เช่น การนวดเบาๆ หลังการผ่าตัดเพื่อช่วยลดอาการบวม

4. ปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตลดการสะสมไขมัน

การปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการลดเหนียงคือการลดไขมันโดยรวมของร่างกายผ่านการควบคุมอาหารและการออกกำลังกาย ซึ่งเป็นวิธีที่ดีต่อสุขภาพและเชื่อถือได้มากที่สุด อย่างไรก็ตาม ยังมีพฤติกรรมอื่นๆ ที่สามารถช่วยปรับปรุงลักษณะของเหนียงได้ ดังนี้

  • การควบคุมอาหารและการออกกำลังกาย: การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์และควบคุมแคลอรี่ ร่วมกับการออกกำลังกายเป็นประจำ จะช่วยให้ร่างกายเผาผลาญไขมันสะสมทั่วร่างกาย รวมถึงบริเวณใต้คาง การลดน้ำหนักตัวลงเพียง 5–10% ก็สามารถช่วยให้เหนียงลดลงอย่างเห็นได้ชัด
  • การปรับท่าทาง: การรักษาท่าทางที่ดี เช่น การยืดคอตรงและเก็บคางเล็กน้อย จะช่วยพยุงกล้ามเนื้อบริเวณลำคอและป้องกันไม่ให้เหนียงดูแย่ลง โดยเฉพาะจากภาวะ “คอเทค” (tech neck) ที่เกิดจากการก้มมองหน้าจอเป็นเวลานาน
  • การบริหารใบหน้าและลำคอ: การออกกำลังกายเฉพาะส่วน เช่น การทำท่าเก็บคาง (chin tucks) สามารถเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและทำให้ผิวที่หย่อนคล้อยเล็กน้อยดูกระชับขึ้นได้ แต่ไม่สามารถกำจัดไขมันเฉพาะจุดได้
  • การนวดและกัวซา: การนวดเพื่อระบายน้ำเหลืองสามารถช่วยลดอาการบวมหรืออาการหน้าบวมน้ำซึ่งทำให้เหนียงดูใหญ่ขึ้นได้ชั่วคราว แต่ไม่สามารถกำจัดไขมันได้อย่างถาวร

5. เคี้ยวหมากฝรั่งเพื่อบริหารกล้ามเนื้อ

การเคี้ยวหมากฝรั่งอาจช่วยบริหารกล้ามเนื้อกรามและลำคอได้ แต่มีผลเพียงเล็กน้อยในการลดไขมัน การเคี้ยวหมากฝรั่งชนิดไม่มีน้ำตาลประมาณ 20 นาที วันละสองครั้ง จะช่วยบริหารกล้ามเนื้อแมสซีเทอร์ (masseter) และแพลทิสมา (platysma) ซึ่งตามทฤษฎีแล้วอาจช่วยให้บริเวณใต้คางกระชับขึ้นได้เมื่อทำอย่างสม่ำเสมอ

อย่างไรก็ตาม วิธีนี้ไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาที่ได้ผลชัดเจนและไม่สามารถกำจัดไขมันสะสมได้มากนัก แต่เป็นเพียงการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตที่อาจช่วยเสริมกลยุทธ์อื่นๆ ได้ ทั้งนี้ควรระวังว่าการเคี้ยวมากเกินไปอาจทำให้เกิดอาการเมื่อยล้าที่กรามหรือปัญหาเกี่ยวกับข้อต่อขากรรไกร (TMJ) ได้

6. ฉีดเมโสแฟตสลายไขมันเหนียง

การฉีดสลายไขมันเหนียง เป็นการใช้ยา เช่น กรดดีออกซีโคลิก (Deoxycholic acid) ฉีดเข้าไปในชั้นไขมันเพื่อทำลายเซลล์ไขมันอย่างถาวร โดยร่างกายจะกำจัดเซลล์ไขมันที่ถูกทำลายออกไปเองตามธรรมชาติ วิธีนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีไขมันสะสมใต้คางระดับน้อยถึงปานกลางและผิวหนังยังมีความยืดหยุ่นดี

  • จำนวนครั้ง: โดยทั่วไปต้องฉีด 2–4 ครั้ง ห่างกันประมาณ 1 เดือน เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
  • ผลข้างเคียง: ผลข้างเคียงที่พบบ่อยที่สุดคืออาการบวมอย่างเห็นได้ชัดบริเวณที่ฉีด ซึ่งอาจคงอยู่หลายวัน (เรียกว่า “คางกบ”) รวมถึงอาการช้ำ ชา หรือปวดเล็กน้อย ซึ่งจะหายไปเองใน 1–2 สัปดาห์
  • ผลลัพธ์: จะเริ่มเห็นผลการเปลี่ยนแปลงใน 4–6 สัปดาห์หลังฉีด และเห็นผลเต็มที่หลังจากฉีดครั้งสุดท้ายไปแล้วประมาณ 3–4 เดือน
  • ความปลอดภัย: มีความเสี่ยงที่พบได้น้อยแต่รุนแรงคือการบาดเจ็บต่อเส้นประสาท (Marginal mandibular nerve) ซึ่งอาจทำให้มุมปากตกชั่วคราว ดังนั้นจึงจำเป็นต้องทำโดยผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์เท่านั้น

7. ฉีดโบท็อกซ์เพื่อยกกระชับกรอบหน้า

การฉีดโบท็อกซ์เพื่อยกกระชับกรอบหน้า หรือที่เรียกว่า “Nefertiti Lift” เป็นการฉีดสารโบทูลินัม ท็อกซิน เข้าไปที่กล้ามเนื้อคอ (Platysma) เพื่อคลายการดึงรั้งของกล้ามเนื้อที่ดึงกรอบหน้าลง การทำเช่นนี้จะช่วยให้กล้ามเนื้อส่วนบนของใบหน้าที่ดึงขึ้นสามารถทำงานได้ดีขึ้น ส่งผลให้กรอบหน้าคมชัดและลำคอดูเรียบเนียนขึ้น

  • เหมาะสำหรับ: ผู้ที่มีเส้นที่คอแนวตั้ง (Platysmal bands) ชัดเจน หรือมีผิวหย่อนคล้อยเล็กน้อย แต่ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีไขมันใต้คางปริมาณมาก เพราะโบท็อกซ์ไม่สามารถกำจัดไขมันได้
  • ผลลัพธ์: จะเริ่มเห็นผลใน 5-7 วัน และเห็นผลเต็มที่ใน 2 สัปดาห์ โดยผลลัพธ์จะคงอยู่ประมาณ 3-4 เดือน
  • ขั้นตอน: ใช้เวลาประมาณ 15 นาที และแทบไม่มีระยะพักฟื้น
  • ความปลอดภัย: มีความปลอดภัยสูงเมื่อทำโดยผู้เชี่ยวชาญ แต่มีความเสี่ยงน้อยที่อาจส่งผลต่อกล้ามเนื้อที่อยู่ลึกกว่า ทำให้กลืนลำบากชั่วคราวได้

