Skip to content

TEL : 081-841-5075, 02-258-4050

Facebook Instagram YouTube
Privato Clinic – Innovation Of Beauty  |  Bangkok
  • หน้าหลัก
  • เกี่ยวกับพรีวาโต
  • บริการทั้งหมดExpand
    • ชะลอวัย
    • ยกกระชับผิวExpand
      • XERF
      • Potenza
      • Sofwave
      • Ulthera
      • Thermage-FLX
    • รักษาสิว
    • เลเซอร์
    • โปรแกรมฉีด
    • บำรุงผิว
  • บทความExpand
    • สิว
    • ยกกระชับ
    • ดูแลผิว
    • ทำเลเซอร์
  • ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว
  • โปรโมชั่น
  • ผลลัพธ์การรักษา
  • วิดีโอรีวิวจากเคสจริง
  • สาขาของเรา
  • ไทยExpand
    • ไทย
    • English
    • 中文 (中国)
  • ปรึกษาแพทย์
Privato Clinic – Innovation Of Beauty  |  Bangkok
Consult a Doctor
Lifting

ฉีดฟิลเลอร์ คืออะไร ราคาเท่าไหร่? รวมข้อควรรู้ก่อนตัดสินใจ 2568

Byadmin ตุลาคม 2, 2025
By นายแพทย์เลอพงษ์ กรุดเงิน Updated on ตุลาคม 2, 2025
✦ Medically reviewed by  นายแพทย์เลอพงษ์ กรุดเงิน
ฉีดฟิลเลอร์ คืออะไร ราคาเท่าไหร่? รวมข้อควรรู้ก่อนตัดสินใจ 2568

การฉีดฟิลเลอร์คือการใช้สารเติมเต็มประเภทกรดไฮยาลูรอนิก (HA) เพื่อช่วยลดเลือนริ้วรอยร่องลึกและปรับรูปหน้าให้ดูอ่อนเยาว์ ซึ่งให้ผลลัพธ์นานสูงสุด 18-24 เดือน พร้อมกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ในชั้นผิวเพื่อคืนความสดใสให้ใบหน้า

Table of Contents

Toggle
  • ฟิลเลอร์คืออะไร? ทำงานอย่างไรและช่วยแก้ปัญหาอะไรได้บ้าง
    • หลักการทำงานของสารเติมเต็ม Hyaluronic Acid ในชั้นผิว
    • ปัญหาผิวและริ้วรอยที่สามารถแก้ไขได้ด้วยการฉีดฟิลเลอร์
  • ใครที่เหมาะกับการฉีดฟิลเลอร์และใครที่ควรหลีกเลี่ยง
    • ข้อบ่งชี้: สัญญาณผิวที่เหมาะกับการใช้ฟิลเลอร์
    • ข้อห้าม: ภาวะที่ไม่ควรฉีดฟิลเลอร์เด็ดขาด
  • ตำแหน่งยอดนิยมในการฉีดฟิลเลอร์และประเภทของฟิลเลอร์
    • 8 บริเวณบนใบหน้าที่ฉีดฟิลเลอร์เพื่อปรับรูปหน้าและเติมเต็ม
    • ประเภทของฟิลเลอร์: การเลือกเนื้อสัมผัสให้เหมาะกับปัญหา
  • ราคาฉีดฟิลเลอร์: ปัจจัยกำหนดค่าใช้จ่ายและราคาประเมินต่อ CC
    • ปัจจัยที่มีผลต่อราคา: ยี่ห้อ ปริมาณ และความเชี่ยวชาญของแพทย์
    • ตารางราคาประเมินเบื้องต้นตามตำแหน่งที่ฉีด
  • ผลลัพธ์ที่คาดหวัง: ฟิลเลอร์อยู่ได้นานแค่ไหนและเห็นผลเมื่อไหร่
    • ระยะเวลาเห็นผลและการเข้าที่ของฟิลเลอร์
    • อายุการใช้งานของฟิลเลอร์แต่ละชนิดและปัจจัยที่เกี่ยวข้อง
  • ปัจจัยสำคัญที่ต้องพิจารณาก่อนตัดสินใจฉีดฟิลเลอร์
    • การเลือกคลินิกและแพทย์: มาตรฐานความปลอดภัยที่ต้องตรวจสอบ
    • การเตรียมตัวก่อนเข้ารับการฉีดฟิลเลอร์
    • วิธีตรวจสอบฟิลเลอร์ของแท้ด้วยตัวเอง
  • ความเสี่ยง ผลข้างเคียง และข้อควรระวังในการฉีดฟิลเลอร์
    • ผลข้างเคียงที่พบได้ทั่วไปและวิธีดูแลเบื้องต้น
    • สัญญาณอันตรายที่ต้องรีบพบแพทย์ทันที
  • คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการฉีดฟิลเลอร์ (FAQ)
    • ฉีดฟิลเลอร์เจ็บไหม?
    • ฉีดฟิลเลอร์อันตรายหรือไม่?
    • ฟิลเลอร์ 1 cc เยอะแค่ไหนและเหมาะกับบริเวณใด?
    • หลังฉีดฟิลเลอร์ บวมกี่วันและเห็นผลเมื่อไหร่?
    • ฟิลเลอร์สลายหมดจริงหรือไม่?
    • ฉีดฟิลเลอร์แล้วสามารถทำเลเซอร์หน้าได้ไหม?
  • References:

