Skip to content

TEL : 081-841-5075, 02-258-4050

Facebook Instagram YouTube
Privato Clinic – Innovation Of Beauty  |  Bangkok
  • หน้าหลัก
  • เกี่ยวกับพรีวาโต
  • บริการทั้งหมดExpand
    • ชะลอวัย
    • ยกกระชับผิวExpand
      • XERF
      • Potenza
      • Sofwave
      • Ulthera
      • Thermage-FLX
    • รักษาสิว
    • เลเซอร์
    • โปรแกรมฉีด
    • บำรุงผิว
  • บทความExpand
    • สิว
    • ยกกระชับ
    • ดูแลผิว
    • ทำเลเซอร์
  • ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว
  • โปรโมชั่น
  • ผลลัพธ์การรักษา
  • วิดีโอรีวิวจากเคสจริง
  • สาขาของเรา
  • ไทยExpand
    • ไทย
    • English
    • 中文 (中国)
  • ปรึกษาแพทย์
Privato Clinic – Innovation Of Beauty  |  Bangkok
Consult a Doctor
Lifting

หน้าไม่เท่ากันเกิดจากอะไร ควรแก้ที่ไหน? แพทย์แนะวิธีปรับให้สมส่วน

Byadmin พฤศจิกายน 20, 2025
By แพทย์หญิงนัชชนก หุ่นวิจิตร Updated on พฤศจิกายน 20, 2025
✦ Medically reviewed by  นายแพทย์เลอพงษ์ กรุดเงิน
หน้าไม่เท่ากันเกิดจากอะไร ควรแก้ที่ไหน? แพทย์แนะวิธีปรับให้สมส่วน

ใบหน้าไม่เท่ากันคือภาวะที่โครงสร้างใบหน้าสองข้างไม่สมมาตรจากพันธุกรรมหรือพฤติกรรม ซึ่งแพทย์สามารถปรับแก้ให้สมส่วนขึ้นได้ด้วยวิธีต่างๆ เช่น โบท็อกซ์และฟิลเลอร์ที่ให้ผลลัพธ์นาน 6-12 เดือน.

Table of Contents

Toggle
  • สาเหตุหลักที่ทำให้ใบหน้าไม่สมส่วน
    • ความไม่สมมาตรจากโครงสร้างกระดูกและพันธุกรรม
    • การพัฒนาของกล้ามเนื้อและไขมันที่ไม่เท่ากัน
    • พฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวันที่ส่งผลต่อรูปหน้า
  • การประเมินความไม่สมมาตรของใบหน้า: แบบไหนควรปรึกษาแพทย์
    • วิธีสังเกตความไม่สมดุลของใบหน้าด้วยตนเอง
    • สัญญาณที่บ่งบอกว่าควรพบผู้เชี่ยวชาญเพื่อวางแผนการรักษา
  • เปรียบเทียบวิธีทางการแพทย์เพื่อปรับรูปหน้าให้สมส่วน
    • การใช้โบท็อกซ์เพื่อคลายกล้ามเนื้อและลดขนาดกราม
    • การเติมฟิลเลอร์เพื่อเสริมปริมาตรและสร้างความสมดุล
    • การร้อยไหมเพื่อยกกระชับและปรับกรอบหน้า
    • หัตถการกลุ่มพลังงานเพื่อปรับคุณภาพผิวและความแน่น
    • เกณฑ์การเลือกหัตถการที่เหมาะสมกับปัญหาและโครงสร้างใบหน้า
  • ปัจจัยสำคัญก่อนตัดสินใจเลือกวิธีและคลินิก
    • การประเมินโดยแพทย์เพื่อวางแผนการรักษาเฉพาะบุคคล
    • ความเชี่ยวชาญของแพทย์และมาตรฐานของสถานพยาบาล
    • ผลลัพธ์ที่คาดหวังและระยะเวลาพักฟื้นของแต่ละวิธี
  • ข้อควรระวังและความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการปรับรูปหน้า
    • พฤติกรรมที่ควรปรับเปลี่ยนเพื่อป้องกันปัญหาหน้าเบี้ยวมากขึ้น
    • ความเชื่อที่ไม่ถูกต้องเกี่ยวกับการแก้ไขใบหน้าไม่เท่ากัน
  • คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการปรับรูปหน้าให้สมส่วน
    • ทำไมใบหน้าคนเราส่วนใหญ่ถึงไม่เท่ากัน?
    • หน้าไม่เท่ากัน จำเป็นต้องรักษาหรือไม่?
    • การจัดฟันช่วยแก้ปัญหาหน้าไม่เท่ากันได้จริงไหม?
    • การเคี้ยวข้าวข้างเดียวทำให้หน้าเบี้ยวจริงหรือ?
    • วิธีไหนปรับรูปหน้าให้สมส่วนได้เร็วที่สุด?
    • ปรับรูปหน้าแล้วผลลัพธ์อยู่ได้นานแค่ไหน?
  • References:

สาเหตุหลักที่ทำให้ใบหน้าไม่สมส่วน

ความไม่สมมาตรจากโครงสร้างกระดูกและพันธุกรรม

ความไม่สมมาตรของใบหน้าจากโครงสร้างกระดูกและพันธุกรรม เกิดจากลักษณะโครงสร้างกระดูกใบหน้าและกะโหลกศีรษะที่ได้รับการถ่ายทอดทางพันธุกรรม ซึ่งทำให้เกิดความแตกต่างเล็กน้อยของโครงสร้างใบหน้าทั้งสองข้าง เช่น ขนาดโหนกแก้มหรือกรามที่ไม่เท่ากันเล็กน้อย ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติที่พบได้ในคนส่วนใหญ่

