Skip to content

TEL : 081-841-5075, 02-258-4050

Facebook Instagram YouTube
Privato Clinic – Innovation Of Beauty  |  Bangkok
  • หน้าหลัก
  • เกี่ยวกับพรีวาโต
  • บริการทั้งหมดExpand
    • ชะลอวัย
    • ยกกระชับผิวExpand
      • XERF
      • Potenza
      • Sofwave
      • Ulthera
      • Thermage-FLX
    • รักษาสิว
    • เลเซอร์
    • โปรแกรมฉีด
    • บำรุงผิว
  • บทความExpand
    • สิว
    • ยกกระชับ
    • ดูแลผิว
    • ทำเลเซอร์
  • ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว
  • โปรโมชั่น
  • ผลลัพธ์การรักษา
  • วิดีโอรีวิวจากเคสจริง
  • สาขาของเรา
  • ไทยExpand
    • ไทย
    • English
    • 中文 (中国)
  • ปรึกษาแพทย์
Privato Clinic – Innovation Of Beauty  |  Bangkok
Consult a Doctor
Lifting

10 วิธีลดริ้วรอยหน้าผาก ให้ผิวกลับมาฟื้นฟูให้ดียิ่งขึ้น

Byadmin กันยายน 20, 2025
By นายแพทย์เลอพงษ์ กรุดเงิน Updated on กันยายน 20, 2025
✦ Medically reviewed by  แพทย์หญิงนัชชนก หุ่นวิจิตร

ริ้วรอยหน้าผาก แก้ได้ที่ privato clinic

Table of Contents

Toggle
  • ทำความเข้าใจริ้วรอยหน้าผาก: สาเหตุและประเภทที่พบบ่อย
    • ริ้วรอยจากการแสดงอารมณ์ (Dynamic Wrinkles)
    • ริ้วรอยถาวรเมื่อหน้าผากไม่ขยับ (Static Wrinkles)
    • ปัจจัยเร่งที่ทำให้เกิดริ้วรอยก่อนวัย
  • 10 แนวทางลดริ้วรอยหน้าผากต้องดูแลตัวเองอย่างไร
    • 1. ปรับพฤติกรรมการแสดงสีหน้าและลดความเครียด
    • 2. ใช้ครีมกันแดดประสิทธิภาพสูงเป็นประจำทุกวัน
    • 3. เลือกสกินแคร์ที่มีส่วนผสมออกฤทธิ์ลดเลือนริ้วรอย
    • 4. นวดหน้าและใช้แผ่นมาสก์เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้น
    • 5. ฉีดโบทูลินั่มท็อกซินเพื่อคลายกล้ามเนื้อ
    • 6. เติมฟิลเลอร์เพื่อแก้ไขปัญหาร่องลึก
    • 7. ใช้เลเซอร์และพลังงานคลื่นวิทยุเพื่อฟื้นฟูผิว
    • 8. การร้อยไหมเพื่อยกกระชับผิวบริเวณหน้าผาก
    • 9. ทำทรีตเมนต์ผลัดเซลล์ผิวทางการแพทย์
    • 10. รับประทานอาหารและวิตามินที่ส่งเสริมสุขภาพผิว
    • หลักเกณฑ์การเลือกวิธีที่เหมาะสมกับคุณ
  • ข้อควรพิจารณาก่อนตัดสินใจเลือกวิธีรักษา
    • การประเมินความลึกและลักษณะของริ้วรอย
    • ผลลัพธ์ที่คาดหวังและระยะเวลาในการเห็นผล
    • การเลือกคลินิกและผู้ให้บริการที่ได้มาตรฐาน
  • ความเสี่ยง ผลข้างเคียง และข้อควรระวังในการรักษาริ้วรอย
    • ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากหัตถการแต่ละประเภท
    • ใครที่ไม่เหมาะกับการรักษาริ้วรอยด้วยหัตถการ
  • คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการลดริ้วรอยหน้าผาก (FAQ)
    • ริ้วรอยหน้าผากเกิดจากอะไรได้บ้าง?
    • โบท็อกซ์ลดริ้วรอยหน้าผากได้ผลถาวรหรือไม่?
    • การลดริ้วรอยหน้าผากวิธีไหนเห็นผลเร็วที่สุด?
    • อายุเท่าไหร่ถึงควรเริ่มดูแลปัญหาริ้วรอยหน้าผาก?
    • ผู้ชายสามารถรักษาริ้วรอยหน้าผากได้เหมือนกันหรือไม่?
    • การใช้ครีมลดริ้วรอยสามารถลบรอยลึกได้จริงหรือ?
  • References:

ทำความเข้าใจริ้วรอยหน้าผาก: สาเหตุและประเภทที่พบบ่อย

ริ้วรอยจากการแสดงอารมณ์ (Dynamic Wrinkles)

ริ้วรอยจากการแสดงอารมณ์ (Dynamic Wrinkles) คือริ้วรอยที่ปรากฏขึ้นเมื่อมีการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อบนใบหน้า และจะหายไปเมื่อใบหน้ากลับสู่ภาวะปกติ ริ้วรอยประเภทนี้เกิดจากการแสดงสีหน้าซ้ำๆ เช่น การเลิกคิ้วหรือการขมวดคิ้ว เมื่อเวลาผ่านไปและการผลิตคอลลาเจนของผิวลดลง ริ้วรอยจากการแสดงอารมณ์เหล่านี้สามารถพัฒนาไปเป็นริ้วรอยถาวร (Static Wrinkles) ที่มองเห็นได้ชัดเจนแม้ในขณะที่ใบหน้าไม่ได้เคลื่อนไหว

