Skip to content

TEL : 081-841-5075, 02-258-4050

Facebook Instagram YouTube
Privato Clinic – Innovation Of Beauty  |  Bangkok
  • หน้าหลัก
  • เกี่ยวกับพรีวาโต
  • บริการทั้งหมดExpand
    • ชะลอวัย
    • ยกกระชับผิวExpand
      • XERF
      • Potenza
      • Sofwave
      • Ulthera
      • Thermage-FLX
    • รักษาสิว
    • เลเซอร์
    • โปรแกรมฉีด
    • บำรุงผิว
  • บทความExpand
    • สิว
    • ยกกระชับ
    • ดูแลผิว
    • ทำเลเซอร์
  • ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว
  • โปรโมชั่น
  • ผลลัพธ์การรักษา
  • วิดีโอรีวิวจากเคสจริง
  • สาขาของเรา
  • ไทยExpand
    • ไทย
    • English
    • 中文 (中国)
  • ปรึกษาแพทย์
Privato Clinic – Innovation Of Beauty  |  Bangkok
Consult a Doctor
Lifting

ฟิลเลอร์ใต้ตาอันตรายไหม? ข้อควรรู้และวิธีเลือกคลินิกให้ปลอดภัย

Byadmin กันยายน 30, 2025
By แพทย์หญิงนัชชนก หุ่นวิจิตร Updated on กันยายน 30, 2025
✦ Medically reviewed by  นายแพทย์เลอพงษ์ กรุดเงิน
ฟิลเลอร์ใต้ตาอันตรายไหม? ข้อควรรู้และวิธีเลือกคลินิกให้ปลอดภัย

ฟิลเลอร์ใต้ตาคือสารเติมเต็มกรดไฮยาลูรอนิกที่ช่วยแก้ปัญหาร่องลึกใต้ตาให้ดูสดใสขึ้น ซึ่งมีความเสี่ยงภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง เช่น ตาบอด เพียง 0.01% หากฉีดโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและใช้ฟิลเลอร์แท้ที่ผ่านการรับรอง.

Table of Contents

Toggle
  • ฟิลเลอร์ใต้ตาคืออะไร? และช่วยแก้ปัญหาอะไรได้บ้าง?
    • ปัญหาใต้ตาที่พบบ่อย (ร่องลึก, ใต้ตาคล้ำ, ถุงใต้ตา)
    • หลักการทำงานของฟิลเลอร์ใต้ตา
  • ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาอันตรายไหม? ความเสี่ยงและผลข้างเคียงที่ควรรู้
    • ภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง (เช่น ตาบอด, เนื้อตาย)
    • ภาวะแทรกซ้อนทั่วไป (เช่น บวม, ช้ำ, เป็นก้อน, อักเสบ)
    • สาเหตุของอันตราย (แพทย์ขาดประสบการณ์, ฟิลเลอร์ปลอม, คลินิกไม่ได้มาตรฐาน)
  • ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาแล้วเป็นก้อน เกิดจากอะไร? แก้ไขได้อย่างไร?
    • สาเหตุที่ทำให้ฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นก้อน
    • วิธีแก้ไขเมื่อฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นก้อน
  • ข้อควรรู้ก่อนตัดสินใจฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา
    • การเตรียมตัวก่อนฉีด
    • ขั้นตอนการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา
    • คุณสมบัติของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
    • การเลือกใช้ฟิลเลอร์แท้ที่ผ่าน อย.
    • มาตรฐานของคลินิกและความสะอาด
  • ฟิลเลอร์ใต้ตาอยู่ได้นานไหม? และราคาเท่าไหร่?
    • ระยะเวลาของผลลัพธ์ฟิลเลอร์ใต้ตา
    • ค่าใช้จ่ายในการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา (ราคาต่อ cc)
    • ฟิลเลอร์ใต้ตา ยี่ห้อไหนดี?
  • คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับฟิลเลอร์ใต้ตา
    • ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาเจ็บไหม?
    • ทำไมบางคนถึงไม่ควรฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา?
    • ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาแล้วบวมกี่วัน?
    • ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาแล้วตาบอดจริงไหม?
    • ฟิลเลอร์ใต้ตาต้องใช้กี่ cc?
  • References:

ฟิลเลอร์ใต้ตาคืออะไร? และช่วยแก้ปัญหาอะไรได้บ้าง?