อย่างไรก็ตาม ในบางกรณีอาจเกิดจากภาวะผิดปกติตั้งแต่กำเนิดที่ทำให้ใบหน้าไม่สมมาตรอย่างชัดเจน เช่น:

  • Hemifacial microsomia: ภาวะที่ใบหน้าซีกหนึ่งเจริญเติบโตน้อยกว่าปกติ
  • Condylar hyperplasia: ภาวะที่กระดูกข้อต่อขากรรไกรข้างหนึ่งเจริญเติบโตมากกว่าปกติ ทำให้ขากรรไกรเบี้ยวไปอีกข้าง

การพัฒนาของกล้ามเนื้อและไขมันที่ไม่เท่ากัน

การพัฒนาของกล้ามเนื้อหรือการกระจายตัวของไขมันที่ไม่เท่ากันสามารถทำให้ใบหน้าข้างหนึ่งดูอิ่มหรือมีกรอบหน้าที่ชัดกว่าอีกข้างหนึ่งได้ โดยสาเหตุอาจเกิดจากปัจจัยต่างๆ เช่น

  • กล้ามเนื้อ: การใช้งานกล้ามเนื้อข้างใดข้างหนึ่งมากเกินไปเป็นประจำ เช่น จากการเคี้ยวอาหารหรือการแสดงสีหน้า อาจทำให้กล้ามเนื้อกราม (masseter) หรือกล้ามเนื้อใบหน้าส่วนอื่น ๆ ในด้านนั้นมีขนาดใหญ่ขึ้น
  • ไขมัน: ความแตกต่างของแผ่นไขมันบนใบหน้า ซึ่งอาจเกิดจากพันธุกรรมหรืออายุที่มากขึ้น สามารถสร้างปริมาตรที่ไม่สมมาตรกันได้

พฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวันที่ส่งผลต่อรูปหน้า

พฤติกรรมในชีวิตประจำวันที่อาจส่งผลต่อความสมมาตรของใบหน้า ได้แก่ การเคี้ยวอาหารข้างเดียว การนอนตะแคงข้างเดิมเป็นประจำ และท่าทางที่ไม่เหมาะสม

พฤติกรรมเหล่านี้สามารถส่งผลกระทบต่อโครงสร้างใบหน้าได้ในระยะยาว ดังนี้

  • การเคี้ยวอาหารข้างเดียว: การใช้กล้ามเนื้อกรามเพียงข้างเดียวซ้ำๆ อาจทำให้กล้ามเนื้อข้างนั้นใหญ่และแข็งแรงกว่าอีกข้าง ส่งผลให้แนวกรามดูไม่สมดุล
  • การนอนตะแคงข้างเดิม: แรงกดทับจากการนอนทับใบหน้าข้างเดิมเป็นประจำทุกคืนเป็นเวลาหลายปี อาจส่งผลต่อเนื้อเยื่ออ่อนบนใบหน้า ทำให้เกิดความไม่สมมาตรเล็กน้อยได้
  • ท่าทางที่ไม่ดี: การนั่งหรือยืนในท่าที่ไม่เหมาะสม เช่น การเอียงศีรษะหรือนั่งหลังค่อม สามารถทำให้กล้ามเนื้อคอและขากรรไกรไม่อยู่ในแนวที่สมดุล ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อใบหน้าในระยะยาว

การประเมินความไม่สมมาตรของใบหน้า: แบบไหนควรปรึกษาแพทย์

วิธีสังเกตความไม่สมดุลของใบหน้าด้วยตนเอง

วิธีสังเกตความไม่สมดุลของใบหน้าด้วยตนเองที่แนะนำคือ การถ่ายภาพหน้าตรงแล้วลากเส้นแบ่งครึ่งเพื่อเปรียบเทียบซ้าย-ขวา หรือการใช้กระจกส่องดูจากหลายๆ มุม

คุณสามารถตรวจสอบความไม่สมดุลของใบหน้าเบื้องต้นได้ด้วยวิธีต่อไปนี้

  • ถ่ายภาพ: ถ่ายภาพหน้าตรงในที่ที่มีแสงสว่างเพียงพอและไม่แสดงอารมณ์ จากนั้นลากเส้นแนวตั้งกลางใบหน้าเพื่อเปรียบเทียบความแตกต่างของแต่ละฝั่ง เช่น ระดับความสูงของดวงตา โหนกแก้ม หรือแนวกราม
  • ใช้กระจก: ส่องกระจกและมองใบหน้าจากหลายๆ มุม หรือใช้กระจกสองบานเพื่อสร้างภาพสะท้อนของใบหน้าแต่ละครึ่งซีก ซึ่งจะช่วยให้เห็นความไม่สมดุลได้ชัดเจนขึ้น
  • ใช้แอปพลิเคชัน: ปัจจุบันมีเครื่องมือดิจิทัลหรือแอปพลิเคชันบนมือถือที่สามารถวิเคราะห์ความสมมาตรของใบหน้าจากภาพถ่ายได้

สัญญาณที่บ่งบอกว่าควรพบผู้เชี่ยวชาญเพื่อวางแผนการรักษา

สัญญาณเตือนที่บ่งบอกว่าควรปรึกษาแพทย์ ได้แก่ ใบหน้าที่ไม่สมมาตรที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน, เกิดขึ้นหลังการบาดเจ็บ, หรือมีอาการเจ็บปวดหรือปัญหาด้านการใช้งานร่วมด้วย