8. ร้อยไหมเก็บเหนียง

การร้อยไหมเก็บเหนียงคือ การใช้ไหมละลายที่มีเงี่ยงสอดเข้าไปใต้ผิวหนังเพื่อดึงยกผิวที่หย่อนคล้อยบริเวณใต้คางและแนวกรามขึ้นทันที ซึ่งช่วยให้กรอบหน้าคมชัดขึ้นและเหนียงลดลงอย่างรวดเร็ว

  • กลไกการทำงาน: ไหมจะทำหน้าที่ 2 อย่าง คือ ดึงยกผิวที่หย่อนคล้อยขึ้นในทันที และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนรอบแนวเส้นไหมเมื่อเวลาผ่านไป ทำให้ผิวบริเวณนั้นกระชับขึ้น
  • เหมาะกับใคร: เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยระดับน้อยถึงปานกลางบริเวณใต้คางและแนวกราม และอาจมีไขมันสะสมเล็กน้อย แต่ไม่เหมาะกับผู้ที่มีไขมันใต้คางเยอะหรือผิวหนังหย่อนคล้อยมากเกินไป
  • ผลลัพธ์และระยะเวลา: เห็นผลการยกกระชับได้ทันทีหลังทำ และจะเห็นผลชัดเจนขึ้นอีกใน 2-3 เดือนถัดมาเมื่อคอลลาเจนถูกสร้างขึ้น ผลลัพธ์จะคงอยู่ประมาณ 12-18 เดือน ก่อนที่ไหมจะสลายไป
  • การพักฟื้นและผลข้างเคียง: อาจมีอาการบวม ช้ำ หรือรู้สึกตึงๆ บริเวณที่ร้อยไหมได้ประมาณ 1 สัปดาห์ ควรหลีกเลี่ยงการอ้าปากกว้างๆ การนวดหน้า และการออกกำลังกายหนักประมาณ 2 สัปดาห์ เพื่อป้องกันไหมเคลื่อนที่ ความเสี่ยงอื่นๆ ที่พบได้น้อย ได้แก่ การติดเชื้อ ปลายไหมโผล่ หรือผิวเป็นรอยบุ๋มชั่วคราว

9. ใช้เครื่อง Hifu / Ulthera / Thermage

HIFU (เช่น Ulthera) และ RF (เช่น Thermage) เป็นเทคโนโลยีที่ใช้พลังงานความร้อนเพื่อลดไขมันใต้คางและกระชับผิวที่หย่อนคล้อยไปพร้อมกัน โดยเหมาะสำหรับผู้ที่มีเหนียงเล็กน้อยถึงปานกลางและมีผิวที่เริ่มหย่อนคล้อย

  • HIFU (High-Intensity Focused Ultrasound) / Ulthera: ใช้พลังงานคลื่นอัลตราซาวนด์ความเข้มข้นสูงส่งความร้อนไปยังชั้นไขมันและผิวหนังชั้นลึกเพื่อสลายเซลล์ไขมันและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ไปพร้อมกัน ผลการศึกษาพบว่าสามารถลดไขมันและยกกระชับผิวได้จริง โดยผลลัพธ์จะค่อยๆ ชัดเจนขึ้นใน 2-3 เดือน และอยู่ได้นานประมาณ 1-2 ปี
  • RF (Radiofrequency) / Thermage: ใช้พลังงานคลื่นวิทยุเพื่อสร้างความร้อนในชั้นผิวหนัง เน้นการกระตุ้นคอลลาเจนเพื่อยกกระชับผิวเป็นหลัก และสามารถลดไขมันได้เล็กน้อย (ประมาณ 10%) จึงเหมาะกับผู้ที่กังวลเรื่องความหย่อนคล้อยของผิวมากกว่าปริมาณไขมัน

10. สลายไขมันด้วยความเย็น (CoolSculpting)

การสลายไขมันด้วยความเย็น (Cryolipolysis) หรือที่รู้จักกันในชื่อ CoolSculpting เป็นวิธีการลดไขมันใต้คางโดยไม่ต้องผ่าตัด โดยใช้ความเย็นจัดเพื่อทำลายเซลล์ไขมันอย่างถาวร ซึ่งร่างกายจะกำจัดเซลล์ที่ตายแล้วออกไปตามธรรมชาติในช่วงเวลาหลายสัปดาห์

โดยทั่วไปแล้ว การทำหนึ่งครั้งสามารถลดชั้นไขมันในบริเวณที่ทำได้ประมาณ 20–25% และสามารถทำซ้ำได้หากต้องการลดไขมันเพิ่มเติม

  • ขั้นตอน: ระหว่างการทำ ผู้ป่วยจะรู้สึกเย็นจัดและมีแรงดูดที่หัวของอุปกรณ์ประมาณ 5-10 นาทีจนกระทั่งบริเวณนั้นชา หลังจากนั้นจะมีการนวดบริเวณที่แข็งตัวจากความเย็นเพื่อช่วยให้เซลล์ไขมันสลายตัวได้ดีขึ้น
  • ผลลัพธ์: จะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงในเวลาประมาณ 3-4 สัปดาห์ และเห็นผลเต็มที่ใน 2-3 เดือน
  • ผลข้างเคียง: ผลข้างเคียงที่พบบ่อยคืออาการบวม แดง ชา หรือรอยช้ำชั่วคราว ซึ่งจะหายไปเองในไม่กี่วันถึงสองสามสัปดาห์ อย่างไรก็ตาม มีความเสี่ยงที่พบได้ยากมาก (ประมาณ 1 ใน 20,000) คือภาวะไขมันขยายตัวผิดปกติ (Paradoxical Adipose Hyperplasia หรือ PAH) ซึ่งทำให้ไขมันในบริเวณที่ทำมีขนาดใหญ่และแข็งขึ้นแทนที่จะลดลง
  • ข้อจำกัด: วิธีนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีไขมันสะสมเป็นก้อนที่สามารถหยิบจับได้ แต่ไม่สามารถแก้ไขปัญหาผิวหนังที่หย่อนคล้อยได้

11. ดูดไขมันเหนียง (Vaser Lipo)

การดูดไขมันเหนียงด้วย Vaser (Vaser Lipo) คือการผ่าตัดที่ใช้พลังงานอัลตราซาวด์เพื่อสลายไขมันให้เป็นของเหลวก่อนจะดูดออก ซึ่งเป็นวิธีที่ช่วยกำจัดไขมันใต้คางและปรับกรอบหน้าให้คมชัดขึ้นได้อย่างถาวรในการทำเพียงครั้งเดียว