ฟิลเลอร์คืออะไร? ทำงานอย่างไรและช่วยแก้ปัญหาอะไรได้บ้าง

ฟิลเลอร์คือ สารเติมเต็มประเภทกรดไฮยาลูรอนิก (Hyaluronic Acid หรือ HA) ที่ใช้ฉีดเพื่อเพิ่มปริมาตรให้เนื้อเยื่ออ่อน ทำให้ผิวเรียบเนียนและใบหน้าดูอิ่มฟูขึ้น ฟิลเลอร์ทำงานโดยการเข้าไปเติมเต็มช่องว่างใต้ผิวหนัง, ดูดซับน้ำเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นและความเต่งตึง, และกระตุ้นให้เซลล์ไฟโบรบลาสต์สร้างคอลลาเจนใหม่ขึ้นมา

ฟิลเลอร์สามารถใช้แก้ปัญหาต่างๆ ได้แก่:

  • ลดเลือนริ้วรอยและร่องลึก เช่น ร่องแก้มและร่องน้ำหมาก
  • เติมเต็มบริเวณที่ตอบหรือยุบตัว เช่น แก้ม, ขมับ, และใต้ตาที่ลึกโหล
  • ปรับปรุงและเสริมสร้างโครงหน้า เช่น เพิ่มวอลลุ่มให้ริมฝีปาก, เสริมคาง, และสร้างกรอบหน้าที่คมชัด
  • ฟื้นฟูไขมันบนใบหน้าที่ฝ่อลีบ และแก้ไขแผลเป็นจากสิวบางชนิด

หลักการทำงานของสารเติมเต็ม Hyaluronic Acid ในชั้นผิว

สารเติมเต็ม Hyaluronic Acid (HA) ทำงานโดยการเข้าไปเติมเต็มช่องว่างในชั้นผิว จับโมเลกุลน้ำเพื่อเพิ่มปริมาตร และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่

เมื่อฉีดเข้าไป HA จะทำหน้าที่เติมเต็มเนื้อเยื่อที่พร่องไปได้ในทันที และด้วยคุณสมบัติที่สามารถอุ้มน้ำได้มากถึง 1,000 เท่าของน้ำหนักตัวเอง จึงช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นและทำให้ผิวบริเวณนั้นดูอิ่มฟูขึ้น นอกจากนี้ HA ยังทำหน้าที่เป็นโครงสร้างในชั้นผิวหนังแท้ (dermis) เพื่อกระตุ้นเซลล์ไฟโบรบลาสต์ (fibroblasts) ให้ผลิตคอลลาเจนใหม่ขึ้นมาเมื่อเวลาผ่านไป ส่งผลให้ผิวเรียบเนียนและมีคุณภาพดีขึ้นในระยะยาว

ปัญหาผิวและริ้วรอยที่สามารถแก้ไขได้ด้วยการฉีดฟิลเลอร์

ฟิลเลอร์สามารถใช้ แก้ไขปัญหาริ้วรอยร่องลึกระดับปานกลางถึงรุนแรง และเติมเต็มปริมาตรในบริเวณที่เกิดการยุบตัวหรือฝ่อลง เพื่อคืนความอ่อนเยาว์และปรับรูปหน้าให้ดูสดใสขึ้น

ปัญหาที่สามารถแก้ไขได้ด้วยฟิลเลอร์ ได้แก่:

  • ร่องแก้ม (ร่องลึกจากจมูกถึงมุมปาก)
  • ร่องน้ำหมาก (ร่องลึกบริเวณมุมปาก)
  • แก้มตอบหรือโหนกแก้มแบน
  • ขมับตอบ
  • ร่องใต้ตาที่ลึกโบ๋
  • ริมฝีปากบาง หรือต้องการปรับรูปทรงปาก
  • คางสั้นหรือคางตัด
  • กรอบหน้าที่ไม่คมชัด
  • ริ้วรอยเล็กๆ เช่น ริ้วรอยรอบปาก
  • แผลเป็นจากสิวบางชนิด
  • การสูญเสียไขมันบนใบหน้าในผู้ป่วยบางกลุ่ม เช่น ผู้ติดเชื้อ HIV
  • เติมเต็มหลังมือเพื่อลดลักษณะเส้นเอ็นและเส้นเลือดที่มองเห็นชัด

ใครที่เหมาะกับการฉีดฟิลเลอร์และใครที่ควรหลีกเลี่ยง

ข้อบ่งชี้: สัญญาณผิวที่เหมาะกับการใช้ฟิลเลอร์

ฟิลเลอร์เหมาะสำหรับ การลดเลือนริ้วรอยร่องลึกระดับปานกลางถึงรุนแรง และการเติมเต็มปริมาตรในบริเวณที่เกิดการยุบตัวหรือฝ่อลง สัญญาณผิวที่สามารถรักษาได้ด้วยฟิลเลอร์ ได้แก่

