Skip to content

TEL : 081-841-5075, 02-258-4050

Facebook Instagram YouTube
Privato Clinic – Innovation Of Beauty  |  Bangkok
  • หน้าหลัก
  • เกี่ยวกับพรีวาโต
  • บริการทั้งหมดExpand
    • ชะลอวัย
    • ยกกระชับผิวExpand
      • XERF
      • Potenza
      • Sofwave
      • Ulthera
      • Thermage-FLX
    • รักษาสิว
    • เลเซอร์
    • โปรแกรมฉีด
    • บำรุงผิว
  • บทความExpand
    • สิว
    • ยกกระชับ
    • ดูแลผิว
    • ทำเลเซอร์
  • ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว
  • โปรโมชั่น
  • ผลลัพธ์การรักษา
  • วิดีโอรีวิวจากเคสจริง
  • สาขาของเรา
  • ไทยExpand
    • ไทย
    • English
    • 中文 (中国)
  • ปรึกษาแพทย์
Privato Clinic – Innovation Of Beauty  |  Bangkok
Consult a Doctor
Lifting

ร้อยไหมแล้วเป็นรอยนูน แบบไหนอันตราย? สัญญาณต้องรีบพบแพทย์

Byadmin ตุลาคม 24, 2025
By แพทย์หญิงนัชชนก หุ่นวิจิตร Updated on ตุลาคม 24, 2025
✦ Medically reviewed by  นายแพทย์เลอพงษ์ กรุดเงิน
ร้อยไหมแล้วเป็นรอยนูน แบบไหนอันตราย? สัญญาณต้องรีบพบแพทย์

ร้อยไหมแล้วเป็นรอยนูนเป็นอาการที่พบได้บ่อยหลังการร้อยไหม โดยรอยนูนที่นิ่มและกดเจ็บเล็กน้อยจากการบวมจะหายได้เองภายใน 1-4 สัปดาห์ แต่หากเป็นรอยนูนแข็งที่ไม่ยุบลง มีอาการแดง ร้อน บวม ปวดรุนแรง หรือมีไข้ร่วมด้วย ต้องรีบพบแพทย์ทันทีเพราะอาจเป็นสัญญาณของการติดเชื้อหรือก้อนแกรนูโลมา ซึ่งสาเหตุหลักมาจากเทคนิคการร้อยไหมที่ไม่ถูกต้อง การตอบสนองของร่างกายต่อไหม หรือการดูแลตัวเองหลังทำที่ไม่เหมาะสม และสามารถแก้ไขได้ด้วยการประคบอุ่น การฉีดสเตียรอยด์ เลเซอร์ หรือการผ่าตัดนำไหมออกในกรณีที่จำเป็น

Table of Contents

Toggle
  • สัญญาณเตือนอันตราย: รอยนูนแบบไหนที่ต้องรีบพบแพทย์ทันที
  • ลักษณะรอยนูนหลังร้อยไหม: แยกประเภทปกติและผิดปกติ
    • รอยนูนและอาการบวมที่สามารถหายได้เอง
    • รอยนูนที่เป็นก้อนไตแข็งใต้ผิวหนัง
    • ลักษณะผิวเป็นคลื่น ไม่เรียบเนียนเวลายิ้ม
    • รอยบุ๋มหรือรอยยุบตัวของผิวหนัง
  • สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดรอยนูนและผิวไม่เรียบหลังร้อยไหม
    • เทคนิคการร้อยไหมและความชำนาญของแพทย์
    • การตอบสนองของร่างกายและการเกิดพังผืด
    • ชนิดและจำนวนเส้นไหมที่ไม่เหมาะสมกับสภาพผิว
    • การดูแลตัวเองหลังทำหัตถการที่ไม่ถูกต้อง
  • แนวทางการจัดการและแก้ไขรอยนูน รอยบุ๋มหลังร้อยไหม
    • การดูแลเบื้องต้นด้วยตัวเองที่บ้าน
    • การรักษาโดยแพทย์: การฉีดสลายก้อนนูน
    • การใช้เลเซอร์หรือพลังงานคลื่นวิทยุช่วยสลายพังผืด
    • การผ่าตัดเพื่อนำเส้นไหมออกในกรณีที่จำเป็น
  • ไทม์ไลน์การฟื้นตัว: รอยนูนและอาการบวมจะหายไปเมื่อไหร่
  • ข้อควรพิจารณาก่อนตัดสินใจแก้ไขรอยนูน
    • การประเมินความรุนแรงและระยะเวลาที่เกิดปัญหา
  • ความเข้าใจผิดและข้อควรระวังเกี่ยวกับปัญหาหลังร้อยไหม
  • คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับภาวะแทรกซ้อนหลังร้อยไหม
    • รอยนูนหลังร้อยไหมกี่วันหาย?
    • ร้อยไหมแล้วหน้าบุ๋มจะหายเองได้ไหม?
    • อาการแบบไหนคือสัญญาณของการติดเชื้อหลังร้อยไหม?
    • ถ้าไหมขาดหรือไหมโผล่ออกมาควรทำอย่างไร?
    • การนวดคลึงบริเวณที่ร้อยไหมช่วยลดรอยนูนได้จริงหรือ?
    • ร้อยไหมแล้วเป็นไตอันตรายหรือไม่?
  • References:

