ตาโหล เบ้าตาลึก เกิดจากอะไร รักษาด้วยวิธีไหนเห็นผล

ตาโหล คือภาวะเบ้าตาลึกที่เกิดจากการยุบตัวของไขมันและกระดูกรอบดวงตา ทำให้ใบหน้าดูเหนื่อยล้า ซึ่งรักษาได้ด้วยการฉีดฟิลเลอร์เติมเต็มร่องลึกใต้ตาให้เรียบเนียนอย่างเป็นธรรมชาติ โดยผลลัพธ์สามารถคงอยู่ได้นาน 1-2 ปีและช่วยให้ใบหน้าโดยรวมดูสดใสอ่อนเยาว์ขึ้น
ลักษณะของตาโหลและเบ้าตาลึกเป็นอย่างไร
ลักษณะของ ตาโหลและเบ้าตาลึกคือการที่บริเวณรอบดวงตาดูยุบตัวหรือจมลึกลงไป ทำให้เกิดร่องลึกและเงาดำคล้ำใต้ตา ซึ่งทำให้ใบหน้าโดยรวมดูเหนื่อยล้า อ่อนเพลีย และดูมีอายุมากขึ้น
สาเหตุหลักเกิดจากการสูญเสียปริมาตรของไขมันและกระดูกบริเวณรอบดวงตา ซึ่งอาจมาจากปัจจัยต่างๆ เช่น อายุที่เพิ่มขึ้น พันธุกรรม หรือการลดน้ำหนักอย่างรวดเร็ว โดยสามารถสังเกตลักษณะได้ดังนี้
- ตาโหล (Sunken Eyes): มักหมายถึงการเกิดร่องลึกใต้ตา (Tear Trough) ที่เห็นได้ชัดเจนตั้งแต่หัวตาไล่ลงมาถึงแก้ม ทำให้เกิดเป็นเงาที่ดูเหมือนรอยคล้ำใต้ตา
- เบ้าตาลึก (Deep-Set Eyes): เป็นลักษณะที่ลูกตาจมลึกลงไปในเบ้าตามากกว่าปกติ อาจเกิดจากการฝ่อตัวของไขมันบริเวณเปลือกตาบน ทำให้เปลือกตาดูโบ๋และเห็นขอบกระดูกเบ้าตาชัดเจนขึ้น
ตาโหลเกิดจากสาเหตุหลักอะไรได้บ้าง
พันธุกรรมและโครงสร้างกระดูกเบ้าตา
พันธุกรรมเป็นปัจจัยหลักที่กำหนดโครงสร้างกระดูกเบ้าตา ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อลักษณะของดวงตา เช่น ปัญหาร่องลึกใต้ตาหรือตาโหล
โครงสร้างกระดูกเบ้าตาที่ลึกหรือกว้างกว่าปกติซึ่งถูกกำหนดโดยพันธุกรรม จะทำให้ดวงตาดูจมลึกลงไป นอกจากนี้ รูปทรงของกระดูกขอบเบ้าตาและโหนกแก้มยังมีผลต่อการเกิดร่องน้ำตาที่ชัดเจน ซึ่งลักษณะเหล่านี้มักปรากฏให้เห็นได้ตั้งแต่กำเนิด
การเปลี่ยนแปลงตามวัยและการสลายตัวของไขมัน
การเปลี่ยนแปลงตามวัยทำให้ไขมันบริเวณรอบดวงตาสลายตัวและเคลื่อนที่ลง ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดร่องน้ำตา เบ้าตาลึก และถุงใต้ตา
เมื่ออายุมากขึ้น โครงสร้างบนใบหน้าหลายส่วนจะเปลี่ยนแปลงไปพร้อมกัน โดยเฉพาะบริเวณรอบดวงตาซึ่งมีการสลายตัวของไขมัน (Fat Atrophy) และการเคลื่อนตัวต่ำลงของก้อนไขมันบริเวณแก้ม ทำให้ปริมาตรใต้ตาและเปลือกตาบนลดลง ประกอบกับการที่กระดูกเบ้าตาบางส่วนสลายไปและผิวหนังบางลง จึงทำให้เห็นลักษณะความร่วงโรยได้ชัดเจนขึ้น
ผลลัพธ์ที่มองเห็นได้จากการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ ได้แก่:
- ร่องน้ำตาลึก: เกิดจากการที่ไขมันและเนื้อเยื่อบริเวณแก้มส่วนบนหย่อนคล้อยลง ทำให้เกิดเป็นร่องลึกใต้ตา