ริ้วรอยถาวรเมื่อหน้าผากไม่ขยับ (Static Wrinkles)

ริ้วรอยที่มองเห็นได้แม้ในขณะที่ใบหน้าอยู่นิ่ง คือริ้วรอยถาวร (Static Wrinkles) ริ้วรอยชนิดนี้พัฒนามาจากริ้วรอยที่เกิดจากการแสดงสีหน้า (Dynamic Wrinkles) ซึ่งเกิดขึ้นซ้ำๆ จน “สลัก” ลึกลงไปในผิวหนังอย่างถาวร เนื่องจากผิวสูญเสียคอลลาเจนและความยืดหยุ่นไปตามวัย

ปัจจัยเร่งที่ทำให้เกิดริ้วรอยก่อนวัย

ปัจจัยหลักที่เร่งให้เกิดริ้วรอยก่อนวัยคือการสัมผัสแดด การสูบบุหรี่ ความเครียด การนอนหลับไม่เพียงพอ และการรับประทานอาหาร ปัจจัยเหล่านี้ส่งผลเสียต่อผิวและเร่งกระบวนการชราภาพให้เร็วขึ้น

  • การสัมผัสแดด: รังสียูวีเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ผิวแก่ก่อนวัย ซึ่งคิดเป็น 80-90% ของการเปลี่ยนแปลงที่มองเห็นได้
  • การสูบบุหรี่: ควันบุหรี่สร้างความเครียดออกซิเดชัน (oxidative stress) และเพิ่มเอนไซม์ที่ทำลายคอลลาเจน ทำให้เกิดริ้วรอยเร็วและลึกขึ้น
  • ความเครียดและการนอนหลับไม่เพียงพอ: ความเครียดทำให้ระดับฮอร์โมนคอร์ติซอลสูงขึ้น ซึ่งจะไปทำลายคอลลาเจนและอีลาสติน ส่วนการนอนไม่พอจะขัดขวางการซ่อมแซมเกราะป้องกันผิว
  • การรับประทานอาหารที่มีน้ำตาลสูง: ทำให้เกิดกระบวนการไกลเคชัน (Glycation) ซึ่งทำให้คอลลาเจนและอีลาสตินแข็งและขาดความยืดหยุ่น
  • ปัจจัยอื่นๆ: การดื่มแอลกอฮอล์ทำให้ผิวขาดน้ำและสารต้านอนุมูลอิสระลดลง รวมถึงการใช้เตียงอบผิวแทนซึ่งทำลายผิวอย่างรุนแรง

10 แนวทางลดริ้วรอยหน้าผากต้องดูแลตัวเองอย่างไร

1. ปรับพฤติกรรมการแสดงสีหน้าและลดความเครียด

การปรับพฤติกรรมการแสดงสีหน้าและลดความเครียดช่วยลดการหดเกร็งของกล้ามเนื้อซ้ำๆ ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ร่องริ้วรอยลึกขึ้น โดยความเครียดจะเพิ่มระดับฮอร์โมนคอร์ติซอลที่ทำลายคอลลาเจนและอีลาสตินในผิวหนัง ขณะที่การแสดงสีหน้าบางอย่างโดยไม่รู้ตัวจะยิ่งตอกย้ำให้เกิดริ้วรอยถาวรได้

คุณสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมได้ดังนี้:

  • สังเกตการแสดงสีหน้า: พยายามตระหนักรู้เมื่อคุณขมวดคิ้วหรือย่นหน้าผากขณะใช้สมาธิหรือรู้สึกเครียด และพยายามผ่อนคลายกล้ามเนื้อบริเวณนั้น
  • สวมแว่นกันแดด: เพื่อหลีกเลี่ยงการหยีตาหรือขมวดคิ้วโดยอัตโนมัติเมื่อเจอแสงจ้า
  • จัดการความเครียด: ฝึกเทคนิคการลดความเครียด เช่น การทำสมาธิ โยคะ หรือการหายใจลึกๆ เพื่อช่วยลดระดับฮอร์โมนคอร์ติซอล
  • พักใบหน้า: พักผ่อนใบหน้าเป็นระยะๆ เพื่อคลายการเกร็งของกล้ามเนื้อที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง

2. ใช้ครีมกันแดดประสิทธิภาพสูงเป็นประจำทุกวัน

การใช้ครีมกันแดดเป็นประจำเป็นวิธีพื้นฐานที่สำคัญที่สุดในการป้องกันและชะลอการเกิดริ้วรอย เนื่องจากความเสียหายจากรังสียูวี (UV) เป็นสาเหตุหลักถึง 80-90% ของสัญญาณแห่งวัยที่มองเห็นได้ ผลการศึกษาพบว่าการใช้ครีมกันแดดทุกวันไม่เพียงแต่ช่วยป้องกันริ้วรอยใหม่ แต่ยังช่วยชะลอการลึกขึ้นของริ้วรอยที่มีอยู่เดิมได้อีกด้วย

แพทย์ผิวหนังแนะนำให้ทาในปริมาณที่พอเหมาะ (ประมาณ 1 ช้อนชาสำหรับใบหน้าและลำคอ) และทาซ้ำทุกๆ 2 ชั่วโมงเมื่ออยู่กลางแจ้ง นอกจากนี้ควรทาครีมกันแดดแม้จะอยู่ในที่ร่ม เพราะรังสี UVA สามารถทะลุผ่านกระจกหน้าต่างได้