  • หลักการทำงาน: ศัลยแพทย์จะเปิดแผลเล็กๆ บริเวณใต้คาง แล้วสอดท่อ Vaser เข้าไปเพื่อปล่อยพลังงานอัลตราซาวด์สลายไขมันให้เหลว จากนั้นจึงใช้ท่อขนาดเล็กดูดไขมันที่สลายแล้วออกมา ความร้อนจาก Vaser ยังช่วยกระตุ้นคอลลาเจน ทำให้ผิวหนังกระชับขึ้นได้เล็กน้อย
  • เหมาะสำหรับ: ผู้ที่มีปัญหาเหนียงจากไขมันสะสมเป็นหลัก และผิวยังมีความยืดหยุ่นดี (มักเป็นผู้ที่อายุไม่เกิน 45 ปี) เพื่อให้ผิวสามารถหดกลับเข้ารูปได้หลังกำจัดไขมันออกไป
  • ผลลัพธ์: เป็นวิธีมาตรฐานที่กำจัดไขมันได้อย่างถาวรและเห็นผลชัดเจน สามารถลดไขมันส่วนใหญ่ออกไปได้ในการทำเพียงครั้งเดียว ทำให้แนวกรามและลำคอดูคมชัดขึ้นอย่างมาก
  • การพักฟื้น: ต้องสวมผ้ารัดบริเวณคางและใบหน้าตลอดเวลาประมาณ 3-7 วันแรกเพื่อลดอาการบวมและช่วยให้ผิวหนังติดกับโครงสร้างใหม่ อาการบวมและช้ำจะมากที่สุดในช่วง 3-5 วันแรก และจะค่อยๆ ดีขึ้นจนเกือบหายเป็นปกติใน 2 สัปดาห์
  • ข้อจำกัดและความเสี่ยง: วิธีนี้ไม่สามารถแก้ไขปัญหาผิวหนังที่หย่อนคล้อยมากๆ ได้ และมีความเสี่ยงต่ำ เช่น อาการบวม ช้ำ หรือเกิดความผิดปกติของผิวหนังที่ไม่เรียบเนียนได้หากกำจัดไขมันไม่สม่ำเสมอ และมีความเสี่ยงที่พบได้ยากมากคือการบาดเจ็บของเส้นประสาท

12. ใช้คลื่นวิทยุ (Radio Frequency – RF)

การใช้คลื่นวิทยุ (RF) เป็นวิธีการกระชับผิวและลดไขมันใต้คางเล็กน้อย โดยใช้ความร้อนเพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและทำลายเซลล์ไขมันบางส่วน ทำให้เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาเหนียงจากผิวหย่อนคล้อยเป็นหลัก หรือมีไขมันสะสมไม่มาก

หลักการทำงานคือ คลื่น RF จะสร้างความร้อนประมาณ 45°C ขึ้นไปในชั้นผิวหนังและไขมัน ซึ่งช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ ทำให้ผิวตึงกระชับขึ้น และยังสามารถลดความหนาของชั้นไขมันได้ประมาณ 10-20% โดยผลลัพธ์จะค่อยๆ ปรากฏชัดเจนขึ้นใน 2-3 เดือน

ประเภทของเทคโนโลยี RF ที่ใช้สำหรับเหนียง ได้แก่:

  • Thermage: เป็นการใช้คลื่น RF แบบขั้วเดียว (Monopolar RF) เพื่อกระชับผิว
  • RF Microneedling (เช่น Morpheus8): เป็นการใช้เข็มขนาดเล็กส่งคลื่น RF ลงไปในชั้นผิวและไขมันโดยตรงเพื่อกระตุ้นคอลลาเจนและลดไขมัน มักต้องทำ 2-3 ครั้ง
  • FaceTite: เป็นการใช้หัวปล่อยคลื่น RF ขนาดเล็กสอดเข้าไปใต้ผิวเพื่อสลายไขมันและกระชับผิวจากภายใน

13. เลเซอร์สลายไขมัน

เลเซอร์สลายไขมัน (Laser Lipolysis) เช่น SculpSure® เป็นวิธีการลดไขมันแบบไม่รุกรานโดยใช้ความร้อนจากเลเซอร์เพื่อทำลายเซลล์ไขมันใต้ผิวหนัง โดยร่างกายจะค่อยๆ กำจัดเซลล์ไขมันที่ถูกทำลายออกไปเองตามธรรมชาติ

การรักษาด้วยเลเซอร์สลายไขมันมีรายละเอียดดังนี้

  • ประสิทธิภาพ: การรักษา 1 ครั้งสามารถลดไขมันในบริเวณที่ทำได้ประมาณ 24% และยังมีข้อดีคือความร้อนจากเลเซอร์ช่วยกระตุ้นคอลลาเจน ทำให้ผิวบริเวณเหนียงตึงกระชับขึ้นเล็กน้อย
  • ขั้นตอน: ใช้เวลาประมาณ 25 นาที โดยแผ่นเลเซอร์จะสลับกันให้ความร้อนและความเย็น ผู้รับการรักษาจะรู้สึกอุ่นลึกๆ แต่ไม่เจ็บปวดมากและไม่ต้องพักฟื้น
  • ผลลัพธ์: จะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงใน 6 สัปดาห์ และเห็นผลลัพธ์เต็มที่ในเวลา 3 เดือน
  • ผลข้างเคียง: พบได้น้อยและไม่รุนแรง เช่น อาการบวมหรือเจ็บเล็กน้อย และไม่มีความเสี่ยงของภาวะไขมันพอกพูนผิดปกติ (Paradoxical Adipose Hyperplasia) เหมือนการสลายไขมันด้วยความเย็น

14. ผ่าตัดยกกระชับคอ (Neck Lift)

การผ่าตัดยกกระชับคอ (Neck Lift) เป็นหัตถการที่เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวหนังหย่อนคล้อยบริเวณคออย่างเห็นได้ชัด หรือที่เรียกว่า “เหนียงคอไก่งวง” (turkey neck) ซึ่งมักพบในผู้ที่มีอายุ 50-70 ปี หรือผู้ที่น้ำหนักลดลงอย่างมาก

