Skip to content

TEL : 081-841-5075, 02-258-4050

Facebook Instagram YouTube
Privato Clinic – Innovation Of Beauty  |  Bangkok
  • หน้าหลัก
  • เกี่ยวกับพรีวาโต
  • บริการทั้งหมดExpand
    • ชะลอวัย
    • ยกกระชับผิวExpand
      • XERF
      • Potenza
      • Sofwave
      • Ulthera
      • Thermage-FLX
    • รักษาสิว
    • เลเซอร์
    • โปรแกรมฉีด
    • บำรุงผิว
  • บทความExpand
    • สิว
    • ยกกระชับ
    • ดูแลผิว
    • ทำเลเซอร์
  • ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว
  • โปรโมชั่น
  • ผลลัพธ์การรักษา
  • วิดีโอรีวิวจากเคสจริง
  • สาขาของเรา
  • ไทยExpand
    • ไทย
    • English
    • 中文 (中国)
  • ปรึกษาแพทย์
Privato Clinic – Innovation Of Beauty  |  Bangkok
Consult a Doctor
Lifting

แก้มย้อย: 7 วิธีแก้ไขที่ได้ผลจริง ปลอดภัย หน้าเรียวเป็นธรรมชาติ

Byadmin กันยายน 6, 2025
By นายแพทย์เลอพงษ์ กรุดเงิน Updated on กันยายน 6, 2025
✦ Medically reviewed by  นายแพทย์พนิต อุนรัตน์

Table of Contents

Toggle
  • แก้มย้อย แก้มห้อย คืออะไร? แตกต่างกันอย่างไร
    • เช็กสัญญาณ: ลักษณะของแก้มหย่อนคล้อยและกระเปาะแก้ม
  • สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดแก้มย้อยและร่องน้ำหมาก
    • ปัจจัยจากวัยที่เพิ่มขึ้นและการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างใบหน้า
    • ผลกระทบจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตและปัจจัยภายนอก
  • 7 วิธีแก้แก้มย้อย ยกกระชับใบหน้าให้กลับมาเต่งตึง
    • วิธีที่ 1: ยกกระชับด้วยเครื่องมือพลังงาน (HIFU, Ulthera, Thermage)
    • วิธีที่ 2: ร้อยไหมดึงหน้า แก้ปัญหาแก้มห้อยโดยตรง
    • วิธีที่ 3: ฉีดฟิลเลอร์เติมเต็ม ยกพยุงโครงสร้างใบหน้า
    • วิธีที่ 4: กระตุ้นคอลลาเจนด้วย Biostimulator (Sculptra)
    • วิธีที่ 5: ฉีดเมโสแฟตสลายไขมันส่วนเกินบริเวณแก้ม
    • วิธีที่ 6: ศัลยกรรมดึงหน้าเพื่อผลลัพธ์ที่ชัดเจนและยาวนาน
    • วิธีที่ 7: บริหารใบหน้าและนวดกระชับผิวแบบธรรมชาติ
  • เปรียบเทียบแต่ละวิธีแก้แก้มย้อย เลือกแบบไหนให้เหมาะกับคุณ
    • ตารางเปรียบเทียบ: ผลลัพธ์ ราคา และระยะเวลาพักฟื้น
    • ปัญหาแก้มลักษณะต่างๆ ควรเลือกวิธีแก้ไขอย่างไร
  • ความปลอดภัยและผลข้างเคียงที่ควรรู้ก่อนตัดสินใจ
    • ข้อควรระวังและใครที่ไม่เหมาะกับการทำหัตถการยกกระชับ
    • การเลือกคลินิกที่น่าเชื่อถือและปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
  • ค่าใช้จ่ายและระยะเวลาเห็นผลของแต่ละวิธี
    • ราคาโดยประมาณในการรักษาแก้มหย่อนคล้อย
    • ผลลัพธ์อยู่ได้นานแค่ไหน และการดูแลตัวเองหลังทำ
  • คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับแก้มย้อย (FAQ)
    • แก้มย้อยกับร่องน้ำหมากเกี่ยวข้องกันอย่างไร?
    • ฉีดแฟตแล้วทำให้แก้มห้อยกว่าเดิมจริงหรือไม่?
    • อายุเท่าไหร่ถึงจะเริ่มแก้ปัญหาแก้มหย่อนคล้อยได้?
    • มีวิธีป้องกันไม่ให้แก้มย้อยก่อนวัยหรือไม่?
    • การตัดไขมันกระพุ้งแก้มช่วยลดแก้มย้อยได้ไหม?
  • อ้างอิง:

แก้มย้อย แก้มห้อย คืออะไร? แตกต่างกันอย่างไร

ปัญหาแก้มย้อย

แก้มย้อยคือการที่ไขมันและผิวหนังบริเวณแก้มเคลื่อนตัวลงมา ในขณะที่แก้มห้อยคือเนื้อส่วนเกินที่กองลงมาตามแนวขากรรไกร  ซึ่งทั้งสองอย่างเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการหย่อนคล้อยของใบหน้าที่เกิดขึ้นตามวัย

โดยทั่วไปแล้ว “แก้มย้อย” หมายถึงภาพรวมของการที่ไขมันและผิวหนังบริเวณช่วงกลางใบหน้า (เช่น ไขมันโหนกแก้ม) เคลื่อนตัวต่ำลง ทำให้แก้มส่วนบนดูตอบลง แต่ส่วนล่างกลับดูมีเนื้อเยอะขึ้น ส่วน “แก้มห้อย” หรือ Jowls คือผลลัพธ์ที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดของแก้มย้อย โดยเป็นก้อนเนื้อที่ห้อยลงมาบริเวณขากรรไกร ทำให้กรอบหน้าไม่เรียบเนียน และมักเกิดร่วมกับร่องน้ำหมากที่ลึกขึ้น

เช็กสัญญาณ: ลักษณะของแก้มหย่อนคล้อยและกระเปาะแก้ม

ลักษณะสำคัญของแก้มหย่อนคล้อยและกระเปาะแก้มคือการเกิดร่องยุบหน้ากระเปาะแก้ม (pre-jowl sulcus) ซึ่งทำให้แนวขากรรไกรไม่เรียบเนียน และการเกิดร่องน้ำหมากที่ลึกขึ้น เมื่อไขมันและผิวหนังบริเวณแก้มเคลื่อนตัวลงมา จะเกิดเป็นร่องยุบด้านหน้ากระเปาะแก้ม ทำให้แนวกรามดูไม่สม่ำเสมอ