3. เลือกสกินแคร์ที่มีส่วนผสมออกฤทธิ์ลดเลือนริ้วรอย

ส่วนผสมออกฤทธิ์ในสกินแคร์ที่ช่วยลดเลือนริ้วรอยได้แก่ เรตินอยด์ (วิตามินเอ), เปปไทด์, วิตามินซี และกรดอัลฟาไฮดรอกซี (AHA) ซึ่งแต่ละชนิดมีกลไกการทำงานที่แตกต่างกัน

  • เรตินอยด์ (Retinoids): เป็นอนุพันธ์ของวิตามินเอ มีหลักฐานทางคลินิกที่แข็งแกร่งที่สุดในการลดเลือนริ้วรอยโดยการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ตัวอย่างเช่น Tretinoin (ชนิดสั่งโดยแพทย์) และ Retinol (ชนิดหาซื้อได้ทั่วไปซึ่งมีความเข้มข้นน้อยกว่า)
  • วิตามินซี (Vitamin C): เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพ ช่วยในการสังเคราะห์คอลลาเจนและปกป้องผิวจากความเสียหายจากรังสียูวี การใช้อย่างต่อเนื่องสามารถช่วยลดเลือนริ้วรอยและเพิ่มความกระชับของผิวได้
  • เปปไทด์ (Peptides): เป็นส่วนประกอบของโปรตีนที่ช่วยสนับสนุนโครงสร้างผิวและแสดงให้เห็นว่าสามารถปรับปรุงริ้วรอยเล็กๆ และผิวสัมผัสให้ดีขึ้นได้
  • กรดอัลฟาไฮดรอกซี (AHAs): เช่น กรดไกลโคลิก (Glycolic Acid) ช่วยผลัดเซลล์ผิวชั้นนอก ทำให้ผิวดูเรียบเนียนและกระจ่างใสขึ้น อีกทั้งยังช่วยให้ส่วนผสมออกฤทธิ์อื่นๆ ซึมซาบได้ดีขึ้น
  • สารให้ความชุ่มชื้น (Humectants): เช่น กรดไฮยาลูรอนิก (Hyaluronic Acid) และกลีเซอรีน (Glycerin) ช่วยดึงดูดและกักเก็บน้ำไว้ในผิว ทำให้ผิวดูอิ่มฟูขึ้น ซึ่งช่วยให้ริ้วรอยเล็กๆ ดูจางลงได้ชั่วคราว

4. นวดหน้าและใช้แผ่นมาสก์เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้น

การนวดหน้าและการใช้แผ่นมาสก์สามารถช่วยลดเลือนริ้วรอยได้ชั่วคราว โดยการใช้แผ่นมาสก์ที่เน้นให้ความชุ่มชื้นจะช่วยเติมน้ำให้ผิวอย่างเข้มข้น ทำให้ผิวดูอิ่มฟูและริ้วรอยตื้นๆ ดูจางลงได้ทันที แต่ผลลัพธ์นี้จะอยู่ได้เพียงไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น

ส่วนการนวดหน้าจะช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดของกล้ามเนื้อและกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต ซึ่งอาจช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยจากการแสดงสีหน้าได้บ้าง อย่างไรก็ตาม ทั้งสองวิธีนี้ไม่สามารถกำจัดริ้วรอยลึกที่เกิดขึ้นแล้วให้หายไปได้อย่างถาวร และถูกมองว่าเป็นเพียงวิธีเสริมเพื่อสุขภาพผิวที่ดีเท่านั้น

5. ฉีดโบทูลินั่มท็อกซินเพื่อคลายกล้ามเนื้อ

การฉีดโบทูลินั่มท็อกซิน (เช่น Botox) เป็นการฉีดสารเข้าไปในกล้ามเนื้อเพื่อสกัดกั้นสัญญาณประสาท ทำให้กล้ามเนื้อบริเวณนั้นไม่สามารถหดตัวได้ชั่วคราว เมื่อกล้ามเนื้อหน้าผากคลายตัว ผิวหนังด้านบนจะเรียบเนียนขึ้น ส่งผลให้ริ้วรอยที่เกิดจากการแสดงสีหน้าลดลงอย่างเห็นได้ชัด

ผลลัพธ์จากการฉีดหนึ่งครั้งมักจะคงอยู่ประมาณ 3-4 เดือน หลังจากนั้นกล้ามเนื้อจะค่อยๆ กลับมาทำงานได้ตามปกติ จึงจำเป็นต้องฉีดซ้ำเพื่อรักษาสภาพผิวให้เรียบเนียน

6. เติมฟิลเลอร์เพื่อแก้ไขปัญหาร่องลึก

การฉีดฟิลเลอร์เหมาะสำหรับริ้วรอยร่องลึกที่มองเห็นได้ชัดแม้ไม่ได้แสดงสีหน้า (Static Wrinkles) และให้ผลลัพธ์ที่เห็นได้ทันทีหลังทำ แพทย์จะฉีดสารเติมเต็มประเภทกรดไฮยาลูรอนิก (Hyaluronic Acid) เข้าไปใต้ร่องริ้วรอยเพื่อเติมเต็มปริมาตรที่สูญเสียไป ทำให้ร่องลึกดูตื้นขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

