ฉีดฟิลเลอร์ คืออะไร ราคาเท่าไหร่? รวมข้อควรรู้ก่อนตัดสินใจ 2568

การฉีดฟิลเลอร์คือการใช้สารเติมเต็มประเภทกรดไฮยาลูรอนิก (HA) เพื่อช่วยลดเลือนริ้วรอยร่องลึกและปรับรูปหน้าให้ดูอ่อนเยาว์ ซึ่งให้ผลลัพธ์นานสูงสุด 18-24 เดือน พร้อมกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ในชั้นผิวเพื่อคืนความสดใสให้ใบหน้า
ฟิลเลอร์คืออะไร? ทำงานอย่างไรและช่วยแก้ปัญหาอะไรได้บ้าง
ฟิลเลอร์คือ สารเติมเต็มประเภทกรดไฮยาลูรอนิก (Hyaluronic Acid หรือ HA) ที่ใช้ฉีดเพื่อเพิ่มปริมาตรให้เนื้อเยื่ออ่อน ทำให้ผิวเรียบเนียนและใบหน้าดูอิ่มฟูขึ้น ฟิลเลอร์ทำงานโดยการเข้าไปเติมเต็มช่องว่างใต้ผิวหนัง, ดูดซับน้ำเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นและความเต่งตึง, และกระตุ้นให้เซลล์ไฟโบรบลาสต์สร้างคอลลาเจนใหม่ขึ้นมา
ฟิลเลอร์สามารถใช้แก้ปัญหาต่างๆ ได้แก่:
- ลดเลือนริ้วรอยและร่องลึก เช่น ร่องแก้มและร่องน้ำหมาก
- เติมเต็มบริเวณที่ตอบหรือยุบตัว เช่น แก้ม, ขมับ, และใต้ตาที่ลึกโหล
- ปรับปรุงและเสริมสร้างโครงหน้า เช่น เพิ่มวอลลุ่มให้ริมฝีปาก, เสริมคาง, และสร้างกรอบหน้าที่คมชัด
- ฟื้นฟูไขมันบนใบหน้าที่ฝ่อลีบ และแก้ไขแผลเป็นจากสิวบางชนิด
หลักการทำงานของสารเติมเต็ม Hyaluronic Acid ในชั้นผิว
สารเติมเต็ม Hyaluronic Acid (HA) ทำงานโดยการเข้าไปเติมเต็มช่องว่างในชั้นผิว จับโมเลกุลน้ำเพื่อเพิ่มปริมาตร และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่
เมื่อฉีดเข้าไป HA จะทำหน้าที่เติมเต็มเนื้อเยื่อที่พร่องไปได้ในทันที และด้วยคุณสมบัติที่สามารถอุ้มน้ำได้มากถึง 1,000 เท่าของน้ำหนักตัวเอง จึงช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นและทำให้ผิวบริเวณนั้นดูอิ่มฟูขึ้น นอกจากนี้ HA ยังทำหน้าที่เป็นโครงสร้างในชั้นผิวหนังแท้ (dermis) เพื่อกระตุ้นเซลล์ไฟโบรบลาสต์ (fibroblasts) ให้ผลิตคอลลาเจนใหม่ขึ้นมาเมื่อเวลาผ่านไป ส่งผลให้ผิวเรียบเนียนและมีคุณภาพดีขึ้นในระยะยาว
ปัญหาผิวและริ้วรอยที่สามารถแก้ไขได้ด้วยการฉีดฟิลเลอร์
ฟิลเลอร์สามารถใช้ แก้ไขปัญหาริ้วรอยร่องลึกระดับปานกลางถึงรุนแรง และเติมเต็มปริมาตรในบริเวณที่เกิดการยุบตัวหรือฝ่อลง เพื่อคืนความอ่อนเยาว์และปรับรูปหน้าให้ดูสดใสขึ้น
ปัญหาที่สามารถแก้ไขได้ด้วยฟิลเลอร์ ได้แก่:
- ร่องแก้ม (ร่องลึกจากจมูกถึงมุมปาก)
- ร่องน้ำหมาก (ร่องลึกบริเวณมุมปาก)
- แก้มตอบหรือโหนกแก้มแบน
- ขมับตอบ
- ร่องใต้ตาที่ลึกโบ๋
- ริมฝีปากบาง หรือต้องการปรับรูปทรงปาก