สัญญาณเตือนอันตราย: รอยนูนแบบไหนที่ต้องรีบพบแพทย์ทันที

รอยนูนที่ต้องรีบพบแพทย์ทันทีคือรอยนูนที่มีสัญญาณของการติดเชื้อ เช่น ผิวหนังแดงขึ้น ปวด บวมร้อน มีหนองไหลออกมา หรือมีไข้ร่วมด้วย รวมถึงอาการปวดรุนแรงผิดปกติ หรือสีผิวบริเวณนั้นเปลี่ยนเป็นสีซีดหรือคล้ำดำ

สัญญาณเตือนอันตรายอื่นๆ ที่ควรไปพบแพทย์โดยด่วน ได้แก่:

  • การติดเชื้อ: บริเวณที่ร้อยไหมมีอาการแดง ปวด และบวมมากขึ้นเรื่อยๆ หลังผ่านช่วง 2-3 วันแรกไปแล้ว อาจรู้สึกร้อนเมื่อสัมผัส มีหนองไหลซึมออกมา หรือมีไข้ร่วมด้วย
  • อาการปวดรุนแรง: มีอาการปวดอย่างรุนแรงและต่อเนื่อง ซึ่งยาแก้ปวดทั่วไปไม่สามารถบรรเทาได้ อาจเป็นสัญญาณของเลือดคั่งภายใน (Hematoma) หรือปัญหาเกี่ยวกับเส้นประสาท
  • สีผิวเปลี่ยนแปลง: หากผิวหนังบริเวณนั้นเปลี่ยนเป็นสีซีดขาว หรือกลายเป็นสีม่วงคล้ำหรือดำ อาจเป็นสัญญาณว่าเส้นเลือดถูกกดทับหรืออุดตัน ทำให้เลือดไปเลี้ยงผิวหนังไม่ได้ ซึ่งเป็นภาวะฉุกเฉิน
  • ไหมโผล่ออกมา: หากมองเห็นปลายไหมโผล่ทิ่มออกมาจากผิวหนัง ควรให้แพทย์จัดการทันทีเพื่อป้องกันการติดเชื้อ

ลักษณะรอยนูนหลังร้อยไหม: แยกประเภทปกติและผิดปกติ

รอยนูนและอาการบวมที่สามารถหายได้เอง

รอยนูนที่นิ่มและกดเจ็บเล็กน้อยซึ่งเกิดจากการบวมหรือรอยช้ำเล็กๆ เป็นอาการปกติหลังการร้อยไหมและสามารถหายได้เอง

โดยทั่วไป อาการบวมส่วนใหญ่จะหายไปภายใน 1-2 สัปดาห์ ส่วนรอยนูนหรือความไม่เรียบเนียนที่เหลืออยู่มักจะยุบตัวลงและเรียบเนียนไปเองภายใน 4 สัปดาห์ เมื่อไหมเข้าที่และการสมานแผลเสร็จสมบูรณ์ ในทางตรงกันข้าม รอยนูนที่แข็ง ไม่ขยับ และไม่ยุบลงตามเวลา โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากยังคงอยู่นานเกิน 4-6 สัปดาห์ ถือเป็นอาการผิดปกติและควรไปพบแพทย์

รอยนูนที่เป็นก้อนไตแข็งใต้ผิวหนัง

รอยนูนที่เป็นก้อนไตแข็งใต้ผิวหนังหลังการร้อยไหม มักเกิดจากปฏิกิริยาของร่างกายต่อไหมในฐานะสิ่งแปลกปลอม ทำให้เกิดเป็นก้อนพังผืดหรือก้อนแกรนูโลมา (Granuloma)

ก้อนลักษณะนี้จะแตกต่างจากอาการบวมหลังทำในช่วงแรก โดยมักจะมีลักษณะแข็ง ไม่เคลื่อนที่ และไม่ยุบลงเองเมื่อเวลาผ่านไป ซึ่งอาจปรากฏขึ้นหลายสัปดาห์หรือหลายเดือนหลังการร้อยไหม แม้ว่าโดยทั่วไปจะไม่เป็นอันตราย แต่ก็ถือเป็นภาวะผิดปกติที่ควรได้รับการประเมินจากแพทย์เพื่อรับการรักษาที่เหมาะสม เช่น การฉีดสเตียรอยด์เพื่อลดขนาดก้อน

