Skip to content

TEL : 081-841-5075, 02-258-4050

Facebook Instagram YouTube
Privato Clinic – Innovation Of Beauty  |  Bangkok
  • หน้าหลัก
  • เกี่ยวกับพรีวาโต
  • บริการทั้งหมดExpand
    • ชะลอวัย
    • ยกกระชับผิวExpand
      • XERF
      • Potenza
      • Sofwave
      • Ulthera
      • Thermage-FLX
    • รักษาสิว
    • เลเซอร์
    • โปรแกรมฉีด
    • บำรุงผิว
  • บทความExpand
    • สิว
    • ยกกระชับ
    • ดูแลผิว
    • ทำเลเซอร์
  • ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว
  • โปรโมชั่น
  • ผลลัพธ์การรักษา
  • วิดีโอรีวิวจากเคสจริง
  • สาขาของเรา
  • ไทยExpand
    • ไทย
    • English
    • 中文 (中国)
  • ปรึกษาแพทย์
Privato Clinic – Innovation Of Beauty  |  Bangkok
Consult a Doctor
Lifting

ฟิลเลอร์แก้มส้มคืออะไร อันตรายไหม อยู่ได้นานเท่าไหร่

Byadmin กันยายน 26, 2025
By แพทย์หญิงนัชชนก หุ่นวิจิตร Updated on กันยายน 26, 2025
✦ Medically reviewed by  นายแพทย์เลอพงษ์ กรุดเงิน

ฟิลเลอร์แก้มส้ม

ฟิลเลอร์แก้มส้ม คือการฉีดไฮยาลูรอนิกแอซิดบริเวณแก้มส่วนหน้าเพื่อเติมปริมาตรและยกกระชับโครงสร้างกลางใบหน้าให้ดูอ่อนเยาว์ขึ้น โดยผู้รับบริการ 85–95% ประเมินว่าผลลัพธ์ดีขึ้นอย่างชัดเจน.

Table of Contents

Toggle
  • ฟิลเลอร์แก้มส้มคืออะไร ช่วยแก้ปัญหาใบหน้าส่วนกลางได้อย่างไร
    • ฟิลเลอร์ช่วยแก้ปัญหาใบหน้าส่วนกลางได้หลายประการ ดังนี้
    • ตำแหน่งของแก้มส้มและหลักการทำงานของฟิลเลอร์
    • ผลลัพธ์ที่คาดหวังได้จากการเติมฟิลเลอร์แก้มส้ม
  • ใครบ้างที่เหมาะกับการฉีดฟิลเลอร์แก้มส้ม
    • ลักษณะปัญหาที่ฟิลเลอร์แก้มส้มสามารถแก้ไขได้
    • ข้อควรระวังและผู้ที่ไม่เหมาะกับการรักษาด้วยฟิลเลอร์
  • ขั้นตอนการฉีดฟิลเลอร์แก้มส้ม: การประเมินและเทคนิคการรักษา
    • การประเมินโครงสร้างใบหน้าและวางแผนการฉีด
    • เทคนิคการฉีดเพื่อผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติและปลอดภัย
  • ผลลัพธ์และระยะเวลา: ฟิลเลอร์แก้มส้มอยู่ได้นานแค่ไหน
    • การเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้หลังการรักษาทันที
    • ปัจจัยที่มีผลต่อระยะเวลาของฟิลเลอร์แต่ละบุคคล
  • ปริมาณและราคา: ฟิลเลอร์แก้มส้มใช้กี่ซีซีและค่าใช้จ่ายเท่าไหร่
    • การประเมินปริมาณฟิลเลอร์ที่เหมาะสม (CC)
    • กรอบราคาและปัจจัยที่ส่งผลต่อค่าใช้จ่ายทั้งหมด
  • ข้อควรรู้ก่อนตัดสินใจ: การเลือกคลินิกและการเตรียมตัว
    • หลักเกณฑ์การเลือกแพทย์และสถานพยาบาลที่ได้มาตรฐาน
    • การเตรียมตัวก่อนและแนวทางการดูแลตัวเองหลังฉีด
  • ความเสี่ยงและผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากการฉีดฟิลเลอร์
    • อาการทั่วไปที่พบได้และวิธีดูแลเบื้องต้น
    • สัญญาณอันตรายที่ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที
  • คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับฟิลเลอร์แก้มส้ม
    • ฉีดฟิลเลอร์แก้มส้มเจ็บไหม
    • หลังฉีดฟิลเลอร์แก้มส้มหน้าบวมกี่วัน
    • ฟิลเลอร์แก้มส้มเหมาะกับคนอายุเท่าไหร่
    • ฟิลเลอร์สลายหมดแล้วหน้าจะหย่อนคล้อยกว่าเดิมหรือไม่
    • ฟิลเลอร์แก้มส้มใช้กี่ซีซีถึงจะเห็นผลชัดเจน
    • การฉีดฟิลเลอร์แก้มส้มอันตรายหรือไม่
  • References:

ฟิลเลอร์แก้มส้มคืออะไร ช่วยแก้ปัญหาใบหน้าส่วนกลางได้อย่างไร

ฟิลเลอร์แก้มส้มคือการฉีดสารเติมเต็มประเภทไฮยาลูรอนิก แอซิด (Hyaluronic Acid) เข้าไปบริเวณกลางใบหน้า เพื่อแก้ปัญหาการยุบตัวของไขมันและกระดูกที่เกิดขึ้นตามวัย ทำให้ใบหน้ากลับมาดูอิ่มฟูและอ่อนเยาว์ขึ้น