- เบ้าตาลึกโบ๋: เกิดจากการสลายตัวของไขมันในเบ้าตาโดยตรง ทำให้ดวงตาดูโหลและอิดโรย
- ถุงใต้ตา: เกิดจากไขมันในเบ้าตาปูดนูนออกมาเนื่องจากกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อที่พยุงไว้หย่อนยานลง
พฤติกรรมการใช้ชีวิตและการพักผ่อนไม่เพียงพอ
พฤติกรรมการใช้ชีวิตและการพักผ่อนไม่เพียงพอ เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ใต้ตาคล้ำ โทรม และเกิดร่องลึกใต้ตาได้ เนื่องจากการนอนน้อยจะทำให้ผิวหนังซีดลง ส่งผลให้เห็นหลอดเลือดและเนื้อเยื่อสีเข้มใต้ผิวหนังชัดเจนขึ้นจนเกิดเป็นรอยคล้ำ และยังอาจทำให้เกิดการสะสมของของเหลวจนใต้ตาบวมได้
ปัจจัยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ได้แก่
- การสูญเสียไขมันและคอลลาเจน การพักผ่อนน้อยและภาวะเครียดเรื้อรังสามารถเร่งกระบวนการสลายของไขมันและคอลลาเจนบริเวณใต้ตา ทำให้ผิวบางลงและเกิดเป็นร่องลึก
- การขาดน้ำ ทำให้ผิวหนังเหี่ยวและดวงตาดูโหลลึก
- การลดน้ำหนักอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ไขมันบนใบหน้าลดลงก่อนส่วนอื่น ทำให้ร่องใต้ตาเด่นชัดขึ้น
- การสูบบุหรี่และการดื่มแอลกอฮอล์ ทำลายคอลลาเจนและส่งผลต่อการไหลเวียนโลหิต ทำให้ผิวดูแก่กว่าวัย
ภาวะสุขภาพและผลข้างเคียงจากการผ่าตัด
ภาวะสุขภาพที่ทำให้ใต้ตาโหลได้แก่ การเสื่อมสภาพตามวัย การลดน้ำหนักอย่างรวดเร็ว ภาวะขาดน้ำ และการใช้ยาบางชนิด ส่วนผลข้างเคียงจากการผ่าตัดมักเกิดจากการผ่าตัดเปลือกตาที่เอาไขมันออกมากเกินไป
ภาวะสุขภาพ
- การเสื่อมสภาพตามวัย: เมื่ออายุมากขึ้น กระดูกใต้ตาจะยุบตัวลงและไขมันบริเวณรอบดวงตาจะฝ่อลง ทำให้เกิดเป็นร่องลึกหรือเบ้าตาโหล
- การลดน้ำหนักอย่างรวดเร็ว: การสูญเสียไขมันทั่วร่างกายอย่างรวดเร็วส่งผลให้ไขมันบนใบหน้าและรอบดวงตาลดลงไปด้วย
- ภาวะขาดน้ำ: การดื่มน้ำไม่เพียงพอทำให้ผิวหนังใต้ตาซึ่งบอบบางอยู่แล้วดูหมองคล้ำและยุบตัวลง
- การใช้ยาบางชนิด: ยาหยอดตารักษาต้อหินในกลุ่ม Prostaglandin analogues อาจมีผลข้างเคียงทำให้ไขมันรอบดวงตาฝ่อได้
- ภาวะตาจม (Enophthalmos): เป็นภาวะที่ลูกตาเคลื่อนไปอยู่ด้านหลังของเบ้าตามากกว่าปกติ ซึ่งอาจเกิดจากการบาดเจ็บหรือโรคบางอย่าง
ผลข้างเคียงจากการผ่าตัด
- การผ่าตัดเปลือกตาล่าง (Lower Blepharoplasty): หากศัลยแพทย์นำไขมันใต้ตาออกมากเกินไป อาจทำให้ใต้ตาดูโบ๋ ลึก หรือโหลกว่าเดิมได้
- การผ่าตัดที่กระทบกระเทือนเบ้าตา: การผ่าตัดหรืออุบัติเหตุที่ทำให้กระดูกเบ้าตาแตก อาจทำให้ลูกตาเคลื่อนไปด้านหลังและดูจมลึกลงไป
ใครบ้างที่เหมาะกับการรักษาภาวะตาโหล