ลักษณะผิวเป็นคลื่น ไม่เรียบเนียนเวลายิ้ม

อาการผิวเป็นคลื่นหรือไม่เรียบเนียนเวลายิ้มหลังร้อยไหม เป็นเรื่องปกติที่พบได้บ่อยในช่วงแรก ซึ่งเกิดจากการที่ไหมดึงผิวแน่นหรือตื้นเกินไปทำให้ผิวเกิดการย่นตัว

โดยทั่วไปแล้ว อาการนี้จะค่อยๆ ดีขึ้นและหายไปเองเมื่ออาการบวมลดลงและเนื้อเยื่อปรับตัวเข้าที่ภายใน 2-3 สัปดาห์ อย่างไรก็ตาม หากรอยคลื่นยังคงเห็นได้ชัดเจนหลังจากผ่านไปหลายสัปดาห์ หรือเห็นได้แม้ไม่ได้แสดงสีหน้า อาจเป็นสัญญาณของปัญหาทางเทคนิค เช่น การวางไหมผิดชั้นหรือดึงตึงเกินไป ซึ่งควรปรึกษาแพทย์เพื่อทำการแก้ไข

รอยบุ๋มหรือรอยยุบตัวของผิวหนัง

รอยบุ๋มหรือรอยยุบตัวของผิวหนังหลังการร้อยไหม เป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้ชั่วคราวและมักจะหายไปเอง โดยทั่วไปแล้ว รอยบุ๋มเล็กน้อยจะค่อยๆ ดีขึ้นและเรียบเนียนไปเองภายใน 2-3 สัปดาห์ถึงสองเดือน เมื่ออาการบวมลดลงและร่างกายสร้างคอลลาเจนขึ้นมาใหม่

สาเหตุหลักมักเกิดจากการที่ไหมถูกดึงตึงเกินไปหรือวางในชั้นผิวที่ตื้นเกินไป ทำให้ผิวหนังเกิดการย่นหรือยุบตัวลง อย่างไรก็ตาม หากรอยบุ๋มมีความรุนแรง มองเห็นได้ชัดเจน หรือไม่ดีขึ้นเลยหลังจากผ่านไป 2-3 เดือน อาจบ่งชี้ถึงปัญหาทางเทคนิคและควรปรึกษาแพทย์เพื่อทำการแก้ไข

สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดรอยนูนและผิวไม่เรียบหลังร้อยไหม

เทคนิคการร้อยไหมและความชำนาญของแพทย์

เทคนิคการร้อยไหมและความชำนาญของแพทย์เป็นปัจจัยสำคัญอย่างยิ่งในการกำหนดผลลัพธ์และลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อน เนื่องจากปัญหาต่างๆ เช่น ก้อนนูน ผิวไม่เรียบ หรือความไม่สมมาตร มักเกิดจากข้อผิดพลาดทางเทคนิคมากกว่าตัวไหมเอง

  • สาเหตุจากเทคนิคที่ไม่ถูกต้อง: ภาวะแทรกซ้อนส่วนใหญ่มักเกิดจากแพทย์ที่ขาดประสบการณ์ เช่น การวางไหมตื้นเกินไป, การดึงไหมตึงเกินไปจนผิวเป็นรอน, การฝังปลายไหมไม่ลึกพอทำให้เกิดปม, หรือการวางไหมในชั้นผิวที่ไม่ถูกต้อง
  • เทคนิคที่ถูกต้อง: แพทย์ผู้ชำนาญจะวางไหมในชั้นความลึกที่เหมาะสม (ชั้นไขมันใต้ผิวหนัง) ด้วยแรงดึงที่สม่ำเสมอ และฝังปลายไหมทั้งหมดอย่างเรียบร้อย เพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดก้อนนูนหรือผิวที่ไม่สม่ำเสมอ
  • ความสำคัญของการเลือกแพทย์: การเลือกแพทย์ที่มีประสบการณ์สูงและผ่านการรับรองอย่างถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการลดความเสี่ยง เนื่องจากแพทย์ที่มีความเข้าใจในกายวิภาคของใบหน้าและเทคนิคการร้อยไหมจะสามารถจัดการกับเนื้อเยื่อได้อย่างนุ่มนวลและวางไหมได้อย่างแม่นยำ

การตอบสนองของร่างกายและการเกิดพังผืด

การตอบสนองของร่างกายต่อไหมคือการสร้างเนื้อเยื่อแผลเป็นหรือพังผืดขึ้นมารอบๆ เส้นไหม ซึ่งเป็นปฏิกิริยาที่ตั้งใจให้เกิดขึ้นเพื่อสร้างคอลลาเจนและทำให้ผิวแน่นกระชับขึ้น แต่ในบางคนอาจเกิดการตอบสนองที่มากเกินไปจนกลายเป็นก้อนแข็งได้