- คางสั้นหรือคางตัด
- กรอบหน้าที่ไม่คมชัด
- ริ้วรอยเล็กๆ เช่น ริ้วรอยรอบปาก
- แผลเป็นจากสิวบางชนิด
- การสูญเสียไขมันบนใบหน้าในผู้ป่วยบางกลุ่ม เช่น ผู้ติดเชื้อ HIV
- เติมเต็มหลังมือเพื่อลดลักษณะเส้นเอ็นและเส้นเลือดที่มองเห็นชัด
ใครที่เหมาะกับการฉีดฟิลเลอร์และใครที่ควรหลีกเลี่ยง
ข้อบ่งชี้: สัญญาณผิวที่เหมาะกับการใช้ฟิลเลอร์
ฟิลเลอร์เหมาะสำหรับ การลดเลือนริ้วรอยร่องลึกระดับปานกลางถึงรุนแรง และการเติมเต็มปริมาตรในบริเวณที่เกิดการยุบตัวหรือฝ่อลง สัญญาณผิวที่สามารถรักษาได้ด้วยฟิลเลอร์ ได้แก่
- ร่องแก้ม (Nasolabial folds)
- ร่องน้ำหมาก (Marionette lines)
- แก้มตอบหรือโหนกแก้มแบน (Hollow or sunken cheeks)
- ขมับตอบ (Temporal hollows)
- ร่องใต้ตา (Tear trough depressions)
- ริมฝีปากบาง (Thinning lips)
- คางสั้นหรือคางตัด (A receding chin)
- แนวกรามที่ไม่คมชัด (A weak jawline)
- ริ้วรอยเล็กๆ เช่น ริ้วรอยรอบปาก (Perioral smoker’s lines)
- การแก้ไขแผลเป็นจากสิวบางชนิด (Certain acne scar corrections)
- การเติมไขมันบนใบหน้าที่ฝ่อลง (Restoring lost facial fat)
- การเติมหลังมือเพื่อลดลักษณะเส้นเอ็นและเส้นเลือดที่ชัดเจน (Restoring volume to the backs of the hands)
ข้อห้าม: ภาวะที่ไม่ควรฉีดฟิลเลอร์เด็ดขาด
ภาวะที่ไม่ควรฉีดฟิลเลอร์เด็ดขาด ได้แก่ การมีประวัติแพ้ส่วนประกอบของฟิลเลอร์ การตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร แนวโน้มการเกิดแผลเป็นคีลอยด์ และการติดเชื้อหรือการอักเสบเฉียบพลันบริเวณที่จะฉีด
ภาวะเหล่านี้ถือเป็นข้อห้ามที่สำคัญเนื่องจากความเสี่ยงสูง โดยมีรายละเอียดดังนี้:
- การแพ้ส่วนประกอบของฟิลเลอร์: ผู้ที่มีประวัติแพ้ส่วนประกอบใดๆ ในฟิลเลอร์ เช่น แพ้ยาชา (Lidocaine) หรือโปรตีนจากแบคทีเรียแกรมบวกซึ่งใช้ในกระบวนการผลิต
- การตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร: เนื่องจากยังไม่มีการทดสอบความปลอดภัยของฟิลเลอร์ในกลุ่มนี้ จึงแนะนำให้หลีกเลี่ยงการฉีด
- แนวโน้มการเกิดแผลเป็นนูน (Keloid) หรือแผลเป็นโตนูน (Hypertrophic scar): การฉีดอาจกระตุ้นให้เกิดเนื้อเยื่อแผลเป็นที่ผิดปกติได้
- การติดเชื้อหรือการอักเสบ: ไม่ควรฉีดในบริเวณที่มีการติดเชื้อหรือการอักเสบของผิวหนัง รวมถึงผู้ที่มีภาวะภูมิต้านตนเองที่กำลังกำเริบบริเวณใบหน้า เช่น โรคลูปัสที่มีแผลบนใบหน้า
ตำแหน่งยอดนิยมในการฉีดฟิลเลอร์และประเภทของฟิลเลอร์
8 บริเวณบนใบหน้าที่ฉีดฟิลเลอร์เพื่อปรับรูปหน้าและเติมเต็ม