คุณควรพบผู้เชี่ยวชาญหากสังเกตเห็นสัญญาณต่อไปนี้:

  • เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน: หากใบหน้าเสียสมดุลอย่างรวดเร็ว เช่น ตื่นมาแล้วใบหน้าซีกหนึ่งตก อาจเป็นสัญญาณของโรคหลอดเลือดสมองหรืออัมพาตใบหน้า (Bell’s palsy) ซึ่งต้องได้รับการดูแลอย่างเร่งด่วน
  • เกิดขึ้นหลังการบาดเจ็บ: หากใบหน้าเริ่มไม่สมมาตรหรือแย่ลงหลังจากเกิดอุบัติเหตุ ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจหากระดูกแตกหัก
  • มีปัญหาด้านการใช้งานร่วมด้วย: อาการต่างๆ เช่น ปวดกราม, เคี้ยวอาหารลำบาก, หรือมีเสียงคลิกที่ข้อต่อขากรรไกร อาจบ่งชี้ถึงความผิดปกติของข้อต่อขากรรไกร (TMJ) ที่ต้องได้รับการประเมิน

เปรียบเทียบวิธีทางการแพทย์เพื่อปรับรูปหน้าให้สมส่วน

การใช้โบท็อกซ์เพื่อคลายกล้ามเนื้อและลดขนาดกราม

การใช้โบท็อกซ์เพื่อคลายกล้ามเนื้อและลดขนาดกราม คือการฉีดสารโบทูลินั่ม ท็อกซิน (Botox) เข้าไปที่กล้ามเนื้อกราม (Masseter) ที่ทำงานมากเกินไปหรือมีขนาดใหญ่ เพื่อทำให้กล้ามเนื้อคลายตัวและฝ่อเล็กลงชั่วคราว ส่งผลให้แนวกรามดูเรียวและใบหน้าส่วนล่างดูสมมาตรมากขึ้น

สารโบท็อกซ์จะออกฤทธิ์โดยการยับยั้งการทำงานของเส้นประสาทที่ควบคุมกล้ามเนื้อ ทำให้กล้ามเนื้อบริเวณที่ฉีดอ่อนแรงลงและมีขนาดเล็กลงจากการไม่ได้ใช้งาน วิธีนี้จึงมีประสิทธิภาพสูงในการแก้ไขใบหน้าที่ไม่สมมาตรซึ่งเกิดจากกล้ามเนื้อกรามโตไม่เท่ากัน เช่น จากการเคี้ยวอาหารข้างเดียวเป็นประจำ โดยผลลัพธ์จะเริ่มเห็นได้ชัดเจนภายใน 2 สัปดาห์ และคงอยู่ได้นานประมาณ 3-6 เดือน จึงจำเป็นต้องกลับมาฉีดซ้ำเพื่อรักษาสภาพ

การเติมฟิลเลอร์เพื่อเสริมปริมาตรและสร้างความสมดุล

การฉีดฟิลเลอร์เป็นวิธีที่ไม่ต้องผ่าตัดเพื่อแก้ไขใบหน้าที่ไม่สมมาตร โดยการเพิ่มปริมาตรในบริเวณที่ขาดหายไปหรือยุบตัว เพื่อสร้างความสมดุลให้กับใบหน้า

ฟิลเลอร์สามารถช่วยปรับแก้ความไม่สมดุลของใบหน้าได้ดังนี้

  • ประเภทของฟิลเลอร์: ฟิลเลอร์ที่นิยมใช้มากที่สุดคือกรดไฮยาลูรอนิก (Hyaluronic Acid หรือ HA) ซึ่งเป็นสารคล้ายเจลที่ใช้ฉีดเพื่อเติมเต็มเนื้อเยื่อในบริเวณต่างๆ เช่น แก้ม แนวกราม คาง หรือริมฝีปาก
  • หลักการทำงาน: แพทย์จะฉีดฟิลเลอร์ในปริมาณที่เหมาะสมเข้าไปในด้านของใบหน้าที่ดูเล็กกว่าหรือยุบตัวกว่า เพื่อเสริมให้มีขนาดและรูปร่างใกล้เคียงกับอีกด้านหนึ่ง ทำให้ใบหน้าโดยรวมดูสมดุลและกลมกลืนกันมากขึ้น
  • ผลลัพธ์และความปลอดภัย: การฉีดฟิลเลอร์เห็นผลลัพธ์ได้ทันทีหลังทำ และมีความปลอดภัยสูงเมื่อทำโดยผู้เชี่ยวชาญ ข้อดีคือหากจำเป็น ฟิลเลอร์ชนิด HA สามารถสลายได้ด้วยเอนไซม์ไฮยาลูโรนิเดส (Hyaluronidase)
  • ระยะเวลาของผลลัพธ์: ผลลัพธ์จากการฉีดฟิลเลอร์ HA โดยทั่วไปจะคงอยู่ประมาณ 6 ถึง 12 เดือน หลังจากนั้นฟิลเลอร์จะค่อยๆ สลายไปตามธรรมชาติ และอาจต้องมีการฉีดซ้ำเพื่อคงความสมดุลของใบหน้าไว้