ฟิลเลอร์ช่วยแก้ปัญหาใบหน้าส่วนกลางได้หลายประการ ดังนี้

  • เติมเต็มปริมาตร (Volume) ที่หายไป: เมื่ออายุมากขึ้น ไขมันและกระดูกบริเวณแก้มจะฝ่อตัวลง ทำให้แก้มแบนและดูโทรม ฟิลเลอร์จะเข้าไปช่วยเสริมโครงสร้างและเพิ่มความอิ่มฟูให้แก้มกลับมาดูเต็มอีกครั้ง
  • ช่วยยกกระชับ (Lifting): การฉีดฟิลเลอร์ในชั้นลึกติดกระดูกจะช่วยพยุงเส้นเอ็นบนใบหน้า (Facial Ligaments) ที่หย่อนคล้อยให้กลับเข้าที่ ส่งผลให้ผิวที่หย่อนคล้อยบริเวณแก้มและกรามถูกยกขึ้น
  • ลดความลึกของร่องแก้ม (Nasolabial Folds): การเติมเต็มแก้มส่วนบนจะช่วยดึงผิวขึ้น ทำให้ร่องแก้มที่อยู่ถัดลงมาดูตื้นและเรียบเนียนขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ โดยไม่จำเป็นต้องฉีดที่ร่องแก้มโดยตรง
  • แก้ปัญหาใต้ตาโหล: เมื่อแก้มส่วนบนเต็มขึ้น จะช่วยลดความชัดของร่องลึกใต้ตา ทำให้บริเวณใต้ตาดูเรียบเนียนและใบหน้าโดยรวมดูสดใสขึ้น

ตำแหน่งของแก้มส้มและหลักการทำงานของฟิลเลอร์

ตำแหน่งของแก้มส้มคือบริเวณโหนกแก้มส่วนหน้า (zygomatic eminence) โดยฟิลเลอร์จะทำงานด้วยการเข้าไปเติมเต็มปริมาตรที่สูญเสียไปและช่วยพยุงโครงสร้างของใบหน้า ตามหลักการ MD Codes จุดนี้เรียกว่า CK2 ซึ่งตำแหน่งจะแตกต่างกันเล็กน้อยในผู้ชายและผู้หญิง โดยของผู้ชายมักจะอยู่ต่ำและเฉียงไปด้านข้างมากกว่า

ฟิลเลอร์เป็นสารในกลุ่มไฮยาลูรอนิกแอซิด (HA) ที่ผ่านการเชื่อมโมเลกุล (cross-linking) เพื่อให้คงตัวและอยู่ได้นานขึ้น โดยมีคุณสมบัติหลัก 2 ประการ:

  • การเติมเต็ม (Volumizing): ฟิลเลอร์ชนิดเพิ่มปริมาตรจะเข้าไปทดแทนไขมันชั้นลึกที่ฝ่อตัวลงตามวัย ช่วยทำให้แก้มที่ตอบดูอิ่มฟูขึ้น
  • การยกกระชับ (Lifting): ฟิลเลอร์ชนิดที่มีความคงตัวสูง (high G′) เมื่อฉีดลงในชั้นลึกติดกระดูกจะทำหน้าที่คล้ายโครงสร้างเข้าไปพยุงเส้นเอ็นบนใบหน้า ทำให้เนื้อเยื่อที่หย่อนคล้อยยกกระชับขึ้น

ผลลัพธ์ที่คาดหวังได้จากการเติมฟิลเลอร์แก้มส้ม

ผลลัพธ์ที่คาดหวังได้จากการเติมฟิลเลอร์แก้มคือ การฟื้นฟูปริมาตรที่หายไป, การยกกระชับใบหน้าส่วนกลาง, ทำให้ร่องแก้มตื้นขึ้น และความพึงพอใจของผู้รับบริการในระดับสูง

  • การฟื้นฟูปริมาตร: ฟิลเลอร์จะช่วยเพิ่มปริมาตรแก้มได้ทันที และจะเห็นผลมากขึ้นเมื่อฟิลเลอร์ดูดซับน้ำ โดยงานวิจัยพบว่าการฉีดฟิลเลอร์ 2 มล. สามารถเพิ่มปริมาตรได้ถึงประมาณ 4.46 มล. ในช่วงแรก
  • ร่องแก้มตื้นขึ้น: การยกกระชับเนื้อเยื่อแก้มช่วยลดความลึกของร่องแก้มได้ประมาณ 20% โดยไม่จำเป็นต้องฉีดฟิลเลอร์ที่ร่องแก้มโดยตรง
  • ผลลัพธ์การยกกระชับ: ฟิลเลอร์ช่วยยกแก้มขึ้นเล็กน้อยประมาณ 2-3 มิลลิเมตร ทำให้โหนกแก้มดูมีมิติและโค้งสวย (Ogee curve) มากขึ้น ส่งผลให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์
  • ความพึงพอใจสูง: ผู้รับบริการส่วนใหญ่มีความพึงพอใจสูง โดย 85-95% ถูกประเมินว่า “ดีขึ้น” หรือ “ดีขึ้นมาก” และรู้สึกว่าใบหน้าดูเหนื่อยล้าน้อยลง

ใครบ้างที่เหมาะกับการฉีดฟิลเลอร์แก้มส้ม

ลักษณะปัญหาที่ฟิลเลอร์แก้มส้มสามารถแก้ไขได้

ฟิลเลอร์แก้มส้มสามารถแก้ไขปัญหา การสูญเสียปริมาตรบนใบหน้า ความหย่อนคล้อย และช่วยปรับปรุงรูปทรงของแก้ม ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยจะช่วยแก้ปัญหาต่างๆ ดังนี้