8 บริเวณบนใบหน้าที่นิยมฉีดฟิลเลอร์เพื่อปรับรูปหน้าและเติมเต็ม ได้แก่ หน้าผาก/หว่างคิ้ว, ขมับ, ใต้ตา, แก้ม, ร่องแก้ม, ริมฝีปาก, คาง และกรอบหน้า
แต่ละบริเวณมีวัตถุประสงค์ในการรักษาดังนี้:
- หน้าผาก/หว่างคิ้ว: เติมเต็มร่องลึกและปรับให้หน้าผากโค้งมนดูอ่อนเยาว์
- ขมับ: แก้ปัญหาขมับตอบ ทำให้ใบหน้าส่วนบนดูเต็มขึ้นและช่วยยกหางคิ้ว
- ใต้ตา: เติมเต็มร่องน้ำตาลึก เพื่อลดความหมองคล้ำและทำให้ใบหน้าดูสดใสขึ้น
- แก้ม: เพิ่มปริมาตรให้แก้มดูอิ่มฟูและยกกระชับ ซึ่งช่วยให้ร่องแก้มตื้นลง
- ร่องแก้ม: เติมเต็มร่องลึกข้างจมูก ทำให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ลง
- ริมฝีปาก: เพิ่มความอวบอิ่ม, ปรับรูปทรง, และให้ความชุ่มชื้น
- คาง: เสริมคางให้มีมิติมากขึ้น เพื่อให้ใบหน้าดูสมส่วนและคมชัด
- กรอบหน้า: สร้างกรอบหน้าที่คมชัดและเรียบเนียนขึ้น ทำให้ใบหน้าดูมีมิติ
ประเภทของฟิลเลอร์: การเลือกเนื้อสัมผัสให้เหมาะกับปัญหา
โดยทั่วไป การเลือกฟิลเลอร์จะใช้เนื้อนิ่มและยืดหยุ่นสำหรับบริเวณที่ผิวบางหรือมีการขยับบ่อย และใช้ฟิลเลอร์เนื้อแน่นและแข็งแรงสำหรับบริเวณที่ต้องการการพยุงและสร้างโครงสร้าง
- ฟิลเลอร์เนื้อนิ่มและยืดหยุ่น: เหมาะสำหรับพื้นที่ที่ต้องการความเป็นธรรมชาติ เช่น ใต้ตา ริมฝีปาก และการเติมริ้วรอยตื้นๆ
- ฟิลเลอร์เนื้อแน่นและแข็งแรง: เหมาะสำหรับพื้นที่ที่ต้องการการยกกระชับและสร้างกรอบหน้าให้ชัดเจน เช่น แก้ม คาง และกราม
ราคาฉีดฟิลเลอร์: ปัจจัยกำหนดค่าใช้จ่ายและราคาประเมินต่อ CC
ปัจจัยที่มีผลต่อราคา: ยี่ห้อ ปริมาณ และความเชี่ยวชาญของแพทย์
ราคาฟิลเลอร์ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลัก 3 ประการ ได้แก่ ยี่ห้อของฟิลเลอร์ ปริมาณที่ใช้ และชื่อเสียงของคลินิกหรือความเชี่ยวชาญของแพทย์
ปัจจัยเหล่านี้ส่งผลต่อราคาโดยรวม ดังนี้
- ยี่ห้อฟิลเลอร์: ฟิลเลอร์จากยุโรปหรืออเมริกา เช่น Juvederm และ Restylane มักมีราคาสูงกว่า (ประมาณ 12,000–20,000 บาทต่อซีซี) เนื่องจากมีงานวิจัยรองรับและมีอายุการใช้งานที่ยาวนานกว่า ในขณะที่ฟิลเลอร์จากเกาหลี เช่น Neuramis หรือ Yvoire จะมีราคาที่เข้าถึงง่ายกว่า (ประมาณ 6,000–10,000 บาทต่อซีซี)
- ปริมาณที่ใช้: ค่าใช้จ่ายทั้งหมดจะคำนวณตามจำนวนซีซี (cc) หรือจำนวนหลอดของฟิลเลอร์ที่ใช้ การรักษาในบริเวณที่ต้องการปริมาณมาก เช่น แก้ม หรือคาง จะมีค่าใช้จ่ายสูงกว่าบริเวณที่ใช้ปริมาณน้อย เช่น ริมฝีปาก