  • หลักการทำงาน: ศัลยแพทย์จะเปิดแผลบริเวณหน้าใบหู โค้งลงไปด้านหลังใบหู และซ่อนในแนวไรผม ร่วมกับการเปิดแผลเล็กๆ ใต้คาง เพื่อทำการยกกระชับและตัดผิวหนังส่วนเกินออก จากนั้นจะเย็บกล้ามเนื้อคอ (Platysma) ให้ตึง และกำจัดไขมันส่วนเกินออกไป
  • ผลลัพธ์: เป็นวิธีที่ให้ผลลัพธ์ชัดเจนที่สุดในการกำจัดเหนียงและผิวหนังที่หย่อนคล้อย สามารถปรับแก้รูปคางและแนวกรามให้คมชัดขึ้นอย่างมาก ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 8-10 ปีขึ้นไป
  • การพักฟื้น: เป็นการผ่าตัดใหญ่ ต้องใช้เวลาพักฟื้นประมาณ 2 สัปดาห์จึงจะสามารถกลับไปทำงานได้ โดยจะมีอาการบวมและช้ำอย่างเห็นได้ชัดในช่วง 1-2 สัปดาห์แรก และต้องหลีกเลี่ยงกิจกรรมหนักประมาณ 4-6 สัปดาห์
  • ความเสี่ยง: มีความเสี่ยงเช่นเดียวกับการผ่าตัดทั่วไป เช่น ภาวะเลือดคั่ง (hematoma) ซึ่งเป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบบ่อยที่สุด, การติดเชื้อ, และความเสี่ยงจากการดมยาสลบ นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงเฉพาะที่ เช่น เส้นประสาทบริเวณใบหน้าได้รับการกระทบกระเทือนชั่วคราว (พบได้ประมาณ 2-7% แต่ส่วนใหญ่หายได้เอง) และการเกิดแผลเป็น (ซึ่งโดยทั่วไปจะซ่อนอยู่ในตำแหน่งที่มองเห็นได้ยาก)

15. ผ่าตัดกล้ามเนื้อใต้คาง

การผ่าตัดกล้ามเนื้อใต้คาง (Submentoplasty) คือการผ่าตัดเพื่อแก้ไขปัญหาเหนียงและคอที่หย่อนคล้อยเฉพาะบริเวณกลางลำคอ ผ่านแผลขนาดเล็กที่ซ่อนอยู่ใต้คาง

ศัลยแพทย์จะเปิดแผลยาวประมาณ 3-5 ซม. ใต้คางเพื่อเข้าไปกำจัดไขมันส่วนเกิน เย็บกล้ามเนื้อคอ (Platysma) ให้กระชับ และอาจตัดผิวหนังส่วนเกินออก (Cervicoplasty) เพื่อทำให้แนวกรามและลำคอคมชัดขึ้น

  • ผู้ที่เหมาะสม: เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาไขมันและผิวหนังหย่อนคล้อยระดับปานกลางเฉพาะบริเวณใต้คาง แต่ผิวหนังด้านข้างยังดีอยู่ และไม่ต้องการผ่าตัดดึงคอทั้งหมดซึ่งมีแผลบริเวณรอบหู
  • ข้อดี: เป็นการผ่าตัดที่เล็กกว่าการดึงคอทั้งหมด (Neck Lift) ทำให้ฟื้นตัวเร็วกว่า และมีแผลเป็นเพียงจุดเดียวใต้คาง
  • ข้อจำกัด: ไม่สามารถแก้ไขความหย่อนคล้อยบริเวณด้านข้างลำคอหรือแก้มส่วนล่าง (Jowls) ได้
  • การฟื้นตัว: โดยทั่วไปจะมีอาการบวมและช้ำประมาณ 1-2 สัปดาห์

ตารางเปรียบเทียบ 15 วิธีลดเหนียง: เลือกแบบไหนเหมาะกับคุณ

ตารางนี้เปรียบเทียบ 15 วิธีลดเหนียงตามหลักการทำงาน ความเหมาะสม ผลลัพธ์ และการพักฟื้น เพื่อช่วยให้คุณเลือกวิธีที่ตรงกับความต้องการและปัญหาของคุณมากที่สุด

