ฉีดฟิลเลอร์จมูก อันตรายไหม? เสี่ยงตาบอดจริงหรือ? ข้อควรรู้ 2568

การฉีดฟิลเลอร์จมูกเป็นหัตถการไม่ต้องผ่าตัดเพื่อปรับแก้สันจมูกหรือข้อบกพร่องเล็กน้อย โดยใช้ฟิลเลอร์ประมาณ 1 ซีซีซึ่งให้ผลลัพธ์นานประมาณ 1 ปี แต่ถือเป็นหัตถการความเสี่ยงสูงที่อาจทำให้ตาบอดได้หากฉีดเข้าหลอดเลือด จึงต้องทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น
ไขข้อสงสัย: ฉีดฟิลเลอร์จมูกเสี่ยงตาบอดและอันตรายอื่นๆ จริงหรือไม่
การฉีดฟิลเลอร์จมูกมีความเสี่ยงทำให้ตาบอดและเกิดอันตรายอื่นๆ ได้จริง แต่เป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบได้น้อยมากหากทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
ความเสี่ยงที่รุนแรงที่สุดคือการที่ฟิลเลอร์ถูกฉีดเข้าหลอดเลือดโดยไม่ตั้งใจ แล้วอุดตันหลอดเลือดแดงที่ไปเลี้ยงจอประสาทตา (Retinal Artery Occlusion) ซึ่งอาจทำให้สูญเสียการมองเห็นอย่างเฉียบพลันและส่วนใหญ่มักจะถาวร โดยจมูกถือเป็นบริเวณที่มีความเสี่ยงสูงสุด
นอกจากนี้ยังมีอันตรายอื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ เช่น:
- เนื้อตาย (Skin Necrosis): เกิดจากการที่ฟิลเลอร์อุดตันหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงผิวหนังบริเวณจมูก
- การติดเชื้อ: หากกระบวนการฉีดไม่สะอาดปลอดเชื้อ
- ก้อนอักเสบ (Granuloma): ปฏิกิริยาของร่างกายต่อฟิลเลอร์ที่อาจเกิดขึ้นหลังฉีดไปแล้วหลายเดือน
อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงเหล่านี้สามารถลดลงได้อย่างมากโดยการเลือกแพทย์ที่มีประสบการณ์สูง มีความรู้ด้านกายวิภาคเป็นอย่างดี ใช้เทคนิคการฉีดที่ปลอดภัย (เช่น ใช้เข็มปลายทู่ ฉีดช้าๆ ในปริมาณน้อย) และใช้ฟิลเลอร์ที่ได้มาตรฐาน
ใครบ้างที่เหมาะกับการฉีดฟิลเลอร์จมูก: ข้อบ่งชี้และข้อห้าม
คุณสมบัติของผู้ที่เหมาะกับการฉีดฟิลเลอร์จมูก
ผู้ที่เหมาะกับการฉีดฟิลเลอร์จมูกคือผู้ที่มีสุขภาพโดยรวมดี มีโครงสร้างจมูกเดิมอยู่บ้าง และต้องการปรับแก้ข้อบกพร่องเล็กน้อย เช่น การเพิ่มความสูงของสันจมูกหรือทำให้จมูกดูตรงขึ้น โดยมีเป้าหมายเพื่อการปรับปรุงที่ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงอย่างสิ้นเชิง
คุณสมบัติของผู้ที่เหมาะกับการฉีดฟิลเลอร์ ได้แก่
- ผู้ที่ต้องการหลีกเลี่ยงค่าใช้จ่ายและระยะเวลาพักฟื้นจากการผ่าตัด
- ผู้ที่ต้องการ “ทดลอง” รูปทรงจมูกใหม่ก่อนตัดสินใจผ่าตัดถาวร
- ผู้ที่มีข้อบกพร่องเล็กน้อย เช่น สันจมูกแบน หรือมีฮัมพ์ (กระดูกนูน) เล็กน้อย
- ผู้ที่มีผิวหนังจมูกยืดหยุ่นเพียงพอที่จะรองรับฟิลเลอร์ได้