  • ร่องแก้ม (Nasolabial folds)
  • ร่องน้ำหมาก (Marionette lines)
  • แก้มตอบหรือโหนกแก้มแบน (Hollow or sunken cheeks)
  • ขมับตอบ (Temporal hollows)
  • ร่องใต้ตา (Tear trough depressions)
  • ริมฝีปากบาง (Thinning lips)
  • คางสั้นหรือคางตัด (A receding chin)
  • แนวกรามที่ไม่คมชัด (A weak jawline)
  • ริ้วรอยเล็กๆ เช่น ริ้วรอยรอบปาก (Perioral smoker’s lines)
  • การแก้ไขแผลเป็นจากสิวบางชนิด (Certain acne scar corrections)
  • การเติมไขมันบนใบหน้าที่ฝ่อลง (Restoring lost facial fat)
  • การเติมหลังมือเพื่อลดลักษณะเส้นเอ็นและเส้นเลือดที่ชัดเจน (Restoring volume to the backs of the hands)

ข้อห้าม: ภาวะที่ไม่ควรฉีดฟิลเลอร์เด็ดขาด

ภาวะที่ไม่ควรฉีดฟิลเลอร์เด็ดขาด ได้แก่ การมีประวัติแพ้ส่วนประกอบของฟิลเลอร์ การตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร แนวโน้มการเกิดแผลเป็นคีลอยด์ และการติดเชื้อหรือการอักเสบเฉียบพลันบริเวณที่จะฉีด

ภาวะเหล่านี้ถือเป็นข้อห้ามที่สำคัญเนื่องจากความเสี่ยงสูง โดยมีรายละเอียดดังนี้:

  • การแพ้ส่วนประกอบของฟิลเลอร์: ผู้ที่มีประวัติแพ้ส่วนประกอบใดๆ ในฟิลเลอร์ เช่น แพ้ยาชา (Lidocaine) หรือโปรตีนจากแบคทีเรียแกรมบวกซึ่งใช้ในกระบวนการผลิต
  • การตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร: เนื่องจากยังไม่มีการทดสอบความปลอดภัยของฟิลเลอร์ในกลุ่มนี้ จึงแนะนำให้หลีกเลี่ยงการฉีด
  • แนวโน้มการเกิดแผลเป็นนูน (Keloid) หรือแผลเป็นโตนูน (Hypertrophic scar): การฉีดอาจกระตุ้นให้เกิดเนื้อเยื่อแผลเป็นที่ผิดปกติได้
  • การติดเชื้อหรือการอักเสบ: ไม่ควรฉีดในบริเวณที่มีการติดเชื้อหรือการอักเสบของผิวหนัง รวมถึงผู้ที่มีภาวะภูมิต้านตนเองที่กำลังกำเริบบริเวณใบหน้า เช่น โรคลูปัสที่มีแผลบนใบหน้า

ตำแหน่งยอดนิยมในการฉีดฟิลเลอร์และประเภทของฟิลเลอร์

8 บริเวณบนใบหน้าที่ฉีดฟิลเลอร์เพื่อปรับรูปหน้าและเติมเต็ม

8 บริเวณบนใบหน้าที่นิยมฉีดฟิลเลอร์เพื่อปรับรูปหน้าและเติมเต็ม ได้แก่ หน้าผาก/หว่างคิ้ว, ขมับ, ใต้ตา, แก้ม, ร่องแก้ม, ริมฝีปาก, คาง และกรอบหน้า

แต่ละบริเวณมีวัตถุประสงค์ในการรักษาดังนี้:

  • หน้าผาก/หว่างคิ้ว: เติมเต็มร่องลึกและปรับให้หน้าผากโค้งมนดูอ่อนเยาว์
  • ขมับ: แก้ปัญหาขมับตอบ ทำให้ใบหน้าส่วนบนดูเต็มขึ้นและช่วยยกหางคิ้ว
  • ใต้ตา: เติมเต็มร่องน้ำตาลึก เพื่อลดความหมองคล้ำและทำให้ใบหน้าดูสดใสขึ้น
  • แก้ม: เพิ่มปริมาตรให้แก้มดูอิ่มฟูและยกกระชับ ซึ่งช่วยให้ร่องแก้มตื้นลง
  • ร่องแก้ม: เติมเต็มร่องลึกข้างจมูก ทำให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ลง
  • ริมฝีปาก: เพิ่มความอวบอิ่ม, ปรับรูปทรง, และให้ความชุ่มชื้น
  • คาง: เสริมคางให้มีมิติมากขึ้น เพื่อให้ใบหน้าดูสมส่วนและคมชัด
  • กรอบหน้า: สร้างกรอบหน้าที่คมชัดและเรียบเนียนขึ้น ทำให้ใบหน้าดูมีมิติ

ประเภทของฟิลเลอร์: การเลือกเนื้อสัมผัสให้เหมาะกับปัญหา

โดยทั่วไป การเลือกฟิลเลอร์จะใช้เนื้อนิ่มและยืดหยุ่นสำหรับบริเวณที่ผิวบางหรือมีการขยับบ่อย และใช้ฟิลเลอร์เนื้อแน่นและแข็งแรงสำหรับบริเวณที่ต้องการการพยุงและสร้างโครงสร้าง