ฟิลเลอร์ใต้ตาคือสารเติมเต็มประเภทกรดไฮยาลูรอนิก (Hyaluronic Acid) ที่ใช้ฉีดเพื่อเพิ่มปริมาตรบริเวณร่องใต้ตาที่ลึกหรือเป็นแอ่ง ซึ่งช่วยแก้ปัญหาร่องลึกและเงาดำที่เกิดจากการยุบตัวของโครงสร้างใต้ผิวหนัง ทำให้ใบหน้าดูสดใสและอ่อนเยาว์ขึ้น

อย่างไรก็ตาม ฟิลเลอร์ใต้ตาไม่สามารถแก้ไขปัญหาถุงใต้ตาขนาดใหญ่, ผิวหนังที่หย่อนคล้อยมากเกินไป หรือรอยคล้ำที่เกิดจากเม็ดสีผิวโดยตรงได้

ปัญหาใต้ตาที่พบบ่อย (ร่องลึก, ใต้ตาคล้ำ, ถุงใต้ตา)

ปัญหาใต้ตาที่พบบ่อยเกิดจากร่องลึกเนื่องจากการสูญเสียปริมาตร, รอยคล้ำจากเงาหรือเม็ดสี และถุงใต้ตาที่เกิดจากไขมันหรือผิวหนังส่วนเกิน ซึ่งแต่ละปัญหามีสาเหตุและการรักษาที่แตกต่างกัน

  • ร่องลึกใต้ตา (Tear Trough Hollows): เกิดจากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างและการสูญเสียปริมาตร ทำให้เกิดเป็นร่องหรือแอ่งลึกลงไป ซึ่งทำให้เกิดเงาและดูเหนื่อยล้า ปัญหานี้สามารถแก้ไขได้ดีด้วยการฉีดฟิลเลอร์เพื่อเติมเต็ม
  • ใต้ตาคล้ำ (Dark Circles): อาจเกิดจากเงาที่ตกกระทบบนร่องลึก (ซึ่งฟิลเลอร์ช่วยได้) หรือเกิดจากเม็ดสี (pigmentation) บนผิวหนังที่คล้ำขึ้นเอง (ซึ่งฟิลเลอร์ไม่สามารถแก้ไขได้)
  • ถุงใต้ตา (Eye Bags): เกิดจากถุงไขมันที่ปูดนูนออกมา (fat prolapse) หรือผิวหนังส่วนเกิน การฉีดฟิลเลอร์ไม่เหมาะกับการรักษาสภาพนี้และอาจทำให้ดูบวมกว่าเดิม ซึ่งมักจะต้องแก้ไขด้วยการผ่าตัด

หลักการทำงานของฟิลเลอร์ใต้ตา

ฟิลเลอร์ใต้ตาทำงานโดยการฉีดสารเติมเต็มประเภทกรดไฮยาลูรอนิก (Hyaluronic Acid) เข้าไปเพื่อเพิ่มปริมาตรให้กับบริเวณร่องใต้ตาที่ลึกหรือเป็นแอ่ง การเพิ่มปริมาตรนี้จะช่วยเติมเต็มร่องลึก ทำให้ผิวบริเวณใต้ตาเรียบเนียนขึ้น ลดเงาที่ทำให้ดูคล้ำและเหนื่อยล้า ส่งผลให้ใบหน้าโดยรวมดูสดใสและอ่อนเยาว์ขึ้น

ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาอันตรายไหม? ความเสี่ยงและผลข้างเคียงที่ควรรู้

ภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง (เช่น ตาบอด, เนื้อตาย)

ภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง เช่น ตาบอดหรือเนื้อตายจากการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา เกิดขึ้นได้ยากมาก โดยมีโอกาสเกิดภาวะตาบอดอยู่ที่ประมาณ 0.01% (หรือ 1 ใน 10,000 ครั้งของการฉีด)

ความเสี่ยงส่วนใหญ่มักเกี่ยวข้องกับการฉีดในบริเวณอื่น เช่น จมูก หน้าผาก หรือระหว่างคิ้ว สำหรับบริเวณใต้ตามีรายงานเคสที่เกิดขึ้นน้อยมากทั่วโลก ภาวะแทรกซ้อนเหล่านี้เกิดจากการที่ฟิลเลอร์เข้าไปอุดตันในหลอดเลือดโดยไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งสามารถป้องกันได้โดยการเลือกแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่ใช้เทคนิคที่ปลอดภัย