สัญญาณอื่นๆ ที่พบร่วมด้วย ได้แก่

  • ร่องน้ำหมาก (Marionette lines): คือรอยพับที่ลากจากมุมปากลงมายังคาง ซึ่งจะลึกขึ้นเมื่อแก้มหย่อนคล้อย ทำให้ใบหน้าดูเศร้า
  • ระดับความรุนแรง: ในระดับที่ไม่รุนแรง จะสังเกตเห็นเพียงแนวกรามที่คมชัดน้อยลง แต่ในระดับที่รุนแรงจะเห็นกระเปาะแก้มห้อยย้อยและร่องลึกชัดเจนแม้ในขณะที่ใบหน้าไม่แสดงอารมณ์

สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดแก้มย้อยและร่องน้ำหมาก

ปัจจัยจากวัยที่เพิ่มขึ้นและการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างใบหน้า

การสูญเสียคอลลาเจนและอีลาสติน การเคลื่อนตัวลงของไขมันบนใบหน้า และการสลายของกระดูกบนใบหน้า เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้แก้มและกรามหย่อนคล้อยเมื่ออายุมากขึ้น

ปัจจัยเหล่านี้ส่งผลต่อโครงสร้างใบหน้าดังนี้:

  • การสูญเสียคอลลาเจนและอีลาสติน: เมื่ออายุมากขึ้น ชั้นผิวหนังแท้จะบางลงและมีความยืดหยุ่นน้อยลงเนื่องจากการสลายของคอลลาเจนและอีลาสติน ทำให้ผิวไม่สามารถต้านทานแรงโน้มถ่วงได้ดีเท่าเดิม
  • การเปลี่ยนแปลงของไขมัน: ไขมันที่เคยช่วยยกพยุงแก้มจะเคลื่อนตัวลงมาด้านล่าง ในขณะที่ไขมันบริเวณกรามอาจนูนออกมา ทำให้เกิดลักษณะแก้มตอบแต่ส่วนล่างของใบหน้าดูหย่อนและหนักขึ้น
  • การเปลี่ยนแปลงของกระดูก: การสลายของกระดูกบริเวณขากรรไกรบนและขากรรไกรล่างตามวัย ทำให้โครงสร้างที่รองรับเนื้อเยื่ออ่อนหายไป ส่งผลให้ผิวหนังและไขมันขาดความกระชับและเกิดเป็นร่องแก้มและแนวกรามที่ไม่ชัดเจนได้ง่ายขึ้น

ผลกระทบจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตและปัจจัยภายนอก

แสงแดด การสูบบุหรี่ การรับประทานอาหาร และการเปลี่ยนแปลงของน้ำหนัก เป็นพฤติกรรมการใช้ชีวิตและปัจจัยภายนอกหลักที่ทำให้ใบหน้าหย่อนคล้อย

ปัจจัยเหล่านี้เร่งให้ผิวสูญเสียความกระชับและหย่อนคล้อยก่อนวัยอันควร ดังนี้

  • แสงแดด เป็นสาเหตุของริ้วรอยและความหย่อนคล้อยที่มองเห็นได้ถึง 80% ในผู้ที่มีผิวขาว
  • การสูบบุหรี่ เพิ่มความเสี่ยงของการเกิดริ้วรอยลึกและความหย่อนคล้อยของผิวหนังมากกว่า 2 เท่า เนื่องจากสารพิษในบุหรี่จะทำลายคอลลาเจนและอีลาสติน
  • การรับประทานอาหาร ที่มีน้ำตาลสูงจะทำให้คอลลาเจนแข็งและเสื่อมสภาพ (กระบวนการ Glycation) ซึ่งเร่งให้เกิดความหย่อนคล้อยที่เรียกว่า “sugar sag”
  • การเปลี่ยนแปลงของน้ำหนัก การลดน้ำหนักอย่างรวดเร็วหรือการมีน้ำหนักที่ผันผวนซ้ำๆ (yo-yo dieting) สามารถทิ้งผิวหน้าที่เคยยืดขยายให้หย่อนยานลงได้

7 วิธีแก้แก้มย้อย ยกกระชับใบหน้าให้กลับมาเต่งตึง

วิธีที่ 1: ยกกระชับด้วยเครื่องมือพลังงาน (HIFU, Ulthera, Thermage)

การยกกระชับด้วยเครื่องมือพลังงาน เช่น HIFU, Ulthera และ Thermage เป็นวิธีการที่ไม่ต้องผ่าตัด โดยใช้พลังงานความร้อนส่งลงไปกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินในชั้นผิวลึก ทำให้ผิวค่อยๆ ตึงกระชับและยกขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติเมื่อเวลาผ่านไป

วิธีการเหล่านี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาความหย่อนคล้อยระดับเล็กน้อยถึงปานกลาง และมีข้อดีคือมีระยะเวลาพักฟื้นน้อยมาก

  • HIFU และ Ulthera (อัลเทอร่า): ใช้พลังงานคลื่นอัลตราซาวนด์ความเข้มข้นสูง (Focused Ultrasound) ส่งพลังงานเป็นจุดๆ ไปยังชั้นผิวหนังเพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ ผลลัพธ์จะค่อยๆ ปรากฏชัดเจนขึ้นใน 2–3 เดือน โดยจะช่วยให้กรอบหน้าคมชัดขึ้นและแก้มที่หย่อนคล้อยดูลดลง ผลลัพธ์คงอยู่ได้ประมาณ 1 ปี
  • Thermage (เทอร์มาจ): ใช้พลังงานคลื่นวิทยุ (Radiofrequency – RF) เพื่อสร้างความร้อนในชั้นผิวหนัง ทำให้เส้นใยคอลลาเจนเก่าหดตัวทันทีและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ในระยะยาว ผลลัพธ์จะค่อยๆ ดีขึ้นในช่วง 4–6 เดือน ช่วยให้ผิวแน่นขึ้น กรอบหน้าเรียบเนียนขึ้น และผลลัพธ์คงอยู่ได้นาน 1–2 ปี

วิธีที่ 2: ร้อยไหมดึงหน้า แก้ปัญหาแก้มห้อยโดยตรง

การร้อยไหมเป็นการใช้ไหมละลายที่มีเงี่ยงหรือปุ่มขนาดเล็กเกี่ยวและดึงเนื้อเยื่อใต้ผิวหนังที่หย่อนคล้อยขึ้น เพื่อยกกระชับแก้มและขากรรไกรที่หย่อนยานได้ทันที

