ฟิลเลอร์ใต้ตาอันตรายไหม? ข้อควรรู้และวิธีเลือกคลินิกให้ปลอดภัย

ฟิลเลอร์ใต้ตาคือสารเติมเต็มกรดไฮยาลูรอนิกที่ช่วยแก้ปัญหาร่องลึกใต้ตาให้ดูสดใสขึ้น ซึ่งมีความเสี่ยงภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง เช่น ตาบอด เพียง 0.01% หากฉีดโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและใช้ฟิลเลอร์แท้ที่ผ่านการรับรอง.
ฟิลเลอร์ใต้ตาคืออะไร? และช่วยแก้ปัญหาอะไรได้บ้าง?
ฟิลเลอร์ใต้ตาคือสารเติมเต็มประเภทกรดไฮยาลูรอนิก (Hyaluronic Acid) ที่ใช้ฉีดเพื่อเพิ่มปริมาตรบริเวณร่องใต้ตาที่ลึกหรือเป็นแอ่ง ซึ่งช่วยแก้ปัญหาร่องลึกและเงาดำที่เกิดจากการยุบตัวของโครงสร้างใต้ผิวหนัง ทำให้ใบหน้าดูสดใสและอ่อนเยาว์ขึ้น
อย่างไรก็ตาม ฟิลเลอร์ใต้ตาไม่สามารถแก้ไขปัญหาถุงใต้ตาขนาดใหญ่, ผิวหนังที่หย่อนคล้อยมากเกินไป หรือรอยคล้ำที่เกิดจากเม็ดสีผิวโดยตรงได้
ปัญหาใต้ตาที่พบบ่อย (ร่องลึก, ใต้ตาคล้ำ, ถุงใต้ตา)
ปัญหาใต้ตาที่พบบ่อยเกิดจากร่องลึกเนื่องจากการสูญเสียปริมาตร, รอยคล้ำจากเงาหรือเม็ดสี และถุงใต้ตาที่เกิดจากไขมันหรือผิวหนังส่วนเกิน ซึ่งแต่ละปัญหามีสาเหตุและการรักษาที่แตกต่างกัน
- ร่องลึกใต้ตา (Tear Trough Hollows): เกิดจากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างและการสูญเสียปริมาตร ทำให้เกิดเป็นร่องหรือแอ่งลึกลงไป ซึ่งทำให้เกิดเงาและดูเหนื่อยล้า ปัญหานี้สามารถแก้ไขได้ดีด้วยการฉีดฟิลเลอร์เพื่อเติมเต็ม
- ใต้ตาคล้ำ (Dark Circles): อาจเกิดจากเงาที่ตกกระทบบนร่องลึก (ซึ่งฟิลเลอร์ช่วยได้) หรือเกิดจากเม็ดสี (pigmentation) บนผิวหนังที่คล้ำขึ้นเอง (ซึ่งฟิลเลอร์ไม่สามารถแก้ไขได้)
- ถุงใต้ตา (Eye Bags): เกิดจากถุงไขมันที่ปูดนูนออกมา (fat prolapse) หรือผิวหนังส่วนเกิน การฉีดฟิลเลอร์ไม่เหมาะกับการรักษาสภาพนี้และอาจทำให้ดูบวมกว่าเดิม ซึ่งมักจะต้องแก้ไขด้วยการผ่าตัด
หลักการทำงานของฟิลเลอร์ใต้ตา
ฟิลเลอร์ใต้ตาทำงานโดยการฉีดสารเติมเต็มประเภทกรดไฮยาลูรอนิก (Hyaluronic Acid) เข้าไปเพื่อเพิ่มปริมาตรให้กับบริเวณร่องใต้ตาที่ลึกหรือเป็นแอ่ง การเพิ่มปริมาตรนี้จะช่วยเติมเต็มร่องลึก ทำให้ผิวบริเวณใต้ตาเรียบเนียนขึ้น ลดเงาที่ทำให้ดูคล้ำและเหนื่อยล้า ส่งผลให้ใบหน้าโดยรวมดูสดใสและอ่อนเยาว์ขึ้น
ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาอันตรายไหม? ความเสี่ยงและผลข้างเคียงที่ควรรู้
ภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง (เช่น ตาบอด, เนื้อตาย)
ภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง เช่น ตาบอดหรือเนื้อตายจากการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา เกิดขึ้นได้ยากมาก โดยมีโอกาสเกิดภาวะตาบอดอยู่ที่ประมาณ 0.01% (หรือ 1 ใน 10,000 ครั้งของการฉีด)