- คลินิกและแพทย์ผู้ฉีด: คลินิกที่มีชื่อเสียงและแพทย์ที่มีประสบการณ์มักมีค่าบริการที่สูงกว่า ซึ่งสะท้อนถึงต้นทุนของผลิตภัณฑ์ของแท้ที่ผ่านการรับรองจากอย. ไทย ความปลอดภัยของสถานพยาบาล และความเชี่ยวชาญที่ช่วยให้ผลลัพธ์ออกมาดีและปลอดภัย
ตารางราคาประเมินเบื้องต้นตามตำแหน่งที่ฉีด
ราคาฟิลเลอร์ในประเทศไทยโดยประมาณสำหรับตำแหน่งที่นิยมฉีด มีดังนี้
| ตำแหน่งที่ฉีด | ราคาประเมินโดยประมาณ (บาท) |
|---|---|
| ริมฝีปาก / ใต้ตา | 10,000 – 20,000 (สำหรับ 1 cc) |
| แก้ม | 20,000 – 60,000 (สำหรับ 2–3 cc) |
| กรอบหน้า | มักสูงกว่า 60,000 (เนื่องจากต้องใช้ปริมาณฟิลเลอร์มากกว่า) |
ราคาดังกล่าวเป็นเพียงการประเมินเบื้องต้น ซึ่งอาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับยี่ห้อฟิลเลอร์ ปริมาณที่ใช้ และโปรโมชั่นของแต่ละคลินิก
ผลลัพธ์ที่คาดหวัง: ฟิลเลอร์อยู่ได้นานแค่ไหนและเห็นผลเมื่อไหร่
ระยะเวลาเห็นผลและการเข้าที่ของฟิลเลอร์
ฟิลเลอร์จะเห็นผลลัพธ์ได้ทันทีหลังฉีด แต่ผลลัพธ์สุดท้ายที่เข้าที่แล้วจะเห็นได้ชัดเจนเมื่ออาการบวมยุบลงทั้งหมด ซึ่งโดยทั่วไปจะใช้เวลาประมาณ 2 สัปดาห์
โดยปกติแล้ว กระบวนการเข้าที่ของฟิลเลอร์มีดังนี้:
- 24–72 ชั่วโมงแรก: จะมีอาการบวมมากที่สุด
- 3–5 วัน: อาการบวมส่วนใหญ่จะลดลงอย่างเห็นได้ชัด
- 2 สัปดาห์: ฟิลเลอร์จะเข้าที่กับเนื้อเยื่อโดยสมบูรณ์ และอาการบวมจะหายไปหมด ทำให้เห็นผลลัพธ์ที่แท้จริง
อายุการใช้งานของฟิลเลอร์แต่ละชนิดและปัจจัยที่เกี่ยวข้อง
ฟิลเลอร์กรดไฮยาลูรอนิก (HA) ส่วนใหญ่มีอายุการใช้งานประมาณ 6-12 เดือน แต่บางชนิดอาจอยู่ได้นานถึง 18-24 เดือน โดยอายุการใช้งานจะแตกต่างกันไปตามบริเวณที่ฉีดและปัจจัยอื่นๆ
อายุการใช้งานโดยประมาณในแต่ละบริเวณ:
- ริมฝีปาก: 6-9 เดือน (เนื่องจากมีการเคลื่อนไหวบ่อย)
- ร่องแก้ม: 9-12 เดือน
- แก้ม คาง และกราม: 12-18 เดือน
- ใต้ตา: 1-2 ปี (เนื่องจากมีการเคลื่อนไหวน้อย)
ปัจจัยหลักที่ส่งผลต่ออายุของฟิลเลอร์:
- ชนิดของฟิลเลอร์: ฟิลเลอร์ที่มีความหนาแน่นสูงและมีการเชื่อมขวางของโมเลกุล (crosslinking) มาก จะสลายตัวช้ากว่าและอยู่ได้นานกว่า
- บริเวณที่ฉีด: บริเวณที่มีการเคลื่อนไหวน้อย เช่น แก้มหรือใต้ตา ฟิลเลอร์จะอยู่ได้นานกว่าบริเวณที่มีการเคลื่อนไหวบ่อย เช่น ริมฝีปาก
- ปัจจัยส่วนบุคคล: อัตราการเผาผลาญของแต่ละคนมีผลต่อความเร็วในการสลายฟิลเลอร์
- ไลฟ์สไตล์: การสูบบุหรี่ การออกกำลังกายอย่างหนัก และการสัมผัสกับแสงแดดจัดเป็นประจำ อาจทำให้ฟิลเลอร์สลายตัวเร็วขึ้น
ปัจจัยสำคัญที่ต้องพิจารณาก่อนตัดสินใจฉีดฟิลเลอร์