ผู้ที่เหมาะกับการรักษาภาวะตาโหลคือ ผู้ที่มีปัญหาเบ้าตาลึกหรือใต้ตาโหลจากการสูญเสียปริมาตรไขมันและกระดูกรอบดวงตา ซึ่งทำให้ใบหน้าดูเหนื่อยล้าและมีอายุ
โดยทั่วไปแล้ว ผู้ที่เหมาะกับการรักษามีลักษณะดังนี้
- ผู้ที่มีเบ้าตาลึกจากโครงสร้างทางพันธุกรรม
- ผู้ที่สูญเสียไขมันบริเวณรอบดวงตาตามวัยที่เพิ่มขึ้น
- ผู้ที่น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็วจนใบหน้าซูบตอบ
- ผู้ที่มีร่องน้ำตาลึกและเห็นเป็นเงาดำคล้ำใต้ตา
- ผู้ที่ต้องการปรับให้ใบหน้าโดยรวมดูสดใสและอ่อนเยาว์ขึ้น
วิธีรักษาตาโหลทางการแพทย์มีอะไรบ้าง
วิธีรักษาตาโหลทางการแพทย์ที่นิยมมี 3 วิธีหลัก ได้แก่ การฉีดฟิลเลอร์ การฉีดไขมัน และการผ่าตัด
- การฉีดฟิลเลอร์ (Filler Injection): เป็นการใช้สารเติมเต็มประเภทไฮยาลูรอนิกแอซิด (Hyaluronic Acid) ฉีดเข้าไปบริเวณใต้ตาเพื่อเติมเต็มร่องลึก ทำให้ผิวดูตื้นและเรียบเนียนขึ้น
- การฉีดไขมัน (Fat Grafting): เป็นการดูดไขมันจากส่วนอื่นของร่างกายผู้ป่วยเอง เช่น หน้าท้องหรือต้นขา แล้วนำมาฉีดเติมเต็มบริเวณที่ลึกโบ๋ใต้ตา
- การผ่าตัด (Surgery): มีหลายเทคนิค เช่น การผ่าตัดเปลือกตาล่าง (Lower Blepharoplasty) หรือการผ่าตัดจัดเรียงไขมันใต้ตา (Orbital Fat Repositioning) เพื่อย้ายไขมันจากส่วนที่นูนมาเติมในส่วนที่ยุบตัว
การฉีดฟิลเลอร์เติมเต็มร่องลึกใต้ตา
การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาคือ หัตถการที่ไม่ใช่การผ่าตัดเพื่อแก้ไขปัญหาร่องลึกหรือรอยคล้ำใต้ตา โดยการเติมสารเติมเต็มประเภทกรดไฮยาลูรอนิก (Hyaluronic Acid) เข้าไปบริเวณร่องน้ำตา (Tear Trough) เพื่อเพิ่มปริมาตรให้กับผิวที่ยุบตัวลงตามวัยหรือจากปัจจัยทางพันธุกรรม
การรักษานี้ช่วยให้ผิวบริเวณใต้ตาดูเรียบเนียน ตื้นขึ้น และลดเงาที่ทำให้ดูคล้ำหรือดูเหนื่อยล้า หัตถการนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาร่องลึกใต้ตาจากการสูญเสียไขมัน แต่ไม่เหมาะกับผู้ที่มีถุงใต้ตาขนาดใหญ่หรือผิวหนังหย่อนคล้อยมากเกินไป ซึ่งอาจต้องใช้วิธีการรักษาอื่น เช่น การผ่าตัด
การฉีดไขมันตัวเอง (Autologous Fat Grafting)
การฉีดไขมันตัวเอง (Autologous Fat Grafting) คือ การปลูกถ่ายเซลล์ไขมันของตัวเองจากบริเวณหนึ่งไปยังอีกบริเวณหนึ่งของร่างกาย เพื่อเพิ่มปริมาตร, ปรับแก้ความบกพร่อง หรือฟื้นฟูสภาพผิว
กระบวนการนี้จะเริ่มต้นด้วยการดูดไขมัน (Liposuction) จากบริเวณที่มีไขมันสะสมมาก เช่น หน้าท้อง, ต้นขา หรือสะโพก จากนั้นนำไขมันที่ได้มาผ่านกระบวนการปั่นคัดแยกเพื่อให้ได้เซลล์ไขมันที่บริสุทธิ์และแข็งแรง แล้วจึงนำไปฉีดกลับเข้าไปในบริเวณที่ต้องการเติมเต็ม เช่น ใบหน้า, ใต้ตา, หน้าอก หรือมือ เนื่องจากเป็นการใช้เซลล์จากร่างกายของตัวเองจึงมีความเสี่ยงต่อการเกิดอาการแพ้ต่ำ และให้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ
การผ่าตัดจัดเรียงไขมันใต้ตา
การผ่าตัดจัดเรียงไขมันใต้ตา (Orbital Fat Repositioning) คือการผ่าตัดย้ายถุงไขมันใต้ตาของผู้ป่วยเองมาเติมเต็มในส่วนร่องลึกใต้ตา (Tear Trough) เพื่อแก้ไขปัญหาร่องลึกและถุงใต้ตาไปพร้อมกัน
การผ่าตัดนี้มักทำร่วมกับการผ่าตัดเปลือกตาล่าง (Lower Blepharoplasty) โดยศัลยแพทย์จะเข้าไปจัดเรียงก้อนไขมันที่นูนออกมาเป็นถุงใต้ตา แล้วย้ายไขมันส่วนนั้นลงมาเติมในบริเวณร่องน้ำตาที่ลึกบุ๋มลงไป จากนั้นจึงเย็บไขมันให้ยึดติดกับที่
ข้อดีของการจัดเรียงไขมันใต้ตาคือเป็นการใช้เนื้อเยื่อของตัวเอง ทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติและถาวร ช่วยแก้ปัญหาทั้งถุงใต้ตาที่นูนออกมาและร่องลึกใต้ตาได้ในคราวเดียว ทำให้ผิวบริเวณใต้ตาเรียบเนียนขึ้นโดยไม่ทำให้ใต้ตาดูโบ๋หรือลึกกว่าเดิมเหมือนการผ่าตัดเอาไขมันออกเพียงอย่างเดียว
เปรียบเทียบแต่ละวิธี: ผลลัพธ์ ระยะเวลาพักฟื้น และความคงทน
การรักษาใต้ตาสามารถเปรียบเทียบได้จากความคงทนของผลลัพธ์และระยะเวลาพักฟื้น โดยฟิลเลอร์ให้ผลลัพธ์ชั่วคราวและพักฟื้นน้อยที่สุด, การฉีดไขมันให้ผลลัพธ์กึ่งถาวรและพักฟื้นนานขึ้น, ส่วนการผ่าตัดให้ผลลัพธ์ถาวรแต่ต้องใช้เวลาพักฟื้นนานที่สุด
ตารางเปรียบเทียบแต่ละวิธี:
| วิธีการ | ผลลัพธ์ | ระยะเวลาพักฟื้น | ความคงทน |
|---|---|---|---|
| ฟิลเลอร์ | เติมเต็มร่องลึกได้ทันที ปรับแก้ได้ง่าย | น้อยมาก (อาจมีรอยช้ำหรือบวมเล็กน้อย 1-3 วัน) | 1-2 ปี |
| ฉีดไขมัน | ใช้ไขมันตัวเองจึงดูเป็นธรรมชาติ ช่วยฟื้นฟูคุณภาพผิว | 1-2 สัปดาห์ (มีอาการบวมและช้ำมากกว่า) | กึ่งถาวรถึงถาวร |
| ผ่าตัดย้ายไขมัน | แก้ปัญหาถุงใต้ตาและร่องลึกไปพร้อมกัน ให้ผลลัพธ์ที่ชัดเจน | 2-4 สัปดาห์ขึ้นไป (เป็นการผ่าตัดจึงบวมช้ำนานที่สุด) | ถาวร |
ข้อควรรู้ก่อนตัดสินใจเลือกวิธีแก้ตาโหล
การประเมินความรุนแรงและสาเหตุที่แท้จริง
การประเมินความรุนแรงและสาเหตุที่แท้จริงของปัญหาใต้ตาต้องอาศัยการตรวจวินิจฉัยทางคลินิกโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อพิจารณาโครงสร้างทางกายวิภาคโดยละเอียด แพทย์จะประเมินจากปัจจัยต่างๆ เพื่อระบุสาเหตุที่แท้จริง ซึ่งอาจเกิดจากปัจจัยเดียวหรือหลายปัจจัยร่วมกัน
สาเหตุหลักของปัญหาใต้ตา ได้แก่
- พันธุกรรม: โครงสร้างกระดูกเบ้าตาและปริมาณไขมันที่เป็นมาแต่กำเนิด
- อายุที่เพิ่มขึ้น: การยุบตัวของกระดูกเบ้าตา การฝ่อตัวหรือเคลื่อนที่ของไขมันใต้ตา และผิวหนังที่บางและหย่อนคล้อยลง