นอกจากการยกกระชับเชิงกลแล้ว ไหมยังกระตุ้นให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนขึ้นมาใหม่ตามแนวไหมขณะที่ไหมค่อยๆ สลายไป ซึ่งช่วยให้ผิวเฟิร์มกระชับได้ยาวนานขึ้น

  • ผลลัพธ์: เห็นผลการยกกระชับได้ทันทีหลังทำ และจะเห็นผลชัดเจนขึ้นเมื่อคอลลาเจนถูกสร้างขึ้นใหม่
  • ระยะเวลา: ผลลัพธ์คงอยู่ประมาณ 1 ปี ถึง 1 ปีครึ่ง ขึ้นอยู่กับชนิดของไหม
  • ผู้ที่เหมาะสม: เหมาะสำหรับผู้ที่มีความหย่อนคล้อยระดับน้อยถึงปานกลาง (ช่วงอายุ 30 ปลายๆ ถึง 50 ปี)
  • ข้อจำกัด: การร้อยไหมไม่สามารถกำจัดผิวหนังส่วนเกินออกไปได้ จึงอาจให้ผลลัพธ์ที่จำกัดในผู้ที่มีความหย่อนคล้อยรุนแรง

วิธีที่ 3: ฉีดฟิลเลอร์เติมเต็ม ยกพยุงโครงสร้างใบหน้า

การฉีดฟิลเลอร์เป็นวิธีแก้ไขแก้มหย่อนคล้อยโดยการเติมเต็มปริมาตรที่หายไปเพื่อยกพยุงโครงสร้างใบหน้า ซึ่งช่วยปรับรูปหน้าให้เรียบเนียนและดูอ่อนเยาว์ขึ้นได้ทันที การฉีดฟิลเลอร์มีหลักการทำงานดังนี้

  • ยกพยุงแก้ม: การฉีดฟิลเลอร์เพื่อเสริมปริมาตรบริเวณโหนกแก้มที่ยุบตัวลง จะช่วยยกพยุงผิวหนังและไขมันที่หย่อนคล้อยให้กลับขึ้นไปอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม ทำให้ร่องแก้มและแก้มส่วนล่างที่ห้อยดูตื้นและกระชับขึ้น
  • ปรับแนวขากรรไกร: สามารถฉีดฟิลเลอร์โดยตรงบริเวณร่องด้านหน้าของเหนียง (Pre-jowl sulcus) เพื่อเติมเต็มร่องลึก ทำให้แนวขากรรไกรดูเรียบตรงและคมชัดขึ้น หรือที่เรียกว่า “Liquid Jawline Lift”
  • เสริมคาง: การฉีดฟิลเลอร์เล็กน้อยที่คางจะช่วยเพิ่มความยาวและมิติให้ใบหน้าส่วนล่าง ทำให้ผิวใต้คางที่หย่อนดูกระชับขึ้น

ฟิลเลอร์ให้ผลลัพธ์ทันทีหลังทำ โดยฟิลเลอร์ประเภทกรดไฮยาลูรอนิก (Hyaluronic Acid) สามารถคงผลลัพธ์ได้นานประมาณ 12–24 เดือน ส่วนฟิลเลอร์ประเภทแคลเซียมไฮดรอกซีอะพาไทต์ (CaHA) อยู่ได้นานประมาณ 12–15 เดือน วิธีนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาความหย่อนคล้อยในระดับน้อยถึงปานกลางซึ่งเกิดจากการสูญเสียปริมาตรบนใบหน้าเป็นหลัก

วิธีที่ 4: กระตุ้นคอลลาเจนด้วย Biostimulator (Sculptra)

Biostimulator คือสารฉีดที่กระตุ้นให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนขึ้นมาใหม่ตามธรรมชาติ เพื่อช่วยฟื้นฟูโครงสร้างและความยืดหยุ่นของผิวจากภายใน สารกลุ่มนี้ที่นิยมใช้คือ Sculptra (PLLA) และ Radiesse (CaHA) ซึ่งแตกต่างจากฟิลเลอร์ทั่วไปตรงที่ไม่ได้เน้นการเติมเต็มทันที แต่จะค่อยๆ ทำให้ผิวแน่นกระชับและดูเปล่งปลั่งขึ้นเมื่อคอลลาเจนใหม่ถูกสร้างขึ้น

  • เหมาะสำหรับ: ผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยระดับเริ่มต้นถึงปานกลางร่วมกับภาวะสูญเสียปริมาตรบนใบหน้า
  • ผลลัพธ์: ผิวจะค่อยๆ ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในช่วง 2-3 เดือนหลังฉีด และผลลัพธ์สามารถอยู่ได้นาน โดย Sculptra อาจอยู่ได้นานถึง 2 ปี ส่วน Radiesse อยู่ได้ประมาณ 12-15 เดือน
  • ข้อควรระวัง: หลังฉีด Sculptra ผู้รับบริการจำเป็นต้องนวดบริเวณที่ฉีดตาม “กฎ 5-5-5” (นวดครั้งละ 5 นาที วันละ 5 ครั้ง เป็นเวลา 5 วัน) เพื่อป้องกันการเกิดก้อนใต้ผิวหนัง

วิธีที่ 5: ฉีดเมโสแฟตสลายไขมันส่วนเกินบริเวณแก้ม

การฉีดเมโสแฟต (Injection Lipolysis) คือการฉีดสารดีออกซีโคลิก (Deoxycholic Acid) เพื่อสลายไขมันที่สะสมอยู่เฉพาะจุด เช่น บริเวณแก้มส่วนล่างหรือเหนียง ทำให้กรอบหน้าคมชัดขึ้น