วิธีการ หลักการทำงาน เหมาะกับใคร ผลลัพธ์ เห็นผลเมื่อไหร่ อยู่นานแค่ไหน การพักฟื้น
1. คุมอาหารและออกกำลังกาย ลดไขมันโดยรวมทั้งร่างกาย ผู้ที่มีน้ำหนักเกิน ลดเหนียงได้ชัดเจนเมื่อน้ำหนักลดลง 5-10% ค่อยเป็นค่อยไป (หลายสัปดาห์-เดือน) ถาวร (ถ้าน้ำหนักคงที่) ไม่ต้องพักฟื้น
2. บริหารใบหน้าและลำคอ เสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อคอ (Platysma) ผู้ที่มีเหนียงเล็กน้อย หรือต้องการให้กรอบหน้ากระชับขึ้น น้อยมาก ไม่สามารถสลายไขมันได้ แค่ช่วยให้ดูกระชับขึ้นเล็กน้อย ค่อยเป็นค่อยไป (หลายเดือน) ต้องทำสม่ำเสมอ ไม่ต้องพักฟื้น
3. ปรับบุคลิกภาพ ช่วยยืดลำคอและพยุงเนื้อเยื่อใต้คาง ผู้ที่มีเหนียงเล็กน้อย หรือเพื่อป้องกัน “คอตก” จากการใช้มือถือ เล็กน้อย ช่วยให้มุมคางดูดีขึ้น ทันที แต่ต้องทำเป็นนิสัย ต้องรักษาบุคลิกภาพที่ดีไว้ ไม่ต้องพักฟื้น
4. นวด/กัวซา ระบายน้ำเหลือง ลดอาการบวมน้ำ ผู้ที่มีอาการบวมน้ำหรือหน้าบวมในตอนเช้า เล็กน้อยและชั่วคราว ไม่ได้ลดไขมัน ทันที แต่ผลอยู่ไม่นาน ไม่กี่ชั่วโมงถึงหนึ่งวัน ไม่ต้องพักฟื้น
5. ฉีดสลายไขมัน (Kybella) ใช้กรด Deoxycholic ทำลายเซลล์ไขมันอย่างถาวร ผู้ที่มีไขมันสะสมปานกลางและผิวยังกระชับ ลดไขมันได้ 20-25% ต่อครั้ง 4-6 สัปดาห์หลังฉีดแต่ละครั้ง ถาวร บวมมาก 3-7 วัน (“คางคก”)
6. โบท็อกซ์ (Nefertiti Lift) คลายกล้ามเนื้อคอ (Platysma) ที่ดึงรั้งกรอบหน้าลง ผู้ที่มีเส้นที่คอชัด หรือกรอบหน้าไม่คม แต่ไม่มีไขมันเยอะ กรอบหน้าคมขึ้นเล็กน้อย ไม่ได้ลดไขมัน 5-14 วัน 3-4 เดือน ไม่ต้องพักฟื้น อาจมีรอยช้ำเล็กน้อย
7. HIFU (เช่น Ultherapy) ใช้คลื่นอัลตราซาวนด์สร้างความร้อนเพื่อสลายไขมันและกระตุ้นคอลลาเจน ผู้ที่มีไขมันเล็กน้อยร่วมกับผิวหย่อนคล้อย ลดไขมันได้บ้างและยกกระชับผิวได้ดี ผลลัพธ์เต็มที่ใน 2-3 เดือน 1-2 ปี น้อยมาก (อาจมีรอยแดงหรือบวมเล็กน้อย)
8. คลื่นวิทยุ (RF/RF Microneedling) ใช้ความร้อนกระตุ้นคอลลาเจนและลดไขมันบางส่วน ผู้ที่เน้นแก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อย มีไขมันไม่มาก ลดไขมัน 10-20% และยกกระชับผิวได้ดี ผลลัพธ์เต็มที่ใน 2-3 เดือน ประมาณ 1-2 ปี น้อยมาก (RF) หรือมีรอยแดง 2-3 วัน (RF Microneedling)
9. สลายไขมันด้วยความเย็น (CoolSculpting) แช่แข็งเซลล์ไขมันให้ตายและถูกขับออกจากร่างกาย ผู้ที่มีไขมันสะสมเป็นก้อน สามารถหยิบจับได้ และผิวไม่หย่อน ลดไขมันได้ 20-25% ต่อครั้ง ผลลัพธ์เต็มที่ใน 2-3 เดือน ถาวร น้อยมาก (อาจบวม ชา หรือแดง 1-2 สัปดาห์)
10. สลายไขมันด้วยเลเซอร์ (SculpSure) ใช้ความร้อนจากเลเซอร์ทำลายเซลล์ไขมัน ผู้ที่มีไขมันสะสมเป็นก้อน อาจช่วยกระชับผิวได้เล็กน้อย ลดไขมันได้ประมาณ 24% ต่อครั้ง ผลลัพธ์เต็มที่ใน 3 เดือน ถาวร ไม่ต้องพักฟื้น (อาจมีอาการเจ็บเล็กน้อย)
11. ร้อยไหม ใช้ไหมละลายที่มีเงี่ยงเกี่ยวเพื่อดึงยกผิวที่หย่อนคล้อย ผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยเป็นหลัก มีไขมันไม่มาก ยกกระชับผิวได้ทันที เห็นผลทันที และดีขึ้นใน 2-3 เดือน 12-18 เดือน บวมช้ำ 3-7 วัน
12. ดูดไขมันเหนียง ใช้ท่อขนาดเล็กดูดไขมันใต้คางออกโดยตรง ผู้ที่มีไขมันปานกลางถึงมาก และผิวยังมีความยืดหยุ่นดี (อายุน้อยกว่า 45) สูงมาก กำจัดไขมันได้เกือบทั้งหมดในครั้งเดียว เห็นผลทันที แต่จะเข้าที่ใน 3-6 เดือน ถาวร 1-2 สัปดาห์ (ต้องใส่ผ้ารัดหน้า)
13. ศัลยกรรมดึงคอ (Neck Lift) ตัดผิวหนังส่วนเกิน เย็บกระชับกล้ามเนื้อ และกำจัดไขมัน ผู้ที่มีเหนียงขนาดใหญ่ ผิวหย่อนคล้อยมาก (“คอไก่งวง”) และมีเส้นที่คอ สูงที่สุด แก้ปัญหาได้ครอบคลุม เห็นผลทันที แต่จะเข้าที่ใน 3-6 เดือน ยาวนาน (10+ ปี) 2-3 สัปดาห์ (บวมช้ำมาก)
14. ผ่าตัดเหนียงโดยตรง (Submentoplasty) ตัดไขมันและผิวหนังส่วนเกินออกโดยตรงจากแผลใต้คาง ผู้ที่มีไขมันและผิวหนังหย่อนคล้อยบริเวณกลางลำคอ แต่ด้านข้างยังดี สูงมาก คล้ายการดึงคอเฉพาะจุด เห็นผลทันที แต่จะเข้าที่ใน 3-6 เดือน ยาวนาน 1-2 สัปดาห์ (พักฟื้นน้อยกว่าดึงคอ)
15. เคี้ยวหมากฝรั่ง บริหารกล้ามเนื้อกรามและคอเล็กน้อย เป็นวิธีเสริม อาจช่วยให้กล้ามเนื้อกระชับขึ้น น้อยมาก แทบไม่มีผลต่อไขมัน ค่อยเป็นค่อยไป ต้องทำสม่ำเสมอ ไม่ต้องพักฟื้น

ความเสี่ยงและผลข้างเคียงที่ควรรู้

ความเสี่ยงของวิธีธรรมชาติและท่าออกกำลังกาย

โดยทั่วไปแล้ว วิธีธรรมชาติและท่าออกกำลังกายเพื่อลดเหนียงมีความปลอดภัยสูงและแทบไม่มีผลข้างเคียงที่ร้ายแรง อย่างไรก็ตาม อาจมีความเสี่ยงเล็กน้อยที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติที่ไม่ถูกต้องหรือทำมากเกินไป ดังนี้

  • การออกกำลังใบหน้า: การทำมากเกินไปอาจทำให้กล้ามเนื้อเมื่อยล้าหรือเจ็บได้
  • การนวด: การนวดที่รุนแรงเกินไปอาจทำให้เกิดรอยช้ำหรือการอักเสบของเนื้อเยื่อ
  • การเคี้ยวหมากฝรั่ง: การเคี้ยวมากเกินไปอาจทำให้เมื่อยล้ากราม, เกิดปัญหากับข้อต่อขากรรไกร (TMJ) หรือทำให้ฟันสึกได้
  • การลดน้ำหนักอย่างรวดเร็ว: อาจทำให้ผิวหนังที่หย่อนคล้อยใต้คางดูแย่ลงได้

ความเสี่ยงจากการทำหัตถการและศัลยกรรม

ความเสี่ยงของการรักษาเหนียงมีตั้งแต่ผลข้างเคียงที่ไม่รุนแรงและเกิดขึ้นชั่วคราวในกลุ่มหัตถการที่ไม่ใช่การผ่าตัด ไปจนถึงความเสี่ยงที่รุนแรงกว่า เช่น การเกิดก้อนเลือด (hematoma) หรือเส้นประสาทเสียหายชั่วคราวในการผ่าตัด โดยความเสี่ยงจะแตกต่างกันไปตามแต่ละวิธี