ความเสี่ยงส่วนใหญ่มักเกี่ยวข้องกับการฉีดในบริเวณอื่น เช่น จมูก หน้าผาก หรือระหว่างคิ้ว สำหรับบริเวณใต้ตามีรายงานเคสที่เกิดขึ้นน้อยมากทั่วโลก ภาวะแทรกซ้อนเหล่านี้เกิดจากการที่ฟิลเลอร์เข้าไปอุดตันในหลอดเลือดโดยไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งสามารถป้องกันได้โดยการเลือกแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่ใช้เทคนิคที่ปลอดภัย
ภาวะแทรกซ้อนทั่วไป (เช่น บวม, ช้ำ, เป็นก้อน, อักเสบ)
ภาวะแทรกซ้อนที่พบบ่อยที่สุดจากการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาคืออาการที่ไม่รุนแรงและเกิดขึ้นชั่วคราว ซึ่งโดยทั่วไปจะหายได้เองภายใน 1-2 สัปดาห์
ภาวะแทรกซ้อนทั่วไปประกอบด้วย:
- รอยช้ำ: อาจมีสีเข้มขึ้นใน 1-2 วันแรก และจะค่อยๆ จางหายไปภายใน 5-10 วัน
- อาการบวม: มักจะเห็นได้ชัดในช่วงเช้าและโดยทั่วไปจะลดลงภายใน 7-14 วัน
- ก้อน: อาจเกิดก้อนนิ่มๆ หรือผิวไม่เรียบได้หากฉีดฟิลเลอร์ในตำแหน่งที่ตื้นเกินไป ซึ่งมักจะหายไปเองหรือสามารถแก้ไขได้ง่ายโดยแพทย์
- การอักเสบและรอยแดง: อาจมีอาการกดเจ็บหรือรอยแดงบริเวณที่ฉีด ซึ่งเป็นอาการชั่วคราว
- เงาสีฟ้า (Tyndall Effect): อาจเกิดเงาสีฟ้าอมเทาใต้ผิวหนังหากฉีดฟิลเลอร์ในตำแหน่งที่ตื้นเกินไป ซึ่งสามารถแก้ไขได้โดยการสลายฟิลเลอร์
สาเหตุของอันตราย (แพทย์ขาดประสบการณ์, ฟิลเลอร์ปลอม, คลินิกไม่ได้มาตรฐาน)
สาเหตุหลักของอันตรายจากการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาเกิดจาก ผู้ฉีดที่ขาดประสบการณ์, การใช้ฟิลเลอร์ปลอมหรือไม่ได้มาตรฐาน, และการเลือกคลินิกที่ไม่น่าเชื่อถือ ซึ่งปัจจัยเหล่านี้เพิ่มความเสี่ยงของผลข้างเคียงอย่างมีนัยสำคัญ
- ผู้ฉีดที่ขาดประสบการณ์: แพทย์ที่ขาดความรู้ด้านกายวิภาคศาสตร์อาจฉีดฟิลเลอร์ผิดตำแหน่ง เช่น ตื้นเกินไปจนเกิดเป็นก้อนหรือเห็นเป็นสีฟ้า (Tyndall effect) หรือฉีดเข้าเส้นเลือดซึ่งเป็นภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้
- ฟิลเลอร์ปลอม: ฟิลเลอร์ที่ไม่ได้มาตรฐานหรือลักลอบนำเข้าอาจมีการปนเปื้อนหรือไม่ใช่สารไฮยาลูรอนิกแอซิด (HA) แท้ ทำให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อหรือเกิดปฏิกิริยาต่อต้านจากร่างกายอย่างรุนแรง
- คลินิกที่ไม่ได้มาตรฐาน: คลินิกที่ไม่มีแพทย์ดูแลอย่างใกล้ชิด หรือไม่มีความพร้อมในการรับมือกับเหตุฉุกเฉิน เช่น ขาดเอนไซม์สลายฟิลเลอร์ (Hyaluronidase) จะไม่สามารถจัดการกับภาวะแทรกซ้อนได้อย่างทันท่วงที
ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาแล้วเป็นก้อน เกิดจากอะไร? แก้ไขได้อย่างไร?