โดยปกติแล้ว ร่างกายจะมองว่าเส้นไหมเป็นสิ่งแปลกปลอมและสร้างแคปซูลของเนื้อเยื่อแผลเป็นล้อมรอบไว้ ซึ่งเป็นผลดีในการพยุงผิว แต่หากร่างกายมีการตอบสนองที่รุนแรงเกินไป อาจทำให้เกิดพังผืดส่วนเกิน (fibrosis) หรือก้อนนูนแข็งที่เรียกว่า แกรนูโลมา (granuloma) ซึ่งเป็นผลมาจากปฏิกิริยาการอักเสบที่ยาวนานของร่างกาย

ปัจจัยที่อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดพังผืดมากผิดปกติ ได้แก่:

  • ผู้ที่มีแนวโน้มเป็นโรคแพ้ภูมิตัวเอง (autoimmune)
  • ผู้ที่มีประวัติการเกิดแผลเป็นนูนหรือคีลอยด์ง่าย
  • ชนิดของไหม โดยไหมที่ไม่ละลายจะมีความเสี่ยงสูงกว่าไหมชนิดละลาย

ชนิดและจำนวนเส้นไหมที่ไม่เหมาะสมกับสภาพผิว

การใช้ชนิดและจำนวนเส้นไหมที่ไม่เหมาะสมกับสภาพผิว คือการใช้ไหมที่มีขนาดหนาเกินไป มีเงี่ยงขนาดใหญ่ หรือใช้ในปริมาณที่มากเกินไป โดยเฉพาะในผู้ที่มีผิวบางและละเอียดอ่อน

  • ชนิดของไหม: ไหมเงี่ยง (Barbed threads) มีความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดก้อนหรือรอยบุ๋มได้มากกว่าไหมแบบเรียบหากร้อยผิดตำแหน่ง ส่วนไหมที่มีความหนาและแข็งแรง (เช่น PCL) อาจทำให้เกิดอาการบวมหรือตึงในช่วงแรกได้มากกว่า
  • จำนวนเส้นไหม: การใช้ไหมในปริมาณที่มากเกินไป (เช่น มากกว่า 10 เส้นในครั้งเดียว) จะเพิ่มความเสี่ยงของอาการบวม การบาดเจ็บของเนื้อเยื่อ และการเกิดก้อนนูนได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในผิวที่บางซึ่งไม่สามารถรองรับไหมจำนวนมากได้ดีนัก

การดูแลตัวเองหลังทำหัตถการที่ไม่ถูกต้อง

การดูแลตัวเองหลังทำหัตถการที่ไม่ถูกต้องอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น ตุ่ม รอยบุ๋ม หรือการติดเชื้อได้ แม้ว่าแพทย์จะทำการร้อยไหมอย่างสมบูรณ์แบบ แต่การดูแลตัวเองที่ไม่ดีก็ยังสามารถสร้างปัญหาได้

พฤติกรรมที่ไม่ควรทำซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อน ได้แก่:

  • การขยับใบหน้ามากเกินไป
  • การนอนตะแคงหรือนอนคว่ำ
  • การทำกิจกรรม เช่น ซาวน่าหรือสูบบุหรี่ในช่วง 1-2 สัปดาห์แรก
  • การสัมผัสบริเวณที่ร้อยไหมด้วยมือที่ไม่สะอาด หรือแต่งหน้าเร็วเกินไป ซึ่งอาจทำให้เกิดการติดเชื้อ
  • การดื่มน้ำไม่เพียงพอ ซึ่งทำให้กระบวนการฟื้นตัวช้าลง

แนวทางการจัดการและแก้ไขรอยนูน รอยบุ๋มหลังร้อยไหม

การดูแลเบื้องต้นด้วยตัวเองที่บ้าน

การดูแลเบื้องต้นด้วยตัวเองที่บ้านสามารถทำได้โดยการประคบอุ่น การนวดเบาๆ การใช้เจลลดบวม และการนอนหนุนหมอนสูง เพื่อช่วยบรรเทาอาการผิดปกติเล็กน้อยหลังการร้อยไหม

  • การประคบอุ่น: สามารถใช้หลังจากช่วง 48-72 ชั่วโมงแรก เพื่อช่วยลดรอยช้ำและก้อนเลือดเล็กๆ
  • การนวดเบาๆ: หลังจากผ่านไปประมาณ 1-2 สัปดาห์ สามารถนวดคลึงบริเวณที่มีรอยบุ๋มหรือตุ่มนูนเล็กน้อยอย่างเบามือตามคำแนะนำของแพทย์ เพื่อช่วยให้ผิวเรียบเนียนขึ้น
  • การนอนหนุนหมอนสูง: ช่วยลดอาการบวมโดยทำให้ของเหลวไหลเวียนได้ดีขึ้น
  • การใช้ผลิตภัณฑ์เสริม: เจลอาร์นิกา (Arnica gel) หรืออาหารเสริมโบรมีเลน (bromelain) อาจช่วยลดรอยช้ำและอาการบวมได้เร็วขึ้น