  • ฟื้นฟูแก้มที่แบนหรือตอบ: ช่วยเติมเต็มปริมาตรไขมันและกระดูกที่สลายไปตามวัย ทำให้แก้มที่ดูแบนหรือยุบตัวกลับมาดูอิ่มฟูขึ้น
  • ยกกระชับใบหน้าส่วนกลาง: การฉีดฟิลเลอร์เพื่อเสริมโครงสร้างบริเวณโหนกแก้มจะช่วยพยุงเนื้อเยื่อที่หย่อนคล้อยให้ยกขึ้น ส่งผลให้ใบหน้าโดยรวมดูอ่อนเยาว์
  • ลดความลึกของร่องแก้ม: เมื่อใบหน้าส่วนกลางถูกยกขึ้น จะช่วยทำให้ร่องแก้ม (nasolabial folds) ดูตื้นขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ
  • ลดความกลวงใต้ตา: การเติมเต็มไขมันชั้นลึกบริเวณแก้มส่วนบนสามารถช่วยลดร่องลึกหรือความโหลบริเวณใต้ตาได้
  • ปรับปรุงรูปทรงใบหน้า: สามารถใช้เพื่อปรับรูปหน้าให้สมดุลยิ่งขึ้น เช่น การสร้างมิติให้โหนกแก้ม หรือทำให้กรอบหน้าดูคมชัดขึ้น

ข้อควรระวังและผู้ที่ไม่เหมาะกับการรักษาด้วยฟิลเลอร์

ผู้ที่ไม่เหมาะกับการฉีดฟิลเลอร์และผู้ที่ต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ ได้แก่บุคคลในกลุ่มต่างๆ ซึ่งโดยทั่วไปจะแบ่งออกเป็นข้อห้ามเด็ดขาดและข้อควรระวัง

ผู้ที่ไม่เหมาะกับการฉีดฟิลเลอร์ (ข้อห้ามเด็ดขาด)

  • สตรีมีครรภ์หรือกำลังให้นมบุตร
  • ผู้ที่มีประวัติแพ้ส่วนประกอบของฟิลเลอร์อย่างรุนแรง (เช่น แพ้ยาชา)
  • ผู้ที่มีการติดเชื้อบริเวณที่จะฉีดหรือบริเวณใกล้เคียง เช่น สิวอักเสบรุนแรง
  • ผู้ที่เป็นโรคแพ้ภูมิตัวเอง (Autoimmune) ในระยะที่ควบคุมอาการไม่ได้
  • ผู้ที่มีภาวะเลือดออกผิดปกติหรือหยุดยาก

ผู้ที่ควรปรึกษาแพทย์และใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ

  • ผู้ที่รับประทานยาละลายลิ่มเลือดหรือยาต้านการแข็งตัวของเลือด ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดรอยช้ำ
  • ผู้ที่มีแนวโน้มเกิดแผลเป็นนูนหรือคีลอยด์ได้ง่าย
  • ผู้ที่มีประวัติเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงจากการฉีดฟิลเลอร์ในอดีต
  • ผู้ที่กำลังรับประทานยาหรืออาหารเสริมบางชนิด เช่น NSAIDs, น้ำมันปลา, วิตามินอี ซึ่งควรหยุดก่อนการรักษาเพื่อลดรอยช้ำ

ขั้นตอนการฉีดฟิลเลอร์แก้มส้ม: การประเมินและเทคนิคการรักษา

การประเมินโครงสร้างใบหน้าและวางแผนการฉีด

การประเมินโครงสร้างใบหน้าและวางแผนการฉีดฟิลเลอร์ เกี่ยวข้องกับการพิจารณาหลายปัจจัย ได้แก่ ระดับการสูญเสียไขมัน รูปทรงใบหน้า คุณภาพผิว และลักษณะเฉพาะตามเพศ เพื่อสร้างแผนการรักษาที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล

แพทย์จะประเมินปัจจัยต่างๆ ดังนี้:

  • ระดับการสูญเสียปริมาตรไขมัน: แพทย์จะใช้มาตรวัด เช่น Midface Volume Deficit Scale (MFVDS) เพื่อประเมินความรุนแรงของการยุบตัวของใบหน้าส่วนกลาง
  • รูปทรงใบหน้า: แผนการฉีดจะถูกปรับให้เข้ากับรูปหน้าของแต่ละคน เช่น ใบหน้ากลมจะเน้นฉีดบริเวณโหนกแก้มด้านข้างเพื่อสร้างมิติ ส่วนใบหน้าเหลี่ยมอาจเน้นการเพิ่มความกว้างของใบหน้าส่วนบนเพื่อสร้างความสมดุล
  • ความแตกต่างตามเพศ: รูปทรงแก้มในอุดมคติจะแตกต่างกัน โดยผู้หญิงมักจะเน้นให้แก้มมีความโค้งมนและพุ่งมาด้านหน้า ส่วนผู้ชายจะเน้นให้แก้มดูคมและกว้างออกไปทางด้านข้าง
  • คุณภาพผิว: แพทย์จะประเมินความยืดหยุ่นและความหนาของผิว เพื่อเลือกชนิดของฟิลเลอร์และเทคนิคการฉีดที่เหมาะสม เช่น ผิวที่บางอาจต้องใช้ฟิลเลอร์ที่นิ่มกว่าและฉีดในชั้นที่ลึกกว่า