การเกิดก้อนหลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น เทคนิคการฉีดที่ไม่ถูกต้อง การใช้ปริมาณฟิลเลอร์มากเกินไป หรือการเกิดปฏิกิริยาอักเสบของร่างกาย โดยสามารถแบ่งประเภทของก้อนได้ดังนี้
- ก้อนที่ไม่เกิดจากการอักเสบ: มักเกิดจากเทคนิคการฉีด เช่น ฉีดตื้นเกินไปทำให้ฟิลเลอร์จับตัวเป็นก้อน หรือใช้ปริมาณฟิลเลอร์มากเกินไป (Overfilling) ก้อนลักษณะนี้มักปรากฏขึ้นทันทีหลังฉีด
- ก้อนที่เกิดจากการอักเสบ: เป็นปฏิกิริยาของร่างกายที่ตอบสนองต่อฟิลเลอร์ ซึ่งพบได้น้อยมาก อาจเกิดขึ้นหลังฉีดไปแล้วหลายสัปดาห์หรือหลายเดือน มีลักษณะเป็นก้อนบวม แดง และเจ็บ
วิธีการแก้ไข
- การนวด: สำหรับก้อนขนาดเล็กหรือไม่เรียบเนียนเพียงเล็กน้อย แพทย์อาจทำการนวดเพื่อช่วยให้ฟิลเลอร์กระจายตัวได้ดีขึ้น
- การฉีดสลายฟิลเลอร์: เป็นวิธีมาตรฐานและได้ผลดีที่สุด โดยแพทย์จะใช้เอนไซม์ไฮยาลูโรนิเดส (Hyaluronidase) ฉีดเข้าไปเพื่อสลายฟิลเลอร์ที่เป็นก้อนหรือส่วนที่เกินออกมา
- การใช้ยาลดการอักเสบ: ในกรณีก้อนที่เกิดจากการอักเสบ แพทย์อาจพิจารณาใช้ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ (Corticosteroids) ร่วมกับการฉีดสลายฟิลเลอร์
- การผ่าตัดเล็ก: ใช้ในกรณีที่พบได้ยากมาก ซึ่งก้อนไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยวิธีอื่น
สาเหตุที่ทำให้ฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นก้อน
สาเหตุหลักที่ทำให้ฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นก้อนคือ เทคนิคการฉีดที่ไม่เหมาะสม การฉีดในปริมาณที่มากเกินไป หรือปฏิกิริยาการอักเสบของร่างกาย โดยสามารถแบ่งประเภทของก้อนได้ดังนี้
- ก้อนที่ไม่มีการอักเสบ มักเกิดจากการฉีดฟิลเลอร์ที่ไม่สม่ำเสมอ ตื้นเกินไป หรือฉีดในปริมาณมากเกินไป ทำให้ฟิลเลอร์จับตัวเป็นก้อน ซึ่งมักจะปรากฏให้เห็นทันทีหลังฉีด
- ก้อนที่มีการอักเสบ เป็นปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นช้า (อาจใช้เวลาหลายสัปดาห์ถึงหลายเดือน) โดยเกิดจากระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายตอบสนองต่อฟิลเลอร์ หรือเกิดจากการติดเชื้อเล็กน้อย ทำให้เกิดเป็นก้อนบวมแดงและเจ็บ
วิธีแก้ไขเมื่อฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นก้อน
วิธีแก้ไขฟิลเลอร์ใต้ตาที่เป็นก้อนคือ การฉีดเอนไซม์ไฮยาลูโรนิเดส (Hyaluronidase) เพื่อสลายฟิลเลอร์ส่วนเกิน ซึ่งจะทำให้บริเวณดังกล่าวเรียบเนียนขึ้น สำหรับก้อนประเภทต่างๆ อาจมีวิธีจัดการที่แตกต่างกันไป