- การเปลี่ยนแปลงน้ำหนัก: การลดน้ำหนักอย่างรวดเร็วทำให้ไขมันบนใบหน้าลดลง ส่งผลให้ใต้ตาดูโหลลึก
- ภาวะทางการแพทย์: เช่น ภาวะตาโบ๋ (Enophthalmos) หรือผลข้างเคียงจากการใช้ยาบางชนิด
สำหรับการประเมินความรุนแรง แพทย์มักใช้ระบบการจำแนก (Classification System) เพื่อแบ่งระดับความรุนแรงของร่องน้ำตา โดยพิจารณาจากความลึกของร่อง การปรากฏของถุงใต้ตา (ไขมันที่ปูดนูนออกมา) และคุณภาพของผิวหนังในบริเวณนั้น
การเลือกคลินิกและแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
การเลือกคลินิกและแพทย์ควรพิจารณาจาก ความเชี่ยวชาญของแพทย์ คลินิกที่ได้มาตรฐาน และการใช้ผลิตภัณฑ์ของแท้ที่ตรวจสอบได้ เพื่อให้มั่นใจในความปลอดภัยและผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
ปัจจัยสำคัญที่ควรพิจารณา มีดังนี้
- แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ: ควรเป็นแพทย์ที่มีใบประกอบวิชาชีพถูกต้อง มีประสบการณ์และความชำนาญด้านการปรับรูปหน้าโดยเฉพาะ สามารถตรวจสอบรายชื่อแพทย์ได้จากเว็บไซต์ของแพทยสภา
- คลินิกที่ได้มาตรฐาน: ต้องเป็นสถานพยาบาลที่ได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการอย่างถูกต้อง มีความสะอาด ปลอดภัย และมีเครื่องมือที่ทันสมัย
- ผลิตภัณฑ์ที่ใช้: ต้องเป็นของแท้ที่ผ่านการรับรองจาก อย. เท่านั้น โดยแพทย์ควรแกะกล่องใหม่ให้ดูต่อหน้า และเราสามารถนำเลขล็อต (Lot No.) ไปตรวจสอบกับบริษัทผู้นำเข้าได้
- รีวิวและผลงาน: ศึกษาข้อมูลรีวิวจากแหล่งที่น่าเชื่อถือและขอดูภาพผลงานก่อน-หลังการรักษาของแพทย์เพื่อประกอบการตัดสินใจ
- การให้คำปรึกษา: แพทย์ควรให้เวลาในการประเมินปัญหาและให้คำแนะนำอย่างละเอียด ตรงไปตรงมา รวมถึงอธิบายแผนการรักษาที่เหมาะสม
- ราคาที่สมเหตุสมผล: ควรเปรียบเทียบราคาจากหลายๆ ที่ โดยคำนึงว่าราคาที่ถูกเกินไปอาจเสี่ยงต่อการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีคุณภาพ
ความคาดหวังต่อผลลัพธ์ที่เป็นจริง
ผลลัพธ์ที่คาดหวังได้จริงจากการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาคือ การเติมเต็มร่องลึกใต้ตาให้ดูตื้นขึ้นและลดเลือนรอยคล้ำที่เกิดจากเงา ทำให้ใบหน้าโดยรวมดูสดใสและอ่อนเยาว์ขึ้น
การฉีดฟิลเลอร์จะช่วยเพิ่มปริมาตรในบริเวณที่ยุบตัวลง ทำให้ผิวบริเวณใต้ตาเรียบเนียนขึ้นและลดรอยต่อระหว่างเปลือกตาล่างกับแก้ม ผลลัพธ์ที่ได้จะดูเป็นธรรมชาติ ไม่เป็นก้อน และช่วยให้ใบหน้าดูเหนื่อยล้าน้อยลง อย่างไรก็ตาม ฟิลเลอร์ไม่สามารถแก้ไขรอยคล้ำที่เกิดจากเม็ดสีผิวได้โดยตรง แต่จะช่วยลดเงาที่ทำให้ใต้ตาดูคล้ำลงได้