การฉีดเมโสแฟตเป็นการรักษาที่ออกฤทธิ์โดยตรงกับเซลล์ไขมัน มีรายละเอียดดังนี้

  • หลักการทำงาน: ตัวยาจะเข้าไปทำลายเยื่อหุ้มเซลล์ไขมัน ทำให้ไขมันแตกตัวและถูกขับออกจากร่างกายตามกลไกธรรมชาติ
  • จำนวนครั้งที่ทำ: โดยทั่วไปต้องทำ 2–4 ครั้ง แต่ละครั้งห่างกันประมาณ 4–6 สัปดาห์เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ชัดเจน
  • ผลลัพธ์: ผลลัพธ์จะเริ่มเห็นชัดเจนหลังฉีดประมาณ 6–8 สัปดาห์เมื่ออาการบวมลดลง และการสลายไขมันนี้จะให้ผลลัพธ์ที่ถาวร
  • ข้อควรพิจารณา: วิธีนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีไขมันสะสมบริเวณแก้มส่วนล่างและผิวหนังยังมีความกระชับดีอยู่ แต่ไม่เหมาะกับผู้ที่มีแก้มหย่อนคล้อยจากผิวหนังที่ขาดความยืดหยุ่นเป็นหลัก
  • ผลข้างเคียง: หลังฉีดจะมีอาการบวมอย่างเห็นได้ชัดประมาณ 1 สัปดาห์ ซึ่งเป็นปฏิกิริยาปกติของร่างกายในการกำจัดไขมัน นอกจากนี้อาจมีความเสี่ยงที่พบได้ไม่บ่อยคือเส้นประสาทบริเวณกรามได้รับการกระทบกระเทือนชั่วคราว ทำให้มุมปากตกหรือไม่สมมาตร ซึ่งส่วนใหญ่มักจะหายได้เอง

วิธีที่ 6: ศัลยกรรมดึงหน้าเพื่อผลลัพธ์ที่ชัดเจนและยาวนาน

การศัลยกรรมดึงหน้า (Facelift) เป็นการผ่าตัดเพื่อยกและจัดตำแหน่งเนื้อเยื่อบนใบหน้าที่หย่อนคล้อยให้กลับสู่ตำแหน่งเดิม พร้อมทั้งตัดผิวหนังส่วนเกินออกไป ซึ่งเป็นวิธีที่ได้ผลลัพธ์ชัดเจนและยาวนานที่สุดสำหรับการแก้ปัญหาแก้มห้อยและเหนียงในระดับปานกลางถึงรุนแรง

การศัลยกรรมดึงหน้ามีเทคนิคหลัก 2 รูปแบบ คือ

  • SMAS Facelift: เป็นการดึงชั้นผิวหนังและชั้นกล้ามเนื้อ SMAS ให้ตึงขึ้น ผลลัพธ์คงอยู่ประมาณ 5–10 ปี
  • Deep-Plane Facelift: เป็นการผ่าตัดลงไปใต้ชั้น SMAS เพื่อปลดปล่อยเส้นเอ็นที่ยึดผิวหนัง แล้วยกโครงสร้างทั้งหมดขึ้นพร้อมกัน ทำให้ได้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติและยาวนานกว่า โดยคงอยู่ได้ประมาณ 10–15 ปี

วิธีนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาความหย่อนคล้อยระดับปานกลางถึงรุนแรง ซึ่งการรักษาแบบไม่ผ่าตัดไม่สามารถแก้ไขได้เพียงพอ โดยต้องใช้เวลาพักฟื้นเบื้องต้นประมาณ 2 สัปดาห์ และจะเห็นผลลัพธ์เต็มที่ใน 4–6 สัปดาห์

วิธีที่ 7: บริหารใบหน้าและนวดกระชับผิวแบบธรรมชาติ

การบริหารใบหน้าหรือ “โยคะใบหน้า” สามารถช่วยให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ลงได้ โดยการสร้างความแข็งแรงและเพิ่มขนาดของกล้ามเนื้อ ซึ่งช่วยเติมเต็มแก้มที่ตอบและทำให้แนวกรามคมชัดขึ้นเล็กน้อย

จากการศึกษาพบว่า ผู้เข้าร่วมที่บริหารใบหน้าเป็นประจำดูอ่อนกว่าวัยโดยเฉลี่ยประมาณ 3 ปี อย่างไรก็ตาม ผลลัพธ์ที่ได้นั้นไม่ชัดเจนมากนักและต้องทำอย่างสม่ำเสมอเพื่อคงผลไว้ วิธีนี้ไม่สามารถกระชับผิวหนังที่หย่อนคล้อยหรือกำจัดร่องแก้มที่เกิดขึ้นแล้วได้โดยตรง นอกจากนี้ ผู้เชี่ยวชาญยังเตือนว่าการบริหารบางท่าที่ทำให้เกิดรอยย่นซ้ำๆ อาจทำให้ริ้วรอยลึกขึ้นได้ ส่วนการนวดนั้นช่วยกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต แต่ไม่สามารถแก้ปัญหาความหย่อนคล้อยที่ชัดเจนได้ โดยสรุปแล้ว การบริหารใบหน้าเป็นเพียงวิธีเสริมที่ดี แต่ไม่สามารถทดแทนการรักษาทางการแพทย์ได้

เปรียบเทียบแต่ละวิธีแก้แก้มย้อย เลือกแบบไหนให้เหมาะกับคุณ

ตารางเปรียบเทียบ: ผลลัพธ์ ราคา และระยะเวลาพักฟื้น

นี่คือตารางเปรียบเทียบผลลัพธ์ ราคา และระยะเวลาพักฟื้นสำหรับการรักษาแก้มหย่อนคล้อยและร่องน้ำหมาก โดยราคาที่แสดงเป็นค่าประมาณในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ และอาจแตกต่างกันไปในแต่ละภูมิภาค

วิธีการรักษา ผลลัพธ์ ราคาโดยประมาณ (USD) ระยะเวลาพักฟื้น
ไฮฟู / อัลเทอร่า ยกกระชับผิว 20-30% เหมาะสำหรับความหย่อนคล้อยเล็กน้อยถึงปานกลาง ผลลัพธ์อยู่ได้ประมาณ 1 ปี $1,000–$4,000 น้อยมาก (อาจมีรอยแดงหรือบวมเล็กน้อย 2-3 ชั่วโมง)
เทอร์มาจ ผิวกระชับขึ้น เหมาะสำหรับความหย่อนคล้อยระยะเริ่มต้น ผลลัพธ์อยู่ได้ 1-2 ปี $2,000–$3,000 น้อยมาก (อาจมีรอยแดงชั่วคราว)
ร้อยไหม ยกกระชับเนื้อเยื่อได้ทันที เหมาะสำหรับความหย่อนคล้อยเล็กน้อยถึงปานกลาง ผลลัพธ์อยู่ได้ประมาณ 1 ปี $2,000–$4,000 บวมหรือช้ำเล็กน้อย 2-3 วัน
ฟิลเลอร์ เติมเต็มโหนกแก้มและปรับกรอบหน้าให้เรียบเนียนได้ทันที ผลลัพธ์อยู่ได้ 12-24 เดือน $1,200–$3,000 แทบไม่มี (อาจมีรอยช้ำเล็กน้อย)
สารกระตุ้นคอลลาเจน กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนเพื่อเพิ่มความแน่นและปรับปรุงคุณภาพผิว ผลลัพธ์อยู่ได้นานกว่า 2 ปี (Sculptra) $1,800–$2,700 บวมเล็กน้อย ไม่ต้องพักฟื้น
ฉีดสลายไขมัน สลายไขมันบริเวณร่องน้ำหมากอย่างถาวร (ต้องทำ 2-4 ครั้ง) เหมาะสำหรับคนที่มีไขมันสะสม $3,000–$5,000 บวมค่อนข้างมากประมาณ 1 สัปดาห์
ผ่าตัดดึงหน้า ผลลัพธ์ชัดเจนที่สุดและยาวนานที่สุด (10-15 ปี) สำหรับความหย่อนคล้อยปานกลางถึงรุนแรง $8,000–$15,000+ นานที่สุด (พักฟื้นเบื้องต้น 2 สัปดาห์ ฟื้นตัวเต็มที่ 4-6 สัปดาห์)