- ก้อนที่ไม่เรียบเนียนเล็กน้อย: ในบางกรณี แพทย์อาจใช้วิธีนวดแรงๆ เพื่อช่วยสลายก้อนฟิลเลอร์ที่เพิ่งฉีดไปได้
- ก้อนที่เกิดจากเทคนิคการฉีด: วิธีที่ดีที่สุดคือการฉีดสลายฟิลเลอร์เดิมออกทั้งหมด แล้วรอประมาณ 1-2 สัปดาห์จึงทำการฉีดใหม่อย่างถูกวิธี
- ก้อนอักเสบ (Granulomas): รักษาด้วยการฉีดไฮยาลูโรนิเดสร่วมกับคอร์ติโคสเตียรอยด์ และอาจต้องรับประทานยาต้านการอักเสบร่วมด้วย
- กรณีที่พบได้ยาก: หากก้อนฟิลเลอร์ไม่ตอบสนองต่อการรักษาข้างต้น อาจจำเป็นต้องใช้การผ่าตัดเล็กเพื่อนำก้อนออก
ข้อควรรู้ก่อนตัดสินใจฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา
การเตรียมตัวก่อนฉีด
การเตรียมตัวก่อนฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาคือการหลีกเลี่ยงยา วิตามิน และแอลกอฮอล์ที่ทำให้เลือดออกง่ายเป็นเวลาประมาณ 5-7 วัน เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดรอยช้ำ
สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงก่อนการรักษา ได้แก่:
- ยาที่ทำให้เลือดบาง (เช่น แอสไพริน, NSAIDs)
- วิตามินอีในปริมาณสูง
- น้ำมันปลา
- แอลกอฮอล์
- อาหารเสริมอื่นๆ ที่อาจเพิ่มการเกิดรอยช้ำ
นอกจากนี้ ผู้เข้ารับการรักษาควรมาถึงคลินิกโดยไม่ได้แต่งหน้าบริเวณดวงตา
ขั้นตอนการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา
ขั้นตอนการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาประกอบด้วย การเตรียมตัวก่อนฉีด, ขั้นตอนการฉีดโดยแพทย์, และการดูแลตัวเองหลังฉีด
โดยมีรายละเอียดในแต่ละขั้นตอนดังนี้:
- การเตรียมตัว: ผู้ป่วยจะได้รับคำแนะนำให้งดยาละลายลิ่มเลือดและแอลกอฮอล์ประมาณ 5-7 วันก่อนทำ จากนั้นจะมีการทายาชาบริเวณใต้ตาประมาณ 15-30 นาที และทำความสะอาดผิวด้วยยาฆ่าเชื้อ
- ขั้นตอนการฉีด: แพทย์จะใช้เข็มขนาดเล็กหรือเข็มปลายทู่ (Cannula) ฉีดฟิลเลอร์เข้าไปในชั้นลึกใต้กล้ามเนื้อบริเวณเหนือกระดูกเบ้าตา โดยจะค่อยๆ ฉีดในปริมาณน้อยๆ พร้อมกับนวดเบาๆ เพื่อจัดทรงฟิลเลอร์ให้เรียบเนียนและดูเป็นธรรมชาติ
- การดูแลหลังฉีด: แนะนำให้หลีกเลี่ยงการนวดหรือถูบริเวณใต้ตา งดการออกกำลังกายหนัก 24-48 ชั่วโมง และนอนหนุนหมอนสูงในคืนแรกเพื่อช่วยลดอาการบวม โดยผลลัพธ์สุดท้ายจะเห็นชัดเจนหลังฉีดประมาณ 2 สัปดาห์ ซึ่งแพทย์จะนัดมาติดตามผลอีกครั้ง
คุณสมบัติของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ควรเป็นแพทย์ที่ได้รับการรับรองในสาขาที่เกี่ยวข้อง มีประสบการณ์สูง และใช้ผลิตภัณฑ์ของแท้ที่ได้มาตรฐาน
คุณสมบัติสำคัญของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ได้แก่:
- วุฒิการศึกษา: เป็นแพทย์ที่ได้รับการรับรอง เช่น แพทย์ผิวหนัง ศัลยแพทย์ตกแต่ง หรือจักษุแพทย์ตกแต่ง
- ประสบการณ์: มีประสบการณ์สูงในการฉีดฟิลเลอร์บริเวณใต้ตาโดยเฉพาะ และมีความรู้เชิงลึกเกี่ยวกับกายวิภาคของใบหน้าเพื่อหลีกเลี่ยง “โซนอันตราย”
- การใช้ผลิตภัณฑ์: ใช้ฟิลเลอร์ของแท้ที่ได้รับการรับรอง (เช่น Restylane®, Juvéderm®, Belotero®) และเปิดกล่องผลิตภัณฑ์ใหม่ต่อหน้าผู้รับบริการ
- ความปลอดภัย: มีการเตรียมพร้อมสำหรับภาวะแทรกซ้อน โดยต้องมียาสลายฟิลเลอร์ (Hyaluronidase) และชุดอุปกรณ์ฉุกเฉินอยู่ในคลินิก
- การให้คำปรึกษา: สามารถให้คำปรึกษาอย่างละเอียด ตั้งความคาดหวังที่สมจริง และไม่กดดันให้ผู้รับบริการตัดสินใจ
การเลือกใช้ฟิลเลอร์แท้ที่ผ่าน อย.
การเลือกใช้ฟิลเลอร์แท้ที่ผ่านการรับรอง สามารถทำได้โดยการเลือกคลินิกและแพทย์ที่มีชื่อเสียง ซึ่งจะใช้ฟิลเลอร์แบรนด์ที่เป็นที่รู้จักและต้องเปิดกล่องผลิตภัณฑ์ใหม่ต่อหน้าผู้รับบริการเสมอ
ผู้ให้บริการที่มีชื่อเสียงจะใช้ฟิลเลอร์ของแท้ที่มาจากผู้ผลิตหรือร้านยาที่ได้รับอนุญาตเท่านั้น โดยผลิตภัณฑ์ของแท้จะบรรจุในหลอดฉีดยาที่ปิดสนิทและผ่านการฆ่าเชื้อ ควรระวังคลินิกที่เสนอราคาถูกผิดปกติ เพราะอาจเป็นฟิลเลอร์ปลอมหรือไม่ได้มาตรฐาน แบรนด์ที่ผ่านการรับรองสำหรับใช้ใต้ตา ได้แก่ Restylane®, Juvéderm®, Belotero® และ Teosyal®
มาตรฐานของคลินิกและความสะอาด
คลินิกที่ได้มาตรฐานต้องเป็นสถานพยาบาลที่ได้รับใบอนุญาต มีแพทย์ประจำ และมีความพร้อมในการจัดการกับเหตุฉุกเฉิน คลินิกควรปฏิบัติตามมาตรฐานความสะอาดและความปลอดภัยอย่างเคร่งครัดเพื่อให้มั่นใจถึงผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
มาตรฐานที่สำคัญของคลินิก ได้แก่:
- ต้องดำเนินการโดยแพทย์ผู้มีใบอนุญาตในสถานพยาบาล
- มีชุดอุปกรณ์ฉุกเฉิน เช่น ไฮยาลูโรนิเดส (สารสลายฟิลเลอร์) และอะดรีนาลีน
- ทำความสะอาดผิวหนังบริเวณที่จะฉีดด้วยน้ำยาฆ่าเชื้ออย่างทั่วถึงก่อนทำหัตถการ
- ใช้ฟิลเลอร์ของแท้ที่ได้รับการรับรอง และควรเปิดกล่องใหม่ต่อหน้าผู้รับบริการ
- มีการพูดคุยถึงมาตรการความปลอดภัยและมีขั้นตอนที่ชัดเจนในการรับมือกับภาวะแทรกซ้อน
ฟิลเลอร์ใต้ตาอยู่ได้นานไหม? และราคาเท่าไหร่?