  • ผลลัพธ์: อยู่ได้นานประมาณ 6-12 เดือนหรือนานกว่านั้น ขึ้นอยู่กับชนิดของฟิลเลอร์และการเผาผลาญของแต่ละบุคคล
  • ความเสี่ยง: ความเสี่ยงที่ร้ายแรงที่สุด (แต่พบได้น้อยมาก) คือการฉีดเข้าหลอดเลือดโดยไม่ตั้งใจ ซึ่งอาจทำให้เนื้อเยื่อตายหรือตาบอดได้ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่ใช้เทคนิคที่ปลอดภัย เช่น การใช้เข็มปลายทู่ (Cannula) ส่วนผลข้างเคียงทั่วไปคืออาการบวม แดง หรือรอยช้ำชั่วคราว
  • การรักษาควบคู่: การฉีดฟิลเลอร์มักทำร่วมกับการฉีดโบท็อกซ์เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด โดยโบท็อกซ์จะช่วยคลายกล้ามเนื้อไม่ให้เกิดรอยพับซ้ำ ส่วนฟิลเลอร์จะช่วยเติมเต็มร่องลึกที่ยังคงเหลืออยู่ให้เรียบเนียน

7. ใช้เลเซอร์และพลังงานคลื่นวิทยุเพื่อฟื้นฟูผิว

การรักษาด้วยเลเซอร์และคลื่นวิทยุ (RF) เป็นวิธีฟื้นฟูผิวที่มีประสิทธิภาพในการลดเลือนริ้วรอยโดยการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน แต่มีความแตกต่างกันในด้านความรุนแรงของหัตถการ ระยะเวลาพักฟื้น และผลลัพธ์ที่ได้

  • เลเซอร์ (Laser Resurfacing): การรักษานี้มีหลายประเภท
  • เลเซอร์ผลัดเซลล์ผิว (Ablative Lasers): เป็นวิธีที่รุนแรงที่สุด โดยจะลอกผิวชั้นนอกออกเพื่อสร้างผิวใหม่ที่เรียบเนียนขึ้น สามารถลดริ้วรอยร่องลึกได้อย่างชัดเจน แต่ต้องใช้เวลาพักฟื้นนาน (ประมาณ 7-10 วัน) และมีความเสี่ยงสูงกว่า
  • เลเซอร์ที่ไม่ผลัดเซลล์ผิว (Non-ablative/Fractional Lasers): เป็นวิธีที่อ่อนโยนกว่า โดยส่งพลังงานความร้อนลงไปกระตุ้นคอลลาเจนใต้ผิวโดยไม่ทำลายผิวชั้นบน ทำให้มีระยะเวลาพักฟื้นน้อย แต่ให้ผลลัพธ์ที่นุ่มนวลกว่าและอาจต้องทำหลายครั้ง
  • คลื่นวิทยุ (Radiofrequency – RF): โดยเฉพาะอย่างยิ่ง RF Microneedling เป็นการใช้เข็มขนาดเล็กส่งพลังงานความร้อนลงไปในผิวหนังโดยตรงเพื่อกระตุ้นคอลลาเจน วิธีนี้ช่วยให้ริ้วรอยตื้นขึ้นและผิวกระชับขึ้น โดยมีข้อดีคือใช้เวลาพักฟื้นน้อยมาก (เพียง 1-2 วัน) และปลอดภัยสำหรับทุกสีผิว

8. การร้อยไหมเพื่อยกกระชับผิวบริเวณหน้าผาก

การร้อยไหมเป็นการใช้ไหมละลายสอดเข้าไปใต้ผิวหนังเพื่อสร้างโครงสร้างที่ช่วยยกกระชับเนื้อเยื่อและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ซึ่งสามารถช่วยยกคิ้วขึ้นเล็กน้อยและทำให้ริ้วรอยบริเวณหน้าผากเรียบเนียนขึ้นได้ ผลลัพธ์ที่ได้จะดูเป็นธรรมชาติแต่ไม่ถาวร โดยจะอยู่ได้ประมาณ 1-2 ปี

การร้อยไหมมักใช้เป็นการรักษาเสริมร่วมกับวิธีอื่น เช่น โบท็อกซ์ เนื่องจากไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาเรื่องผิวสัมผัสหรือริ้วรอยเล็กๆ โดยตรง ผลข้างเคียงที่พบบ่อยคือรอยช้ำ อาการกดเจ็บ หรือผิวเป็นคลื่นซึ่งจะหายไปเองใน 1-2 สัปดาห์ ส่วนความเสี่ยงที่รุนแรงแต่พบได้น้อยมากคือการบาดเจ็บของเส้นประสาทบนใบหน้าหากร้อยผิดตำแหน่ง

9. ทำทรีตเมนต์ผลัดเซลล์ผิวทางการแพทย์

การผลัดเซลล์ผิวด้วยสารเคมีทางการแพทย์ (Chemical Peels) สามารถช่วยลดเลือนริ้วรอยตื้นๆ และปรับปรุงสภาพผิวโดยรวมได้ โดยการใช้กรดที่มีความเข้มข้นสูงกว่าผลิตภัณฑ์ที่ใช้เองที่บ้าน เช่น กรดไกลโคลิก (Glycolic Acid) เพื่อผลัดเซลล์ผิวชั้นนอกที่เสียหายออกไป

การทำทรีตเมนต์อย่างต่อเนื่องเป็นชุดสามารถช่วยให้ริ้วรอยตื้นๆ บนหน้าผากเรียบเนียนขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ทั้งยังช่วยปรับปรุงสีผิวและผิวสัมผัสให้ดีขึ้นด้วย อย่างไรก็ตาม การทำทรีตเมนต์นี้ควรทำโดยผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น เนื่องจากอาจเกิดผลข้างเคียงได้ เช่น รอยด่าง, สิวหิน (Milia) หรือการติดเชื้อหากดูแลผิวหลังทำไม่ดีพอ

10. รับประทานอาหารและวิตามินที่ส่งเสริมสุขภาพผิว

การรับประทานอาหารที่อุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ โปรตีน และกรดไขมันโอเมก้า 3 ควบคู่ไปกับการจำกัดน้ำตาลและแอลกอฮอล์ จะช่วยบำรุงผิวจากภายในและชะลอการเกิดริ้วรอยได้