ความเสี่ยงและผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากการรักษา
ความเสี่ยงและผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากการรักษาร่องใต้ตามีตั้งแต่ผลข้างเคียงทั่วไปที่ไม่รุนแรง เช่น รอยช้ำและอาการบวม ไปจนถึงภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงแต่พบได้ยาก เช่น การอุดตันของเส้นเลือดที่อาจนำไปสู่การสูญเสียการมองเห็น
ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นสามารถแบ่งตามความรุนแรงได้ดังนี้
- ผลข้างเคียงทั่วไป: อาการบวม รอยช้ำ รอยแดง หรืออาการเจ็บบริเวณที่ฉีด ซึ่งโดยทั่วไปจะหายไปเองภายใน 1-2 สัปดาห์
- ภาวะแทรกซ้อนที่พบได้: ก้อนบวมหรือผิวไม่เรียบ, ปรากฏการณ์ทินดอล (Tyndall effect) ซึ่งทำให้ผิวบริเวณที่ฉีดเปลี่ยนเป็นสีฟ้าอมเทา, การติดเชื้อ และอาการแพ้
- ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง (พบได้ยาก): การอุดตันของเส้นเลือด (Vascular Occlusion) ซึ่งอาจทำให้เนื้อเยื่อตาย และในกรณีที่ร้ายแรงที่สุดคือการเข้าเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงจอประสาทตาจนทำให้ตาบอด ซึ่งถือเป็นภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการรักษาตาโหล
การลดน้ำหนักอย่างรวดเร็วทำให้ตาโหลจริงไหม
จริง การลดน้ำหนักอย่างรวดเร็วสามารถทำให้เกิดภาวะตาโหลหรือตาลึกได้ เนื่องจากใบหน้าเป็นส่วนแรกๆ ของร่างกายที่ไขมันจะลดลง ซึ่งรวมถึงไขมันบริเวณรอบดวงตา (Periorbital Fat) เมื่อไขมันส่วนนี้หายไปอย่างรวดเร็ว จะทำให้ผิวหนังขาดตัวพยุงและยุบตัวลง ส่งผลให้เบ้าตาดูโหลลึกมากขึ้น
วิธีแก้ตาโหลแบบธรรมชาติได้ผลจริงหรือ
วิธีแก้ตาโหลแบบธรรมชาติ อาจช่วยบรรเทาอาการได้เพียงชั่วคราว แต่ไม่สามารถแก้ไขสาเหตุที่แท้จริงได้
สาเหตุหลักของตาโหลเกิดจากการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง เช่น การสูญเสียไขมันและคอลลาเจนใต้ผิวหนัง หรือการยุบตัวของกระดูกเบ้าตา ซึ่งวิธีทางธรรมชาติไม่สามารถแก้ไขได้โดยตรง
วิธีทางธรรมชาติ เช่น การนอนหลับให้เพียงพอ การดื่มน้ำมากๆ หรือการประคบเย็น อาจช่วยลดรอยคล้ำหรืออาการบวมชั่วคราว ทำให้ดวงตาดูสดใสขึ้น แต่ไม่สามารถเติมเต็มปริมาตรที่หายไปได้ สำหรับการแก้ไขที่ตรงจุดและเห็นผลชัดเจน จำเป็นต้องอาศัยการรักษาทางการแพทย์ เช่น การฉีดฟิลเลอร์ การฉีดไขมัน หรือการผ่าตัด
ฉีดฟิลเลอร์แก้ตาโหลอยู่ได้นานแค่ไหน
การฉีดฟิลเลอร์เพื่อแก้ไขปัญหาตาโหล โดยทั่วไปจะอยู่ได้นานประมาณ 1-2 ปี ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับชนิดและยี่ห้อของฟิลเลอร์ที่เลือกใช้ รวมถึงการดูแลตัวเองและอัตราการเผาผลาญของแต่ละบุคคล หลังจากนั้นฟิลเลอร์จะค่อยๆ สลายไปตามธรรมชาติ และสามารถกลับมาฉีดซ้ำเพื่อคงผลลัพธ์ไว้ได้