หัตถการแบบไม่ผ่าตัด

  • Kybella (ฉีดสลายไขมัน): อาการบวมมาก (คางกบ), ช้ำ, ชา และเจ็บปวดชั่วคราวเป็นเรื่องปกติ ความเสี่ยงที่พบได้ยากคือเส้นประสาทเสียหายชั่วคราว ทำให้ยิ้มไม่สมมาตร
  • CoolSculpting (สลายไขมันด้วยความเย็น): อาการชา, แดง, บวม และช้ำ ความเสี่ยงที่พบได้ยากมาก (ประมาณ 1 ใน 20,000) คือภาวะไขมันขยายตัวผิดปกติ (Paradoxical Adipose Hyperplasia หรือ PAH) ซึ่งไขมันจะขยายใหญ่ขึ้นแทนที่จะลดลง
  • HIFU และ RF (คลื่นอัลตราซาวด์และคลื่นวิทยุ): อาจมีอาการบวมแดงเล็กน้อย ความเสี่ยงที่พบได้ยากคือการไหม้ที่ผิวหนังหรือเส้นประสาทอักเสบชั่วคราวหากทำไม่ถูกวิธี
  • ร้อยไหม (Thread Lifts): อาการบวม, ช้ำ และรู้สึกตึง ความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้คือการติดเชื้อ, ไหมโผล่, ผิวไม่เรียบ หรือใบหน้าไม่สมมาตร
  • โบท็อกซ์ (Nefertiti Lift): รอยช้ำ ความเสี่ยงที่พบได้ยากจากการฉีดผิดตำแหน่งคืออาการกลืนลำบากหรือยิ้มไม่สมมาตร ซึ่งจะหายไปเองเมื่อโบท็อกซ์หมดฤทธิ์

ศัลยกรรม

  • การดูดไขมัน (Liposuction): อาการบวม, ช้ำ และชา ความเสี่ยงที่พบได้ยากคือผิวไม่เรียบ, การบาดเจ็บของเส้นประสาท (น้อยกว่า 1%) หรือการเกิดก้อนเลือด
  • การผ่าตัดดึงคอ (Neck Lift) และการผ่าตัดกระชับเหนียงโดยตรง (Submentoplasty): มีความเสี่ยงสูงกว่าหัตถการอื่น ความเสี่ยงที่พบบ่อยที่สุดคือการเกิดก้อนเลือด (hematoma) (1-5%) ความเสี่ยงอื่นๆ ได้แก่ การติดเชื้อ, แผลเป็น และการบาดเจ็บของเส้นประสาทซึ่งส่วนใหญ่มักเป็นเพียงชั่วคราว (2-7%) และมีโอกาสน้อยมากที่จะเสียหายถาวร (น้อยกว่า 1%) การตายของผิวหนัง (skin necrosis) เป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบได้ยากและมีความเสี่ยงสูงในผู้ที่สูบบุหรี่

การเตรียมตัวก่อนและวิธีดูแลหลังลดเหนียง

การเตรียมตัวก่อนลดเหนียงจะเน้นการงดยาและอาหารเสริมที่ส่งผลต่อการแข็งตัวของเลือดและดูแลสุขภาพให้พร้อม ส่วนการดูแลหลังทำจะมุ่งเน้นไปที่การลดบวม การดูแลแผล และการปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด การเตรียมตัวและดูแลตัวเองจะแตกต่างกันไปตามประเภทของหัตถการ ดังนี้

การเตรียมตัวก่อนทำ

  • สำหรับหัตถการที่ไม่ใช่การผ่าตัด (เช่น ฉีดสลายไขมัน, ร้อยไหม, HIFU, CoolSculpting):
  • งดยาต้านการอักเสบ (NSAIDs) เช่น แอสไพริน ไอบูโพรเฟน และอาหารเสริมที่ทำให้เลือดออกง่าย เช่น น้ำมันปลา วิตามินอี และแปะก๊วย อย่างน้อย 1 สัปดาห์ก่อนทำเพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดรอยช้ำ
  • งดดื่มแอลกอฮอล์และงดสูบบุหรี่ เพื่อช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวได้ดีขึ้น
  • หากทำเลเซอร์หรือหัตถการที่ใช้พลังงานความร้อน ควรหลีกเลี่ยงการตากแดดจัดในบริเวณที่จะทำ
  • ควรมาถึงคลินิกก่อนเวลานัดหมายเพื่อทายาชา (ประมาณ 30-60 นาที)
  • สำหรับหัตถการผ่าตัด (เช่น ดูดไขมัน, ผ่าตัดยกกระชับคอ):
  • ปฏิบัติตามคำแนะนำข้างต้นอย่างเคร่งครัด โดยอาจต้องงดยานานขึ้น (ประมาณ 1-2 สัปดาห์)
  • ต้องงดสูบบุหรี่อย่างเด็ดขาด เพราะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อการหายของแผล
  • งดน้ำและอาหารอย่างน้อย 8 ชั่วโมงก่อนผ่าตัด (กรณีที่ต้องดมยาสลบ)
  • เตรียมผู้ดูแลเพื่อขับรถกลับและช่วยเหลือในช่วง 1-2 วันแรกหลังผ่าตัด
  • เตรียมอาหารอ่อนๆ ที่เคี้ยวง่าย และเตรียมหมอนหลายใบสำหรับหนุนนอนให้ศีรษะสูง

การดูแลหลังทำ

  • สำหรับหัตถการที่ไม่ใช่การผ่าตัด:
  • ฉีดสลายไขมัน (Kybella): จะมีอาการบวมมากในช่วง 2-3 วันแรก สามารถประคบเย็นเพื่อช่วยลดบวมได้ ควรนอนหนุนหมอนสูง และหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนัก 2-3 วัน
  • ร้อยไหม: หลีกเลี่ยงการนวดหน้า การอ้าปากกว้างๆ และการออกกำลังกายหนักประมาณ 2 สัปดาห์ ควรนอนหงายและหนุนหมอนสูงเพื่อป้องกันไม่ให้ไหมเคลื่อนที่
  • CoolSculpting/HIFU/RF: อาจมีรอยแดงหรือบวมเล็กน้อย ซึ่งจะหายไปเอง สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ แต่ควรหลีกเลี่ยงความร้อนและแสงแดดจัดในช่วงแรก
  • สำหรับหัตถการผ่าตัด:
  • ดูดไขมัน: สวมผ้ารัดคาง (Chin Strap) ตลอดเวลาในช่วง 3-7 วันแรก จากนั้นใส่ต่อเฉพาะตอนกลางคืนตามคำแนะนำของแพทย์ เพื่อลดบวมและช่วยให้ผิวกระชับ ควรนอนหนุนหมอนสูง และงดกิจกรรมหนัก 1-2 สัปดาห์
  • ผ่าตัดยกกระชับคอ: สวมผ้ารัดตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด นอนหนุนหมอนสูงบนหลังเท่านั้นในช่วง 1-2 สัปดาห์แรกเพื่อลดแรงตึงที่แผล งดการก้มหรือหันคอแรงๆ ทานอาหารอ่อนๆ และงดสูบบุหรี่อย่างเด็ดขาดเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อน

คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

ลดเหนียงวิธีไหนเห็นผลเร็วที่สุด?