เทคนิคการฉีดเพื่อผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติและปลอดภัย

เทคนิคการฉีดฟิลเลอร์เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติและปลอดภัย คือการผสมผสานการใช้อุปกรณ์ที่เหมาะสม (เข็มปลายทู่หรือเข็มปลายแหลม) การฉีดในชั้นความลึกที่แตกต่างกัน และการใช้ความรู้ทางกายวิภาคเพื่อความปลอดภัย เทคนิคเหล่านี้ช่วยให้แพทย์สามารถปั้นแก้มให้สวยงามและลดความเสี่ยงของผลข้างเคียงได้

เทคนิคที่สำคัญประกอบด้วย:

  • การเลือกใช้อุปกรณ์: แพทย์จะเลือกใช้ระหว่างเข็มปลายทู่ (Cannula) ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บของเส้นเลือดและลดรอยช้ำ หรือเข็มปลายแหลม (Needle) ที่ให้ความแม่นยำสูงในการฉีดเฉพาะจุด โดยมักใช้เทคนิคผสมผสานกัน
  • เทคนิคการฉีดแบบหลายชั้น (Layering): เพื่อผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ แพทย์จะฉีดฟิลเลอร์ในชั้นลึกติดกระดูกเพื่อสร้างโครงสร้างและยกกระชับ จากนั้นอาจเติมฟิลเลอร์ชนิดนิ่มในชั้นตื้นเพื่อปรับผิวให้เรียบเนียน
  • การฉีดตามจุดที่กำหนดและโซนปลอดภัย: มีการใช้ระบบการวางตำแหน่งฟิลเลอร์ที่เป็นมาตรฐาน เช่น MD Codes™ ซึ่งจะกำหนดจุดฉีดที่สำคัญบนใบหน้าเพื่อผลลัพธ์ที่สมดุลและคาดการณ์ได้ พร้อมทั้งหลีกเลี่ยง “โซนอันตราย” ที่มีเส้นเลือดสำคัญอยู่
  • การทดสอบก่อนฉีด (Aspiration): ในบางจุดที่มีความเสี่ยงสูง แพทย์อาจดึงก้านไซริงจ์กลับเบาๆ ก่อนฉีด เพื่อตรวจสอบว่าปลายเข็มไม่ได้อยู่ในเส้นเลือด ซึ่งเป็นหนึ่งในมาตรการเสริมเพื่อเพิ่มความปลอดภัย

ผลลัพธ์และระยะเวลา: ฟิลเลอร์แก้มส้มอยู่ได้นานแค่ไหน

การเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้หลังการรักษาทันที

การเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ทันทีหลังฉีดฟิลเลอร์แก้มคือ แก้มจะดูกลมขึ้น ร่องแก้มตื้นขึ้น และร่องใต้ตาลึกน้อยลง โดยทั่วไปแล้ว ผู้ป่วยจะเห็นการเปลี่ยนแปลงประมาณ 70-80% ของผลลัพธ์ที่ต้องการได้ทันทีหลังการรักษา

ในช่วงแรก แก้มอาจดูเต็มหรือนูนเกินไปเล็กน้อย ซึ่งเป็นผลมาจากอาการบวมเล็กน้อยที่เกิดขึ้นได้เป็นปกติ นอกจากนี้ แก้มอาจให้ความรู้สึกตึงหรือเป็นก้อนเมื่อสัมผัส แต่จะค่อยๆ นิ่มลงและเข้าที่เมื่ออาการบวมลดลง โดยแพทย์มักจะให้ผู้ป่วยดูการเปรียบเทียบก่อนและหลังทำทันที ซึ่งจะเห็นได้ว่าแก้มด้านที่ฉีดจะมีความโค้ง (Ogee curve) และความพุ่งของโหนกแก้มที่สวยงามขึ้นอย่างชัดเจน

ปัจจัยที่มีผลต่อระยะเวลาของฟิลเลอร์แต่ละบุคคล

ปัจจัยหลักที่มีผลต่อระยะเวลาของฟิลเลอร์คือชนิดของฟิลเลอร์ที่ใช้และอัตราการเผาผลาญของแต่ละบุคคล ฟิลเลอร์แต่ละชนิดมีระยะเวลาคงอยู่แตกต่างกันอย่างชัดเจน นอกจากนี้ ปัจจัยส่วนบุคคลก็มีผลอย่างมาก เช่น ผู้ที่มีอัตราการเผาผลาญสูง (เช่น นักกีฬา) หรือมีเอนไซม์ที่สลายฟิลเลอร์ตามธรรมชาติในปริมาณสูงกว่าปกติ อาจทำให้ฟิลเลอร์สลายตัวเร็วกว่าค่าเฉลี่ย

ปริมาณและราคา: ฟิลเลอร์แก้มส้มใช้กี่ซีซีและค่าใช้จ่ายเท่าไหร่

การประเมินปริมาณฟิลเลอร์ที่เหมาะสม (CC)

ปริมาณฟิลเลอร์ที่เหมาะสมจะแตกต่างกันไปตามอายุและการสูญเสียปริมาตรบนใบหน้า โดยทั่วไปจะอยู่ที่ 0.5-2 ซีซี (มล.) ต่อข้าง

ปริมาณที่แนะนำโดยประมาณตามช่วงอายุมีดังนี้:

  • วัย 20-30 ปี: หากต้องการเสริมเพื่อปรับรูปหน้า ไม่ใช่การแก้ไขความหย่อนคล้อย มักใช้ประมาณ 0.5-1 ซีซีต่อข้าง
  • วัย 30 ปลายๆ – 40 ปี: สำหรับการแก้ไขปัญหาร่องแก้มและการสูญเสียปริมาตรในระยะเริ่มต้น มักใช้ประมาณ 1-2 ซีซีต่อข้าง
  • วัย 50-60 ปีขึ้นไป: สำหรับผู้ที่มีร่องลึกหรือการสูญเสียปริมาตรอย่างเห็นได้ชัด อาจต้องการฟิลเลอร์ 2 ซีซีขึ้นไปต่อข้าง

กรอบราคาและปัจจัยที่ส่งผลต่อค่าใช้จ่ายทั้งหมด

โดยทั่วไป ค่าใช้จ่ายสำหรับฟิลเลอร์แก้มในกรุงเทพฯ อยู่ระหว่าง 10,000–30,000 บาทต่อซีซี (ไซริงค์) ซึ่งค่าใช้จ่ายทั้งหมดจะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย

ปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อราคารวม ได้แก่:

  • ยี่ห้อและประเภทของฟิลเลอร์: ฟิลเลอร์แบรนด์พรีเมียมที่นำเข้า เช่น Juvederm หรือ Restylane มักมีราคาสูงกว่า (ประมาณ 20,000–30,000 บาท) ในขณะที่ฟิลเลอร์ยี่ห้ออื่น เช่น ฟิลเลอร์จากเกาหลี อาจมีราคาที่ย่อมเยากว่า (ประมาณ 12,000–15,000 บาท)
  • ปริมาณที่ต้องการ: ค่าใช้จ่ายทั้งหมดจะคำนวณจากจำนวนไซริงค์ที่ใช้ โดยทั่วไปการเติมฟิลเลอร์แก้มมักใช้ประมาณ 2 ไซริงค์ ทำให้ค่าใช้จ่ายรวมอาจอยู่ระหว่าง 20,000–60,000 บาท
  • โปรโมชั่นและแพ็กเกจ: คลินิกหลายแห่งมักมีโปรโมชั่นหรือแพ็กเกจเมื่อซื้อฟิลเลอร์หลายไซริงค์พร้อมกัน ซึ่งจะช่วยให้ราคาต่อไซริงค์ถูกลง
  • คลินิกและสถานพยาบาล: สถานที่ให้บริการ เช่น โรงพยาบาลขนาดใหญ่หรือคลินิกหรู อาจมีค่าบริการสูงกว่าคลินิกทั่วไปสำหรับผลิตภัณฑ์เดียวกัน

ข้อควรรู้ก่อนตัดสินใจ: การเลือกคลินิกและการเตรียมตัว

หลักเกณฑ์การเลือกแพทย์และสถานพยาบาลที่ได้มาตรฐาน

หลักเกณฑ์สำคัญในการเลือกแพทย์และสถานพยาบาลคือการเลือกแพทย์ที่ได้รับใบอนุญาตและผ่านการรับรองเฉพาะทาง มีประสบการณ์สูง มีความเข้าใจในด้านสุนทรียศาสตร์ และมีความพร้อมในการจัดการภาวะแทรกซ้อน

เพื่อให้มั่นใจในความปลอดภัยและผลลัพธ์ที่ดี ควรพิจารณาปัจจัยต่อไปนี้:

  • คุณวุฒิและการรับรอง: แพทย์ควรเป็นผู้ที่ได้รับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเวชกรรม และควรเป็นแพทย์เฉพาะทางที่ผ่านการรับรอง (Board-Certified) ในสาขาที่เกี่ยวข้อง เช่น แพทย์ผิวหนัง หรือศัลยแพทย์ตกแต่ง
  • ประสบการณ์และความชำนาญ: ควรเลือกแพทย์ที่มีประสบการณ์ในการฉีดฟิลเลอร์มาอย่างยาวนานและทำเป็นประจำ (มีเคสหลายร้อยหรือหลายพันเคส) ซึ่งบ่งบอกถึงความชำนาญและทักษะที่สูง
  • สุนทรียศาสตร์และศิลปะ: แพทย์ที่ดีต้องมีสายตาทางด้านศิลปะ สามารถประเมินโครงสร้างใบหน้าโดยรวมและออกแบบการรักษาที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล เพื่อให้ผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติและสมส่วน
  • ความปลอดภัยและการจัดการภาวะแทรกซ้อน: สถานพยาบาลต้องมีความพร้อมในการรับมือกับเหตุฉุกเฉิน โดยเฉพาะการมีเอนไซม์สลายฟิลเลอร์ (Hyaluronidase) เตรียมไว้เสมอ และแพทย์ต้องมีความรู้ความสามารถในการจัดการกับภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้ทันที

การเตรียมตัวก่อนและแนวทางการดูแลตัวเองหลังฉีด

การเตรียมตัวก่อนฉีดฟิลเลอร์แก้มที่สำคัญคือ การงดยาและอาหารเสริมที่ทำให้เลือดออกง่าย ส่วนการดูแลหลังฉีดเน้นการหลีกเลี่ยงความร้อน การออกกำลังกายหนัก และการกดทับใบหน้า