ในทางกลับกัน ผู้ที่ไม่เหมาะกับการฉีดฟิลเลอร์คือผู้ที่ต้องการให้จมูกเล็กลงหรือแคบลงอย่างมาก, ไม่มีสันจมูกเลย, มีประวัติแพ้ฟิลเลอร์รุนแรง หรือมีการติดเชื้อบริเวณจมูก
กลุ่มที่ควรหลีกเลี่ยงหรือปรึกษาแพทย์เป็นพิเศษ
ผู้ที่มีประวัติแพ้ส่วนประกอบของฟิลเลอร์ มีการติดเชื้อบริเวณจมูก หรือมีโรคประจำตัวบางชนิด ควรหลีกเลี่ยงการฉีดฟิลเลอร์จมูก หรือปรึกษาแพทย์อย่างละเอียดก่อนตัดสินใจ
กลุ่มบุคคลที่ควรระมัดระวังเป็นพิเศษ ได้แก่
ผู้ที่มีข้อห้ามเด็ดขาด:
- มีประวัติแพ้ฟิลเลอร์ (Hyaluronic Acid) หรือยาชาอย่างรุนแรง
- มีการติดเชื้อบริเวณจมูก เช่น สิวอักเสบ, เริม หรือไซนัสอักเสบ (ควรรอให้หายก่อน)
- ผู้ที่ควรปรึกษาแพทย์เป็นพิเศษ:
- ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคแพ้ภูมิตัวเอง, ผู้ที่ใช้ยากดภูมิคุ้มกัน, เบาหวานที่ควบคุมไม่ได้ หรือโรคเลือดออกผิดปกติ
- ผู้ที่เคยผ่าตัดจมูกจนผิวหนังตึงหรือมีแผลเป็นมาก
- ผู้ที่เคยร้อยไหมหรือมีซิลิโคนในจมูก เพราะเพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อ
- ผู้ที่ต้องการลดขนาดจมูกให้เล็กลงอย่างชัดเจน หรือไม่มีสันจมูกเลย เนื่องจากฟิลเลอร์ไม่สามารถตอบโจทย์ได้
ขั้นตอนการฉีดฟิลเลอร์จมูกเพื่อความปลอดภัยและผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
ขั้นตอนการฉีดฟิลเลอร์จมูกที่ปลอดภัยคือการฉีดฟิลเลอร์ทีละน้อยอย่างช้าๆ ในแนวกลางจมูกและชั้นลึกชิดกระดูก เพื่อหลีกเลี่ยงเส้นเลือดสำคัญ จากนั้นจึงปั้นฟิลเลอร์ให้ได้รูปทรงที่สวยงาม
ขั้นตอนโดยทั่วไปมีดังนี้:
- เตรียมผิว แพทย์จะทายาชาเฉพาะที่บนจมูกทิ้งไว้ประมาณ 15-30 นาทีเพื่อลดความเจ็บปวด
- ฉีดฟิลเลอร์ แพทย์จะใช้เทคนิค “microdroplet” คือฉีดฟิลเลอร์ในปริมาณน้อยมาก (0.05–0.1 มล.) ในแต่ละจุดอย่างช้าๆ และใช้แรงดันต่ำ โดยจะฉีดในชั้นลึกติดกระดูกและตรงแนวกลางจมูกเพื่อความปลอดภัย
- ตรวจสอบตำแหน่ง ก่อนฉีดอาจมีการดูด (Aspirate) เพื่อเช็กว่าปลายเข็มไม่ได้อยู่ในเส้นเลือด ซึ่งเป็นขั้นตอนเสริมเพื่อเพิ่มความปลอดภัย
- ปั้นทรง หลังจากฉีดเสร็จ แพทย์จะค่อยๆ ปั้นฟิลเลอร์เบาๆ เพื่อจัดทรงจมูกให้เรียบเนียนและเป็นธรรมชาติก่อนที่ฟิลเลอร์จะเซตตัว
ผลลัพธ์ที่คาดหวังและระยะเวลาคงอยู่ของฟิลเลอร์จมูก
ผลลัพธ์ของการฉีดฟิลเลอร์จมูกจะเห็นได้เกือบทันที โดยทั่วไปจะคงอยู่ได้นานประมาณ 1 ปี แต่อาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล หลังฉีดจะเห็นทรงจมูกที่โด่งขึ้นและมีมิติมากขึ้นทันที และจะเข้าที่ดูเป็นธรรมชาติมากขึ้นภายใน 2-3 วันหลังอาการบวมเล็กน้อยหายไป