การทำศัลยกรรม เช่น การดูดไขมันหรือการผ่าตัดยกกระชับคอ เป็นวิธีที่ให้ผลลัพธ์รวดเร็วและชัดเจนที่สุด โดยจะเห็นการเปลี่ยนแปลงได้ทันทีหลังอาการบวมลดลงในเวลาไม่กี่สัปดาห์

สำหรับวิธีที่ไม่ใช่การผ่าตัด การร้อยไหม (thread lift) ถือเป็นวิธีที่เห็นผลเร็วที่สุด โดยจะเห็นการยกกระชับได้ทันทีหลังทำ ในขณะที่วิธีอื่นๆ เช่น การฉีดสลายไขมัน หรือการใช้เครื่องมืออย่าง CoolSculpting และ HIFU จะต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์ถึงหลายเดือนจึงจะเห็นผลลัพธ์เต็มที่

ผอมแต่มีเหนียงเกิดจากอะไรและแก้ไขอย่างไร?

การมีเหนียงทั้งที่รูปร่างผอม ส่วนใหญ่มักเกิดจากปัจจัยทางพันธุกรรม โครงสร้างใบหน้า และท่าทางที่ไม่เหมาะสม ซึ่งทำให้ไขมันเพียงเล็กน้อยหรือเนื้อเยื่อบริเวณใต้คางดูกูนออกมามากกว่าปกติ

สาเหตุหลักที่ทำให้คนผอมมีเหนียง ได้แก่

  • พันธุกรรมและโครงสร้างใบหน้า DNA เป็นตัวกำหนดรูปแบบการสะสมไขมันในร่างกาย บางคนมีแนวโน้มที่จะเก็บไขมันไว้ใต้คางได้ง่าย นอกจากนี้ โครงสร้างกระดูก เช่น คางสั้น คางถอย หรือแนวกรามที่ไม่ชัดเจน จะทำให้ขาดโครงสร้างพยุงผิวหนังและไขมัน ทำให้เหนียงมองเห็นได้ชัดเจนแม้จะมีไขมันไม่มาก
  • ท่าทางที่ไม่เหมาะสม การก้มหน้ามองจอสมาร์ทโฟนหรือคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน (Tech Neck) ทำให้กล้ามเนื้อคออ่อนแอลงและผิวหนังขาดความยืดหยุ่น ซึ่งสามารถกระตุ้นให้เกิดหรือทำให้เหนียงดูเด่นชัดขึ้นได้ โดยเฉพาะในคนหนุ่มสาว
  • โครงสร้างอื่นๆ ที่ไม่ใช่ไขมัน ในบางกรณี ความนูนใต้คางอาจไม่ได้เกิดจากไขมัน แต่เกิดจากต่อมน้ำลายใต้ขากรรไกร (Submandibular Glands) หรือกล้ามเนื้อไดแกสทริก (Digastric Muscle) ที่มีขนาดใหญ่กว่าปกติ

แนวทางการแก้ไขจะขึ้นอยู่กับสาเหตุหลัก ดังนี้

  • การกำจัดไขมันเฉพาะจุด สำหรับเหนียงที่เกิดจากไขมันสะสมตามพันธุกรรมซึ่งไม่ตอบสนองต่อการลดน้ำหนัก สามารถใช้หัตถการทางการแพทย์เพื่อกำจัดไขมันออกไปโดยตรง เช่น การฉีดสลายไขมัน (Kybella), การสลายไขมันด้วยความเย็น (CoolSculpting), การสลายไขมันด้วยเลเซอร์ (SculpSure) หรือการดูดไขมัน (Liposuction)
  • การปรับแก้โครงสร้างใบหน้า หากสาเหตุหลักมาจากคางที่เล็กหรือถอย การผ่าตัดเสริมคาง (Chin Implant) สามารถช่วยเพิ่มความยาวของแนวกราม ทำให้ผิวหนังใต้คางตึงขึ้นและเหนียงลดลงอย่างเห็นได้ชัด
  • การปรับท่าทาง การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมโดยการฝึกนั่งและยืนให้หลังตรง ศีรษะตั้งตรง จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้กล้ามเนื้อคอและลดการหย่อนคล้อยของผิวหนังได้
  • การยกกระชับผิวและกล้ามเนื้อ หากเหนียงเกิดจากกล้ามเนื้อหรือผิวหนังที่หย่อนคล้อย สามารถใช้โบท็อกซ์ (Nefertiti Lift) เพื่อคลายกล้ามเนื้อที่ดึงรั้งแนวกรามลง หรือใช้เทคโนโลยียกกระชับ เช่น HIFU, RF และการร้อยไหม เพื่อทำให้ผิวหนังและเนื้อเยื่อบริเวณใต้คางกระชับขึ้น

ออกกำลังกายอย่างเดียวช่วยให้เหนียงหายถาวรได้ไหม?

การออกกำลังกายอย่างเดียวไม่สามารถทำให้เหนียงหายไปได้อย่างถาวร โดยเฉพาะหากเหนียงมีสาเหตุมาจากไขมันสะสมจำนวนมากหรือพันธุกรรม

ผู้เชี่ยวชาญระบุว่าการออกกำลังกายเฉพาะส่วน (Spot Reduction) เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ การบริหารใบหน้าและลำคอจะช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ทำให้บริเวณใต้คางดูกระชับขึ้นเล็กน้อย แต่ไม่สามารถเผาผลาญไขมันใต้คางได้โดยตรง อย่างไรก็ตาม การออกกำลังกายทั่วร่างกายร่วมกับการควบคุมอาหารเพื่อลดไขมันโดยรวม สามารถช่วยลดขนาดของเหนียงลงได้ แต่ผลลัพธ์จะขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลและอาจไม่สามารถกำจัดเหนียงได้ทั้งหมด

วิธีลดเหนียงสำหรับผู้ชายต่างจากผู้หญิงหรือไม่?

โดยทั่วไปแล้ววิธีการรักษาเหนียงสำหรับผู้ชายและผู้หญิงไม่แตกต่างกันมากนัก เนื่องจากการเลือกวิธีรักษาจะขึ้นอยู่กับลักษณะทางกายวิภาค เช่น ปริมาณไขมัน ความหย่อนคล้อยของผิว และสภาพกล้ามเนื้อ มากกว่าเพศโดยตรง อย่างไรก็ตาม มีข้อแตกต่างบางประการในความเหมาะสมและความนิยม ดังนี้

  • ลักษณะทางกายวิภาค: ผู้ชายมักมีกล้ามเนื้อคอที่หนาและไขมันที่เป็นพังผืดมากกว่า ซึ่งอาจทำให้ตอบสนองต่อการรักษาแบบไม่ผ่าตัด เช่น การฉีดสลายไขมัน (Kybella) หรือการสลายไขมันด้วยความเย็น (CoolSculpting) ได้ไม่ดีเท่า และอาจเหมาะกับการดูดไขมันมากกว่า
  • พฤติกรรมการรักษา: ผู้หญิงมักเริ่มรักษาก่อนเมื่อเหนียงยังไม่มากนักและนิยมการรักษาแบบฉีดหรือร้อยไหมเพื่อการปรับปรุงเล็กน้อย ในขณะที่ผู้ชายมักจะรอจนกว่าเหนียงจะเห็นได้ชัดเจนแล้วเลือกการผ่าตัดเพื่อผลลัพธ์ในครั้งเดียว
  • การเลือกวิธีการผ่าตัด: ผู้ชายบางคนอาจเลือกการผ่าตัดยกกระชับคอเฉพาะจุด (Submentoplasty) เนื่องจากสามารถซ่อนรอยแผลเป็นไว้ในเคราได้
  • ความเสี่ยง: ผู้ชายมีความเสี่ยงที่สูงกว่าเล็กน้อยในการเกิดภาวะไขมันขยายตัวผิดปกติ (Paradoxical Adipose Hyperplasia) ซึ่งเป็นผลข้างเคียงที่พบได้ยากมากจากการสลายไขมันด้วยความเย็น

ลดเหนียงใต้คางเจ็บไหม?