แต่ละวิธีรักษาตาโหลมีความเสี่ยงต่างกันอย่างไร
แต่ละวิธีรักษาตาโหลมีความเสี่ยงที่แตกต่างกัน ตั้งแต่ผลข้างเคียงชั่วคราวของการฉีดฟิลเลอร์ ไปจนถึงความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการผ่าตัดย้ายไขมันหรือการฉีดไขมัน
ความเสี่ยงของแต่ละวิธีสามารถแบ่งได้ดังนี้
- การฉีดฟิลเลอร์ (Filler Injection): มีความเสี่ยงทั่วไป เช่น อาการบวม ช้ำ หรือคลำเจอก้อน แต่ความเสี่ยงที่รุนแรงที่สุด (แม้จะพบได้น้อย) คือการอุดตันของเส้นเลือด ซึ่งอาจทำให้เนื้อเยื่อตายหรือตาบอดได้
- การฉีดไขมัน (Fat Grafting): เป็นการผ่าตัดเล็กที่มีความเสี่ยงเรื่องการติดเชื้อ เลือดออก และผลลัพธ์ที่ไม่แน่นอน เนื่องจากไขมันบางส่วนอาจสลายไป ทำให้ผิวไม่เรียบเนียน เป็นก้อน หรืออาจต้องทำซ้ำ
- การผ่าตัดย้ายไขมัน (Orbital Fat Repositioning): เป็นการผ่าตัดที่มีความเสี่ยงสูงกว่า เช่น ความเสี่ยงจากการดมยาสลบ การติดเชื้อ รูปทรงเปลือกตาผิดปกติ ตาแห้ง หรือเห็นภาพซ้อน
หลังรักษาตาโหลต้องดูแลตัวเองอย่างไร
การดูแลตัวเองหลังรักษาตาโหลคือการประคบเย็นในช่วง 48 ชั่วโมงแรก และหลีกเลี่ยงการสัมผัสแรง ๆ บริเวณที่รักษา เพื่อลดอาการบวมและช่วยให้ผลลัพธ์เข้าที่ได้ดีขึ้น
ข้อควรปฏิบัติเพิ่มเติมมีดังนี้:
- นอนหมอนสูง: ควรนอนหนุนหมอนให้ศีรษะสูงกว่าลำตัวในช่วง 2-3 คืนแรก เพื่อช่วยลดอาการบวม
- หลีกเลี่ยงความร้อน: งดการเข้าซาวน่า, การประคบร้อน และการสัมผัสความร้อนโดยตรงบริเวณใบหน้าประมาณ 2 สัปดาห์
- งดออกกำลังกายหนัก: หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหรือกิจกรรมที่ทำให้เลือดสูบฉีดมากในช่วง 24-48 ชั่วโมงแรก
- งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์: ควรงดดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่อย่างน้อย 24 ชั่วโมงหลังการรักษา
- ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์: ควรปฏิบัติตามคำแนะนำเฉพาะของแพทย์ผู้ทำการรักษาอย่างเคร่งครัด และไปพบแพทย์ตามนัดหมาย
References:
- National Institutes of Health, 2025, nih.gov
- Frontiers in Medicine, 2025, frontiersin.org
- American Academy of Ophthalmology, 2025, aao.org
- Journal of Cosmetic Medicine, 2025, jcosmetmed.org
- Thieme Medical Publishers, 2025, thieme-connect.com
- Journal of Clinical and Aesthetic Dermatology, 2025, jcadonline.com
- National Health Service, 2025, nhs.uk