ระยะเวลาที่ฟิลเลอร์จะคงอยู่ขึ้นอยู่กับชนิดของฟิลเลอร์ที่ใช้และอัตราการเผาผลาญของแต่ละคน โดยฟิลเลอร์ประเภท Hyaluronic Acid (HA) ที่มีความหนาและเชื่อมขวางกันแน่นจะอยู่ได้นานกว่า ฟิลเลอร์ชนิดนี้เป็นที่นิยมมากที่สุดเนื่องจากมีความปลอดภัยสูงและสามารถสลายได้หากไม่พอใจผลลัพธ์ โดยแพทย์มักแนะนำให้กลับมาเติมฟิลเลอร์ทุกๆ 12 เดือนเพื่อคงผลลัพธ์ไว้ได้อย่างต่อเนื่อง
ฉีดฟิลเลอร์จมูก ราคาเท่าไหร่ และต้องใช้ปริมาณกี่ซีซี
การฉีดฟิลเลอร์จมูกโดยทั่วไปใช้ปริมาณ 1 ซีซี ซึ่งมีราคาประมาณ 4,000 – 15,000 บาทต่อซีซี โดยราคาจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับยี่ห้อของฟิลเลอร์และมาตรฐานของคลินิก
สำหรับคนส่วนใหญ่ การใช้ฟิลเลอร์เพียง 1 ซีซีก็เพียงพอที่จะปรับแก้ทรงจมูกให้สวยงามได้แล้ว และแพทย์มักไม่แนะนำให้ใช้เกิน 1 ซีซีในการฉีดครั้งเดียว
ช่วงราคาโดยประมาณสำหรับฟิลเลอร์ 1 ซีซีในประเทศไทยมีดังนี้:
- ฟิลเลอร์แบรนด์พรีเมียม (ยุโรป/อเมริกา): ประมาณ 12,000 – 15,000 บาท (เช่น Restylane, Juvéderm)
- ฟิลเลอร์แบรนด์ระดับกลาง: ประมาณ 8,000 – 10,000 บาท
- ฟิลเลอร์แบรนด์ราคาย่อมเยา (มักเป็นแบรนด์เกาหลี): ประมาณ 4,000 – 6,000 บาท
ข้อควรพิจารณาก่อนตัดสินใจฉีดฟิลเลอร์จมูก
หลักเกณฑ์การเลือกคลินิกและแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
ควรเลือกแพทย์ที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญสูง รวมถึงคลินิกที่ใช้ฟิลเลอร์ของแท้ที่ได้มาตรฐานและปฏิบัติตามมาตรการความปลอดภัยทางการแพทย์อย่างเคร่งครัด
หลักเกณฑ์ในการพิจารณาเพิ่มเติม ได้แก่:
- สอบถามความถี่ในการทำหัตถการเสริมจมูกโดยไม่ผ่าตัดของแพทย์
- ขอดูภาพก่อนและหลังการรักษาของคนไข้จริง
- ตรวจสอบว่าคลินิกมีมาตรการด้านความปลอดภัย เช่น การฆ่าเชื้อ, การให้ข้อมูลเพื่อขอความยินยอม และการเตรียมพร้อมสำหรับภาวะฉุกเฉิน
- แพทย์ควรให้ข้อมูลตามจริงเกี่ยวกับผลลัพธ์ที่เป็นไปได้และข้อจำกัดของการฉีดฟิลเลอร์
เปรียบเทียบฟิลเลอร์จมูกกับการร้อยไหมและศัลยกรรมเสริมจมูก
ฟิลเลอร์จมูกให้ผลลัพธ์การปรับแก้ทรงเล็กน้อยและไม่ถาวร, การร้อยไหมเน้นการยกปลายจมูก, ในขณะที่การศัลยกรรมให้ผลลัพธ์ที่ถาวรและเปลี่ยนแปลงได้อย่างชัดเจน แต่ก็มีค่าใช้จ่ายและระยะเวลาพักฟื้นที่สูงกว่า
ตารางเปรียบเทียบระหว่างฟิลเลอร์, ร้อยไหม และศัลยกรรมจมูก:
| คุณสมบัติ | ฟิลเลอร์ (Filler) | ร้อยไหม (Thread Lift) | ศัลยกรรม (Surgery) |
|---|---|---|---|