ภาวะแทรกซ้อนทั่วไป (เช่น บวม, ช้ำ, เป็นก้อน, อักเสบ)

ภาวะแทรกซ้อนที่พบบ่อยที่สุดจากการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาคืออาการที่ไม่รุนแรงและเกิดขึ้นชั่วคราว ซึ่งโดยทั่วไปจะหายได้เองภายใน 1-2 สัปดาห์

ภาวะแทรกซ้อนทั่วไปประกอบด้วย:

  • รอยช้ำ: อาจมีสีเข้มขึ้นใน 1-2 วันแรก และจะค่อยๆ จางหายไปภายใน 5-10 วัน
  • อาการบวม: มักจะเห็นได้ชัดในช่วงเช้าและโดยทั่วไปจะลดลงภายใน 7-14 วัน
  • ก้อน: อาจเกิดก้อนนิ่มๆ หรือผิวไม่เรียบได้หากฉีดฟิลเลอร์ในตำแหน่งที่ตื้นเกินไป ซึ่งมักจะหายไปเองหรือสามารถแก้ไขได้ง่ายโดยแพทย์
  • การอักเสบและรอยแดง: อาจมีอาการกดเจ็บหรือรอยแดงบริเวณที่ฉีด ซึ่งเป็นอาการชั่วคราว
  • เงาสีฟ้า (Tyndall Effect): อาจเกิดเงาสีฟ้าอมเทาใต้ผิวหนังหากฉีดฟิลเลอร์ในตำแหน่งที่ตื้นเกินไป ซึ่งสามารถแก้ไขได้โดยการสลายฟิลเลอร์

สาเหตุของอันตราย (แพทย์ขาดประสบการณ์, ฟิลเลอร์ปลอม, คลินิกไม่ได้มาตรฐาน)

สาเหตุหลักของอันตรายจากการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาเกิดจาก ผู้ฉีดที่ขาดประสบการณ์, การใช้ฟิลเลอร์ปลอมหรือไม่ได้มาตรฐาน, และการเลือกคลินิกที่ไม่น่าเชื่อถือ ซึ่งปัจจัยเหล่านี้เพิ่มความเสี่ยงของผลข้างเคียงอย่างมีนัยสำคัญ

  • ผู้ฉีดที่ขาดประสบการณ์: แพทย์ที่ขาดความรู้ด้านกายวิภาคศาสตร์อาจฉีดฟิลเลอร์ผิดตำแหน่ง เช่น ตื้นเกินไปจนเกิดเป็นก้อนหรือเห็นเป็นสีฟ้า (Tyndall effect) หรือฉีดเข้าเส้นเลือดซึ่งเป็นภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้
  • ฟิลเลอร์ปลอม: ฟิลเลอร์ที่ไม่ได้มาตรฐานหรือลักลอบนำเข้าอาจมีการปนเปื้อนหรือไม่ใช่สารไฮยาลูรอนิกแอซิด (HA) แท้ ทำให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อหรือเกิดปฏิกิริยาต่อต้านจากร่างกายอย่างรุนแรง
  • คลินิกที่ไม่ได้มาตรฐาน: คลินิกที่ไม่มีแพทย์ดูแลอย่างใกล้ชิด หรือไม่มีความพร้อมในการรับมือกับเหตุฉุกเฉิน เช่น ขาดเอนไซม์สลายฟิลเลอร์ (Hyaluronidase) จะไม่สามารถจัดการกับภาวะแทรกซ้อนได้อย่างทันท่วงที

ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาแล้วเป็นก้อน เกิดจากอะไร? แก้ไขได้อย่างไร?