อย่างไรก็ตาม วิธีการเหล่านี้เหมาะสำหรับอาการที่ไม่รุนแรงเท่านั้น หากเป็นก้อนแข็ง ปมไหม หรือมีสัญญาณการติดเชื้อ การนวดหรือประคบจะไม่สามารถช่วยได้และจำเป็นต้องปรึกษาแพทย์

การรักษาโดยแพทย์: การฉีดสลายก้อนนูน

การฉีดสลายก้อนนูนหลังร้อยไหมโดยแพทย์มักใช้การฉีดสเตียรอยด์ เพื่อลดการอักเสบและทำให้ก้อนพังผืดหรือแกรนูโลมา (granuloma) ยุบตัวลง ซึ่งโดยทั่วไปอาจต้องฉีด 1-3 ครั้ง ห่างกันหลายสัปดาห์

นอกจากนี้ยังมีการฉีดประเภทอื่นๆ ที่ใช้รักษาตามลักษณะของปัญหา ดังนี้

  • การฉีดน้ำเกลือ (Saline Injection): เพื่อช่วยเร่งการสลายตัวของไหม PDO หรือสลายพังผืด
  • การทำซับซิชั่น (Subcision): ใช้เข็มเซาะพังผืดใต้ผิวหนังเพื่อคลายรอยบุ๋มลึกที่เกิดจากแผลเป็น
  • การฉีดโบทูลินั่ม ท็อกซิน (Botox): ใช้ในกรณีที่การเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อทำให้เกิดรอยบุ๋มอย่างต่อเนื่อง เพื่อคลายกล้ามเนื้อบริเวณนั้นชั่วคราว
  • การฉีดไฮยาลูโรนิเดส (Hyaluronidase): ใช้สำหรับสลายก้อนที่เกิดจากฟิลเลอร์ไฮยาลูรอนิก แอซิด เท่านั้น ไม่สามารถสลายไหมได้

การใช้เลเซอร์หรือพลังงานคลื่นวิทยุช่วยสลายพังผืด

การใช้เลเซอร์และพลังงานคลื่นวิทยุ (RF) สามารถช่วยสลายพังผืดและปรับโครงสร้างคอลลาเจนที่เป็นแผลเป็นได้ โดยการรักษาด้วยเลเซอร์จะช่วยสลายคอลลาเจนที่เป็นแผลเป็นเพื่อให้คอลลาเจนใหม่ที่เรียบเนียนกว่าเข้ามาแทนที่ ส่วน RF Microneedling จะสร้างการบาดเจ็บเล็กๆ อย่างควบคุมได้เพื่อกระตุ้นให้ร่างกายปรับโครงสร้างเนื้อเยื่อแผลเป็นขึ้นมาใหม่

โดยทั่วไป การรักษาด้วยวิธีเหล่านี้จำเป็นต้องทำหลายครั้ง และแม้ว่าจะสามารถปรับปรุงสภาพผิวให้ดีขึ้นได้อย่างมีนัยสำคัญ แต่อาจไม่สามารถลบรอยแผลเป็นที่ลึกหรือรุนแรงมากได้ทั้งหมด

การผ่าตัดเพื่อนำเส้นไหมออกในกรณีที่จำเป็น

การผ่าตัดเพื่อนำเส้นไหมออกเป็นหัตถการเล็กๆ ที่ทำภายใต้การฉีดยาชา เพื่อแก้ไขภาวะแทรกซ้อน เช่น การติดเชื้อ ก้อนแกรนูโลมา หรือการระคายเคืองเส้นประสาท

โดยทั่วไป แพทย์จะทำแผลเล็กๆ บริเวณใกล้เคียงกับปัญหา จากนั้นใช้เครื่องมือจับเส้นไหมและค่อยๆ ดึงออกมา แม้ความเสี่ยงจะต่ำ (อาจเกิดแผลเป็นเล็กน้อย เลือดออก หรือติดเชื้อ) แต่การนำไหมออกมีอัตราความสำเร็จสูงในการแก้ไขปัญหา เนื่องจากเป็นการกำจัดต้นตอของอาการระคายเคืองออกไปโดยตรง

ไทม์ไลน์การฟื้นตัว: รอยนูนและอาการบวมจะหายไปเมื่อไหร่

รอยนูนและอาการบวมส่วนใหญ่จะหายไปภายใน 2-4 สัปดาห์ โดยอาการบวมจะลดลงอย่างเห็นได้ชัดภายใน 5 วันแรก และรอยนูนเล็กๆ มักจะเรียบเนียนขึ้นภายใน 1-2 สัปดาห์