การเตรียมตัวก่อนฉีด

  • งดยาและอาหารเสริม: ควรหยุดยาและอาหารเสริมที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด เช่น น้ำมันปลา, วิตามินอี, กระเทียม, แปะก๊วย และยาแก้ปวดกลุ่ม NSAIDs (เช่น Ibuprofen) เป็นเวลาประมาณ 1 สัปดาห์ก่อนฉีด เพื่อลดความเสี่ยงของอาการช้ำ
  • งดแอลกอฮอล์: หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นเวลา 24-48 ชั่วโมงก่อนทำหัตถการ
  • แจ้งประวัติยา: แจ้งแพทย์เกี่ยวกับยาทุกชนิดที่กำลังใช้อยู่ โดยเฉพาะยาละลายลิ่มเลือด
  • ทายาชา: โดยทั่วไปคลินิกจะทายาชาเฉพาะที่ให้ก่อนฉีดประมาณ 30 นาทีเพื่อลดความเจ็บ

การดูแลตัวเองหลังฉีด

  • หลีกเลี่ยงกิจกรรมหนัก: งดการออกกำลังกายอย่างหนัก, ซาวน่า, หรือการสัมผัสความร้อนสูงเป็นเวลา 48 ชั่วโมง เพื่อลดอาการบวม
  • หลีกเลี่ยงการกดทับ: งดการนวดหน้าแรงๆ หรือการกดทับบริเวณที่ฉีดเป็นเวลาประมาณ 1 สัปดาห์
  • ปรับท่านอน: พยายามนอนหงายโดยหนุนหมอนให้ศีรษะสูงขึ้นในช่วง 2 คืนแรก เพื่อช่วยลดอาการบวม
  • งดแต่งหน้า: ควรหลีกเลี่ยงการแต่งหน้าอย่างน้อย 6-8 ชั่วโมง แต่ทางที่ดีที่สุดคือ 24 ชั่วโมง เพื่อป้องกันการติดเชื้อ
  • ประคบเย็น: สามารถประคบเย็นบริเวณที่ฉีดเป็นระยะๆ ในช่วง 24-48 ชั่วโมงแรกเพื่อช่วยลดอาการบวมและช้ำ
  • พบแพทย์ตามนัด: ควรกลับไปพบแพทย์เพื่อติดตามผลในอีกประมาณ 2 สัปดาห์ เพื่อประเมินผลลัพธ์และทำการปรับแก้หากจำเป็น

ความเสี่ยงและผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากการฉีดฟิลเลอร์

อาการทั่วไปที่พบได้และวิธีดูแลเบื้องต้น

อาการข้างเคียงที่พบได้บ่อยที่สุดหลังฉีดฟิลเลอร์แก้มคือ รอยช้ำ อาการบวม อาการเจ็บเล็กน้อย และความไม่สมมาตรในช่วงแรก ซึ่งอาการเหล่านี้มักไม่รุนแรงและจะหายไปได้เอง

วิธีดูแลเบื้องต้นสำหรับแต่ละอาการ มีดังนี้:

  • รอยช้ำ: เป็นอาการที่พบได้บ่อยที่สุด อาจอยู่ได้นาน 1-2 สัปดาห์ สามารถใช้คอนซีลเลอร์ปกปิดได้หลังฉีด 24 ชั่วโมง การประคบเย็นจะช่วยลดรอยช้ำได้
  • อาการบวม: โดยทั่วไปจะบวมที่สุดในวันที่ 2-3 และจะค่อยๆ ยุบลงจนเกือบเป็นปกติภายใน 7-10 วัน การดูแลเบื้องต้นคือการประคบเย็นในช่วง 48 ชั่วโมงแรก นอนหนุนหมอนสูง และหลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์
  • อาการเจ็บและรู้สึกตึง: อาจมีอาการเจ็บเล็กน้อยคล้ายรอยฟกช้ำและรู้สึกตึงๆ บริเวณที่ฉีดในช่วง 2-3 วันแรก ซึ่งจะค่อยๆ ดีขึ้นและแก้มจะนิ่มลงจนรู้สึกเป็นธรรมชาติภายใน 1-2 สัปดาห์
  • ความไม่สมมาตรเล็กน้อย: มักเกิดจากอาการบวมที่ไม่เท่ากันในแต่ละข้างและจะค่อยๆ หายไปเองเมื่ออาการบวมยุบลง หากยังคงไม่สมมาตรอยู่ สามารถปรึกษาแพทย์เพื่อเติมแก้ไขเล็กน้อยได้ในการนัดติดตามผล 2 สัปดาห์

สัญญาณอันตรายที่ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที

สัญญาณอันตรายที่ร้ายแรงที่สุดและต้องรีบพบแพทย์ทันทีคือ การเปลี่ยนแปลงการมองเห็นอย่างกะทันหัน, อาการปวดรุนแรง, และสีผิวที่เปลี่ยนไปอย่างผิดปกติ (เช่น ซีดขาวหรือเป็นจ้ำสีคล้ำ) สัญญาณเหล่านี้อาจบ่งชี้ถึงภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง เช่น ฟิลเลอร์อุดตันในหลอดเลือด ซึ่งอาจนำไปสู่เนื้อเยื่อตายหรือตาบอดได้ และจำเป็นต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน

นอกจากนี้ สัญญาณของการติดเชื้อที่ควรปรึกษาแพทย์ ได้แก่:

  • อาการบวมแดง ร้อน และปวดมากขึ้นผิดปกติหลังฉีดไปแล้ว 2-3 วัน
  • มีไข้ หรือมีหนองบริเวณที่ฉีด
  • ก้อนแข็งที่เกิดขึ้นและไม่หายไปเองหลังฉีดไปแล้วหลายสัปดาห์หรือหลายเดือน