การเกิดก้อนหลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น เทคนิคการฉีดที่ไม่ถูกต้อง การใช้ปริมาณฟิลเลอร์มากเกินไป หรือการเกิดปฏิกิริยาอักเสบของร่างกาย โดยสามารถแบ่งประเภทของก้อนได้ดังนี้

  • ก้อนที่ไม่เกิดจากการอักเสบ: มักเกิดจากเทคนิคการฉีด เช่น ฉีดตื้นเกินไปทำให้ฟิลเลอร์จับตัวเป็นก้อน หรือใช้ปริมาณฟิลเลอร์มากเกินไป (Overfilling) ก้อนลักษณะนี้มักปรากฏขึ้นทันทีหลังฉีด
  • ก้อนที่เกิดจากการอักเสบ: เป็นปฏิกิริยาของร่างกายที่ตอบสนองต่อฟิลเลอร์ ซึ่งพบได้น้อยมาก อาจเกิดขึ้นหลังฉีดไปแล้วหลายสัปดาห์หรือหลายเดือน มีลักษณะเป็นก้อนบวม แดง และเจ็บ

วิธีการแก้ไข

  • การนวด: สำหรับก้อนขนาดเล็กหรือไม่เรียบเนียนเพียงเล็กน้อย แพทย์อาจทำการนวดเพื่อช่วยให้ฟิลเลอร์กระจายตัวได้ดีขึ้น
  • การฉีดสลายฟิลเลอร์: เป็นวิธีมาตรฐานและได้ผลดีที่สุด โดยแพทย์จะใช้เอนไซม์ไฮยาลูโรนิเดส (Hyaluronidase) ฉีดเข้าไปเพื่อสลายฟิลเลอร์ที่เป็นก้อนหรือส่วนที่เกินออกมา
  • การใช้ยาลดการอักเสบ: ในกรณีก้อนที่เกิดจากการอักเสบ แพทย์อาจพิจารณาใช้ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ (Corticosteroids) ร่วมกับการฉีดสลายฟิลเลอร์
  • การผ่าตัดเล็ก: ใช้ในกรณีที่พบได้ยากมาก ซึ่งก้อนไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยวิธีอื่น

สาเหตุที่ทำให้ฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นก้อน

สาเหตุหลักที่ทำให้ฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นก้อนคือ เทคนิคการฉีดที่ไม่เหมาะสม การฉีดในปริมาณที่มากเกินไป หรือปฏิกิริยาการอักเสบของร่างกาย โดยสามารถแบ่งประเภทของก้อนได้ดังนี้

  • ก้อนที่ไม่มีการอักเสบ มักเกิดจากการฉีดฟิลเลอร์ที่ไม่สม่ำเสมอ ตื้นเกินไป หรือฉีดในปริมาณมากเกินไป ทำให้ฟิลเลอร์จับตัวเป็นก้อน ซึ่งมักจะปรากฏให้เห็นทันทีหลังฉีด
  • ก้อนที่มีการอักเสบ เป็นปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นช้า (อาจใช้เวลาหลายสัปดาห์ถึงหลายเดือน) โดยเกิดจากระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายตอบสนองต่อฟิลเลอร์ หรือเกิดจากการติดเชื้อเล็กน้อย ทำให้เกิดเป็นก้อนบวมแดงและเจ็บ

วิธีแก้ไขเมื่อฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นก้อน

วิธีแก้ไขฟิลเลอร์ใต้ตาที่เป็นก้อนคือ การฉีดเอนไซม์ไฮยาลูโรนิเดส (Hyaluronidase) เพื่อสลายฟิลเลอร์ส่วนเกิน ซึ่งจะทำให้บริเวณดังกล่าวเรียบเนียนขึ้น สำหรับก้อนประเภทต่างๆ อาจมีวิธีจัดการที่แตกต่างกันไป

  • ก้อนที่ไม่เรียบเนียนเล็กน้อย: ในบางกรณี แพทย์อาจใช้วิธีนวดแรงๆ เพื่อช่วยสลายก้อนฟิลเลอร์ที่เพิ่งฉีดไปได้
  • ก้อนที่เกิดจากเทคนิคการฉีด: วิธีที่ดีที่สุดคือการฉีดสลายฟิลเลอร์เดิมออกทั้งหมด แล้วรอประมาณ 1-2 สัปดาห์จึงทำการฉีดใหม่อย่างถูกวิธี
  • ก้อนอักเสบ (Granulomas): รักษาด้วยการฉีดไฮยาลูโรนิเดสร่วมกับคอร์ติโคสเตียรอยด์ และอาจต้องรับประทานยาต้านการอักเสบร่วมด้วย
  • กรณีที่พบได้ยาก: หากก้อนฟิลเลอร์ไม่ตอบสนองต่อการรักษาข้างต้น อาจจำเป็นต้องใช้การผ่าตัดเล็กเพื่อนำก้อนออก