อาหารที่ช่วยส่งเสริมสุขภาพผิวประกอบด้วย:

  • ผักและผลไม้ที่อุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ: สารประกอบอย่างวิตามินซี, วิตามินอี และแคโรทีนอยด์ (พบในแครอท, มะเขือเทศ, ผักใบเขียว) ช่วยต่อต้านความเสียหายของผิวจากรังสียูวีและมลภาวะ
  • โปรตีนไร้มัน: เป็นแหล่งกรดอะมิโนที่จำเป็นสำหรับการสร้างคอลลาเจน
  • กรดไขมันโอเมก้า 3: พบในปลา, วอลนัท และเมล็ดแฟลกซ์ ช่วยเสริมสร้างเกราะป้องกันผิวและลดการอักเสบ
  • น้ำเปล่า: การดื่มน้ำให้เพียงพอช่วยให้ผิวชุ่มชื้นและดูเรียบเนียนขึ้น

ในทางกลับกัน ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีน้ำตาลสูงซึ่งทำให้คอลลาเจนเสื่อมสภาพ (กระบวนการ Glycation) และจำกัดการดื่มแอลกอฮอล์ที่ทำให้ผิวขาดน้ำ

หลักเกณฑ์การเลือกวิธีที่เหมาะสมกับคุณ

การเลือกวิธีรักษาริ้วรอยหน้าผากที่เหมาะสมที่สุด ขึ้นอยู่กับประเภทของริ้วรอย คุณภาพผิว อายุ และผลลัพธ์ที่ผู้รับบริการต้องการ โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะประเมินปัจจัยเหล่านี้เพื่อวางแผนการรักษาเฉพาะบุคคล

หลักเกณฑ์สำคัญในการพิจารณา ได้แก่:

  • ประเภทของริ้วรอย:
  • ริ้วรอยจากการแสดงอารมณ์ (Dynamic Wrinkles): คือริ้วรอยที่ปรากฏเมื่อขยับกล้ามเนื้อ เช่น การเลิกคิ้ว การรักษาที่เหมาะสมที่สุดคือโบท็อกซ์ เพื่อคลายกล้ามเนื้อและป้องกันไม่ให้ริ้วรอยฝังลึก
  • ริ้วรอยถาวร (Static Wrinkles): คือริ้วรอยที่มองเห็นได้แม้ไม่ได้แสดงสีหน้า มักต้องใช้วิธีการรักษาแบบผสมผสาน เช่น ใช้โบท็อกซ์เพื่อลดการขยับ และใช้ฟิลเลอร์เพื่อเติมเต็มร่องลึก หรือใช้เลเซอร์เพื่อปรับสภาพผิว
  • คุณภาพผิวและอายุ:
  • ผู้ที่อายุน้อย (20-40 ปี): ผิวหนังยังมีความยืดหยุ่นดี การใช้โบท็อกซ์และการผลัดผิวแบบเบาๆ มักให้ผลลัพธ์ที่ดี
  • ผู้ที่มีอายุมากขึ้น (50-60 ปีขึ้นไป): ผิวอาจมีความหย่อนคล้อยและบางลง อาจต้องใช้วิธีการที่เข้มข้นขึ้น เช่น เลเซอร์, คลื่นวิทยุ (RF Microneedling) เพื่อกระตุ้นคอลลาเจน หรือพิจารณาการผ่าตัดดึงหน้าผากในบางกรณี
  • ความต้องการและไลฟ์สไตล์ของผู้รับบริการ:
  • ระยะเวลาพักฟื้น: หากไม่สามารถพักฟื้นได้นาน อาจเลือกทำโบท็อกซ์หรือฟิลเลอร์ แต่หากยอมรับการพักฟื้นได้ การทำเลเซอร์อาจให้ผลลัพธ์ที่ยาวนานกว่า
  • งบประมาณ: ค่าใช้จ่ายต่อครั้งและค่าใช้จ่ายสะสมในระยะยาวเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจ
  • ผลลัพธ์ที่คาดหวัง: บางคนต้องการผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ ในขณะที่บางคนต้องการให้หน้าผากเรียบเนียนที่สุด ซึ่งแพทย์จะปรับเทคนิคและปริมาณยาให้เหมาะสม

ข้อควรพิจารณาก่อนตัดสินใจเลือกวิธีรักษา

การประเมินความลึกและลักษณะของริ้วรอย

การประเมินความลึกและลักษณะของริ้วรอยทำได้โดยใช้มาตรวัดทางคลินิกและการใช้เครื่องมือพิเศษ แพทย์มักใช้มาตรวัดแบบภาพถ่ายอ้างอิงเพื่อแบ่งระดับความรุนแรงของริ้วรอยตั้งแต่เกรด 0 (ไม่มีริ้วรอย) ไปจนถึงเกรด 4 (ริ้วรอยลึกและกว้างมาก) ทั้งในขณะที่ใบหน้าผ่อนคลายและขณะที่เลิกคิ้ว

นอกจากนี้ ยังอาจใช้เครื่องมือเฉพาะทางเพื่อช่วยในการประเมิน ได้แก่:

  • การถ่ายภาพผิวหนัง 3 มิติ (3D skin imaging): เพื่อวัดความลึกและพื้นที่ของริ้วรอย
  • การวัดด้วยกล้องเดอร์มาโตสโคป (Dermatoscopic measurements): เพื่อประเมินความลึกของริ้วรอยในหน่วยมิลลิเมตร