การเลือกคลินิกและแพทย์: มาตรฐานความปลอดภัยที่ต้องตรวจสอบ
มาตรฐานความปลอดภัยที่สำคัญที่สุดคือ การเลือกแพทย์ที่มีใบอนุญาตและคลินิกที่ได้มาตรฐานซึ่งดำเนินการในสถานพยาบาลที่เหมาะสม
เพื่อความปลอดภัย ควรตรวจสอบสิ่งต่อไปนี้:
- แพทย์ผู้ทำหัตถการ: ต้องเป็นแพทย์ที่มีใบประกอบวิชาชีพและมีความเชี่ยวชาญ ควรหลีกเลี่ยงผู้ฉีดที่ไม่ใช่แพทย์หรือที่เรียกว่า “หมอกระเป๋า”
- สถานที่ให้บริการ: ต้องเป็นคลินิกหรือสถานพยาบาลที่สะอาด มีอุปกรณ์ปลอดเชื้อ และมีมาตรฐาน ไม่ใช่การฉีดในบ้านหรือโรงแรม
- ผลิตภัณฑ์ฟิลเลอร์: ต้องเป็นของแท้ที่ผ่านการรับรองจาก อย. ไทย โดยคลินิกควรเปิดกล่องใหม่ต่อหน้าผู้รับบริการ และสามารถตรวจสอบยี่ห้อ เลขล็อต และวันหมดอายุได้
- การเตรียมพร้อมสำหรับภาวะฉุกเฉิน: คลินิกต้องมียาสลายฟิลเลอร์ (Hyaluronidase) เตรียมพร้อมไว้เสมอในกรณีที่เกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง เช่น การอุดตันของเส้นเลือด
การเตรียมตัวก่อนเข้ารับการฉีดฟิลเลอร์
การเตรียมตัวก่อนฉีดฟิลเลอร์ที่สำคัญที่สุดคือการเลือกคลินิกและแพทย์ที่น่าเชื่อถือ และงดรับประทานยาหรืออาหารเสริมที่เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดรอยช้ำ เพื่อความปลอดภัยและผลลัพธ์ที่ดี ควรปฏิบัติตามคำแนะนำต่อไปนี้
- เลือกสถานพยาบาลที่ได้มาตรฐาน: ตรวจสอบให้แน่ใจว่าผู้ให้บริการเป็นแพทย์ที่มีใบอนุญาตและทำหัตถการในคลินิกที่สะอาด ปลอดภัย และมีอุปกรณ์ฉุกเฉินครบครัน
- งดยาและอาหารเสริมที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด: ควรงดแอสไพริน, NSAIDs, วิตามินอีปริมาณสูง, น้ำมันปลา และอาหารเสริมอื่นๆ ที่ทำให้เลือดออกง่ายเป็นเวลา 1-2 สัปดาห์ก่อนการฉีด
- งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์: ควรหลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ 1 วันก่อนและในวันนัดฉีดฟิลเลอร์
- แจ้งประวัติสุขภาพ: หากมีประวัติเป็นเริมบริเวณริมฝีปากและต้องการฉีดฟิลเลอร์ปาก ควรแจ้งให้แพทย์ทราบล่วงหน้าเพื่อพิจารณาให้ยาป้องกัน
- เตรียมสภาพร่างกาย: ควรพักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำให้เยอะ และรับประทานอาหารมาก่อนเข้ารับบริการ นอกจากนี้ควรมาถึงคลินิกด้วยใบหน้าที่สะอาดปราศจากเครื่องสำอาง
วิธีตรวจสอบฟิลเลอร์ของแท้ด้วยตัวเอง
วิธีตรวจสอบฟิลเลอร์ของแท้คือการขอดูและตรวจสอบกล่องผลิตภัณฑ์ก่อนฉีด ซึ่งควรมีรายละเอียดที่สำคัญครบถ้วนและสามารถสังเกตได้ดังนี้