ข้อควรรู้ก่อนตัดสินใจฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา

การเตรียมตัวก่อนฉีด

การเตรียมตัวก่อนฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาคือการหลีกเลี่ยงยา วิตามิน และแอลกอฮอล์ที่ทำให้เลือดออกง่ายเป็นเวลาประมาณ 5-7 วัน เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดรอยช้ำ

สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงก่อนการรักษา ได้แก่:

  • ยาที่ทำให้เลือดบาง (เช่น แอสไพริน, NSAIDs)
  • วิตามินอีในปริมาณสูง
  • น้ำมันปลา
  • แอลกอฮอล์
  • อาหารเสริมอื่นๆ ที่อาจเพิ่มการเกิดรอยช้ำ

นอกจากนี้ ผู้เข้ารับการรักษาควรมาถึงคลินิกโดยไม่ได้แต่งหน้าบริเวณดวงตา

ขั้นตอนการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา

ขั้นตอนการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาประกอบด้วย การเตรียมตัวก่อนฉีด, ขั้นตอนการฉีดโดยแพทย์, และการดูแลตัวเองหลังฉีด

โดยมีรายละเอียดในแต่ละขั้นตอนดังนี้:

  1. การเตรียมตัว: ผู้ป่วยจะได้รับคำแนะนำให้งดยาละลายลิ่มเลือดและแอลกอฮอล์ประมาณ 5-7 วันก่อนทำ จากนั้นจะมีการทายาชาบริเวณใต้ตาประมาณ 15-30 นาที และทำความสะอาดผิวด้วยยาฆ่าเชื้อ
  • ขั้นตอนการฉีด: แพทย์จะใช้เข็มขนาดเล็กหรือเข็มปลายทู่ (Cannula) ฉีดฟิลเลอร์เข้าไปในชั้นลึกใต้กล้ามเนื้อบริเวณเหนือกระดูกเบ้าตา โดยจะค่อยๆ ฉีดในปริมาณน้อยๆ พร้อมกับนวดเบาๆ เพื่อจัดทรงฟิลเลอร์ให้เรียบเนียนและดูเป็นธรรมชาติ
  • การดูแลหลังฉีด: แนะนำให้หลีกเลี่ยงการนวดหรือถูบริเวณใต้ตา งดการออกกำลังกายหนัก 24-48 ชั่วโมง และนอนหนุนหมอนสูงในคืนแรกเพื่อช่วยลดอาการบวม โดยผลลัพธ์สุดท้ายจะเห็นชัดเจนหลังฉีดประมาณ 2 สัปดาห์ ซึ่งแพทย์จะนัดมาติดตามผลอีกครั้ง

คุณสมบัติของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ควรเป็นแพทย์ที่ได้รับการรับรองในสาขาที่เกี่ยวข้อง มีประสบการณ์สูง และใช้ผลิตภัณฑ์ของแท้ที่ได้มาตรฐาน

คุณสมบัติสำคัญของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ได้แก่:

  • วุฒิการศึกษา: เป็นแพทย์ที่ได้รับการรับรอง เช่น แพทย์ผิวหนัง ศัลยแพทย์ตกแต่ง หรือจักษุแพทย์ตกแต่ง
  • ประสบการณ์: มีประสบการณ์สูงในการฉีดฟิลเลอร์บริเวณใต้ตาโดยเฉพาะ และมีความรู้เชิงลึกเกี่ยวกับกายวิภาคของใบหน้าเพื่อหลีกเลี่ยง “โซนอันตราย”
  • การใช้ผลิตภัณฑ์: ใช้ฟิลเลอร์ของแท้ที่ได้รับการรับรอง (เช่น Restylane®, Juvéderm®, Belotero®) และเปิดกล่องผลิตภัณฑ์ใหม่ต่อหน้าผู้รับบริการ
  • ความปลอดภัย: มีการเตรียมพร้อมสำหรับภาวะแทรกซ้อน โดยต้องมียาสลายฟิลเลอร์ (Hyaluronidase) และชุดอุปกรณ์ฉุกเฉินอยู่ในคลินิก
  • การให้คำปรึกษา: สามารถให้คำปรึกษาอย่างละเอียด ตั้งความคาดหวังที่สมจริง และไม่กดดันให้ผู้รับบริการตัดสินใจ

การเลือกใช้ฟิลเลอร์แท้ที่ผ่าน อย.