การประเมินที่แม่นยำนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งในการวางแผนการรักษาที่เหมาะสมกับความรุนแรงและรูปแบบของริ้วรอยแต่ละบุคคล

ผลลัพธ์ที่คาดหวังและระยะเวลาในการเห็นผล

โบท็อกซ์และฟิลเลอร์เป็นวิธีที่เห็นผลเร็วที่สุดในการลดริ้วรอยบนหน้าผาก โดยโบท็อกซ์จะเริ่มเห็นผลใน 3-5 วัน และฟิลเลอร์จะเห็นผลทันทีหลังทำ ในขณะที่วิธีอื่นๆ จะใช้เวลานานกว่า

ระยะเวลาในการเห็นผลและผลลัพธ์ที่คาดหวังของแต่ละวิธี มีดังนี้

  • โบท็อกซ์ (Botox): เริ่มเห็นผลใน 3-5 วัน และเห็นผลเต็มที่ใน 7-14 วัน สามารถทำให้ริ้วรอยที่เกิดจากการแสดงสีหน้าเรียบเนียนขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยผลลัพธ์จะคงอยู่ประมาณ 3-4 เดือน
  • ฟิลเลอร์ (Dermal Fillers): เห็นผลทันทีหลังฉีด ช่วยเติมเต็มร่องริ้วรอยลึกให้ตื้นขึ้น ผลลัพธ์คงอยู่ประมาณ 6-12 เดือน
  • เลเซอร์ (Laser Resurfacing): เห็นผลชัดเจนหลังผิวฟื้นตัว (ประมาณ 1-2 สัปดาห์สำหรับเลเซอร์ชนิดมีแผล) และจะดีขึ้นเรื่อยๆ ในเดือนถัดไป ผลลัพธ์สามารถคงอยู่ได้นานหลายปี
  • ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว (Skincare): สำหรับผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของเรตินอยด์ (Retinoids) จะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงใน 3-6 เดือน และเห็นผลเต็มที่ใน 6-12 เดือน โดยจะช่วยให้ริ้วรอยตื้นๆ ดูจางลง แต่ไม่สามารถกำจัดร่องริ้วรอยลึกได้

การเลือกคลินิกและผู้ให้บริการที่ได้มาตรฐาน

การเลือกคลินิกและผู้ให้บริการที่ได้มาตรฐาน ควรพิจารณาจากใบอนุญาตประกอบวิชาชีพและประสบการณ์ที่ตรวจสอบได้ของผู้ให้บริการ ซึ่งควรเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เช่น แพทย์ผิวหนัง หรือศัลยแพทย์ตกแต่ง

คุณสามารถตรวจสอบมาตรฐานและความน่าเชื่อถือได้จากปัจจัยต่อไปนี้:

  • ประสบการณ์: สอบถามผู้ให้บริการโดยตรงว่ามีประสบการณ์ในการทำหัตถการนั้นๆ มานานกี่ปี และทำบ่อยเพียงใด ผู้ให้บริการที่มีประสบการณ์สูงจะสามารถสร้างผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติและหลีกเลี่ยงภาวะแทรกซ้อนได้ดีกว่า
  • ใบอนุญาต: ตรวจสอบให้แน่ใจว่าผู้ให้บริการได้รับใบอนุญาตให้ประกอบวิชาชีพอย่างถูกต้องตามกฎหมาย
  • สถานที่ให้บริการ: ควรเป็นสถานพยาบาลที่สะอาดและได้มาตรฐาน หลีกเลี่ยงการทำหัตถการในสถานที่ที่ไม่ใช่สถานพยาบาล เช่น ห้องพักในโรงแรม หรือบ้านพัก
  • การให้คำปรึกษา: ผู้ให้บริการที่ดีจะอธิบายขั้นตอน ความเสี่ยง และผลลัพธ์ที่คาดหวังได้อย่างชัดเจน รวมถึงปรับแผนการรักษาให้เหมาะกับแต่ละบุคคล

ความเสี่ยง ผลข้างเคียง และข้อควรระวังในการรักษาริ้วรอย

ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากหัตถการแต่ละประเภท

ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากหัตถการลดริ้วรอยมีตั้งแต่เล็กน้อยและชั่วคราวไปจนถึงภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง ซึ่งความเสี่ยงจะแตกต่างกันไปในแต่ละหัตถการ

  • โบท็อกซ์ (Botulinum Toxin): ผลข้างเคียงที่พบบ่อยแต่ไม่รุนแรงคือรอยช้ำและอาการปวดศีรษะ ส่วนผลข้างเคียงที่พบได้ไม่บ่อยคือหนังตาหรือคิ้วตก และใบหน้าไม่สมมาตร ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นเพียงชั่วคราว
  • ฟิลเลอร์ (Dermal Fillers): ผลข้างเคียงชั่วคราว ได้แก่ อาการบวม แดง ช้ำ หรือคลำเจอก้อนแข็งๆ ใต้ผิวหนัง ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงแต่พบได้ยากมากคือการฉีดฟิลเลอร์เข้าเส้นเลือด ซึ่งอาจทำให้เนื้อเยื่อตายหรือตาบอดได้
  • เลเซอร์ (Laser Resurfacing): หลังทำเลเซอร์ชนิดลอกผิว (Ablative) จะมีอาการบวมแดง ตกสะเก็ด และมีความเสี่ยงติดเชื้อ เกิดแผลเป็น หรือสีผิวเปลี่ยนแปลง ส่วนเลเซอร์ชนิดไม่ลอกผิว (Non-ablative) มีความเสี่ยงน้อยกว่า แต่อาจเกิดรอยไหม้เล็กน้อยได้
  • คลื่นวิทยุร่วมกับไมโครนีดลิง (RF Microneedling): อาจมีอาการแดงและบวมเล็กน้อยประมาณ 1-2 วัน คล้ายอาการผิวไหม้แดด
  • การลอกผิวด้วยสารเคมี (Chemical Peels): มีความเสี่ยงที่จะทำให้สีผิวเปลี่ยนแปลง เกิดแผลเป็น (หากใช้ความเข้มข้นสูงเกินไป) หรือติดเชื้อได้หากดูแลผิวหลังทำไม่ดี
  • การร้อยไหม (Thread Lifts): ผลข้างเคียงที่ไม่รุนแรงคือรอยช้ำ อาการกดเจ็บ หรือผิวเป็นคลื่นซึ่งจะหายไปเอง อาจพบปัญหาไหมโผล่หรือการติดเชื้อได้ ส่วนภาวะแทรกซ้อนที่พบได้ยากคือการกระทบกระเทือนเส้นประสาทบนใบหน้า