  • ฟิลเลอร์เนื้อนิ่มและยืดหยุ่น: เหมาะสำหรับพื้นที่ที่ต้องการความเป็นธรรมชาติ เช่น ใต้ตา ริมฝีปาก และการเติมริ้วรอยตื้นๆ
  • ฟิลเลอร์เนื้อแน่นและแข็งแรง: เหมาะสำหรับพื้นที่ที่ต้องการการยกกระชับและสร้างกรอบหน้าให้ชัดเจน เช่น แก้ม คาง และกราม

ราคาฉีดฟิลเลอร์: ปัจจัยกำหนดค่าใช้จ่ายและราคาประเมินต่อ CC

ปัจจัยที่มีผลต่อราคา: ยี่ห้อ ปริมาณ และความเชี่ยวชาญของแพทย์

ราคาฟิลเลอร์ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลัก 3 ประการ ได้แก่ ยี่ห้อของฟิลเลอร์ ปริมาณที่ใช้ และชื่อเสียงของคลินิกหรือความเชี่ยวชาญของแพทย์

ปัจจัยเหล่านี้ส่งผลต่อราคาโดยรวม ดังนี้

  • ยี่ห้อฟิลเลอร์: ฟิลเลอร์จากยุโรปหรืออเมริกา เช่น Juvederm และ Restylane มักมีราคาสูงกว่า (ประมาณ 12,000–20,000 บาทต่อซีซี) เนื่องจากมีงานวิจัยรองรับและมีอายุการใช้งานที่ยาวนานกว่า ในขณะที่ฟิลเลอร์จากเกาหลี เช่น Neuramis หรือ Yvoire จะมีราคาที่เข้าถึงง่ายกว่า (ประมาณ 6,000–10,000 บาทต่อซีซี)
  • ปริมาณที่ใช้: ค่าใช้จ่ายทั้งหมดจะคำนวณตามจำนวนซีซี (cc) หรือจำนวนหลอดของฟิลเลอร์ที่ใช้ การรักษาในบริเวณที่ต้องการปริมาณมาก เช่น แก้ม หรือคาง จะมีค่าใช้จ่ายสูงกว่าบริเวณที่ใช้ปริมาณน้อย เช่น ริมฝีปาก
  • คลินิกและแพทย์ผู้ฉีด: คลินิกที่มีชื่อเสียงและแพทย์ที่มีประสบการณ์มักมีค่าบริการที่สูงกว่า ซึ่งสะท้อนถึงต้นทุนของผลิตภัณฑ์ของแท้ที่ผ่านการรับรองจากอย. ไทย ความปลอดภัยของสถานพยาบาล และความเชี่ยวชาญที่ช่วยให้ผลลัพธ์ออกมาดีและปลอดภัย

ตารางราคาประเมินเบื้องต้นตามตำแหน่งที่ฉีด

ราคาฟิลเลอร์ในประเทศไทยโดยประมาณสำหรับตำแหน่งที่นิยมฉีด มีดังนี้

ตำแหน่งที่ฉีด ราคาประเมินโดยประมาณ (บาท)
ริมฝีปาก / ใต้ตา 10,000 – 20,000 (สำหรับ 1 cc)
แก้ม 20,000 – 60,000 (สำหรับ 2–3 cc)
กรอบหน้า มักสูงกว่า 60,000 (เนื่องจากต้องใช้ปริมาณฟิลเลอร์มากกว่า)

ราคาดังกล่าวเป็นเพียงการประเมินเบื้องต้น ซึ่งอาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับยี่ห้อฟิลเลอร์ ปริมาณที่ใช้ และโปรโมชั่นของแต่ละคลินิก

ผลลัพธ์ที่คาดหวัง: ฟิลเลอร์อยู่ได้นานแค่ไหนและเห็นผลเมื่อไหร่

ระยะเวลาเห็นผลและการเข้าที่ของฟิลเลอร์

ฟิลเลอร์จะเห็นผลลัพธ์ได้ทันทีหลังฉีด แต่ผลลัพธ์สุดท้ายที่เข้าที่แล้วจะเห็นได้ชัดเจนเมื่ออาการบวมยุบลงทั้งหมด ซึ่งโดยทั่วไปจะใช้เวลาประมาณ 2 สัปดาห์

โดยปกติแล้ว กระบวนการเข้าที่ของฟิลเลอร์มีดังนี้:

  • 24–72 ชั่วโมงแรก: จะมีอาการบวมมากที่สุด
  • 3–5 วัน: อาการบวมส่วนใหญ่จะลดลงอย่างเห็นได้ชัด
  • 2 สัปดาห์: ฟิลเลอร์จะเข้าที่กับเนื้อเยื่อโดยสมบูรณ์ และอาการบวมจะหายไปหมด ทำให้เห็นผลลัพธ์ที่แท้จริง

อายุการใช้งานของฟิลเลอร์แต่ละชนิดและปัจจัยที่เกี่ยวข้อง

ฟิลเลอร์กรดไฮยาลูรอนิก (HA) ส่วนใหญ่มีอายุการใช้งานประมาณ 6-12 เดือน แต่บางชนิดอาจอยู่ได้นานถึง 18-24 เดือน โดยอายุการใช้งานจะแตกต่างกันไปตามบริเวณที่ฉีดและปัจจัยอื่นๆ

อายุการใช้งานโดยประมาณในแต่ละบริเวณ:

  • ริมฝีปาก: 6-9 เดือน (เนื่องจากมีการเคลื่อนไหวบ่อย)
  • ร่องแก้ม: 9-12 เดือน
  • แก้ม คาง และกราม: 12-18 เดือน
  • ใต้ตา: 1-2 ปี (เนื่องจากมีการเคลื่อนไหวน้อย)

ปัจจัยหลักที่ส่งผลต่ออายุของฟิลเลอร์:

  • ชนิดของฟิลเลอร์: ฟิลเลอร์ที่มีความหนาแน่นสูงและมีการเชื่อมขวางของโมเลกุล (crosslinking) มาก จะสลายตัวช้ากว่าและอยู่ได้นานกว่า
  • บริเวณที่ฉีด: บริเวณที่มีการเคลื่อนไหวน้อย เช่น แก้มหรือใต้ตา ฟิลเลอร์จะอยู่ได้นานกว่าบริเวณที่มีการเคลื่อนไหวบ่อย เช่น ริมฝีปาก
  • ปัจจัยส่วนบุคคล: อัตราการเผาผลาญของแต่ละคนมีผลต่อความเร็วในการสลายฟิลเลอร์
  • ไลฟ์สไตล์: การสูบบุหรี่ การออกกำลังกายอย่างหนัก และการสัมผัสกับแสงแดดจัดเป็นประจำ อาจทำให้ฟิลเลอร์สลายตัวเร็วขึ้น

ปัจจัยสำคัญที่ต้องพิจารณาก่อนตัดสินใจฉีดฟิลเลอร์

การเลือกคลินิกและแพทย์: มาตรฐานความปลอดภัยที่ต้องตรวจสอบ

มาตรฐานความปลอดภัยที่สำคัญที่สุดคือ การเลือกแพทย์ที่มีใบอนุญาตและคลินิกที่ได้มาตรฐานซึ่งดำเนินการในสถานพยาบาลที่เหมาะสม

เพื่อความปลอดภัย ควรตรวจสอบสิ่งต่อไปนี้:

  • แพทย์ผู้ทำหัตถการ: ต้องเป็นแพทย์ที่มีใบประกอบวิชาชีพและมีความเชี่ยวชาญ ควรหลีกเลี่ยงผู้ฉีดที่ไม่ใช่แพทย์หรือที่เรียกว่า “หมอกระเป๋า”
  • สถานที่ให้บริการ: ต้องเป็นคลินิกหรือสถานพยาบาลที่สะอาด มีอุปกรณ์ปลอดเชื้อ และมีมาตรฐาน ไม่ใช่การฉีดในบ้านหรือโรงแรม
  • ผลิตภัณฑ์ฟิลเลอร์: ต้องเป็นของแท้ที่ผ่านการรับรองจาก อย. ไทย โดยคลินิกควรเปิดกล่องใหม่ต่อหน้าผู้รับบริการ และสามารถตรวจสอบยี่ห้อ เลขล็อต และวันหมดอายุได้
  • การเตรียมพร้อมสำหรับภาวะฉุกเฉิน: คลินิกต้องมียาสลายฟิลเลอร์ (Hyaluronidase) เตรียมพร้อมไว้เสมอในกรณีที่เกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง เช่น การอุดตันของเส้นเลือด

การเตรียมตัวก่อนเข้ารับการฉีดฟิลเลอร์

การเตรียมตัวก่อนฉีดฟิลเลอร์ที่สำคัญที่สุดคือการเลือกคลินิกและแพทย์ที่น่าเชื่อถือ และงดรับประทานยาหรืออาหารเสริมที่เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดรอยช้ำ เพื่อความปลอดภัยและผลลัพธ์ที่ดี ควรปฏิบัติตามคำแนะนำต่อไปนี้

  • เลือกสถานพยาบาลที่ได้มาตรฐาน: ตรวจสอบให้แน่ใจว่าผู้ให้บริการเป็นแพทย์ที่มีใบอนุญาตและทำหัตถการในคลินิกที่สะอาด ปลอดภัย และมีอุปกรณ์ฉุกเฉินครบครัน
  • งดยาและอาหารเสริมที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด: ควรงดแอสไพริน, NSAIDs, วิตามินอีปริมาณสูง, น้ำมันปลา และอาหารเสริมอื่นๆ ที่ทำให้เลือดออกง่ายเป็นเวลา 1-2 สัปดาห์ก่อนการฉีด
  • งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์: ควรหลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ 1 วันก่อนและในวันนัดฉีดฟิลเลอร์
  • แจ้งประวัติสุขภาพ: หากมีประวัติเป็นเริมบริเวณริมฝีปากและต้องการฉีดฟิลเลอร์ปาก ควรแจ้งให้แพทย์ทราบล่วงหน้าเพื่อพิจารณาให้ยาป้องกัน
  • เตรียมสภาพร่างกาย: ควรพักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำให้เยอะ และรับประทานอาหารมาก่อนเข้ารับบริการ นอกจากนี้ควรมาถึงคลินิกด้วยใบหน้าที่สะอาดปราศจากเครื่องสำอาง