การร้อยไหมเพื่อยกกระชับและปรับกรอบหน้า

การร้อยไหมเป็นหัตถการแบบกึ่งศัลยกรรมที่ใช้ไหมละลายสอดเข้าไปใต้ชั้นผิวหนังเพื่อยกกระชับเนื้อเยื่อที่หย่อนคล้อย ไหมที่ใช้มักทำจากวัสดุที่สลายได้ เช่น Polydioxanone (PDO) ซึ่งมีเงี่ยงหรือปมเล็กๆ ช่วยยึดเกาะเนื้อเยื่อใต้ผิวหนัง เมื่อสอดไหมเข้าไปตามทิศทางที่ต้องการ จะสามารถดึงยกผิวขึ้นได้ทันที นอกจากนี้ ตัวไหมยังกระตุ้นให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนขึ้นมาใหม่รอบๆ เส้นไหม ทำให้ผิวบริเวณนั้นกระชับและแข็งแรงขึ้น

หัตถการนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาความหย่อนคล้อยของผิวหนังเล็กน้อยถึงปานกลาง เช่น แก้มตก คิ้วตก หรือกรอบหน้าไม่คมชัด ผลลัพธ์จะเห็นได้ทันทีหลังทำ และจะดีขึ้นเรื่อยๆ ในช่วง 2-3 เดือน โดยทั่วไปผลลัพธ์จะคงอยู่ได้ประมาณ 1 ถึง 1.5 ปี การพักฟื้นใช้เวลาไม่นาน อาจมีอาการบวมหรือช้ำเล็กน้อยซึ่งจะหายไปเองภายในไม่กี่วันถึงหนึ่งสัปดาห์

หัตถการกลุ่มพลังงานเพื่อปรับคุณภาพผิวและความแน่น

หัตถการที่ใช้พลังงานเป็นวิธีที่ไม่ต้องผ่าตัด ซึ่งช่วยปรับปรุงความสมมาตรของใบหน้าโดยการกระชับผิวและเนื้อเยื่อใต้ผิวหนัง

หัตถการเหล่านี้ทำงานโดยการส่งพลังงานความร้อนไปยังชั้นผิวหนังส่วนลึกเพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและทำให้เนื้อเยื่อหดตัว ส่งผลให้ผิวค่อยๆ กระชับและยกขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ

ประเภทของหัตถการกลุ่มพลังงาน ได้แก่:

  • คลื่นวิทยุ (Radiofrequency – RF): ช่วยกระชับผิวหนังที่หย่อนคล้อยเล็กน้อย
  • อัลตราซาวนด์ (Micro-focused Ultrasound – MFU-V): เช่น Ultherapy สามารถส่งพลังงานลงไปลึกเพื่อยกกระชับคิ้ว แนวกราม และลำคอ
  • เลเซอร์ (Laser): มักใช้เพื่อปรับสภาพผิวชั้นนอกให้เรียบเนียนและสม่ำเสมอ

ผลลัพธ์จะค่อยๆ ปรากฏในช่วง 2-3 เดือน และเหมาะสำหรับความไม่สมมาตรเล็กน้อยที่เกิดจากความหย่อนคล้อยของผิวหนัง โดยแทบไม่มีระยะเวลาพักฟื้น

เกณฑ์การเลือกหัตถการที่เหมาะสมกับปัญหาและโครงสร้างใบหน้า

เกณฑ์การเลือกหัตถการที่เหมาะสมที่สุดคือการจับคู่ประเภทของหัตถการให้ตรงกับสาเหตุของความไม่สมมาตร ไม่ว่าจะเป็นจากกระดูก กล้ามเนื้อ เนื้อเยื่ออ่อน หรือฟัน

การเลือกหัตถการจะพิจารณาจากสาเหตุหลักและความรุนแรงของปัญหา ดังนี้

  • ความไม่สมมาตรจากกล้ามเนื้อ: หากเกิดจากกล้ามเนื้อทำงานมากเกินไปหรือมีขนาดใหญ่กว่าอีกข้าง เช่น กล้ามเนื้อกรามใหญ่จากการเคี้ยวข้างเดียว จะเหมาะกับการฉีดโบท็อกซ์เพื่อคลายและลดขนาดกล้ามเนื้อ
  • ความไม่สมมาตรจากการขาดปริมาตร: หากใบหน้าข้างหนึ่งดูตอบหรือแบนกว่า สามารถใช้ฟิลเลอร์หรือการฉีดไขมันเพื่อเติมเต็มเนื้อเยื่ออ่อนในบริเวณนั้นให้สมดุลกับอีกข้าง
  • ความไม่สมมาตรจากโครงสร้างกระดูก: หากเกิดจากโครงสร้างกระดูกที่ไม่เท่ากัน เช่น คางเบี้ยว จมูกเอียง หรือขากรรไกรไม่สมมาตร มักต้องแก้ไขด้วยการผ่าตัดศัลยกรรม เช่น การผ่าตัดเลื่อนคาง การผ่าตัดขากรรไกร หรือการเสริมจมูก
  • ความไม่สมมาตรจากฟันและการสบฟัน: หากเกิดจากการสบฟันที่ผิดปกติซึ่งส่งผลให้ขากรรไกรเบี้ยว การจัดฟันจะเป็นวิธีรักษาหลัก และอาจทำร่วมกับการผ่าตัดขากรรไกรในกรณีที่มีความไม่สมมาตรของกระดูกรุนแรง