- ฉลาก อย. ภาษาไทย: กล่องฟิลเลอร์ของแท้ที่ผ่านการรับรองในประเทศไทยจะต้องมีสติกเกอร์และเอกสารกำกับเป็นภาษาไทย
- เลขล็อตและวันหมดอายุ: ต้องมีข้อมูลเลขที่การผลิต (Lot No.) และวันหมดอายุระบุไว้อย่างชัดเจน
- การตรวจสอบเพิ่มเติม: บางยี่ห้ออาจมีโฮโลแกรมกันปลอมหรือ QR Code ให้สแกนเพื่อตรวจสอบว่าเป็นของแท้
- กล่องใหม่และปิดสนิท: คลินิกที่น่าเชื่อถือจะเปิดกล่องใหม่ที่ยังไม่ถูกแกะซีลต่อหน้าผู้รับบริการเสมอ
ความเสี่ยง ผลข้างเคียง และข้อควรระวังในการฉีดฟิลเลอร์
ผลข้างเคียงที่พบได้ทั่วไปและวิธีดูแลเบื้องต้น
ผลข้างเคียงที่พบได้ทั่วไปหลังฉีดฟิลเลอร์คืออาการบวม รอยช้ำ รอยแดง และอาการเจ็บเล็กน้อยบริเวณที่ฉีด ซึ่งโดยปกติอาการเหล่านี้จะค่อยๆ ดีขึ้นและหายไปเองภายใน 2-3 วัน ถึง 2 สัปดาห์
วิธีดูแลเบื้องต้นเพื่อลดอาการข้างเคียง มีดังนี้:
- ประคบเย็น: ใช้แผ่นประคบเย็นหรือน้ำแข็งประคบบริเวณที่ฉีดเป็นระยะๆ ในช่วง 24 ชั่วโมงแรกเพื่อช่วยลดอาการบวม
- หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนัก: งดกิจกรรมที่ทำให้หัวใจเต้นเร็วและความดันโลหิตสูงขึ้นเป็นเวลา 24-48 ชั่วโมง
- หลีกเลี่ยงความร้อน: งดการเข้าซาวน่า สตรีม หรืออาบน้ำร้อนจัดประมาณ 2-3 วัน
- นอนหนุนหมอนสูง: การนอนยกศีรษะสูงในคืนแรกจะช่วยลดอาการบวมได้
- งดการสัมผัสรุนแรง: หลีกเลี่ยงการนวด กด หรือขยี้บริเวณที่ฉีดแรงๆ และงดการทำทรีตเมนต์ใบหน้าประมาณ 2 สัปดาห์
สัญญาณอันตรายที่ต้องรีบพบแพทย์ทันที
สัญญาณอันตรายที่ต้องรีบพบแพทย์ทันทีหลังฉีดฟิลเลอร์ ได้แก่ อาการปวดรุนแรงผิดปกติ, สีผิวเปลี่ยนเป็นสีขาว ซีด หรือม่วงเป็นลายตาข่าย, และการมองเห็นผิดปกติ ซึ่งทั้งหมดนี้อาจเป็นสัญญาณของภาวะหลอดเลือดอุดตัน
ควรสังเกตอาการฉุกเฉินอื่นๆ ดังต่อไปนี้:
- อาการปวดรุนแรง: มีอาการปวดที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ หรือปวดมากเกินกว่าปกติหลังการฉีด
- สีผิวเปลี่ยนแปลง: ผิวบริเวณที่ฉีดหรือใกล้เคียงเปลี่ยนเป็นสีขาว ซีด เทา หรือเป็นจ้ำสีม่วงคล้ำคล้ายลายตาข่าย
- การมองเห็นผิดปกติ: หากมีอาการตาพร่ามัว มองเห็นเป็นจุด หรือสูญเสียการมองเห็นอย่างกะทันหัน ถือเป็นภาวะฉุกเฉินร้ายแรง
- ผิวหนังเย็นและคล้ำลง: หากผิวบริเวณที่ฉีดเริ่มมีสีคล้ำลง เย็น และเจ็บปวดมากขึ้นภายในวันแรก ควรติดต่อแพทย์ทันที
- สัญญาณการติดเชื้อ: อาการบวม แดง ร้อน และปวดที่แย่ลงเรื่อยๆ แทนที่จะดีขึ้นหลังผ่านไป 2-3 วัน อาจบ่งชี้ถึงการติดเชื้อ
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการฉีดฟิลเลอร์ (FAQ)
ฉีดฟิลเลอร์เจ็บไหม?