| ผลลัพธ์ | ปรับแก้ทรงเล็กน้อย เช่น ทำให้สันจมูกตรงขึ้น เพิ่มความสูงเล็กน้อย | เน้นการยกปลายจมูกให้โด่งขึ้น | เปลี่ยนแปลงได้อย่างชัดเจนและถาวร เช่น ทำให้จมูกแคบลง เสริมสันจมูกให้สูงมาก |
| ความคงทน | ชั่วคราว (ประมาณ 1 – 1.5 ปี) | ชั่วคราว | ถาวร |
| การพักฟื้น | น้อยมาก หรือไม่ต้องพักฟื้น | น้อย | ใช้เวลาหลายสัปดาห์ และผลลัพธ์จะเข้าที่ในหลายเดือน |
| ความเหมาะสม | ผู้ที่ต้องการปรับแก้เล็กน้อย, หลีกเลี่ยงการผ่าตัด, หรือ “ทดลอง” ทรงจมูกใหม่ | ผู้ที่ต้องการยกปลายจมูกเป็นหลัก | ผู้ที่ต้องการการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน, มีสันจมูกน้อยมาก, หรือต้องการผลลัพธ์ถาวร |
| ข้อเสีย | ผลลัพธ์ไม่ถาวร, มีความเสี่ยง (น้อย) ต่อการอุดตันของเส้นเลือด | อาจรู้สึกไม่เป็นธรรมชาติ, ปรับรูปทรงได้ไม่หลากหลายเท่าฟิลเลอร์ | ค่าใช้จ่ายสูง, ต้องดมยาสลบ, มีระยะเวลาพักฟื้นนาน |
การเตรียมตัวก่อนฉีดและวิธีดูแลตัวเองหลังฉีด
การเตรียมตัวก่อนฉีดฟิลเลอร์จมูกคือการงดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และรักษาการติดเชื้อบริเวณจมูกให้หาย ส่วนการดูแลหลังฉีดคือการหลีกเลี่ยงแรงกดทับ ความร้อน และการออกกำลังกายหนัก
การเตรียมตัวก่อนฉีด:
- งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 1-2 วันก่อนทำหัตถการ
- หากมีสิวอักเสบหรือการติดเชื้อบริเวณจมูก ควรรักษาให้หายก่อน
- ในวันนัดหมาย ควรมาด้วยใบหน้าที่สะอาดปราศจากเครื่องสำอาง
- แจ้งแพทย์ให้ทราบหากเคยฉีดฟิลเลอร์หรือร้อยไหมจมูกมาก่อน
การดูแลตัวเองหลังฉีด:
- หลีกเลี่ยงการสวมแว่นตาที่กดทับสันจมูกประมาณ 1-2 สัปดาห์
- งดการออกกำลังกายหนักเป็นเวลา 24-48 ชั่วโมง
- หลีกเลี่ยงความร้อน เช่น ซาวน่า หรือการอาบน้ำร้อนจัด ประมาณ 2 วัน
- นอนหนุนหมอนให้ศีรษะสูงขึ้นในคืนแรก และพยายามไม่นอนคว่ำหน้า
ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นและวิธีรับมือเบื้องต้น
ผลข้างเคียงที่พบบ่อยที่สุดหลังฉีดฟิลเลอร์จมูกคืออาการบวมเล็กน้อย รอยช้ำ และอาการเจ็บ ซึ่งโดยทั่วไปจะหายได้เองภายในไม่กี่วัน ในช่วงแรกสามารถประคบเย็นเบาๆ เพื่อช่วยลดอาการบวมและรอยช้ำได้
อย่างไรก็ตาม มีความเสี่ยงที่พบได้ยากแต่รุนแรงซึ่งถือเป็นภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ สัญญาณเตือนที่ต้องรีบติดต่อแพทย์ทันที ได้แก่:
- อาการปวดรุนแรงผิดปกติ
- สีผิวเปลี่ยนไป เช่น ซีด เป็นจ้ำ หรือมีสีม่วงคล้ำ
- การมองเห็นผิดปกติ เช่น ตาพร่ามัว หรือสูญเสียการมองเห็นบางส่วน
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการฉีดฟิลเลอร์จมูก (FAQ)
ฉีดฟิลเลอร์จมูกเจ็บไหม?