ความเจ็บปวดในการลดเหนียงนั้นแตกต่างกันไปตามแต่ละวิธี โดยมีตั้งแต่ไม่เจ็บไปจนถึงความรู้สึกไม่สบายชั่วคราวซึ่งสามารถจัดการได้

  • วิธีดูแลตนเองที่บ้าน: การออกกำลังกายใบหน้า การนวด หรือการปรับท่าทางโดยทั่วไปไม่ทำให้เกิดความเจ็บปวด แต่อาจรู้สึกเมื่อยล้าของกล้ามเนื้อได้
  • หัตถการแบบไม่ผ่าตัด:
  • การฉีดสลายไขมัน (Kybella): ทำให้รู้สึกแสบร้อนและปวดเล็กน้อยชั่วคราว แต่จะใช้การประคบเย็นหรือยาชาเพื่อช่วยลดความรู้สึกไม่สบาย
  • HIFU และคลื่นวิทยุ (RF): อาจรู้สึกร้อนลึกๆ หรือเจ็บจี๊ดๆ ระหว่างทำ แต่สามารถจัดการได้ด้วยยาชาเฉพาะที่
  • การสลายไขมันด้วยความเย็น (CoolSculpting): จะรู้สึกเย็นจัดและตึงในช่วงแรก จากนั้นจะชาไป แต่ไม่เจ็บปวดรุนแรง
  • การร้อยไหม: มีการใช้ยาชาเฉพาะที่ แต่หลังทำอาจมีอาการเจ็บหรือตึงเล็กน้อยประมาณ 1 สัปดาห์
  • การผ่าตัด: การดูดไขมันและการผ่าตัดดึงคอจะทำภายใต้การใช้ยาชาหรือยาสลบจึงไม่เจ็บระหว่างทำ แต่จะมีอาการปวดหลังผ่าตัดซึ่งสามารถควบคุมได้ด้วยยาแก้ปวด

อ้างอิง:

  1. Dr. Cornelia Montanari. (2023). Doppelkinn – Ursachen & Methoden zur Entfernung. Praxis Dr. Montanari (German Plastic Surgery). dr-montanari.de
  2. Editverse. (2023). Doppelkinn: Die genetische Wissenschaft hinter der submentalen Fettverteilung (“Double Chin: The genetic science behind submental fat distribution”). Editverse (Science Communication). editverse.com
  3. Verma, K.K. et al. (2024). Facial contouring through jaw exercises: a report of two cases examining efficacy and consumer expectations. Cureus Journal of Medical Science. pmc.ncbi.nlm.nih.gov
  4. Huizen, J. (2023). What are the risks of CoolSculpting? Medical News Today. medicalnewstoday.com
  5. Bosslett, M. (2025). At-home facial massage methods clinically proven to improve skin elasticity, tone, and contour. Dermatology Times. dermatologytimes.com
  6. Goo, B. et al. (2025). Efficacy and safety of high-intensity focused ultrasound on reduction of submental fat in Asian patients. Aesthetic Plastic Surgery (Springer). pubmed.ncbi.nlm.nih.gov
  7. Patel, N. (2023). SculpSure vs. Kybella for double chin reduction. Dr. Nita Patel Laser & Aesthetics Blog. drpatellaser.com
  8. Hong, G.W. et al. (2025). Anatomical consideration for double chin thread lifting. Journal of Cosmetic Dermatology. Wiley Online Library. pmc.ncbi.nlm.nih.gov
  9. Finical, S. (2023). Submental lipo vs. neck lift: Which one do I need? Charlotte Plastic Surgery Blog. charlotteplasticsurgery.com
  10. Doyle, A.M. (2023). How long do PDO thread lift results last? CentreFARS (Andrea Doyle MD) Aesthetics Blog. centrefars.com

แนะแนวเรื่อง

Previous Previous
ผิวหย่อนคล้อย: 9 วิธียกกระชับหน้าเต่งตึง เห็นผลจริง
NextContinue
แก้มย้อย: 7 วิธีแก้ไขที่ได้ผลจริง ปลอดภัย หน้าเรียวเป็นธรรมชาติ

สาขาพรีวาโต คลินิก

    สาขาอโศก ตั้งอยู่ที่ ชั้น 2 อาคารมิดทาวน์
    Phone: 02-258-4050 , 081-841-5075
    สาขาสีลม ตั้งอยู่ที่ ชั้น 1 อาคารซี.พี.ทาวเวอร์
    Phone: 02-780-2011 , 098-272-5244
    สาขาราชพฤกษ์ ตั้งอยู่ที่ ชั้น 2 ศูนย์การค้า เดอะคริสตัล เอสบี (ด้านบนร้านสตาร์บัคส์)
    Phone: 02-102-2778 , 098-272-5244

ติดต่อเรา

    Facebook: Privato Clinic
    Messenger: Privato Clinic
    Instagram: privatoclinic
    Email: privatoclinic@gmail.com
    Line: @privatoclinic

Copyright© 2022-2024. All Rights Reserved

Scroll to top
  • หน้าหลัก
  • เกี่ยวกับพรีวาโต
  • บริการทั้งหมด
    • ชะลอวัย
    • ยกกระชับผิว
      • XERF
      • Potenza
      • Sofwave
      • Ulthera
      • Thermage-FLX
    • รักษาสิว
    • เลเซอร์
    • โปรแกรมฉีด
    • บำรุงผิว
  • บทความ
    • สิว
    • ยกกระชับ
    • ดูแลผิว
    • ทำเลเซอร์
  • ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว
  • โปรโมชั่น
  • ผลลัพธ์การรักษา
  • วิดีโอรีวิวจากเคสจริง
  • สาขาของเรา
  • ไทย
    • ไทย
    • English
    • 中文 (中国)
  • ปรึกษาแพทย์
Facebook Instagram YouTube