วิธีตรวจสอบฟิลเลอร์ของแท้ด้วยตัวเอง

วิธีตรวจสอบฟิลเลอร์ของแท้คือการขอดูและตรวจสอบกล่องผลิตภัณฑ์ก่อนฉีด ซึ่งควรมีรายละเอียดที่สำคัญครบถ้วนและสามารถสังเกตได้ดังนี้

  • ฉลาก อย. ภาษาไทย: กล่องฟิลเลอร์ของแท้ที่ผ่านการรับรองในประเทศไทยจะต้องมีสติกเกอร์และเอกสารกำกับเป็นภาษาไทย
  • เลขล็อตและวันหมดอายุ: ต้องมีข้อมูลเลขที่การผลิต (Lot No.) และวันหมดอายุระบุไว้อย่างชัดเจน
  • การตรวจสอบเพิ่มเติม: บางยี่ห้ออาจมีโฮโลแกรมกันปลอมหรือ QR Code ให้สแกนเพื่อตรวจสอบว่าเป็นของแท้
  • กล่องใหม่และปิดสนิท: คลินิกที่น่าเชื่อถือจะเปิดกล่องใหม่ที่ยังไม่ถูกแกะซีลต่อหน้าผู้รับบริการเสมอ

ความเสี่ยง ผลข้างเคียง และข้อควรระวังในการฉีดฟิลเลอร์

ผลข้างเคียงที่พบได้ทั่วไปและวิธีดูแลเบื้องต้น

ผลข้างเคียงที่พบได้ทั่วไปหลังฉีดฟิลเลอร์คืออาการบวม รอยช้ำ รอยแดง และอาการเจ็บเล็กน้อยบริเวณที่ฉีด ซึ่งโดยปกติอาการเหล่านี้จะค่อยๆ ดีขึ้นและหายไปเองภายใน 2-3 วัน ถึง 2 สัปดาห์

วิธีดูแลเบื้องต้นเพื่อลดอาการข้างเคียง มีดังนี้:

  • ประคบเย็น: ใช้แผ่นประคบเย็นหรือน้ำแข็งประคบบริเวณที่ฉีดเป็นระยะๆ ในช่วง 24 ชั่วโมงแรกเพื่อช่วยลดอาการบวม
  • หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนัก: งดกิจกรรมที่ทำให้หัวใจเต้นเร็วและความดันโลหิตสูงขึ้นเป็นเวลา 24-48 ชั่วโมง
  • หลีกเลี่ยงความร้อน: งดการเข้าซาวน่า สตรีม หรืออาบน้ำร้อนจัดประมาณ 2-3 วัน
  • นอนหนุนหมอนสูง: การนอนยกศีรษะสูงในคืนแรกจะช่วยลดอาการบวมได้
  • งดการสัมผัสรุนแรง: หลีกเลี่ยงการนวด กด หรือขยี้บริเวณที่ฉีดแรงๆ และงดการทำทรีตเมนต์ใบหน้าประมาณ 2 สัปดาห์

สัญญาณอันตรายที่ต้องรีบพบแพทย์ทันที

สัญญาณอันตรายที่ต้องรีบพบแพทย์ทันทีหลังฉีดฟิลเลอร์ ได้แก่ อาการปวดรุนแรงผิดปกติ, สีผิวเปลี่ยนเป็นสีขาว ซีด หรือม่วงเป็นลายตาข่าย, และการมองเห็นผิดปกติ ซึ่งทั้งหมดนี้อาจเป็นสัญญาณของภาวะหลอดเลือดอุดตัน

ควรสังเกตอาการฉุกเฉินอื่นๆ ดังต่อไปนี้:

  • อาการปวดรุนแรง: มีอาการปวดที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ หรือปวดมากเกินกว่าปกติหลังการฉีด
  • สีผิวเปลี่ยนแปลง: ผิวบริเวณที่ฉีดหรือใกล้เคียงเปลี่ยนเป็นสีขาว ซีด เทา หรือเป็นจ้ำสีม่วงคล้ำคล้ายลายตาข่าย
  • การมองเห็นผิดปกติ: หากมีอาการตาพร่ามัว มองเห็นเป็นจุด หรือสูญเสียการมองเห็นอย่างกะทันหัน ถือเป็นภาวะฉุกเฉินร้ายแรง
  • ผิวหนังเย็นและคล้ำลง: หากผิวบริเวณที่ฉีดเริ่มมีสีคล้ำลง เย็น และเจ็บปวดมากขึ้นภายในวันแรก ควรติดต่อแพทย์ทันที
  • สัญญาณการติดเชื้อ: อาการบวม แดง ร้อน และปวดที่แย่ลงเรื่อยๆ แทนที่จะดีขึ้นหลังผ่านไป 2-3 วัน อาจบ่งชี้ถึงการติดเชื้อ

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการฉีดฟิลเลอร์ (FAQ)

ฉีดฟิลเลอร์เจ็บไหม?