ปัจจัยสำคัญก่อนตัดสินใจเลือกวิธีและคลินิก

การประเมินโดยแพทย์เพื่อวางแผนการรักษาเฉพาะบุคคล

การประเมินโดยแพทย์เพื่อวางแผนการรักษาใบหน้าไม่สมมาตร เป็นการประเมินอย่างครอบคลุมซึ่งประกอบด้วยการซักประวัติ การตรวจร่างกาย และมักใช้การถ่ายภาพทางการแพทย์ร่วมด้วย เพื่อระบุสาเหตุและวางแผนการรักษาที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล

กระบวนการประเมินโดยแพทย์ประกอบด้วยขั้นตอนสำคัญดังนี้:

  • การประเมินอย่างละเอียด: แพทย์จะซักประวัติทางการแพทย์และทันตกรรม ตรวจร่างกายอย่างละเอียด วัดสัดส่วนใบหน้า และถ่ายภาพเพื่อวิเคราะห์และบันทึกเป็นข้อมูลพื้นฐาน
  • การใช้เทคโนโลยีภาพวินิจฉัย: อาจมีการใช้ภาพถ่ายรังสี เช่น พาโนรามิกเอกซเรย์ หรือ 3D CT scan เพื่อประเมินความไม่สมมาตรของโครงสร้างกระดูก ซึ่งไม่สามารถมองเห็นได้จากภายนอก
  • การวิเคราะห์ด้วยภาพ 3 มิติและการจำลองผล: เทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น การสแกนใบหน้า 3 มิติ ช่วยให้สามารถวัดความไม่สมมาตรได้อย่างแม่นยำ และสามารถจำลองผลลัพธ์การรักษาให้ผู้ป่วยเห็นภาพก่อนตัดสินใจได้
  • การคัดกรองความปลอดภัย: แพทย์จะตรวจสอบประวัติสุขภาพเพื่อหาข้อห้ามหรือปัจจัยเสี่ยงต่างๆ เช่น โรคประจำตัว หรือประวัติการแพ้ เพื่อเลือกวิธีการรักษาที่ปลอดภัยที่สุด
  • การตั้งเป้าหมายที่เป็นจริง: ส่วนสำคัญคือการพูดคุยระหว่างแพทย์และผู้ป่วยเพื่อตั้งเป้าหมายการรักษาที่สมเหตุสมผล โดยเน้นที่การปรับปรุงให้ดีขึ้นและสมดุลมากขึ้น ไม่ใช่การสร้างความสมมาตรที่สมบูรณ์แบบ 100%

ความเชี่ยวชาญของแพทย์และมาตรฐานของสถานพยาบาล

ผลลัพธ์ของการรักษาภาวะใบหน้าไม่สมมาตรขึ้นอยู่กับทักษะและประสบการณ์ของแพทย์ผู้ทำการรักษาเป็นอย่างมาก รวมถึงมาตรฐานความปลอดภัยของสถานพยาบาลที่เข้ารับบริการ

ปัจจัยสำคัญที่ควรพิจารณา มีดังนี้:

  • การเลือกแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ: ควรเลือกแพทย์ที่ได้รับการรับรอง (Board-Certified) ในสาขาที่เกี่ยวข้อง เช่น ศัลยแพทย์ตกแต่ง, แพทย์ผิวหนัง หรือศัลยแพทย์ช่องปากและใบหน้าขากรรไกร ซึ่งมีประสบการณ์โดยตรงในการปรับแก้รูปหน้าและภาวะใบหน้าไม่สมมาตร
  • มาตรฐานของสถานพยาบาล: การรักษาควรทำในสถานพยาบาลที่ได้มาตรฐานและสะอาดปลอดภัย โดยเฉพาะการผ่าตัดที่ต้องทำในโรงพยาบาลหรือคลินิกศัลยกรรมที่ได้รับการรับรอง เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อและภาวะแทรกซ้อน
  • ประสบการณ์และผลงาน: แพทย์ที่มีประสบการณ์สูงจะมีสายตาทางศิลปะในการสร้างความสมดุลที่เป็นธรรมชาติ และสามารถจัดการกับภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้ดีกว่า การขอดูภาพก่อนและหลังการรักษาของผู้ป่วยรายอื่นจะช่วยให้เห็นถึงผลงานของแพทย์ได้
  • การประเมินผลและติดตามอาการ: แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะมีการประเมินผลอย่างละเอียดทั้งก่อนและหลังการรักษา รวมถึงมีการนัดติดตามผลเพื่อประเมินความสำเร็จและพิจารณาการปรับแก้เพิ่มเติมหากจำเป็น

ผลลัพธ์ที่คาดหวังและระยะเวลาพักฟื้นของแต่ละวิธี

ผลลัพธ์และระยะเวลาพักฟื้นจะแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับประเภทของหัตถการ ตั้งแต่วิธีที่ไม่ต้องผ่าตัดซึ่งเห็นผลเร็วและพักฟื้นน้อย ไปจนถึงการผ่าตัดที่ให้ผลลัพธ์ถาวรแต่ต้องใช้เวลาพักฟื้นนานกว่า