การฉีดฟิลเลอร์จมูกเจ็บน้อยมาก เนื่องจากแพทย์จะทายาชาเฉพาะที่บนจมูกประมาณ 15-30 นาทีก่อนฉีดเพื่อลดความรู้สึกเจ็บ
ในระหว่างการฉีด คนไข้ส่วนใหญ่มักจะรู้สึกถึงแรงกดหรือแสบเล็กน้อยเท่านั้น และหลายคนรู้สึกว่าเจ็บน้อยกว่าที่คาดไว้ หลังฉีดอาจมีอาการเจ็บหรือปวดระบมเล็กน้อยเมื่อสัมผัส ซึ่งจะหายไปเองภายในไม่กี่วัน โดยรวมแล้วความเจ็บปวดถือว่าน้อยเมื่อเทียบกับการผ่าตัดเสริมจมูก
เคยฉีดฟิลเลอร์แล้วสามารถผ่าตัดเสริมจมูกได้หรือไม่?
สามารถผ่าตัดเสริมจมูกได้ แต่โดยทั่วไปศัลยแพทย์จะแนะนำให้สลายฟิลเลอร์ออกให้หมดก่อนทำการผ่าตัด เนื่องจากฟิลเลอร์ที่ตกค้างอาจบิดเบือนเนื้อเยื่อ ทำให้การปรับแต่งรูปทรงจมูกทำได้ไม่แม่นยำ
สำหรับฟิลเลอร์ชนิดไฮยาลูรอนิกแอซิด (HA) สามารถฉีดสลายด้วยเอนไซม์ไฮยาลูโรนิเดส (Hyaluronidase) ได้ และหลังจากสลายฟิลเลอร์แล้ว โดยทั่วไปควรรอประมาณ 3-6 เดือนเพื่อให้เนื้อเยื่อกลับสู่สภาพปกติก่อนเข้ารับการผ่าตัด
ฟิลเลอร์จมูกต้องใช้กี่ซีซีจึงจะเห็นการเปลี่ยนแปลง?
โดยทั่วไปแล้ว การฉีดฟิลเลอร์จมูกจะใช้ปริมาณ 1 ซีซี ซึ่งเพียงพอสำหรับการแก้ไขปรับรูปทรงจมูกส่วนใหญ่
ปริมาณเพียงเล็กน้อยก็สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดเจน เช่น การแก้ไขสันจมูกที่ไม่เรียบอาจใช้เพียง 0.5 ซีซี ในขณะที่การเสริมสันจมูกให้โด่งขึ้นอาจต้องใช้ 1 ซีซีเต็ม การใช้ฟิลเลอร์มากกว่า 1 ซีซีในการฉีดครั้งเดียวมักไม่เป็นที่แนะนำ เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงและผลลัพธ์ที่ไม่เป็นธรรมชาติ โดยแพทย์จะเป็นผู้ประเมินปริมาณที่เหมาะสมกับคนไข้แต่ละราย
ฟิลเลอร์จมูกสามารถอยู่ได้นานแค่ไหน?