ความเจ็บปวดจากการฉีดฟิลเลอร์อยู่ในระดับที่ทนได้ เนื่องจากมีการใช้ยาชาเฉพาะที่ การประคบเย็น และฟิลเลอร์หลายชนิดก็มียาชาผสมอยู่แล้วเพื่อช่วยลดความรู้สึกเจ็บ

โดยทั่วไป ผู้ป่วยส่วนใหญ่ให้คะแนนความเจ็บปวดอยู่ที่ประมาณ 2-4 จาก 10 เมื่อมีการใช้ยาชาอย่างเหมาะสม ซึ่งระดับความเจ็บจะแตกต่างกันไปในแต่ละบริเวณ เช่น ริมฝีปากจะมีความรู้สึกเจ็บมากกว่าบริเวณแก้มหรือคาง หลังฉีดอาจมีอาการเจ็บเล็กน้อยคล้ายอาการฟกช้ำ แต่หากมีอาการปวดรุนแรงถือว่าผิดปกติและควรปรึกษาแพทย์ทันที

ฉีดฟิลเลอร์อันตรายหรือไม่?

การฉีดฟิลเลอร์กรดไฮยาลูรอนิก (HA) โดยทั่วไปถือว่าปลอดภัย แต่ก็อาจเป็นอันตรายได้หากฉีดโดยผู้ที่ไม่มีคุณสมบัติเหมาะสมหรือเกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง ความปลอดภัยขึ้นอยู่กับการฉีดโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในสถานพยาบาลที่ได้มาตรฐาน และการใช้ผลิตภัณฑ์ของแท้ที่ผ่านการรับรองจาก อย.

ผลข้างเคียงที่พบบ่อยมักไม่รุนแรงและหายได้เอง เช่น อาการบวม ช้ำ หรือเจ็บบริเวณที่ฉีด อย่างไรก็ตาม มีความเสี่ยงที่รุนแรงแต่พบได้น้อยมาก เช่น การฉีดฟิลเลอร์เข้าหลอดเลือด ซึ่งอาจทำให้เนื้อเยื่อตายหรือตาบอดได้ ข้อดีที่สำคัญคือฟิลเลอร์ HA สามารถสลายได้ด้วยเอนไซม์หากเกิดปัญหาหรือไม่พอใจในผลลัพธ์

ฟิลเลอร์ 1 cc เยอะแค่ไหนและเหมาะกับบริเวณใด?

ฟิลเลอร์ 1 cc คือปริมาณ 1 มิลลิลิตร หรือประมาณ 1/5 ของช้อนชา ซึ่งเป็นปริมาณที่เหมาะสำหรับเติมเต็มในบริเวณเล็กๆ เช่น ริมฝีปาก, ใต้ตา, หรือร่องแก้มที่ไม่ลึกมาก

ฟิลเลอร์ 1 cc หรือ 1 หลอด (syringe) เป็นปริมาณที่ไม่มากอย่างที่หลายคนคิด โดยเทียบเท่ากับของเหลวประมาณ 20 หยดเท่านั้น ปริมาณนี้เหมาะสำหรับบริเวณต่างๆ ดังนี้

  • ริมฝีปาก: เป็นปริมาณมาตรฐานสำหรับการเพิ่มวอลลุ่มและปรับทรงปากให้ดูอวบอิ่มขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ
  • ใต้ตา: มักใช้ปริมาณ 1 cc หรือน้อยกว่าในการเติมเต็มร่องลึกใต้ตาเพื่อลดความโทรม ซึ่งบางครั้งอาจแบ่งใช้สำหรับใต้ตาทั้งสองข้าง
  • ร่องแก้ม: เหมาะสำหรับผู้ที่มีร่องแก้มตื้นๆ หรือต้องการเติมเต็มเพียงเล็กน้อย หากร่องแก้มลึกอาจต้องใช้ข้างละ 1 cc
  • คาง: สามารถใช้ 1 cc เพื่อเริ่มต้นการปรับรูปคางให้ดูยาวหรือมีมิติมากขึ้น แต่หากต้องการการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนอาจต้องใช้ปริมาณมากกว่านี้

สำหรับบริเวณที่ต้องการการเสริมโครงสร้างที่ชัดเจน เช่น โหนกแก้ม หรือกรอบหน้า มักจะต้องใช้ฟิลเลอร์มากกว่า 1 cc เพื่อให้เห็นผลลัพธ์ที่น่าพอใจ

หลังฉีดฟิลเลอร์ บวมกี่วันและเห็นผลเมื่อไหร่?

โดยทั่วไปอาการบวมหลังฉีดฟิลเลอร์จะยุบลงส่วนใหญ่ใน 3-5 วัน และจะเห็นผลลัพธ์สุดท้ายที่ชัดเจนเมื่อฟิลเลอร์เข้าที่เต็มที่ในเวลาประมาณ 2 สัปดาห์

แม้จะเห็นการเปลี่ยนแปลงทันทีหลังฉีด แต่ผลลัพธ์ในช่วงแรกจะยังไม่สมบูรณ์เนื่องจากมีอาการบวมร่วมด้วย โดยอาการบวมจะชัดเจนที่สุดในช่วง 24-72 ชั่วโมงแรก หลังจากนั้นจะค่อยๆ ยุบลง เมื่อครบ 2 สัปดาห์ อาการบวมและรอยช้ำเล็กน้อยจะหายไป ทำให้เห็นผลลัพธ์ที่แท้จริง แพทย์จึงมักนัดติดตามผลในช่วงเวลานี้

ฟิลเลอร์สลายหมดจริงหรือไม่?