ปัญหาแก้มลักษณะต่างๆ ควรเลือกวิธีแก้ไขอย่างไร

การเลือกวิธีแก้ไขปัญหาแก้ม ควรพิจารณาจากสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดปัญหา ซึ่งโดยทั่วไปจะประเมินจากปริมาตรไขมัน ความหย่อนคล้อยของผิวหนัง และโครงสร้างกระดูกใบหน้า

แนวทางการรักษาตามลักษณะปัญหาต่างๆ มีดังนี้

  • แก้มตอบหรือสูญเสียปริมาตร (Volume Loss): เหมาะกับการใช้ฟิลเลอร์หรือการฉีดไขมันเพื่อเติมเต็มส่วนที่ยุบตัวลง ซึ่งจะช่วยยกกระชับใบหน้าโดยรวมได้
  • ไขมันส่วนเกิน (แก้มยุ้ยหรือมีเหนียง): เหมาะกับการฉีดสลายไขมัน (Injection Lipolysis) หรือการดูดไขมัน เพื่อลดขนาดของไขมันสะสมเฉพาะจุด
  • ผิวหนังหย่อนคล้อย (Skin Laxity): หากหย่อนคล้อยเล็กน้อยถึงปานกลาง สามารถใช้เครื่องมือที่ให้พลังงาน เช่น HIFU หรือ Thermage เพื่อกระตุ้นคอลลาเจนและยกกระชับผิว แต่หากหย่อนคล้อยรุนแรง การผ่าตัดดึงหน้าจะเป็นวิธีที่ได้ผลชัดเจนที่สุด
  • ปัญหาร่วมกัน: ในหลายกรณีมักมีหลายปัญหาร่วมกัน จึงนิยมใช้วิธีรักษาร่วมกัน เช่น การฉีดฟิลเลอร์เพื่อเพิ่มปริมาตร ควบคู่กับการร้อยไหมเพื่อยกกระชับผิวที่หย่อนคล้อย

ความปลอดภัยและผลข้างเคียงที่ควรรู้ก่อนตัดสินใจ

ข้อควรระวังและใครที่ไม่เหมาะกับการทำหัตถการยกกระชับ

ข้อควรระวังหลักในการทำหัตถการยกกระชับคือความเสี่ยงต่อเส้นประสาท การอุดตันของเส้นเลือด และการติดเชื้อ ส่วนผู้ที่ไม่เหมาะจะขึ้นอยู่กับแต่ละหัตถการ ซึ่งรวมถึงผู้ที่มีโรคประจำตัวรุนแรง ผู้ที่สูบบุหรี่ หรือผู้ที่มีลักษณะปัญหาไม่ตรงกับวิธีรักษา

ข้อควรระวังและผู้ที่ไม่เหมาะกับการรักษาแต่ละประเภทมีดังนี้

  • กลุ่มเครื่องมือพลังงาน (HIFU, Ultherapy, Thermage):
  • ข้อควรระวัง: อาจเกิดอาการเจ็บแปลบตามแนวเส้นประสาทชั่วคราว, ไขมันบนใบหน้าฝ่อหากใช้พลังงานไม่เหมาะสม, หรือผิวไหม้หากเทคนิคไม่ถูกต้อง (พบได้ยาก)
  • ผู้ที่ไม่เหมาะ: ผู้ที่มีผิวหย่อนคล้อยรุนแรงมากอาจเห็นผลไม่ชัดเจน
  • กลุ่มสารฉีด (ฟิลเลอร์, Biostimulators):
  • ข้อควรระวัง: ความเสี่ยงที่ร้ายแรงที่สุด (แต่พบได้น้อยมาก) คือการฉีดฟิลเลอร์เข้าเส้นเลือดซึ่งอาจทำให้เนื้อเยื่อตายหรือตาบอดได้ ส่วนผลข้างเคียงทั่วไปคือรอยช้ำ บวม หรือเป็นก้อน
  • ผู้ที่ไม่เหมาะ: สารกระตุ้นคอลลาเจน (Biostimulators) อาจไม่เหมาะกับผู้ที่มีแนวโน้มเกิดแผลเป็นนูน (keloid) หรือหากเทคนิคการฉีดไม่ถูกต้องอาจเกิดก้อนแข็งใต้ผิวหนังได้
  • การร้อยไหม:
  • ข้อควรระวัง: ผลข้างเคียงที่พบบ่อยคืออาการบวม ช้ำ ผิวอาจดูบุ๋มหรือย่นในช่วงแรก ความเสี่ยงอื่น ๆ ได้แก่ การติดเชื้อ หรือไหมโผล่ออกมา
  • ผู้ที่ไม่เหมาะ: ผู้ที่มีผิวหนังหย่อนคล้อยและหนามาก ๆ เพราะไหมดึงรั้งน้ำหนักผิวไม่ไหว ทำให้เห็นผลการยกกระชับไม่ชัดเจน
  • การฉีดสลายไขมัน (เช่น Kybella):
  • ข้อควรระวัง: จะมีอาการบวม ช้ำ และปวดอย่างเห็นได้ชัดนานประมาณ 1 สัปดาห์หลังทำ ความเสี่ยงที่พบได้คือเส้นประสาทที่ควบคุมมุมปากอาจบาดเจ็บชั่วคราว ทำให้ยิ้มไม่สมมาตร
  • ผู้ที่ไม่เหมาะ: ผู้ที่แก้มห้อยเกิดจากผิวหนังที่หย่อนคล้อยเป็นหลัก ไม่ใช่ไขมันสะสม เพราะการสลายไขมันอาจทำให้ผิวที่หลวมอยู่แล้วดูแย่ลง
  • การผ่าตัดดึงหน้า:
  • ข้อควรระวัง: มีความเสี่ยงจากการผ่าตัด เช่น ก้อนเลือดคั่ง, การติดเชื้อ, แผลเป็น และการบาดเจ็บของเส้นประสาทใบหน้า (ความเสียหายถาวรพบได้น้อยกว่า 0.5% ในมือผู้เชี่ยวชาญ)
  • ผู้ที่ไม่เหมาะ: ผู้ที่มีปัญหาสุขภาพร้ายแรง (เช่น โรคหัวใจ, เบาหวานที่ควบคุมไม่ได้), ผู้ที่สูบบุหรี่ (ต้องหยุดสูบก่อนผ่าตัดเพื่อลดความเสี่ยงเนื้อเยื่อตาย), และผู้ที่มีความคาดหวังไม่สมจริง
  • การผ่าตัดไขมันกระพุ้งแก้ม:
  • ผู้ที่ไม่เหมาะ: ไม่แนะนำในผู้ที่มีใบหน้าผอมหรือแคบอยู่แล้ว หรือผู้สูงอายุที่มีผิวหย่อนคล้อย เพราะอาจทำให้ใบหน้าดูซูบตอบและแก่กว่าวัยในระยะยาว