ใครที่ไม่เหมาะกับการรักษาริ้วรอยด้วยหัตถการ

ผู้ที่มีสีผิวเข้ม (Fitzpatrick IV-VI) ไม่เหมาะกับการทำหัตถการบางชนิด โดยเฉพาะการทำเลเซอร์ที่ลอกผิวแบบเต็มพื้นที่ (full-field ablative lasers) เนื่องจากมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดรอยดำหลังการอักเสบ (hyperpigmentation).

สำหรับผู้ที่มีผิวสีเข้ม การทำเลเซอร์แบบ Fractional หรือการทำ RF Microneedling ซึ่งปลอดภัยกับทุกสีผิว จะเป็นทางเลือกที่เหมาะสมกว่า

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการลดริ้วรอยหน้าผาก (FAQ)

ริ้วรอยหน้าผากเกิดจากอะไรได้บ้าง?

ริ้วรอยหน้าผากเกิดจากการเคลื่อนไหวของใบหน้าซ้ำๆ ร่วมกับการเสื่อมสภาพของผิวตามวัยเป็นหลัก ซึ่งเมื่อเวลาผ่านไปผิวจะสูญเสียคอลลาเจนและอีลาสติน ทำให้รอยพับจากการแสดงสีหน้ากลายเป็นริ้วรอยถาวร

นอกจากนี้ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่เร่งให้เกิดริ้วรอยได้เร็วขึ้น ได้แก่:

  • การสัมผัสแสงแดด: เป็นปัจจัยภายนอกที่สำคัญที่สุด ซึ่งอาจเป็นสาเหตุของริ้วรอยที่มองเห็นได้ถึง 80-90%
  • การสูบบุหรี่: ทำให้เกิดสารอนุมูลอิสระและทำลายคอลลาเจนในผิว
  • ความเครียดเรื้อรัง: ระดับฮอร์โมนคอร์ติซอลที่สูงขึ้นจะทำลายคอลลาเจนและอีลาสติน
  • การนอนหลับไม่เพียงพอ: ร่างกายไม่สามารถซ่อมแซมเกราะป้องกันผิวได้เต็มที่
  • อาหารที่มีน้ำตาลสูง: น้ำตาลจะเข้าไปทำลายคอลลาเจนและอีลาสติน ทำให้ผิวขาดความยืดหยุ่น

โบท็อกซ์ลดริ้วรอยหน้าผากได้ผลถาวรหรือไม่?

ไม่ถาวร ผลลัพธ์ของการฉีดโบท็อกซ์เพื่อลดริ้วรอยบนหน้าผากมักจะอยู่ได้ประมาณ 3-4 เดือน หลังจากนั้นกล้ามเนื้อจะค่อยๆ กลับมาทำงานและริ้วรอยจะกลับมาปรากฏอีกครั้ง จึงจำเป็นต้องมีการฉีดซ้ำเพื่อคงผลลัพธ์ไว้

การลดริ้วรอยหน้าผากวิธีไหนเห็นผลเร็วที่สุด?

การฉีดโบทูลินั่ม ท็อกซิน (Botox) เป็นวิธีที่เห็นผลเร็วที่สุดในการลดริ้วรอยบนหน้าผาก โดยจะเริ่มเห็นผลว่าผิวเรียบเนียนขึ้นในเวลา 3-5 วัน และเห็นผลเต็มที่ใน 7-14 วัน ซึ่งผลลัพธ์จะคงอยู่ประมาณ 3-4 เดือน

สำหรับการรักษาริ้วรอยร่องลึกที่มองเห็นแม้ไม่ได้แสดงสีหน้า การฉีดฟิลเลอร์จะให้ผลลัพธ์ที่รวดเร็วทันทีหลังทำ และคงอยู่ได้นาน 6-12 เดือน

อายุเท่าไหร่ถึงควรเริ่มดูแลปัญหาริ้วรอยหน้าผาก?

โดยทั่วไปแล้ว แนะนำให้เริ่มดูแลผิวแบบชะลอวัยในช่วงกลางอายุ 20 ปี เนื่องจากเป็นช่วงที่ริ้วรอยจางๆ อาจเริ่มปรากฏให้เห็น

แพทย์ผิวหนังแนะนำว่าการป้องกันเป็นสิ่งที่ดีที่สุด โดยเฉพาะการใช้ครีมกันแดดทุกวันตั้งแต่วัยเด็กเพื่อป้องกันริ้วรอยที่เกิดจากแสงแดด สำหรับการดูแลผิวเพื่อชะลอวัยโดยเฉพาะนั้น การเริ่มต้นในช่วงกลางอายุ 20 ปีด้วยการใช้ครีมกันแดด มอยส์เจอไรเซอร์ และอาจรวมถึงเรตินอลในตอนกลางคืน จะช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยได้อย่างมีนัยสำคัญ

ผู้ชายสามารถรักษาริ้วรอยหน้าผากได้เหมือนกันหรือไม่?