โดยทั่วไปแล้ว ใบหน้าจะดูเป็นปกติในเวลาประมาณ 2 สัปดาห์ และคนส่วนใหญ่จะฟื้นตัวเต็มที่เมื่อครบ 4 สัปดาห์ หากรอยนูนยังคงอยู่โดยไม่เปลี่ยนแปลงหลังจากผ่านไป 4-6 สัปดาห์ ควรปรึกษาแพทย์

ข้อควรพิจารณาก่อนตัดสินใจแก้ไขรอยนูน

การประเมินความรุนแรงและระยะเวลาที่เกิดปัญหา

แพทย์จะประเมินภาวะแทรกซ้อนจากการร้อยไหมโดยพิจารณาจาก ความรุนแรงของปัญหาและระยะเวลาที่เกิดขึ้น เพื่อตัดสินใจเลือกแนวทางการรักษาที่เหมาะสม

การประเมินปัจจัยทั้งสองมีรายละเอียดดังนี้

  • ความรุนแรง (Severity): แบ่งออกเป็น 3 ระดับ
  • รุนแรงน้อย: ปัญหาเล็กน้อยที่อาจหายได้เอง เช่น รอยบุ๋มตื้นๆ หรืออาการบวมเล็กน้อย
  • รุนแรงปานกลาง: ปัญหาที่มองเห็นได้ชัดเจนแต่ไม่เป็นอันตราย เช่น ปมไหมที่คลำได้ หรือความไม่สมมาตร
  • รุนแรงมาก: ปัญหาที่คุกคามสุขภาพหรืออาจสร้างความเสียหายถาวร เช่น การติดเชื้อ, เนื้อเยื่อตาย หรือเส้นประสาทบาดเจ็บ ซึ่งต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน
  • ระยะเวลา (Duration): เวลาที่เกิดปัญหาเป็นตัวกำหนดว่าจะต้องรีบแก้ไขหรือรอได้
  • ปัญหาที่เพิ่งเกิด: หากเป็นปัญหาเล็กน้อยที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่นาน (เช่น 1-2 สัปดาห์) แพทย์มักจะแนะนำให้รอดูก่อน เพราะมีโอกาสสูงที่จะหายได้เองเมื่ออาการบวมลดลง
  • ปัญหาเรื้อรัง: หากปัญหาคงอยู่นานโดยไม่ดีขึ้น (เช่น 2-3 เดือน) แสดงว่าไม่สามารถหายเองได้และจำเป็นต้องได้รับการแก้ไข
  • ข้อยกเว้น: ปัญหาร้ายแรงอย่างการติดเชื้อหรือปลายไหมโผล่ทะลุผิวหนัง จะต้องได้รับการแก้ไขทันทีโดยไม่ต้องรอ

ความเข้าใจผิดและข้อควรระวังเกี่ยวกับปัญหาหลังร้อยไหม

ความเข้าใจผิดที่พบบ่อยคือการคิดว่าตุ่มหรือรอยบุ๋มทุกอย่างเป็นภาวะแทรกซ้อนที่อันตราย ในความเป็นจริงแล้ว ตุ่มนิ่มๆ หรือผิวที่ไม่เรียบในช่วง 1-2 สัปดาห์แรกมักเป็นอาการบวมตามปกติและจะหายไปเอง แต่ข้อควรระวังที่สำคัญคือการสังเกตอาการผิดปกติที่ต้องรีบพบแพทย์

โดยทั่วไป อาการบวมและผิวที่ไม่เรียบเนียนจะดีขึ้นมากภายใน 2 สัปดาห์ และมักจะหายเป็นปกติใน 4-6 สัปดาห์ หากตุ่มหรือรอยบุ๋มยังคงอยู่ไม่เปลี่ยนแปลงหลังจากช่วงเวลานี้ ถือว่าผิดปกติและควรปรึกษาแพทย์

ข้อควรระวังและสัญญาณอันตราย:

  • ตุ่มที่ผิดปกติ: ตุ่มแข็ง ไม่ยุบลงเมื่อเวลาผ่านไป หรือตุ่มที่มาพร้อมกับอาการปวด บวม แดง ร้อน อาจเป็นก้อนพังผืด (Granuloma) หรือการติดเชื้อ
  • รอยบุ๋มที่ไม่หายไป: รอยบุ๋มเล็กน้อยมักจะหายไปเอง แต่ถ้ารอยบุ๋มมีความลึกมากหรือไม่ดีขึ้นเลยหลังจากผ่านไป 2-3 เดือน อาจเกิดจากเทคนิคการร้อยไหมที่ผิดพลาด
  • สัญญาณการติดเชื้อ: หากมีอาการปวด บวม แดง ร้อน มากขึ้นเรื่อยๆ มีหนองไหลออกจากแผล หรือมีไข้ ควรรีบพบแพทย์ทันที
  • สีผิวเปลี่ยนแปลง: หากผิวบริเวณที่ร้อยไหมเปลี่ยนเป็นสีซีด ขาว หรือคล้ำดำ อาจเป็นสัญญาณของภาวะขาดเลือด ซึ่งเป็นภาวะฉุกเฉิน

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับภาวะแทรกซ้อนหลังร้อยไหม

รอยนูนหลังร้อยไหมกี่วันหาย?