  • หัตถการแบบแผลเล็ก (Minimally Invasive)
  • ฟิลเลอร์ (Dermal Fillers): เห็นผลทันทีหลังฉีด และจะเข้าที่ชัดเจนใน 1-2 สัปดาห์หลังอาการบวมลดลง การพักฟื้นน้อยมาก อาจมีรอยช้ำหรือบวมเล็กน้อย 2-3 วัน
  • โบท็อกซ์ (Botox): ผลลัพธ์จะเริ่มเห็นใน 3-5 วัน และเห็นผลเต็มที่ในเวลาประมาณ 2 สัปดาห์ ไม่ต้องพักฟื้น
  • ร้อยไหม (Thread Lifts): เห็นการยกกระชับได้ทันทีหลังทำ และผลลัพธ์จะดีขึ้นเรื่อยๆ ในช่วง 1 เดือน อาจมีอาการบวมหรือเจ็บเล็กน้อย 2-3 วัน และกลับมาทำกิจกรรมปกติได้ใน 3-5 วัน
  • หัตถการที่ใช้พลังงาน (Energy-Based)
  • คลื่นวิทยุ (RF) หรือ อัลตราซาวด์ (Ultrasound): ผลลัพธ์จะค่อยๆ ปรากฏขึ้นและเห็นผลเต็มที่ใน 2-3 เดือน แทบไม่ต้องพักฟื้น อาจมีรอยแดงเล็กน้อยซึ่งจะหายไปในไม่กี่ชั่วโมง
  • การผ่าตัด (Surgical Corrections)
  • การผ่าตัดขากรรไกร, เสริมคาง, แก้จมูก: ให้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนและถาวรที่สุด แต่ต้องใช้เวลาพักฟื้นนาน มีอาการบวมมากในช่วง 2 สัปดาห์แรก และจะค่อยๆ ยุบลงจนเห็นผลลัพธ์สุดท้ายใน 6-12 เดือน

ข้อควรระวังและความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการปรับรูปหน้า

พฤติกรรมที่ควรปรับเปลี่ยนเพื่อป้องกันปัญหาหน้าเบี้ยวมากขึ้น

พฤติกรรมที่ควรปรับเปลี่ยนเพื่อป้องกันปัญหาหน้าเบี้ยวมากขึ้น ได้แก่ การเคี้ยวอาหาร การนอน การจัดท่าทาง และการป้องกันแสงแดด

เพื่อช่วยรักษาความสมดุลของใบหน้าและป้องกันไม่ให้ความไม่สมมาตรแย่ลง ควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในชีวิตประจำวันดังนี้

  • เคี้ยวอาหารให้สมดุล: พยายามเคี้ยวอาหารทั้งสองข้างอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้กล้ามเนื้อกรามทั้งสองฝั่งได้ใช้งานเท่าๆ กัน
  • ปรับท่านอน: หลีกเลี่ยงการนอนตะแคงข้างเดิมเป็นประจำ ควรพยายามสลับข้างนอน หรือนอนหงายเพื่อลดแรงกดทับบนใบหน้าด้านใดด้านหนึ่งเป็นเวลานาน
  • รักษาท่าทางให้ดี: หลีกเลี่ยงการนั่งเท้าคางหรือนั่งเอียงศีรษะเป็นประจำ เพราะอาจส่งผลต่อแนวกล้ามเนื้อคอและกรามได้
  • ป้องกันแสงแดดอย่างสม่ำเสมอ: ทาครีมกันแดดให้ทั่วใบหน้าทั้งสองข้างเท่าๆ กัน เพื่อป้องกันความเสื่อมของผิวจากรังสียูวีที่ไม่เท่ากัน ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ใบหน้าดูไม่สมมาตรเมื่ออายุมากขึ้น

ความเชื่อที่ไม่ถูกต้องเกี่ยวกับการแก้ไขใบหน้าไม่เท่ากัน

ความเชื่อที่ไม่ถูกต้องที่พบบ่อยเกี่ยวกับการแก้ไขใบหน้าไม่เท่ากัน ได้แก่ ความคิดที่ว่าการนอนตะแคงข้างเดียวทำให้หน้าเบี้ยวถาวร การเคี้ยวหมากฝรั่งสามารถแก้ปัญหากรามเบี้ยวได้ หรือใบหน้าที่ไม่เท่ากันเป็นสัญญาณของโรคเสมอไป

ความเข้าใจผิดที่สำคัญอื่นๆ มีดังนี้:

  • ใบหน้าที่ไม่เท่ากันเป็นเรื่องผิดปกติเสมอ: ความจริงคือใบหน้าที่ไม่สมมาตรเล็กน้อยเป็นลักษณะปกติของมนุษย์ ไม่ได้หมายความว่าเป็นโรคเสมอไป เว้นแต่จะเกิดขึ้นอย่างกะทันหันหรือแย่ลงเรื่อยๆ
  • การนอนตะแคงข้างเดียวทำให้หน้าเบี้ยวถาวร: สำหรับผู้ใหญ่ การนอนตะแคงข้างเดียวอาจส่งผลต่อริ้วรอยบนผิวหนังในระยะยาว แต่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงโครงสร้างกระดูกหรือทำให้ใบหน้าเบี้ยวอย่างรุนแรงได้
  • การเคี้ยวหมากฝรั่งหรือบริหารกรามจะช่วยแก้ปัญหาได้: การบริหารกล้ามเนื้อไม่สามารถแก้ไขความไม่สมดุลของกระดูกได้ และการเคี้ยวหมากฝรั่งข้างเดียวมากเกินไปอาจทำให้กล้ามเนื้อข้างนั้นใหญ่ขึ้นและไม่สมดุลกว่าเดิม
  • การแก้ไขใบหน้าไม่เท่ากันเป็นเรื่องความงามเท่านั้น: ในบางกรณี ความไม่สมดุลของใบหน้าอาจส่งผลกระทบต่อการทำงาน เช่น การสบฟันที่ผิดปกติซึ่งนำไปสู่ปัญหาสุขภาพช่องปาก หรือโครงสร้างจมูกที่เบี้ยวซึ่งกระทบต่อการหายใจ

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการปรับรูปหน้าให้สมส่วน

ทำไมใบหน้าคนเราส่วนใหญ่ถึงไม่เท่ากัน?