ผู้ชายสามารถรักษาริ้วรอยบนหน้าผากได้เช่นเดียวกับผู้หญิง เนื่องจากหลักการพื้นฐานของการป้องกันและรักษานั้นเหมือนกัน อย่างไรก็ตาม มีข้อแตกต่างเล็กน้อยในการรักษา

โดยทั่วไปแล้ว ผู้ชายมักมีกล้ามเนื้อหน้าผากที่แข็งแรงและผิวที่หนากว่า ซึ่งอาจทำให้ต้องใช้โบท็อกซ์ในปริมาณที่สูงกว่าผู้หญิงเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ นอกจากนี้ แพทย์มักจะปรับเทคนิคการฉีดเพื่อคงลักษณะคิ้วที่ตรงแบบผู้ชายและให้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ ไม่ “ตึง” จนเกินไป ส่วนการดูแลผิวด้วยผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น ครีมกันแดด เรตินอล และวิตามินซี ก็ให้ประโยชน์กับผิวของผู้ชายไม่ต่างจากผู้หญิง

การใช้ครีมลดริ้วรอยสามารถลบรอยลึกได้จริงหรือ?

ครีมและเซรั่มบำรุงผิว ไม่สามารถลบริ้วรอยร่องลึกที่มีอยู่แล้วให้หายไปได้อย่างสมบูรณ์

แม้ว่าผลิตภัณฑ์เหล่านี้จะช่วยปรับปรุงสภาพผิวโดยรวมและทำให้ริ้วรอยตื้นๆ ดูจางลงได้ แต่สำหรับร่องลึกที่เกิดจากการสูญเสียโครงสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนัง ครีมไม่สามารถแก้ไขโครงสร้างดังกล่าวได้ ส่วนผสมที่มีประสิทธิภาพที่สุดในกลุ่มครีมคือเรตินอยด์ (Retinoids) ซึ่งต้องใช้เวลา 6-12 เดือนจึงจะเห็นผลในการลดความลึกของริ้วรอยได้เพียงเล็กน้อย

ดังนั้น การจะลดเลือนริ้วรอยร่องลึกอย่างมีนัยสำคัญจำเป็นต้องอาศัยหัตถการทางการแพทย์ เช่น โบท็อกซ์ ฟิลเลอร์ หรือเลเซอร์ ซึ่งสามารถแก้ไขปัญหาที่โครงสร้างผิวได้โดยตรง

References:

  1. Mayo Clinic. (n.d.). Wrinkles: Causes, Treatment and Prevention. Mayo Clinic. mayoclinic.org
  2. Harvard Health Publishing. (n.d.). Skin Care and Aging. Harvard Medical School. harvard.edu
  3. Stanford Medicine. (n.d.). Facial Aging and Wrinkle Prevention. Stanford University. stanford.edu
  4. American Board of Cosmetic Surgery. (n.d.). Non-Surgical Wrinkle Treatment Options. americanboardcosmeticsurgery.org
  5. Skin Cancer Foundation. (n.d.). Sun Protection and Anti-Aging. skincancer.org
  6. National Institutes of Health. (n.d.). Research on Facial Aging and Wrinkles. NIH. nih.gov
  7. Plastic Surgery Foundation. (n.d.). Facial Rejuvenation Procedures. plasticsurgery.org

แนะแนวเรื่อง

Previous Previous
ฉีดโบลดกราม กี่วันเห็นผล อยู่ได้นานไหม ราคา‑ปัจจัยที่มีผล
NextContinue
18 วิธีลดแก้มยอดนิยม: จากวิธีธรรมชาติถึงหัตถการโดยแพทย์

สาขาพรีวาโต คลินิก

    สาขาอโศก ตั้งอยู่ที่ ชั้น 2 อาคารมิดทาวน์
    Phone: 02-258-4050 , 081-841-5075
    สาขาสีลม ตั้งอยู่ที่ ชั้น 1 อาคารซี.พี.ทาวเวอร์
    Phone: 02-780-2011 , 098-272-5244
    สาขาราชพฤกษ์ ตั้งอยู่ที่ ชั้น 2 ศูนย์การค้า เดอะคริสตัล เอสบี (ด้านบนร้านสตาร์บัคส์)
    Phone: 02-102-2778 , 098-272-5244

ติดต่อเรา

    Facebook: Privato Clinic
    Messenger: Privato Clinic
    Instagram: privatoclinic
    Email: privatoclinic@gmail.com
    Line: @privatoclinic

Copyright© 2022-2024. All Rights Reserved

Scroll to top
  • หน้าหลัก
  • เกี่ยวกับพรีวาโต
  • บริการทั้งหมด
    • ชะลอวัย
    • ยกกระชับผิว
      • XERF
      • Potenza
      • Sofwave
      • Ulthera
      • Thermage-FLX
    • รักษาสิว
    • เลเซอร์
    • โปรแกรมฉีด
    • บำรุงผิว
  • บทความ
    • สิว
    • ยกกระชับ
    • ดูแลผิว
    • ทำเลเซอร์
  • ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว
  • โปรโมชั่น
  • ผลลัพธ์การรักษา
  • วิดีโอรีวิวจากเคสจริง
  • สาขาของเรา
  • ไทย
    • ไทย
    • English
    • 中文 (中国)
  • ปรึกษาแพทย์
Facebook Instagram YouTube