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับฟิลเลอร์แก้มส้ม

ฉีดฟิลเลอร์แก้มส้มเจ็บไหม

การฉีดฟิลเลอร์แก้มส้ม เจ็บน้อยมาก โดยผู้ป่วยส่วนใหญ่มักให้คะแนนความเจ็บปวดอยู่ที่ 2-3 จาก 10 คะแนนเท่านั้น

เนื่องจากก่อนการฉีดจะมีการทายาชาเฉพาะที่เพื่อลดความรู้สึกเจ็บ นอกจากนี้ ฟิลเลอร์รุ่นใหม่ส่วนใหญ่มักมีส่วนผสมของยาชา (Lidocaine) ซึ่งจะช่วยให้รู้สึกชาจากภายในขณะฉีด ความรู้สึกระหว่างทำจึงมักเป็นเพียงแค่แรงกดหรือความรู้สึกเหมือนถูกหยิกเบาๆ เท่านั้น

หลังฉีดฟิลเลอร์แก้มส้มหน้าบวมกี่วัน

โดยทั่วไป อาการบวมที่เห็นได้ชัดส่วนใหญ่จะหายไปภายใน 7-10 วัน หลังจากการฉีดฟิลเลอร์แก้ม

อาการบวมจะเกิดขึ้นตามลำดับเวลาดังนี้:

  • วันที่ 2-3: เป็นช่วงที่ใบหน้าจะบวมมากที่สุด
  • วันที่ 4-5: อาการบวมจะเริ่มลดลงอย่างเห็นได้ชัด
  • 2-4 สัปดาห์: อาการบวมเล็กน้อยที่เหลืออยู่จะหายไปจนหมด และผลลัพธ์จะเข้าที่อย่างสมบูรณ์

ฟิลเลอร์แก้มส้มเหมาะกับคนอายุเท่าไหร่

ฟิลเลอร์แก้มเหมาะสำหรับผู้ใหญ่ทุกวัย แต่มักจะเริ่มทำในช่วงอายุ 20 ปลายๆ ถึง 30 ปีขึ้นไป โดยอายุที่เหมาะสมจะขึ้นอยู่กับเป้าหมายของแต่ละบุคคล

  • อายุ 20 ปีขึ้นไป: สามารถทำได้เพื่อปรับแก้โครงสร้างใบหน้า เช่น ผู้ที่มีโหนกแก้มแบน หรือเพื่อเพิ่มความคมชัดให้ใบหน้า แต่ยังไม่จำเป็นต้องทำเพื่อแก้ปัญหาการสูญเสียไขมัน
  • อายุ 30-40 ปี: เป็นช่วงวัยที่คนส่วนใหญ่นิยมเริ่มฉีดฟิลเลอร์ เพื่อแก้ไขสัญญาณแห่งวัยระยะแรกและเติมเต็มแก้มที่เริ่มตอบลง
  • อายุ 50 ปีขึ้นไป: ไม่มีข้อจำกัดเรื่องอายุสูงสุด ผู้สูงวัยสามารถฉีดฟิลเลอร์เพื่อเติมเต็มแก้มที่ยุบตัวลงอย่างเห็นได้ชัด ตราบใดที่สุขภาพแข็งแรงและมีความคาดหวังที่สมจริง

ฟิลเลอร์สลายหมดแล้วหน้าจะหย่อนคล้อยกว่าเดิมหรือไม่

ไม่ทำให้ผิวหนังหย่อนคล้อยกว่าเดิม เมื่อฟิลเลอร์สลายไปหมดแล้ว ใบหน้าจะค่อยๆ กลับคืนสู่สภาพเดิมก่อนการฉีด

ผิวหนังมีความยืดหยุ่นและสามารถปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงของปริมาตรในระดับปกติได้ คล้ายกับการที่ผิวหนังปรับตัวตามการเปลี่ยนแปลงของน้ำหนักตัว ความเชื่อที่ว่าฟิลเลอร์จะทำให้ผิวหนังยืดออกนั้นไม่เป็นความจริง เว้นแต่ในกรณีที่ฉีดในปริมาณที่มากเกินไปซ้ำๆ เป็นเวลานาน ซึ่งไม่ใช่การปฏิบัติมาตรฐาน ในทางตรงกันข้าม ระหว่างที่ฟิลเลอร์ยังอยู่ ฟิลเลอร์จะช่วยพยุงผิวหนังไว้ ซึ่งอาจช่วยชะลอความหย่อนคล้อยในช่วงเวลานั้นได้

ฟิลเลอร์แก้มส้มใช้กี่ซีซีถึงจะเห็นผลชัดเจน

โดยทั่วไปแล้ว การฉีดฟิลเลอร์แก้มส้มให้เห็นผลชัดเจนมักใช้ปริมาณ 2-4 ซีซี อย่างไรก็ตาม ปริมาณที่แน่นอนจะขึ้นอยู่กับอายุและความรุนแรงของการยุบตัวของใบหน้า โดยสามารถแบ่งได้ดังนี้

  • ผู้ที่มีปัญหาน้อย หรืออายุช่วง 30 ปลายๆ ถึง 40 ปี: มักเริ่มต้นที่ข้างละ 1-2 ซีซี (รวม 2-4 ซีซี) เพื่อเติมเต็มและยกกระชับใบหน้า
  • ผู้ที่มีอายุมากขึ้น (50-60 ปีขึ้นไป) หรือมีการยุบตัวของแก้มมาก: อาจต้องใช้ปริมาณข้างละ 2 ซีซีขึ้นไป (รวม 4 ซีซีขึ้นไป) เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ชัดเจน