ฟิลเลอร์ใต้ตาสามารถอยู่ได้นาน 12–18 เดือน โดยมีค่าใช้จ่ายในสหรัฐอเมริกาอยู่ที่ประมาณ $800 ถึง $1,500 ต่อไซริงค์
ฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นหนึ่งในการฉีดฟิลเลอร์กรดไฮยาลูรอนิก (HA) ที่ให้ผลลัพธ์ยาวนานที่สุด เนื่องจากบริเวณใต้ตามีการเคลื่อนไหวน้อย ทำให้ฟิลเลอร์สลายตัวช้ากว่าบริเวณอื่น โดยทั่วไป การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาทั้งสองข้างจะใช้เพียง 1 ไซริงค์ (1 ซีซี) แต่หากร่องลึกมากอาจต้องใช้ไซริงค์ที่สอง ซึ่งจะทำให้ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักจะกลับมาเติมฟิลเลอร์เพื่อคงผลลัพธ์ไว้ประมาณปีละครั้ง
ระยะเวลาของผลลัพธ์ฟิลเลอร์ใต้ตา
โดยทั่วไปแล้ว ผลลัพธ์ของฟิลเลอร์ใต้ตา คงอยู่ได้นานประมาณ 12–18 เดือน เนื่องจากบริเวณใต้ตามีการเคลื่อนไหวน้อย ทำให้ฟิลเลอร์สลายตัวได้ช้ากว่าบริเวณอื่น ในบางกรณีผลลัพธ์อาจอยู่นานถึง 18–24 เดือน หรือมากกว่านั้น
ทั้งนี้ ระยะเวลาจะแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ เช่น การเผาผลาญของร่างกาย ชนิดของฟิลเลอร์ และปริมาณที่ใช้ โดยทั่วไปแนะนำให้กลับมาเติมเพื่อคงผลลัพธ์ไว้ประมาณปีละครั้ง
ค่าใช้จ่ายในการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา (ราคาต่อ cc)
ค่าใช้จ่ายในการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาโดยทั่วไปอยู่ที่ประมาณ 12,000 ถึง 25,000 บาทต่อซีซี (ต่อหนึ่งหลอด) โดยปกติแล้ว การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาทั้งสองข้างจะใช้ฟิลเลอร์เพียง 1 ซีซี ซึ่งราคานี้มักจะรวมค่าหัตถการและการนัดติดตามผลแล้ว
ฟิลเลอร์ใต้ตา ยี่ห้อไหนดี?
ฟิลเลอร์ใต้ตาที่ได้รับการรับรองและเป็นที่นิยมมีหลายยี่ห้อ เช่น Restylane, Juvéderm, Belotero และ Teosyal การเลือกใช้ฟิลเลอร์ยี่ห้อใดจะขึ้นอยู่กับสภาพผิวและความต้องการของแต่ละบุคคล โดยแพทย์จะเป็นผู้ประเมินและเลือกชนิดที่เหมาะสมที่สุด ซึ่งแต่ละยี่ห้อมีคุณสมบัติเด่นแตกต่างกันไป
- Restylane: เป็นฟิลเลอร์เนื้อแน่น ให้การสนับสนุนโครงสร้างได้ดี โดยมีรุ่น Restylane Eyelight ที่ออกแบบมาสำหรับใต้ตาโดยเฉพาะ
- Juvéderm: มีรุ่น Volbella ซึ่งเป็นฟิลเลอร์เนื้อนิ่มและบาง เหมาะสำหรับการเติมในบริเวณที่ไม่ลึกมาก
- Belotero: มีรุ่น Balance ที่ออกแบบมาให้ผสานเข้ากับผิวที่บางได้ดีโดยไม่ทำให้เกิดเงาสีฟ้า (Tyndall effect)
- Teosyal: มีรุ่น Redensity II ที่ถูกพัฒนามาเพื่อใต้ตาโดยเฉพาะ เป็นที่นิยมในยุโรปและเอเชีย มีส่วนผสมของวิตามินและสารต้านอนุมูลอิสระ
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับฟิลเลอร์ใต้ตา
ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาเจ็บไหม?
การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา เจ็บน้อยมาก เนื่องจากมีการใช้ยาชาเฉพาะที่ทาก่อนทำหัตถการประมาณ 15-30 นาที ในระหว่างการฉีด ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักจะรู้สึกเหมือนมีแรงกดหรือเจ็บเล็กน้อย แต่ไม่ใช่ความเจ็บปวดที่รุนแรง โดยทั่วไปมักให้คะแนนความเจ็บปวดอยู่ที่ประมาณ 2-4 จาก 10 คะแนน
ทำไมบางคนถึงไม่ควรฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา?
บางคนไม่ควรฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาเนื่องจาก ปัจจัยด้านสุขภาพและลักษณะทางกายภาพบางอย่าง ที่อาจเพิ่มความเสี่ยงหรือทำให้ผลลัพธ์ไม่เป็นที่น่าพอใจ
ผู้ที่ไม่เหมาะกับการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ได้แก่:
- ผู้ที่มีถุงใต้ตาขนาดใหญ่ (ไขมันปูด) หรือผิวหนังหย่อนคล้อยมากเกินไป
- ผู้ที่มีภาวะเลือดออกผิดปกติ กำลังตั้งครรภ์ หรือให้นมบุตร
- ผู้ที่มีประวัติแพ้อย่างรุนแรง มีอาการบวมน้ำเรื้อรังบริเวณเปลือกตา หรือผิวใต้ตาบางมาก
- ผู้ที่มีความคาดหวังต่อผลลัพธ์ที่ไม่สมจริง
ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาแล้วบวมกี่วัน?
หลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา โดยทั่วไปอาการบวมจะค่อยๆ ยุบลงภายใน 7-14 วัน
อาการบวมอาจจะเห็นได้ชัดขึ้นในช่วงเช้า และจะค่อยๆ ดีขึ้น โดยฟิลเลอร์จะเข้าที่และเห็นผลลัพธ์สุดท้ายที่ชัดเจนในสัปดาห์ที่ 2 ทั้งนี้ เพื่อช่วยลดอาการบวม แนะนำให้ประคบเย็นในช่วงวันแรกและนอนหนุนหมอนสูง หากอาการบวมยังคงอยู่นานเกิน 2 สัปดาห์ ควรปรึกษาแพทย์
ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาแล้วตาบอดจริงไหม?
การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาสามารถทำให้ตาบอดได้จริง แต่เป็นความเสี่ยงที่เกิดขึ้นได้น้อยมาก จากข้อมูลทั่วโลกพบว่ามีโอกาสเกิดขึ้นประมาณ 0.01% หรือ 1 ใน 10,000 ครั้งของการฉีด โดยความเสี่ยงจะสูงกว่าในบริเวณอื่น เช่น จมูกหรือหน้าผาก และมีรายงานเคสที่เกิดจากบริเวณใต้ตาโดยตรงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ฟิลเลอร์ใต้ตาต้องใช้กี่ cc?
โดยทั่วไปแล้วการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาจะใช้ปริมาณประมาณ 1 cc สำหรับทั้งสองข้างในครั้งแรก ซึ่งมักจะแบ่งเป็นข้างละ 0.3-0.5 cc
ปริมาณที่แน่นอนจะขึ้นอยู่กับความลึกของร่องใต้ตาของแต่ละบุคคล แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะประเมินและกำหนดปริมาณที่เหมาะสม โดยอาจใช้ปริมาณดังนี้
- ร่องลึกไม่มาก: อาจใช้เพียง 0.5 cc สำหรับทั้งสองข้าง (ข้างละ 0.25 cc)
- ร่องลึกมาก: อาจต้องใช้ถึง 2 cc (ข้างละ 1 cc) แต่โดยปกติจะแบ่งฉีด 2 ครั้ง ห่างกันประมาณ 2-4 สัปดาห์ เพื่อผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติและหลีกเลี่ยงการบวมหรือเป็นก้อน
References:
- National Institutes of Health. nih.gov
- U.S. Food and Drug Administration. fda.gov
- Cleveland Clinic. clevelandclinic.org
- American Academy of Ophthalmology. aao.org
- Springer. springer.com
- MDPI. mdpi.com
- American Board of Cosmetic Surgery. americanboardcosmeticsurgery.org