การเลือกคลินิกที่น่าเชื่อถือและปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

การเลือกคลินิกที่น่าเชื่อถือควรเริ่มต้นจากการปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่ได้รับการรับรอง (board-certified aesthetic specialist) ซึ่งจะสามารถประเมินและวางแผนการรักษาที่เหมาะกับแต่ละบุคคลได้

การปรึกษาที่ดีควรมีการวิเคราะห์ปัจจัยต่างๆ อย่างละเอียด เช่น คุณภาพผิว, การสูญเสียไขมัน, ความหย่อนคล้อยของผิว และโครงสร้างกระดูกใบหน้า เพื่อทำความเข้าใจสาเหตุที่แท้จริงของปัญหา นอกจากนี้ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะพูดคุยถึงความคาดหวังของผู้รับบริการ, ความสามารถในการยอมรับการผ่าตัดและระยะเวลาพักฟื้น เพื่อแนะนำทางเลือกการรักษาที่เหมาะสมที่สุด โดยจะเริ่มจากวิธีที่รุกรานน้อยที่สุดก่อน และให้ข้อมูลตามจริงเกี่ยวกับข้อจำกัดของแต่ละหัตถการ

ค่าใช้จ่ายและระยะเวลาเห็นผลของแต่ละวิธี

ราคาโดยประมาณในการรักษาแก้มหย่อนคล้อย

ราคาโดยประมาณในการรักษาแก้มหย่อนคล้อยจะแตกต่างกันอย่างมาก ขึ้นอยู่กับประเภทของการรักษาและภูมิภาค โดยมีค่าใช้จ่ายตั้งแต่หลักร้อยดอลลาร์สหรัฐสำหรับการทำทรีตเมนต์ในบางประเทศ ไปจนถึงหลายหมื่นดอลลาร์สหรัฐสำหรับการผ่าตัด

ราคาโดยประมาณสำหรับแต่ละวิธีในสหรัฐอเมริกา มีดังนี้:

  • HIFU/Ultherapy: ประมาณ 1,000–4,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อครั้ง
  • Thermage RF: ประมาณ 2,000–3,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อครั้ง
  • ร้อยไหม (Thread Lifts): ประมาณ 2,000–4,000 ดอลลาร์สหรัฐ
  • ฟิลเลอร์ (Dermal Fillers): ประมาณ 1,200–3,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ขึ้นอยู่กับปริมาณที่ใช้)
  • ฉีดสลายไขมัน (Kybella): อาจสูงถึง 3,000–5,000 ดอลลาร์สหรัฐสำหรับคอร์สการรักษาทั้งหมด
  • ผ่าตัดดึงหน้า (Facelift Surgery): เริ่มต้นที่ 8,000–15,000 ดอลลาร์สหรัฐขึ้นไป

ทั้งนี้ ราคาในประเทศแถบเอเชีย เช่น เกาหลีใต้และจีน อาจมีราคาที่ต่ำกว่าในสหรัฐอเมริกาและยุโรป เนื่องจากการแข่งขันที่สูงและต้นทุนที่แตกต่างกัน

ผลลัพธ์อยู่ได้นานแค่ไหน และการดูแลตัวเองหลังทำ

ระยะเวลาของผลลัพธ์จะแตกต่างกันไปตามแต่ละวิธี ตั้งแต่ประมาณ 1 ปีสำหรับหัตถการที่ไม่ต้องผ่าตัด ไปจนถึง 10-15 ปีสำหรับการผ่าตัด ส่วนการดูแลตัวเองหลังทำจะขึ้นอยู่กับความหนักเบาของแต่ละหัตถการ

  • HIFU/Ultherapy/Thermage:
  • ผลลัพธ์: อยู่ได้นานประมาณ 1-2 ปี
  • การดูแลหลังทำ: พักฟื้นน้อยมาก อาจมีรอยแดงหรือบวมเล็กน้อยเพียงไม่กี่ชั่วโมง
  • ร้อยไหม (Thread Lifts):
  • ผลลัพธ์: อยู่ได้นานประมาณ 1-1.5 ปี
  • การดูแลหลังทำ: อาจมีอาการบวมหรือช้ำเล็กน้อย 2-3 วัน และผิวอาจมีรอยบุ๋มหรือย่นซึ่งจะเรียบเนียนขึ้นในเวลาประมาณ 1 สัปดาห์
  • ฟิลเลอร์ (Fillers) และสารกระตุ้นคอลลาเจน (Biostimulators):
  • ผลลัพธ์: ฟิลเลอร์กรดไฮยาลูรอนิก (HA) อยู่ได้นานประมาณ 12-24 เดือน ส่วนสารกระตุ้นคอลลาเจนอย่าง Sculptra อาจอยู่ได้นานกว่า 2 ปี
  • การดูแลหลังทำ: ไม่ต้องพักฟื้น แต่อาจมีรอยช้ำเล็กน้อยได้ สำหรับ Sculptra ต้องนวดบริเวณที่ฉีดตามกฎ 5-5-5 (5 นาที 5 ครั้งต่อวัน เป็นเวลา 5 วัน)
  • ฉีดสลายไขมัน (Injection Lipolysis/Kybella):
  • ผลลัพธ์: ผลลัพธ์ถาวร เนื่องจากเซลล์ไขมันถูกทำลายไปอย่างถาวร
  • การดูแลหลังทำ: ต้องพักฟื้น โดยจะมีอาการบวมอย่างเห็นได้ชัดบริเวณที่ฉีดประมาณ 3-7 วัน
  • ผ่าตัดดึงหน้า (Facelift Surgery):
  • ผลลัพธ์: เป็นวิธีที่ให้ผลลัพธ์ยาวนานที่สุด โดยอยู่ได้นาน 10-15 ปี หรือมากกว่านั้น
  • การดูแลหลังทำ: ต้องใช้เวลาพักฟื้นนานที่สุด โดยจะมีอาการบวมและช้ำในช่วง 1-2 สัปดาห์แรก และอาจใช้เวลา 4-6 สัปดาห์จึงจะดูเป็นปกติเต็มที่