ความเจ็บปวดจากการฉีดฟิลเลอร์อยู่ในระดับที่ทนได้ เนื่องจากมีการใช้ยาชาเฉพาะที่ การประคบเย็น และฟิลเลอร์หลายชนิดก็มียาชาผสมอยู่แล้วเพื่อช่วยลดความรู้สึกเจ็บ
โดยทั่วไป ผู้ป่วยส่วนใหญ่ให้คะแนนความเจ็บปวดอยู่ที่ประมาณ 2-4 จาก 10 เมื่อมีการใช้ยาชาอย่างเหมาะสม ซึ่งระดับความเจ็บจะแตกต่างกันไปในแต่ละบริเวณ เช่น ริมฝีปากจะมีความรู้สึกเจ็บมากกว่าบริเวณแก้มหรือคาง หลังฉีดอาจมีอาการเจ็บเล็กน้อยคล้ายอาการฟกช้ำ แต่หากมีอาการปวดรุนแรงถือว่าผิดปกติและควรปรึกษาแพทย์ทันที
ฉีดฟิลเลอร์อันตรายหรือไม่?
การฉีดฟิลเลอร์กรดไฮยาลูรอนิก (HA) โดยทั่วไปถือว่าปลอดภัย แต่ก็อาจเป็นอันตรายได้หากฉีดโดยผู้ที่ไม่มีคุณสมบัติเหมาะสมหรือเกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง ความปลอดภัยขึ้นอยู่กับการฉีดโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในสถานพยาบาลที่ได้มาตรฐาน และการใช้ผลิตภัณฑ์ของแท้ที่ผ่านการรับรองจาก อย.
ผลข้างเคียงที่พบบ่อยมักไม่รุนแรงและหายได้เอง เช่น อาการบวม ช้ำ หรือเจ็บบริเวณที่ฉีด อย่างไรก็ตาม มีความเสี่ยงที่รุนแรงแต่พบได้น้อยมาก เช่น การฉีดฟิลเลอร์เข้าหลอดเลือด ซึ่งอาจทำให้เนื้อเยื่อตายหรือตาบอดได้ ข้อดีที่สำคัญคือฟิลเลอร์ HA สามารถสลายได้ด้วยเอนไซม์หากเกิดปัญหาหรือไม่พอใจในผลลัพธ์
ฟิลเลอร์ 1 cc เยอะแค่ไหนและเหมาะกับบริเวณใด?
ฟิลเลอร์ 1 cc คือปริมาณ 1 มิลลิลิตร หรือประมาณ 1/5 ของช้อนชา ซึ่งเป็นปริมาณที่เหมาะสำหรับเติมเต็มในบริเวณเล็กๆ เช่น ริมฝีปาก, ใต้ตา, หรือร่องแก้มที่ไม่ลึกมาก
ฟิลเลอร์ 1 cc หรือ 1 หลอด (syringe) เป็นปริมาณที่ไม่มากอย่างที่หลายคนคิด โดยเทียบเท่ากับของเหลวประมาณ 20 หยดเท่านั้น ปริมาณนี้เหมาะสำหรับบริเวณต่างๆ ดังนี้
- ริมฝีปาก: เป็นปริมาณมาตรฐานสำหรับการเพิ่มวอลลุ่มและปรับทรงปากให้ดูอวบอิ่มขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ
- ใต้ตา: มักใช้ปริมาณ 1 cc หรือน้อยกว่าในการเติมเต็มร่องลึกใต้ตาเพื่อลดความโทรม ซึ่งบางครั้งอาจแบ่งใช้สำหรับใต้ตาทั้งสองข้าง
- ร่องแก้ม: เหมาะสำหรับผู้ที่มีร่องแก้มตื้นๆ หรือต้องการเติมเต็มเพียงเล็กน้อย หากร่องแก้มลึกอาจต้องใช้ข้างละ 1 cc
- คาง: สามารถใช้ 1 cc เพื่อเริ่มต้นการปรับรูปคางให้ดูยาวหรือมีมิติมากขึ้น แต่หากต้องการการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนอาจต้องใช้ปริมาณมากกว่านี้
สำหรับบริเวณที่ต้องการการเสริมโครงสร้างที่ชัดเจน เช่น โหนกแก้ม หรือกรอบหน้า มักจะต้องใช้ฟิลเลอร์มากกว่า 1 cc เพื่อให้เห็นผลลัพธ์ที่น่าพอใจ
หลังฉีดฟิลเลอร์ บวมกี่วันและเห็นผลเมื่อไหร่?