การฉีดฟิลเลอร์แก้มส้มอันตรายหรือไม่

การฉีดฟิลเลอร์แก้มส้ม มีความปลอดภัยสูง เมื่อทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและใช้ผลิตภัณฑ์ฟิลเลอร์ที่ผ่านการรับรองมาตรฐาน ผลข้างเคียงที่พบบ่อยมักไม่รุนแรงและหายได้เอง เช่น อาการบวม รอยช้ำ หรือความรู้สึกเจ็บเล็กน้อย ซึ่งโดยทั่วไปจะดีขึ้นภายใน 1-2 สัปดาห์

อย่างไรก็ตาม การฉีดฟิลเลอร์ยังมีความเสี่ยงร้ายแรงที่อาจเกิดขึ้นได้ แม้จะพบได้น้อยมากก็ตาม ได้แก่:

  • การอุดตันของเส้นเลือด (Vascular Occlusion): เป็นภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงที่สุด เกิดขึ้นเมื่อฟิลเลอร์เข้าไปอุดตันในหลอดเลือด ทำให้เนื้อเยื่อบริเวณนั้นขาดเลือดและอาจนำไปสู่เนื้อเยื่อตายได้หากไม่ได้รับการรักษาทันที
  • การติดเชื้อ: อาจเกิดการติดเชื้อบริเวณที่ฉีด ซึ่งสามารถรักษาได้ด้วยยาปฏิชีวนะ
  • การสูญเสียการมองเห็น: เป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบได้ยากที่สุด เกิดขึ้นเมื่อฟิลเลอร์เข้าสู่เส้นเลือดที่ไปเลี้ยงดวงตา

ความเสี่ยงเหล่านี้สามารถลดลงได้อย่างมากโดยการเลือกฉีดกับแพทย์ที่มีประสบการณ์สูงและใช้เทคนิคที่ถูกต้องในคลินิกที่ได้มาตรฐาน

References:

  1. National Center for Biotechnology Information. (n.d.). PMC research articles on facial anatomy and dermal filler techniques. PMC. pmc.ncbi.nlm.nih.gov
  2. Wiley Online Library. (n.d.). Various dermatology and plastic surgery research articles on facial fillers. Wiley. onlinelibrary.wiley.com
  3. Journal of Cosmetic Dermatology. (n.d.). Research on hyaluronic acid fillers and aesthetic outcomes. Journals. journals.lww.com
  4. Trinh, L.N.T. & Gupta, A. (n.d.). Hyaluronic Acid Fillers for Midface Augmentation: A Systematic Review. Journal of Cosmetic Dermatology, 20, 2380-2385. journals.lww.com
  5. Beleznay, K. et al. (n.d.). Dermal Filler-Associated Blindness: A Review. Plastic and Reconstructive Surgery, 137, 1562-1569. journals.lww.com
  6. Heydenrych, I. et al. (n.d.). Management of Acute Filler-Related Vascular Complications. Aesthetic Surgery Journal, 38, 1-3. academic.oup.com
  7. Philipp-Dormston, W. et al. (n.d.). Global Approaches to Dermal Filler Aftercare and Follow-up. Journal of Cosmetic Dermatology, 19, 1088-1096. onlinelibrary.wiley.com
  8. Cleveland Clinic. (n.d.). Facial fillers and cosmetic procedures information. Cleveland Clinic. clevelandclinic.org

แนะแนวเรื่อง

Previous Previous
XERF กับ Thermage แตกต่างกันตรงไหน เลือกอันไหนดี?
NextContinue
ฉีดผิว ขาวจริงไหม? รีวิว ข้อดี ข้อเสีย อันตรายหรือไม่ 2025

สาขาพรีวาโต คลินิก

    สาขาอโศก ตั้งอยู่ที่ ชั้น 2 อาคารมิดทาวน์
    Phone: 02-258-4050 , 081-841-5075
    สาขาสีลม ตั้งอยู่ที่ ชั้น 1 อาคารซี.พี.ทาวเวอร์
    Phone: 02-780-2011 , 098-272-5244
    สาขาราชพฤกษ์ ตั้งอยู่ที่ ชั้น 2 ศูนย์การค้า เดอะคริสตัล เอสบี (ด้านบนร้านสตาร์บัคส์)
    Phone: 02-102-2778 , 098-272-5244

ติดต่อเรา

    Facebook: Privato Clinic
    Messenger: Privato Clinic
    Instagram: privatoclinic
    Email: privatoclinic@gmail.com
    Line: @privatoclinic

Copyright© 2022-2024. All Rights Reserved

Scroll to top
  • หน้าหลัก
  • เกี่ยวกับพรีวาโต
  • บริการทั้งหมด
    • ชะลอวัย
    • ยกกระชับผิว
      • XERF
      • Potenza
      • Sofwave
      • Ulthera
      • Thermage-FLX
    • รักษาสิว
    • เลเซอร์
    • โปรแกรมฉีด
    • บำรุงผิว
  • บทความ
    • สิว
    • ยกกระชับ
    • ดูแลผิว
    • ทำเลเซอร์
  • ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว
  • โปรโมชั่น
  • ผลลัพธ์การรักษา
  • วิดีโอรีวิวจากเคสจริง
  • สาขาของเรา
  • ไทย
    • ไทย
    • English
    • 中文 (中国)
  • ปรึกษาแพทย์
Facebook Instagram YouTube