การเลือกใช้ฟิลเลอร์แท้ที่ผ่านการรับรอง สามารถทำได้โดยการเลือกคลินิกและแพทย์ที่มีชื่อเสียง ซึ่งจะใช้ฟิลเลอร์แบรนด์ที่เป็นที่รู้จักและต้องเปิดกล่องผลิตภัณฑ์ใหม่ต่อหน้าผู้รับบริการเสมอ

ผู้ให้บริการที่มีชื่อเสียงจะใช้ฟิลเลอร์ของแท้ที่มาจากผู้ผลิตหรือร้านยาที่ได้รับอนุญาตเท่านั้น โดยผลิตภัณฑ์ของแท้จะบรรจุในหลอดฉีดยาที่ปิดสนิทและผ่านการฆ่าเชื้อ ควรระวังคลินิกที่เสนอราคาถูกผิดปกติ เพราะอาจเป็นฟิลเลอร์ปลอมหรือไม่ได้มาตรฐาน แบรนด์ที่ผ่านการรับรองสำหรับใช้ใต้ตา ได้แก่ Restylane®, Juvéderm®, Belotero® และ Teosyal®

มาตรฐานของคลินิกและความสะอาด

คลินิกที่ได้มาตรฐานต้องเป็นสถานพยาบาลที่ได้รับใบอนุญาต มีแพทย์ประจำ และมีความพร้อมในการจัดการกับเหตุฉุกเฉิน คลินิกควรปฏิบัติตามมาตรฐานความสะอาดและความปลอดภัยอย่างเคร่งครัดเพื่อให้มั่นใจถึงผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

มาตรฐานที่สำคัญของคลินิก ได้แก่:

  • ต้องดำเนินการโดยแพทย์ผู้มีใบอนุญาตในสถานพยาบาล
  • มีชุดอุปกรณ์ฉุกเฉิน เช่น ไฮยาลูโรนิเดส (สารสลายฟิลเลอร์) และอะดรีนาลีน
  • ทำความสะอาดผิวหนังบริเวณที่จะฉีดด้วยน้ำยาฆ่าเชื้ออย่างทั่วถึงก่อนทำหัตถการ
  • ใช้ฟิลเลอร์ของแท้ที่ได้รับการรับรอง และควรเปิดกล่องใหม่ต่อหน้าผู้รับบริการ
  • มีการพูดคุยถึงมาตรการความปลอดภัยและมีขั้นตอนที่ชัดเจนในการรับมือกับภาวะแทรกซ้อน

ฟิลเลอร์ใต้ตาอยู่ได้นานไหม? และราคาเท่าไหร่?

ฟิลเลอร์ใต้ตาสามารถอยู่ได้นาน 12–18 เดือน โดยมีค่าใช้จ่ายในสหรัฐอเมริกาอยู่ที่ประมาณ $800 ถึง $1,500 ต่อไซริงค์

ฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นหนึ่งในการฉีดฟิลเลอร์กรดไฮยาลูรอนิก (HA) ที่ให้ผลลัพธ์ยาวนานที่สุด เนื่องจากบริเวณใต้ตามีการเคลื่อนไหวน้อย ทำให้ฟิลเลอร์สลายตัวช้ากว่าบริเวณอื่น โดยทั่วไป การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาทั้งสองข้างจะใช้เพียง 1 ไซริงค์ (1 ซีซี) แต่หากร่องลึกมากอาจต้องใช้ไซริงค์ที่สอง ซึ่งจะทำให้ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักจะกลับมาเติมฟิลเลอร์เพื่อคงผลลัพธ์ไว้ประมาณปีละครั้ง

ระยะเวลาของผลลัพธ์ฟิลเลอร์ใต้ตา

โดยทั่วไปแล้ว ผลลัพธ์ของฟิลเลอร์ใต้ตา คงอยู่ได้นานประมาณ 12–18 เดือน เนื่องจากบริเวณใต้ตามีการเคลื่อนไหวน้อย ทำให้ฟิลเลอร์สลายตัวได้ช้ากว่าบริเวณอื่น ในบางกรณีผลลัพธ์อาจอยู่นานถึง 18–24 เดือน หรือมากกว่านั้น

ทั้งนี้ ระยะเวลาจะแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ เช่น การเผาผลาญของร่างกาย ชนิดของฟิลเลอร์ และปริมาณที่ใช้ โดยทั่วไปแนะนำให้กลับมาเติมเพื่อคงผลลัพธ์ไว้ประมาณปีละครั้ง