ใบหน้าคนเราส่วนใหญ่ไม่เท่ากันเนื่องจาก เป็นลักษณะตามธรรมชาติของมนุษย์ ซึ่งเกิดจากปัจจัยทางพันธุกรรมและกระบวนการเจริญเติบโตที่แต่ละข้างของใบหน้าพัฒนาในอัตราที่แตกต่างกันเล็กน้อย

นอกจากนี้ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่ส่งผลให้ใบหน้าไม่สมมาตรได้ เช่น

  • พฤติกรรมและไลฟ์สไตล์: การเคี้ยวอาหารข้างเดียว การนอนตะแคงข้างเดิมเป็นประจำ หรือท่าทางที่ไม่เหมาะสม สามารถส่งผลต่อความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อบนใบหน้าได้
  • ปัจจัยอื่นๆ: การบาดเจ็บ, ปัญหาสุขภาพฟัน และกระบวนการชราที่เกิดขึ้นไม่เท่ากันในแต่ละข้าง ก็เป็นสาเหตุได้เช่นกัน

หน้าไม่เท่ากัน จำเป็นต้องรักษาหรือไม่?

การรักษาใบหน้าที่ไม่เท่ากัน โดยทั่วไปไม่จำเป็น หากเป็นเพียงเล็กน้อยและไม่ส่งผลกระทบต่อการใช้งาน เนื่องจากความไม่สมมาตรเล็กน้อยถือเป็นลักษณะปกติของมนุษย์ที่พบได้ในคนส่วนใหญ่

การรักษาจะมีความจำเป็นในกรณีที่ความไม่สมมาตรนั้นส่งผลกระทบต่อสุขภาพหรือการทำงานของอวัยวะ เช่น ทำให้การสบฟันผิดปกติ เคี้ยวอาหารลำบาก มีอาการปวดข้อต่อขากรรไกร หรือเป็นสัญญาณของภาวะทางการแพทย์ที่รุนแรง เช่น เกิดขึ้นอย่างฉับพลันซึ่งอาจเป็นอาการของโรคหลอดเลือดสมองหรือเส้นประสาทใบหน้าอัมพาต

สำหรับกรณีส่วนใหญ่ที่ใบหน้าไม่เท่ากันเพียงเล็กน้อยและคงที่มานานแล้ว การตัดสินใจรักษาจึงมักเป็นไปเพื่อความสวยงามและความพึงพอใจส่วนบุคคลมากกว่าความจำเป็นทางการแพทย์

การจัดฟันช่วยแก้ปัญหาหน้าไม่เท่ากันได้จริงไหม?

ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่ใบหน้าไม่เท่ากันนั้นมีสาเหตุมาจากการเรียงตัวของฟันหรือตำแหน่งขากรรไกรที่ไม่สมดุล การจัดฟันสามารถช่วยปรับการสบฟันและแก้ไขตำแหน่งขากรรไกรที่เบี้ยวหรือเอียงได้ เช่น ในกรณีที่มีการสบฟันไขว้ (crossbite) ที่ทำให้ขากรรไกรล่างเบี่ยงไปด้านใดด้านหนึ่ง การจัดฟันจะช่วยให้ขากรรไกรกลับมาอยู่ตรงกลางและทำให้ใบหน้าดูสมมาตรขึ้น

สำหรับกรณีที่โครงสร้างกระดูกขากรรไกรไม่เท่ากันอย่างรุนแรง การจัดฟันมักจะต้องทำร่วมกับการผ่าตัดขากรรไกรเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด อย่างไรก็ตาม การจัดฟันไม่สามารถแก้ไขความไม่สมมาตรที่เกิดจากเนื้อเยื่ออ่อน (เช่น ไขมันที่แก้มไม่เท่ากัน) หรือโครงสร้างอื่นๆ เช่น จมูกได้

การเคี้ยวข้าวข้างเดียวทำให้หน้าเบี้ยวจริงหรือ?

ใช่ การเคี้ยวอาหารข้างเดียวเป็นประจำสามารถส่งผลให้ใบหน้าไม่สมมาตรได้ เนื่องจากพฤติกรรมดังกล่าวจะทำให้กล้ามเนื้อบดเคี้ยว (Masseter) ในฝั่งที่ใช้งานเป็นประจำมีขนาดใหญ่และแข็งแรงขึ้น ในขณะที่ฝั่งที่ไม่ได้ใช้งานอาจมีขนาดเล็กลง ซึ่งเมื่อเวลาผ่านไปเป็นเวลานานอาจทำให้แนวกรามของใบหน้าทั้งสองข้างดูไม่เท่ากัน

วิธีไหนปรับรูปหน้าให้สมส่วนได้เร็วที่สุด?