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับแก้มย้อย (FAQ)

แก้มย้อยกับร่องน้ำหมากเกี่ยวข้องกันอย่างไร?

แก้มที่หย่อนคล้อยและไขมันบริเวณขากรรไกรที่ตกลงมาจะสร้างแรงดึงรั้งที่มุมปาก ซึ่งเป็นสาเหตุโดยตรงที่ทำให้เกิดหรือทำให้ร่องน้ำหมาก (Marionette Lines) ลึกและชัดเจนขึ้น

ร่องน้ำหมากคือร่องลึกที่ลากจากมุมปากในแนวเฉียงลงมายังคาง เมื่อผิวหนังและไขมันบริเวณแก้มสูญเสียความกระชับและหย่อนคล้อยลงตามแรงโน้มถ่วง เนื้อเยื่อเหล่านี้จะดึงรั้งผิวบริเวณมุมปากให้ตกลงมาด้วย ทำให้ร่องดังกล่าวปรากฏชัดขึ้น การหย่อนคล้อยที่มากขึ้นตามวัยจะยิ่งทำให้ร่องน้ำหมากลึกขึ้น ส่งผลให้ใบหน้าดูเศร้าหมอง

ฉีดแฟตแล้วทำให้แก้มห้อยกว่าเดิมจริงหรือไม่?

การฉีดแฟตอาจทำให้แก้มหรือเหนียงหย่อนคล้อยกว่าเดิมได้ โดยเฉพาะในผู้ที่มีผิวหลวมและขาดความยืดหยุ่นอยู่แล้ว

สาเหตุเป็นเพราะการฉีดแฟตจะเข้าไปสลายไขมันที่เคยช่วยพยุงผิวหนังอยู่ เมื่อไขมันส่วนนั้นหายไปแต่ผิวหนังไม่สามารถกระชับกลับคืนมาได้ ก็จะทำให้ผิวหนังที่หย่อนคล้อยอยู่แล้วดูแย่ลง การรักษานี้จึงเหมาะกับผู้ที่มีไขมันสะสมเฉพาะจุดและผิวยังมีความกระชับอยู่ แต่ไม่เหมาะกับผู้ที่แก้มห้อยจากความหย่อนคล้อยของผิวเป็นหลัก

อายุเท่าไหร่ถึงจะเริ่มแก้ปัญหาแก้มหย่อนคล้อยได้?

การรักษาแก้มหย่อนคล้อยสามารถเริ่มทำได้ตั้งแต่อายุ 30 ปีขึ้นไป แต่จะขึ้นอยู่กับระดับความหย่อนคล้อยของแต่ละบุคคลมากกว่าอายุที่ตายตัว

โดยทั่วไปแล้ว ช่วงวัยที่เหมาะสมสำหรับการรักษาแต่ละประเภทมีดังนี้

  • อายุ 30 ปีขึ้นไป: เป็นช่วงที่การสูญเสียคอลลาเจนเริ่มปรากฏให้เห็น ผู้คนมักเริ่มทำทรีตเมนต์ที่ไม่ต้องผ่าตัด เช่น ฟิลเลอร์ หรือเลเซอร์ยกกระชับ เพื่อชะลอวัย (Prejuvenation)
  • อายุ 30 ปลายๆ ถึง 50 ปี: เป็นช่วงวัยที่เหมาะสำหรับการรักษาแบบไม่ต้องผ่าตัด เช่น HIFU, Thermage หรือการร้อยไหม สำหรับผู้ที่มีความหย่อนคล้อยเล็กน้อยถึงปานกลาง
  • อายุ 40 ปลายๆ ถึง 60 ปี: มักเป็นช่วงวัยที่พิจารณาการผ่าตัดดึงหน้า เมื่อมีความหย่อนคล้อยในระดับปานกลางถึงรุนแรง หรือเมื่อวิธีอื่นให้ผลลัพธ์ไม่เพียงพอ

มีวิธีป้องกันไม่ให้แก้มย้อยก่อนวัยหรือไม่?

มีหลายวิธีที่สามารถช่วยป้องกันหรือชะลอการเกิดแก้มย้อยก่อนวัยได้ โดยเน้นที่การปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์และการดูแลผิวพรรณอย่างสม่ำเสมอ

พฤติกรรมที่ช่วยป้องกันแก้มย้อยก่อนวัยอันควร ได้แก่:

  • การป้องกันแสงแดด การทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูงและครอบคลุม (broad-spectrum) เป็นประจำสามารถป้องกันการเสื่อมสลายของคอลลาเจนได้ เนื่องจากประมาณ 80% ของริ้วรอยและความหย่อนคล้อยเกิดจากแสงแดด
  • การงดสูบบุหรี่ สารพิษในบุหรี่ทำลายคอลลาเจนและอีลาสตินโดยตรง ทำให้ผู้ที่สูบบุหรี่มีแนวโน้มแก้มย้อยและมีริ้วรอยลึกก่อนวัย
  • การควบคุมอาหาร ควรลดอาหารที่มีน้ำตาลสูงเพื่อป้องกันกระบวนการไกลเคชั่น (glycation) ที่ทำให้คอลลาเจนเสื่อมสภาพ และเน้นทานอาหารที่อุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น ผักและผลไม้
  • การรักษาน้ำหนักให้คงที่ การลดน้ำหนักอย่างรวดเร็วหรือมีน้ำหนักที่ผันผวนบ่อยๆ (yo-yo dieting) จะทำให้ผิวหนังสูญเสียความยืดหยุ่นและเกิดความหย่อนคล้อยได้ง่าย
  • การใช้สกินแคร์ที่เหมาะสม การใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของเรตินอยด์ (วิตามินเอ) ในตอนกลางคืนได้รับการพิสูจน์แล้วว่าสามารถกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและชะลอการเกิดริ้วรอยและความหย่อนคล้อยได้

การตัดไขมันกระพุ้งแก้มช่วยลดแก้มย้อยได้ไหม?