ค่าใช้จ่ายในการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา (ราคาต่อ cc)

ค่าใช้จ่ายในการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาโดยทั่วไปอยู่ที่ประมาณ 12,000 ถึง 25,000 บาทต่อซีซี (ต่อหนึ่งหลอด) โดยปกติแล้ว การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาทั้งสองข้างจะใช้ฟิลเลอร์เพียง 1 ซีซี ซึ่งราคานี้มักจะรวมค่าหัตถการและการนัดติดตามผลแล้ว

ฟิลเลอร์ใต้ตา ยี่ห้อไหนดี?

ฟิลเลอร์ใต้ตาที่ได้รับการรับรองและเป็นที่นิยมมีหลายยี่ห้อ เช่น Restylane, Juvéderm, Belotero และ Teosyal การเลือกใช้ฟิลเลอร์ยี่ห้อใดจะขึ้นอยู่กับสภาพผิวและความต้องการของแต่ละบุคคล โดยแพทย์จะเป็นผู้ประเมินและเลือกชนิดที่เหมาะสมที่สุด ซึ่งแต่ละยี่ห้อมีคุณสมบัติเด่นแตกต่างกันไป

  • Restylane: เป็นฟิลเลอร์เนื้อแน่น ให้การสนับสนุนโครงสร้างได้ดี โดยมีรุ่น Restylane Eyelight ที่ออกแบบมาสำหรับใต้ตาโดยเฉพาะ
  • Juvéderm: มีรุ่น Volbella ซึ่งเป็นฟิลเลอร์เนื้อนิ่มและบาง เหมาะสำหรับการเติมในบริเวณที่ไม่ลึกมาก
  • Belotero: มีรุ่น Balance ที่ออกแบบมาให้ผสานเข้ากับผิวที่บางได้ดีโดยไม่ทำให้เกิดเงาสีฟ้า (Tyndall effect)
  • Teosyal: มีรุ่น Redensity II ที่ถูกพัฒนามาเพื่อใต้ตาโดยเฉพาะ เป็นที่นิยมในยุโรปและเอเชีย มีส่วนผสมของวิตามินและสารต้านอนุมูลอิสระ

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับฟิลเลอร์ใต้ตา

ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาเจ็บไหม?

การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา เจ็บน้อยมาก เนื่องจากมีการใช้ยาชาเฉพาะที่ทาก่อนทำหัตถการประมาณ 15-30 นาที ในระหว่างการฉีด ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักจะรู้สึกเหมือนมีแรงกดหรือเจ็บเล็กน้อย แต่ไม่ใช่ความเจ็บปวดที่รุนแรง โดยทั่วไปมักให้คะแนนความเจ็บปวดอยู่ที่ประมาณ 2-4 จาก 10 คะแนน

ทำไมบางคนถึงไม่ควรฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา?

บางคนไม่ควรฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาเนื่องจาก ปัจจัยด้านสุขภาพและลักษณะทางกายภาพบางอย่าง ที่อาจเพิ่มความเสี่ยงหรือทำให้ผลลัพธ์ไม่เป็นที่น่าพอใจ

ผู้ที่ไม่เหมาะกับการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ได้แก่:

  • ผู้ที่มีถุงใต้ตาขนาดใหญ่ (ไขมันปูด) หรือผิวหนังหย่อนคล้อยมากเกินไป
  • ผู้ที่มีภาวะเลือดออกผิดปกติ กำลังตั้งครรภ์ หรือให้นมบุตร
  • ผู้ที่มีประวัติแพ้อย่างรุนแรง มีอาการบวมน้ำเรื้อรังบริเวณเปลือกตา หรือผิวใต้ตาบางมาก
  • ผู้ที่มีความคาดหวังต่อผลลัพธ์ที่ไม่สมจริง

ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาแล้วบวมกี่วัน?

หลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา โดยทั่วไปอาการบวมจะค่อยๆ ยุบลงภายใน 7-14 วัน

อาการบวมอาจจะเห็นได้ชัดขึ้นในช่วงเช้า และจะค่อยๆ ดีขึ้น โดยฟิลเลอร์จะเข้าที่และเห็นผลลัพธ์สุดท้ายที่ชัดเจนในสัปดาห์ที่ 2 ทั้งนี้ เพื่อช่วยลดอาการบวม แนะนำให้ประคบเย็นในช่วงวันแรกและนอนหนุนหมอนสูง หากอาการบวมยังคงอยู่นานเกิน 2 สัปดาห์ ควรปรึกษาแพทย์

ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาแล้วตาบอดจริงไหม?

การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาสามารถทำให้ตาบอดได้จริง แต่เป็นความเสี่ยงที่เกิดขึ้นได้น้อยมาก จากข้อมูลทั่วโลกพบว่ามีโอกาสเกิดขึ้นประมาณ 0.01% หรือ 1 ใน 10,000 ครั้งของการฉีด โดยความเสี่ยงจะสูงกว่าในบริเวณอื่น เช่น จมูกหรือหน้าผาก และมีรายงานเคสที่เกิดจากบริเวณใต้ตาโดยตรงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

ฟิลเลอร์ใต้ตาต้องใช้กี่ cc?

โดยทั่วไปแล้วการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาจะใช้ปริมาณประมาณ 1 cc สำหรับทั้งสองข้างในครั้งแรก ซึ่งมักจะแบ่งเป็นข้างละ 0.3-0.5 cc

ปริมาณที่แน่นอนจะขึ้นอยู่กับความลึกของร่องใต้ตาของแต่ละบุคคล แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะประเมินและกำหนดปริมาณที่เหมาะสม โดยอาจใช้ปริมาณดังนี้

  • ร่องลึกไม่มาก: อาจใช้เพียง 0.5 cc สำหรับทั้งสองข้าง (ข้างละ 0.25 cc)
  • ร่องลึกมาก: อาจต้องใช้ถึง 2 cc (ข้างละ 1 cc) แต่โดยปกติจะแบ่งฉีด 2 ครั้ง ห่างกันประมาณ 2-4 สัปดาห์ เพื่อผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติและหลีกเลี่ยงการบวมหรือเป็นก้อน

References:

  1. National Institutes of Health. nih.gov
  2. U.S. Food and Drug Administration. fda.gov
  3. Cleveland Clinic. clevelandclinic.org
  4. American Academy of Ophthalmology. aao.org
  5. Springer. springer.com
  6. MDPI. mdpi.com
  7. American Board of Cosmetic Surgery. americanboardcosmeticsurgery.org

แนะแนวเรื่อง

Previous Previous
ขูดฟิลเลอร์เจ็บไหม? อันตรายหรือเปล่า? รู้ก่อนตัดสินใจ
NextContinue
ฉีดโบท็อกซ์ยกหางตา ลดริ้วรอยตีนกา เห็นผลจริงไหม? อัปเดต 2568

สาขาพรีวาโต คลินิก

    สาขาอโศก ตั้งอยู่ที่ ชั้น 2 อาคารมิดทาวน์
    Phone: 02-258-4050 , 081-841-5075
    สาขาสีลม ตั้งอยู่ที่ ชั้น 1 อาคารซี.พี.ทาวเวอร์
    Phone: 02-780-2011 , 098-272-5244
    สาขาราชพฤกษ์ ตั้งอยู่ที่ ชั้น 2 ศูนย์การค้า เดอะคริสตัล เอสบี (ด้านบนร้านสตาร์บัคส์)
    Phone: 02-102-2778 , 098-272-5244

ติดต่อเรา

    Facebook: Privato Clinic
    Messenger: Privato Clinic
    Instagram: privatoclinic
    Email: privatoclinic@gmail.com
    Line: @privatoclinic

Copyright© 2022-2024. All Rights Reserved

Scroll to top
  • หน้าหลัก
  • เกี่ยวกับพรีวาโต
  • บริการทั้งหมด
    • ชะลอวัย
    • ยกกระชับผิว
      • XERF
      • Potenza
      • Sofwave
      • Ulthera
      • Thermage-FLX
    • รักษาสิว
    • เลเซอร์
    • โปรแกรมฉีด
    • บำรุงผิว
  • บทความ
    • สิว
    • ยกกระชับ
    • ดูแลผิว
    • ทำเลเซอร์
  • ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว
  • โปรโมชั่น
  • ผลลัพธ์การรักษา
  • วิดีโอรีวิวจากเคสจริง
  • สาขาของเรา
  • ไทย
    • ไทย
    • English
    • 中文 (中国)
  • ปรึกษาแพทย์
Facebook Instagram YouTube