โดยทั่วไป รอยนูนหลังร้อยไหมจะค่อยๆ ยุบลงและหายไปภายใน 1-4 สัปดาห์ ในช่วงสัปดาห์แรก อาการบวมและรอยนูนส่วนใหญ่จะลดลงอย่างเห็นได้ชัด และใบหน้ามักจะดูเกือบเป็นปกติภายใน 2 สัปดาห์ เมื่อถึงสัปดาห์ที่ 4 รอยนูนที่มองเห็นได้ส่วนใหญ่มักจะหายไปจนหมด หากรอยนูนยังคงอยู่โดยไม่เปลี่ยนแปลงนานเกิน 4-6 สัปดาห์ ถือว่านานกว่าปกติและควรปรึกษาแพทย์

ร้อยไหมแล้วหน้าบุ๋มจะหายเองได้ไหม?

รอยบุ๋มที่ไม่รุนแรงส่วนใหญ่สามารถหายได้เอง ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการฟื้นตัวตามปกติ โดยรอยบุ๋มมักจะค่อยๆ ตื้นขึ้นเมื่ออาการบวมลดลงและผิวหนังปรับตัวเข้ากับเส้นไหมภายในเวลาประมาณ 4-6 สัปดาห์

อย่างไรก็ตาม หากรอยบุ๋มมีความลึกมาก ไม่ดีขึ้นเลย หรือยังคงอยู่หลังจากผ่านไป 2-3 เดือน ควรปรึกษาแพทย์ เพราะอาจเกิดจากเทคนิคการร้อยไหมที่ผิดพลาดและจำเป็นต้องได้รับการแก้ไข

อาการแบบไหนคือสัญญาณของการติดเชื้อหลังร้อยไหม?

สัญญาณของการติดเชื้อหลังร้อยไหม ได้แก่ อาการปวด บวม แดง และร้อนบริเวณที่ทำมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งอาจมีไข้หรือหนองร่วมด้วย โดยอาการเหล่านี้มักจะแย่ลงหลังจากผ่านไป 2-3 วันแรก แทนที่จะค่อยๆ ดีขึ้น

อาการอื่นๆ ที่ควรสังเกต มีดังนี้:

  • ผิวหนังบริเวณที่ร้อยไหมรู้สึกร้อนเมื่อสัมผัส
  • มีอาการปวดตุบๆ ที่รุนแรงขึ้น
  • มีหนองหรือของเหลวสีเหลือง/ครีมไหลออกมาจากรูเข็ม
  • มีไข้สูงกว่า 38 องศาเซลเซียส รู้สึกหนาวสั่น หรือไม่สบายตัว
  • คลำเจอก้อนนูนที่อุ่นและเจ็บ ซึ่งอาจเป็นฝีหนอง

ถ้าไหมขาดหรือไหมโผล่ออกมาควรทำอย่างไร?

หากไหมโผล่ออกมาหรือขาด ควรติดต่อแพทย์ผู้ทำหัตถการทันที

นี่ไม่ใช่อาการที่เป็นอันตราย แต่จำเป็นต้องให้แพทย์จัดการอย่างถูกวิธีและปลอดเชื้อ โดยแพทย์มักจะแก้ไขด้วยการตัดไหมส่วนที่โผล่ออกมาให้เรียบไปกับผิวหนัง หรืออาจจะดันกลับเข้าไปใต้ผิวหนังให้เข้าที่ ระหว่างรอพบแพทย์ ไม่ควรสัมผัสหรือดึงไหมเองเพื่อป้องกันการติดเชื้อ

ในกรณีที่ไหมขาดอยู่ภายใน ส่วนใหญ่มักไม่เป็นอันตรายเพราะไหมจะสลายไปเองตามธรรมชาติ แต่อาจทำให้ผลลัพธ์การยกกระชับลดลง ซึ่งแพทย์จะประเมินและอาจพิจารณาร้อยไหมเพิ่มให้ใหม่

การนวดคลึงบริเวณที่ร้อยไหมช่วยลดรอยนูนได้จริงหรือ?

การนวดเบาๆ สามารถช่วยลดรอยนูนหรือรอยบุ๋มเล็กน้อยหลังการร้อยไหมได้จริง แต่จะได้ผลกับปัญหาบางประเภทเท่านั้น โดยการนวดจะช่วยลดรอยนูนที่นิ่ม รอยย่น หรือรอยบุ๋มตื้นๆ ที่เกิดจากการบวมหรือการดึงรั้งของผิวหนังได้

อย่างไรก็ตาม การนวดไม่สามารถแก้ไขก้อนแข็งที่เกิดจากปมไหมหรือก้อนแกรนูโลมา (ก้อนพังผืด) ได้ และควรทำอย่างเบามือหลังจากผ่านช่วง 1-2 สัปดาห์แรกไปแล้ว เพื่อป้องกันไม่ให้ไหมเคลื่อนที่

ร้อยไหมแล้วเป็นไตอันตรายหรือไม่?