โดยทั่วไปแล้ว การตัดไขมันกระพุ้งแก้ม ไม่ได้ช่วยรักษาแก้มที่หย่อนคล้อยหรือแก้มย้อยโดยตรง แต่เป็นหัตถการที่มุ่งเน้นการลดความอูมของแก้มเพื่อให้ใบหน้าดูเรียวลง

การผ่าตัดไขมันกระพุ้งแก้มเป็นการนำไขมันที่อยู่ลึกใต้กล้ามเนื้อออก ซึ่งจะช่วยปรับรูปหน้าให้ดูมีมิติและเรียวเป็นทรง V-shape มากขึ้น แต่ไม่ได้ช่วยยกกระชับผิวหนังหรือเนื้อเยื่อที่หย่อนคล้อยตามวัย ในทางกลับกัน หากทำในผู้ที่มีใบหน้าตอบหรือมีแก้มย้อยอยู่แล้ว อาจทำให้ใบหน้าดูซูบซีดและแก่กว่าวัยได้ เนื่องจากเป็นการนำไขมันที่ช่วยพยุงโครงสร้างใบหน้าออกไป

ดังนั้น การตัดไขมันกระพุ้งแก้มจึงเหมาะสำหรับผู้ที่อายุน้อย (ช่วง 20-40 ปี) ที่มีแก้มเยอะโดยกำเนิดและต้องการปรับรูปหน้าให้เรียวลง ไม่ใช่การรักษาสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยเป็นหลัก

อ้างอิง:

  1. Alam, M. et al. (2018). Facial exercises may improve facial aging: Evidence from a randomized controlled trial. Northwestern University News. northwestern.edu
  2. American Society of Plastic Surgeons. (2023). Injection Lipolysis (Kybella) – Nonsurgical Fat Reduction: Procedure details and recovery. PlasticSurgery.org. plasticsurgery.org
  3. American Society of Plastic Surgeons. (2023). Buccal Fat Removal – Cheek Reduction overview. PlasticSurgery.org. plasticsurgery.org
  4. Bellamy, J. (2025). Benefits of a Deep Plane Facelift vs. SMAS Facelift. Bellamy MD Plastic Surgery Blog. bellamy.md
  5. Biskanaki, F. et al. (2025). Complications and Risks of High-Intensity Focused Ultrasound (HIFU) in Aesthetic Procedures: A Review. Applied Sciences, 15(9), 4958. mdpi.com
  6. Cleveland Clinic. (2023). Marionette Lines: What They Are, Causes, and Treatment. ClevelandClinic.org. clevelandclinic.org
  7. Frankfurt Laser Clinic (Dr. med. A. Ryssel). (2023). Ultherapy® Treatment – Costs & Methods. Plastische-chirurgie-dr-ryssel.de. plastische-chirurgie-dr-ryssel.de
  8. Hubmed. (2025). How Dermal Fillers for Sagging Jowls Work and What Products to Use. Hubmeded.com. hubmeded.com
  9. Northwestern U. Feinberg School of Medicine – Alam, M. (2018). Study on facial “face yoga” exercises. JAMA Dermatology (reported in Northwestern Magazine). northwestern.edu
  10. Skin Cancer Foundation. (2022). Skin Aging Fact. SkinCancer.org. skincancer.org
  11. Smith, S. et al. (2024). Subjective evaluation of monopolar radiofrequency treatment by patients in aesthetic rejuvenation. Skin Research & Technology, 30(8): e13350. wiley.com
  12. Willson, A. (2024). Facial fat: The good, the bad and the confusing. American Society of Plastic Surgeons News. plasticsurgery.org
  13. Yi, K.H. et al. (2023). Why do marionette lines appear? Anatomical perspectives and thread-based interventions. Journal of Plastic, Reconstructive & Aesthetic Surgery. pmc.ncbi.nlm.nih.gov

แนะแนวเรื่อง

Previous Previous
ลดเหนียงใต้คาง: 15 วิธีเด็ด เห็นผลจริงใน 7 วัน ปลอดภัย
NextContinue
XERF ยกกระชับผิว | คลื่นวิทยุ RF 2 ความถี่ เทคโนโลยีล่าสุด 2025

สาขาพรีวาโต คลินิก

    สาขาอโศก ตั้งอยู่ที่ ชั้น 2 อาคารมิดทาวน์
    Phone: 02-258-4050 , 081-841-5075
    สาขาสีลม ตั้งอยู่ที่ ชั้น 1 อาคารซี.พี.ทาวเวอร์
    Phone: 02-780-2011 , 098-272-5244
    สาขาราชพฤกษ์ ตั้งอยู่ที่ ชั้น 2 ศูนย์การค้า เดอะคริสตัล เอสบี (ด้านบนร้านสตาร์บัคส์)
    Phone: 02-102-2778 , 098-272-5244

ติดต่อเรา

    Facebook: Privato Clinic
    Messenger: Privato Clinic
    Instagram: privatoclinic
    Email: privatoclinic@gmail.com
    Line: @privatoclinic

Copyright© 2022-2024. All Rights Reserved

Scroll to top
  • หน้าหลัก
  • เกี่ยวกับพรีวาโต
  • บริการทั้งหมด
    • ชะลอวัย
    • ยกกระชับผิว
      • XERF
      • Potenza
      • Sofwave
      • Ulthera
      • Thermage-FLX
    • รักษาสิว
    • เลเซอร์
    • โปรแกรมฉีด
    • บำรุงผิว
  • บทความ
    • สิว
    • ยกกระชับ
    • ดูแลผิว
    • ทำเลเซอร์
  • ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว
  • โปรโมชั่น
  • ผลลัพธ์การรักษา
  • วิดีโอรีวิวจากเคสจริง
  • สาขาของเรา
  • ไทย
    • ไทย
    • English
    • 中文 (中国)
  • ปรึกษาแพทย์
Facebook Instagram YouTube