โดยทั่วไปแล้ว ฟิลเลอร์จมูกจะอยู่ได้นานประมาณ 1 ปี แต่อาจคงผลลัพธ์ได้ตั้งแต่ 1 ถึง 1.5 ปี ขึ้นอยู่กับชนิดของฟิลเลอร์ที่ใช้และปัจจัยส่วนบุคคล เช่น อัตราการเผาผลาญของร่างกาย
เนื่องจากจมูกเป็นบริเวณที่มีการขยับน้อย ฟิลเลอร์จึงสลายตัวช้ากว่าส่วนอื่น และแพทย์มักแนะนำให้กลับมาเติมซ้ำเมื่อครบ 12 เดือนเพื่อรักษาผลลัพธ์ให้ต่อเนื่อง
ฟิลเลอร์ยี่ห้อไหนเหมาะกับการฉีดจมูกมากที่สุด?
ไม่มีฟิลเลอร์ยี่ห้อใดที่ “ดีที่สุด” เพียงยี่ห้อเดียว แต่แพทย์ส่วนใหญ่นิยมใช้ฟิลเลอร์ประเภทไฮยาลูรอนิกแอซิด (Hyaluronic Acid: HA) ที่มีความคงตัวสูงและเนื้อแน่นเพื่อใช้ในการปั้นทรงจมูก
ยี่ห้อที่ได้รับความนิยมและมีประวัติการใช้ที่ดี ได้แก่:
- Restylane Lyft เป็นตัวเลือกที่นิยมเนื่องจากคงรูปได้ดีและมีอาการบวมน้อย
- Juvéderm Voluma เป็นอีกยี่ห้อที่ใช้กันทั่วไป มีความคงทนและอยู่ได้นานถึง 18 เดือน
- ยี่ห้ออื่นๆ ที่สามารถใช้ได้ เช่น Teosyal Ultra Deep หรือ Belotero Intense
สิ่งสำคัญที่สุดคือการเลือกใช้ฟิลเลอร์ HA ที่มีคุณภาพ สามารถสลายได้ในกรณีที่เกิดปัญหา และฉีดโดยแพทย์ผู้มีประสบการณ์
หากไม่พอใจผลลัพธ์ สามารถฉีดสลายฟิลเลอร์ได้หรือไม่?
ได้ หากเป็นฟิลเลอร์ชนิดไฮยาลูรอนิกแอซิด (HA) ซึ่งสามารถฉีดสลายได้ด้วยเอนไซม์ไฮยาลูโรนิเดส (Hyaluronidase)
ข้อดีของฟิลเลอร์ HA คือสามารถแก้ไขหรือเอาออกได้หากไม่พอใจผลลัพธ์ โดยการฉีดสลายจะใช้เวลาไม่นานและมีประสิทธิภาพสูง ซึ่งอาจต้องทำ 1-2 ครั้งเพื่อให้ฟิลเลอร์สลายออกทั้งหมด หลังจากนั้นจมูกจะกลับคืนสู่รูปทรงเดิมตามธรรมชาติ
References:
- Doyon V. et al. (n.d.). Update on Blindness From Filler: Review of Prognostic Factors and a Century of Cases. Aesthetic Surgery Journal. oxfordacademic.com
- Sheptulin V., & Grusha Y. (n.d.). Reversible vision loss following nonsurgical filler rhinoplasty. Russian Open Medical Journal. romj.org
- Chakhachiro A., & Waseem M. (n.d.). Risk factor analysis for vascular occlusions after dermal filler injections: A systematic review and meta-analysis. Cureus. cureus.com
- Hall S., & Kontis T. (n.d.). Nonsurgical rhinoplasty. World Journal of Otorhinolaryngology – Head & Neck Surgery. wiley.com
- Harley Clinic. (n.d.). Non-surgical nose job: How long does it last? harleyclinic.com
- Mabrie D. (n.d.). Non-surgical nose job after rhinoplasty: Is it safe? Mabrie Facial Institute Blog. yourfaceinourhands.com