โดยทั่วไปแล้ว การเกิดไตหลังร้อยไหมไม่เป็นอันตรายร้ายแรง เนื่องจากก้อนไตแข็ง (granuloma) ที่เกิดขึ้นมักเป็นการอักเสบของร่างกายที่ไม่มีเชื้อโรค ไม่ใช่การติดเชื้อ และไม่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพโดยรวม

ปัญหาหลักคือเรื่องความสวยงาม เพราะอาจมองเห็นเป็นก้อนนูนหรือคลำเจอได้ และอาจทำให้รู้สึกไม่สบายตัวบ้าง แม้ว่าจะไม่เป็นอันตราย แต่ก็ควรให้แพทย์ประเมินเพื่อยืนยันว่าเป็นก้อนไตพังผืดและไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อ ซึ่งสามารถรักษาได้ด้วยการฉีดสเตียรอยด์เพื่อลดขนาดก้อนหรือผ่าตัดนำออก

References:

  1. Cleveland Clinic. (n.d.). Thread Lift: What to Expect, Benefits & Complications. Cleveland Clinic Health Library. clevelandclinic.org
  2. Yi, K.-H., & Park, S.Y. (2025). Facial Thread Lifting Complications. Journal of Cosmetic Dermatology (Wiley). onlinelibrary.wiley.com
  3. Wolters Kluwer. (2024). Facial thread lifting: Complications, causes and prevention. Wolters Kluwer Health (Journal of Craniofacial Surgery). wolterskluwer.com
  4. Kim, H.J. et al. (n.d.). Predictors of Dissatisfaction After Polydioxanone (PDO) Thread Lift. PubMed Central. pmc.ncbi.nlm.nih.gov
  5. Park, J.H. et al. (2022). Barbed PDO Thread Face Lift: A Case Study of Bacterial Complication. Aesthetic Plastic Surgery (Springer). springer.com
  6. MINT (Hans Biomed). (n.d.). Science of Threads: Common Causes of Dimpling. MINT™ PDO Blog. mintpdo.com
  7. APTOS. (n.d.). How to choose a doctor and a clinic for a thread lift. Aptos Global. aptos.global
  8. Saul, M. (n.d.). Signs of a botched thread lift gone wrong. Cosmetic Surgery Solicitors. cosmeticsurgerysolicitors.co.uk

แนะแนวเรื่อง

Previous Previous
Ultraformer III คืออะไร? ต้องทำกี่ช็อตถึงจะเห็นผล อยู่ได้นานไหม
NextContinue
รีจูรันช่วยอะไร? มีกี่แบบ? แต่ละสีต่างกันอย่างไร แบบไหนเหมาะกับเรา

สาขาพรีวาโต คลินิก

    สาขาอโศก ตั้งอยู่ที่ ชั้น 2 อาคารมิดทาวน์
    Phone: 02-258-4050 , 081-841-5075
    สาขาสีลม ตั้งอยู่ที่ ชั้น 1 อาคารซี.พี.ทาวเวอร์
    Phone: 02-780-2011 , 098-272-5244
    สาขาราชพฤกษ์ ตั้งอยู่ที่ ชั้น 2 ศูนย์การค้า เดอะคริสตัล เอสบี (ด้านบนร้านสตาร์บัคส์)
    Phone: 02-102-2778 , 098-272-5244

ติดต่อเรา

    Facebook: Privato Clinic
    Messenger: Privato Clinic
    Instagram: privatoclinic
    Email: privatoclinic@gmail.com
    Line: @privatoclinic

Copyright© 2022-2024. All Rights Reserved

Scroll to top
  • หน้าหลัก
  • เกี่ยวกับพรีวาโต
  • บริการทั้งหมด
    • ชะลอวัย
    • ยกกระชับผิว
      • XERF
      • Potenza
      • Sofwave
      • Ulthera
      • Thermage-FLX
    • รักษาสิว
    • เลเซอร์
    • โปรแกรมฉีด
    • บำรุงผิว
  • บทความ
    • สิว
    • ยกกระชับ
    • ดูแลผิว
    • ทำเลเซอร์
  • ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว
  • โปรโมชั่น
  • ผลลัพธ์การรักษา
  • วิดีโอรีวิวจากเคสจริง
  • สาขาของเรา
  • ไทย
    • ไทย
    • English
    • 中文 (中国)
  • ปรึกษาแพทย์
Facebook Instagram YouTube