ฟิลเลอร์ไฮยาลูรอนิกแอซิด (HA) สามารถสลายหมดได้จริง เนื่องจากร่างกายจะค่อยๆ ดูดซึมและย่อยสลายฟิลเลอร์ไปตามกระบวนการเผาผลาญตามธรรมชาติ จนกลายเป็นน้ำและคาร์บอนไดออกไซด์ในที่สุด ฟิลเลอร์ชนิดนี้จึงไม่ตกค้างในร่างกายอย่างถาวร ซึ่งถือเป็นข้อดีด้านความปลอดภัย

ฉีดฟิลเลอร์แล้วสามารถทำเลเซอร์หน้าได้ไหม?

สามารถทำเลเซอร์หน้าได้ แต่โดยทั่วไปแนะนำให้รออย่างน้อย 2 สัปดาห์หลังจากฉีดฟิลเลอร์ เพื่อให้ฟิลเลอร์เข้าที่และลดความเสี่ยงที่ความร้อนจากเลเซอร์จะไปเร่งการสลายตัวของฟิลเลอร์

ตามทฤษฎีแล้ว ความร้อนจากอุปกรณ์ที่ใช้พลังงาน เช่น เลเซอร์, RF หรือ HIFU อาจทำให้ฟิลเลอร์ไฮยาลูรอนิก (HA) สลายตัวเร็วขึ้นเล็กน้อย หากคุณมีฟิลเลอร์อยู่แล้วและจำเป็นต้องทำเลเซอร์ ก็ยังสามารถทำได้ แต่แพทย์อาจต้องปรับการตั้งค่าพลังงานให้เหมาะสมเพื่อลดผลกระทบดังกล่าว

References:

  1. U.S. Food and Drug Administration (FDA). Dermal Filler Do’s and Don’ts for Wrinkles, Lips and More. FDA Consumer Update. fda.gov
  2. Cleveland Clinic. Cheek Filler: Benefits, Risks & What To Expect. Cleveland Clinic Health Library. clevelandclinic.org
  3. Hong, G.-W., Wan, J., Yoon, S.-E., et al. Conditions to Consider When Choosing Fillers. Journal of Cosmetic Dermatology. nih.gov
  4. Puljic, A., Frank, K., Cohen, J., et al. A Scientific Framework for Comparing Hyaluronic Acid Filler Crosslinking Technologies. MDPI – Gels Journal. mdpi.com
  5. Guo, J., Fang, W., & Wang, F. Injectable fillers: current status, physicochemical properties, function mechanism, and perspectives. RSC Advances. rsc.org
  6. Janovskiene, A., Chomicius, D., Afanasjevas, D., et al. Safety and Potential Complications of Facial Wrinkle Correction with Dermal Fillers: A Systematic Literature Review. Medicina. mdpi.com
  7. The Plastic Fella. Injectable Fillers: Classification, Indications, & Injection Techniques. The Plastic Fella Medical Blog. theplasticsfella.com
  8. Lafaille, P., & Benedetto, A. Fillers: Contraindications, Side Effects and Precautions. Journal of Cutaneous and Aesthetic Surgery. nih.gov

แนะแนวเรื่อง

Previous Previous
โบท็อกปีกจมูก ลดจมูกบานได้จริงไหม? ใช้กี่ยูนิต ราคาเท่าไหร่?
NextContinue
ฉีดฟิลเลอร์คาง กับ ผ่าตัดคาง แบบไหนดีกว่ากัน? ข้อดีข้อเสีย 2568

สาขาพรีวาโต คลินิก

    สาขาอโศก ตั้งอยู่ที่ ชั้น 2 อาคารมิดทาวน์
    Phone: 02-258-4050 , 081-841-5075
    สาขาสีลม ตั้งอยู่ที่ ชั้น 1 อาคารซี.พี.ทาวเวอร์
    Phone: 02-780-2011 , 098-272-5244
    สาขาราชพฤกษ์ ตั้งอยู่ที่ ชั้น 2 ศูนย์การค้า เดอะคริสตัล เอสบี (ด้านบนร้านสตาร์บัคส์)
    Phone: 02-102-2778 , 098-272-5244

ติดต่อเรา

    Facebook: Privato Clinic
    Messenger: Privato Clinic
    Instagram: privatoclinic
    Email: privatoclinic@gmail.com
    Line: @privatoclinic

Copyright© 2022-2024. All Rights Reserved

Scroll to top
  • หน้าหลัก
  • เกี่ยวกับพรีวาโต
  • บริการทั้งหมด
    • ชะลอวัย
    • ยกกระชับผิว
      • XERF
      • Potenza
      • Sofwave
      • Ulthera
      • Thermage-FLX
    • รักษาสิว
    • เลเซอร์
    • โปรแกรมฉีด
    • บำรุงผิว
  • บทความ
    • สิว
    • ยกกระชับ
    • ดูแลผิว
    • ทำเลเซอร์
  • ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว
  • โปรโมชั่น
  • ผลลัพธ์การรักษา
  • วิดีโอรีวิวจากเคสจริง
  • สาขาของเรา
  • ไทย
    • ไทย
    • English
    • 中文 (中国)
  • ปรึกษาแพทย์
Facebook Instagram YouTube