การฉีดฟิลเลอร์และโบท็อกซ์เป็นวิธีที่เห็นผลเร็วที่สุดในการปรับรูปหน้าให้สมส่วน

การฉีดฟิลเลอร์สามารถแก้ไขความไม่สมดุลของปริมาตรบนใบหน้า เช่น แก้มที่แบนกว่าอีกข้าง ให้ดูเต็มขึ้นได้ทันทีหลังทำเสร็จในเวลาประมาณ 30 นาที ส่วนโบท็อกซ์จะเริ่มเห็นผลในเวลาประมาณ 1-2 สัปดาห์ เพื่อคลายกล้ามเนื้อที่ทำงานมากเกินไปจนทำให้ใบหน้าดูไม่เท่ากัน นอกจากนี้ การร้อยไหมก็เป็นอีกทางเลือกที่ให้ผลลัพธ์การยกกระชับได้ทันทีเช่นกัน

ปรับรูปหน้าแล้วผลลัพธ์อยู่ได้นานแค่ไหน?

ผลลัพธ์ของการปรับรูปหน้าจะอยู่ได้นานแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับประเภทของการรักษา โดยทั่วไป การรักษาแบบไม่ผ่าตัดจะให้ผลลัพธ์ชั่วคราว ในขณะที่การผ่าตัดจะให้ผลลัพธ์ที่ถาวรมากกว่า

ระยะเวลาของผลลัพธ์โดยประมาณสำหรับการรักษาแต่ละประเภทมีดังนี้:

  • โบท็อกซ์ (Botox): ผลลัพธ์อยู่ได้ประมาณ 3-4 เดือน
  • ฟิลเลอร์ (Dermal Fillers): อยู่ได้ประมาณ 6-12 เดือน แต่อาจนานถึง 18 เดือนหรือมากกว่า ขึ้นอยู่กับชนิดของฟิลเลอร์และบริเวณที่ฉีด
  • การร้อยไหม (Thread Lifts): ผลลัพธ์อยู่ได้ประมาณ 1 ถึง 1.5 ปี
  • การรักษาด้วยพลังงาน (RF/Ultrasound): ผลลัพธ์อยู่ได้ประมาณ 1-2 ปี
  • การผ่าตัดแก้ไข (Surgical Corrections): ผลลัพธ์จะอยู่ได้ยาวนานหรือ ถาวร เช่น การผ่าตัดขากรรไกรหรือการผ่าตัดเสริมจมูก
  • การจัดฟัน (Orthodontic Treatment): ผลลัพธ์จะถาวรหากใส่รีเทนเนอร์ตามคำแนะนำของทันตแพทย์

References:

  1. London Dermatology Clinic. (2023). Unlocking Facial Symmetry: Causes, Treatments, and Expert Advice. London Dermatology Clinic. londondermatologyclinic.com
  2. Iyer, J. et al. (2021). Acquired Facial, Maxillofacial, and Oral Asymmetries—A Review Highlighting Diagnosis and Management. Symmetry (Basel). mdpi.com
  3. Revel You Clinic. (2024). Face Symmetry Surgery – How to Fix Facial Asymmetry. Revel You Aesthetics Blog. revelyou.com
  4. De Virgilio, D. & colleagues. (2023). The Role of Botulinum Toxin for Masseter Muscle Hypertrophy: A Comprehensive Review. Toxins (MDPI journal). mdpi.com
  5. News-Medical. (2025). Botox injections improve facial symmetry after nerve transfer surgery for facial palsy. News-Medical Life Sciences. news-medical.net
  6. Nike, E. et al. (2025). Changes in Facial Soft Tissue Asymmetry in Class II Patients One Year After Orthognathic Surgery. Journal of Clinical Medicine. pubmed.ncbi.nlm.nih.gov

แนะแนวเรื่อง

Previous Previous
หน้าตอบ แก้มตอบ แก้ยังไงให้อิ่มฟู วิธีไหนดีที่สุด 2568
NextContinue
โกรทแฟคเตอร์ ดีจริงไหม? เจาะลึกผลข้างเคียงและการฉีดเพื่อผิวสวย

สาขาพรีวาโต คลินิก

    สาขาอโศก ตั้งอยู่ที่ ชั้น 2 อาคารมิดทาวน์
    Phone: 02-258-4050 , 081-841-5075
    สาขาสีลม ตั้งอยู่ที่ ชั้น 1 อาคารซี.พี.ทาวเวอร์
    Phone: 02-780-2011 , 098-272-5244
    สาขาราชพฤกษ์ ตั้งอยู่ที่ ชั้น 2 ศูนย์การค้า เดอะคริสตัล เอสบี (ด้านบนร้านสตาร์บัคส์)
    Phone: 02-102-2778 , 098-272-5244

ติดต่อเรา

    Facebook: Privato Clinic
    Messenger: Privato Clinic
    Instagram: privatoclinic
    Email: privatoclinic@gmail.com
    Line: @privatoclinic

Copyright© 2022-2024. All Rights Reserved

Scroll to top
  • หน้าหลัก
  • เกี่ยวกับพรีวาโต
  • บริการทั้งหมด
    • ชะลอวัย
    • ยกกระชับผิว
      • XERF
      • Potenza
      • Sofwave
      • Ulthera
      • Thermage-FLX
    • รักษาสิว
    • เลเซอร์
    • โปรแกรมฉีด
    • บำรุงผิว
  • บทความ
    • สิว
    • ยกกระชับ
    • ดูแลผิว
    • ทำเลเซอร์
  • ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว
  • โปรโมชั่น
  • ผลลัพธ์การรักษา
  • วิดีโอรีวิวจากเคสจริง
  • สาขาของเรา
  • ไทย
    • ไทย
    • English
    • 中文 (中国)
  • ปรึกษาแพทย์
Facebook Instagram YouTube