โดยทั่วไปอาการบวมหลังฉีดฟิลเลอร์จะยุบลงส่วนใหญ่ใน 3-5 วัน และจะเห็นผลลัพธ์สุดท้ายที่ชัดเจนเมื่อฟิลเลอร์เข้าที่เต็มที่ในเวลาประมาณ 2 สัปดาห์
แม้จะเห็นการเปลี่ยนแปลงทันทีหลังฉีด แต่ผลลัพธ์ในช่วงแรกจะยังไม่สมบูรณ์เนื่องจากมีอาการบวมร่วมด้วย โดยอาการบวมจะชัดเจนที่สุดในช่วง 24-72 ชั่วโมงแรก หลังจากนั้นจะค่อยๆ ยุบลง เมื่อครบ 2 สัปดาห์ อาการบวมและรอยช้ำเล็กน้อยจะหายไป ทำให้เห็นผลลัพธ์ที่แท้จริง แพทย์จึงมักนัดติดตามผลในช่วงเวลานี้
ฟิลเลอร์สลายหมดจริงหรือไม่?
ฟิลเลอร์ไฮยาลูรอนิกแอซิด (HA) สามารถสลายหมดได้จริง เนื่องจากร่างกายจะค่อยๆ ดูดซึมและย่อยสลายฟิลเลอร์ไปตามกระบวนการเผาผลาญตามธรรมชาติ จนกลายเป็นน้ำและคาร์บอนไดออกไซด์ในที่สุด ฟิลเลอร์ชนิดนี้จึงไม่ตกค้างในร่างกายอย่างถาวร ซึ่งถือเป็นข้อดีด้านความปลอดภัย
ฉีดฟิลเลอร์แล้วสามารถทำเลเซอร์หน้าได้ไหม?
สามารถทำเลเซอร์หน้าได้ แต่โดยทั่วไปแนะนำให้รออย่างน้อย 2 สัปดาห์หลังจากฉีดฟิลเลอร์ เพื่อให้ฟิลเลอร์เข้าที่และลดความเสี่ยงที่ความร้อนจากเลเซอร์จะไปเร่งการสลายตัวของฟิลเลอร์
ตามทฤษฎีแล้ว ความร้อนจากอุปกรณ์ที่ใช้พลังงาน เช่น เลเซอร์, RF หรือ HIFU อาจทำให้ฟิลเลอร์ไฮยาลูรอนิก (HA) สลายตัวเร็วขึ้นเล็กน้อย หากคุณมีฟิลเลอร์อยู่แล้วและจำเป็นต้องทำเลเซอร์ ก็ยังสามารถทำได้ แต่แพทย์อาจต้องปรับการตั้งค่าพลังงานให้เหมาะสมเพื่อลดผลกระทบดังกล่าว
References:
- U.S. Food and Drug Administration (FDA). Dermal Filler Do’s and Don’ts for Wrinkles, Lips and More. FDA Consumer Update. fda.gov
- Cleveland Clinic. Cheek Filler: Benefits, Risks & What To Expect. Cleveland Clinic Health Library. clevelandclinic.org
- Hong, G.-W., Wan, J., Yoon, S.-E., et al. Conditions to Consider When Choosing Fillers. Journal of Cosmetic Dermatology. nih.gov
- Puljic, A., Frank, K., Cohen, J., et al. A Scientific Framework for Comparing Hyaluronic Acid Filler Crosslinking Technologies. MDPI – Gels Journal. mdpi.com
- Guo, J., Fang, W., & Wang, F. Injectable fillers: current status, physicochemical properties, function mechanism, and perspectives. RSC Advances. rsc.org
- Janovskiene, A., Chomicius, D., Afanasjevas, D., et al. Safety and Potential Complications of Facial Wrinkle Correction with Dermal Fillers: A Systematic Literature Review. Medicina. mdpi.com
- The Plastic Fella. Injectable Fillers: Classification, Indications, & Injection Techniques. The Plastic Fella Medical Blog. theplasticsfella.com
- Lafaille, P., & Benedetto, A. Fillers: Contraindications, Side Effects and Precautions. Journal of Cutaneous and Aesthetic Surgery. nih.gov
