Ulthera vs HIFU ต่างกันอย่างไร? เปรียบเทียบราคาและผลลัพธ์

การเปรียบเทียบ Ulthera กับ Hifu คือความแตกต่างด้านเทคโนโลยี โดย Ulthera เป็นเทคโนโลยี MFU-V ที่มีหน้าจอแสดงภาพชั้นผิวแบบเรียลไทม์ ทำให้ยิงพลังงานลงชั้น SMAS ได้อย่างแม่นยำและปลอดภัย แต่มีราคาสูงถึง 60,000-120,000 บาท ในขณะที่ HIFU ทั่วไปจะไม่มีหน้าจอและมีราคาที่ย่อมเยากว่า
Ulthera และ HIFU คืออะไร: หลักการทำงานเบื้องต้น
Ulthera และ HIFU คือ เทคโนโลยีการยกกระชับผิวโดยใช้พลังงานคลื่นอัลตราซาวด์ความเข้มข้นสูง เพื่อส่งพลังงานความร้อนลงไปใต้ชั้นผิวหนัง ทำให้เกิดการหดตัวและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ ส่งผลให้ผิวที่หย่อนคล้อยยกกระชับขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติโดยไม่ต้องผ่าตัด
หลักการทำงานของทั้งสองเทคโนโลยีมีความคล้ายคลึงกัน คือการสร้างจุดความร้อนเล็กๆ (Thermal Coagulation Points) ในชั้นผิวหนังระดับลึก เช่น ชั้นหนังแท้ส่วนลึกและชั้น SMAS (ชั้นพังผืดที่รองรับเนื้อเยื่อใบหน้า) ซึ่งเป็นชั้นเดียวกับที่ศัลยแพทย์ใช้ในการผ่าตัดดึงหน้า ความร้อนที่ประมาณ 60–70°C จะกระตุ้นให้เกิดกระบวนการซ่อมแซมและสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใหม่ขึ้นมาทดแทนของเดิม ทำให้โครงสร้างผิวแข็งแรงและตึงกระชับขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป
- Ulthera (Ultherapy) ใช้เทคโนโลยี MFU-V (Microfocused Ultrasound with Visualization) ซึ่งมีจุดเด่นคือมีหน้าจอแสดงภาพชั้นผิวแบบเรียลไทม์ (DeepSEE®) ทำให้แพทย์สามารถเห็นและส่งพลังงานไปยังชั้นผิวเป้าหมายได้อย่างแม่นยำ
- HIFU (High-Intensity Focused Ultrasound) เป็นชื่อเรียกทั่วไปของเทคโนโลยีที่ใช้หลักการเดียวกัน แต่เครื่องส่วนใหญ่มักจะไม่มีหน้าจอแสดงภาพชั้นผิวแบบเรียลไทม์ ทำให้การรักษาต้องอาศัยความเชี่ยวชาญของแพทย์ในการกำหนดความลึกของพลังงาน
เปรียบเทียบความแตกต่างสำคัญระหว่าง Ulthera และ HIFU
เทคโนโลยีและขนาดจุดโฟกัสของพลังงาน
Ulthera ใช้เทคโนโลยี Microfocused Ultrasound with Visualization (MFU-V) ที่สร้างจุดความร้อนขนาดเล็กประมาณ 1 ลูกบาศก์มิลลิเมตร ในขณะที่เครื่อง HIFU ทั่วไปใช้เทคโนโลยี High-Intensity Focused Ultrasound ซึ่งอาจสร้างจุดโฟกัสของพลังงานที่ใหญ่กว่าและมีความสม่ำเสมอน้อยกว่า
ความแตกต่างนี้ส่งผลให้ Ulthera สามารถสร้างจุดความร้อน (Thermal Coagulation Points) ที่มีขนาดและการกระจายตัวที่สม่ำเสมอและแม่นยำสูง ในทางกลับกัน เครื่อง HIFU บางรุ่นอาจมีขนาดจุดโฟกัสที่ไม่แน่นอน ซึ่งอาจส่งผลต่อความสม่ำเสมอในการกระตุ้นคอลลาเจน
ความแม่นยำ: เทคโนโลยีแสดงผลชั้นผิวแบบเรียลไทม์
เทคโนโลยีแสดงผลชั้นผิวแบบเรียลไทม์เป็นจุดเด่นสำคัญของ Ulthera ซึ่งทำให้มีความแม่นยำสูงกว่าเครื่อง HIFU ทั่วไป เทคโนโลยีนี้มีชื่อว่า DeepSEE® ซึ่งเป็นระบบอัลตราซาวด์ที่ช่วยให้แพทย์มองเห็นภาพชั้นผิวหนัง, ชั้นไขมัน และชั้นกล้ามเนื้อ (SMAS) ได้ลึกถึง 8 มม. บนหน้าจอขณะทำการรักษา
ข้อดีของเทคโนโลยีนี้คือ:
- ความแม่นยำสูง: แพทย์สามารถปล่อยพลังงานลงไปยังชั้นผิวเป้าหมายได้อย่างแม่นยำ ทำให้การรักษามีประสิทธิภาพสูงสุด
- ความปลอดภัย: ช่วยให้แพทย์หลีกเลี่ยงการยิงพลังงานไปโดนกระดูกหรือเส้นประสาท ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงของผลข้างเคียง
- การรักษาที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล: แพทย์สามารถปรับแผนการรักษาให้เข้ากับโครงสร้างผิวของคนไข้แต่ละรายได้
ในทางกลับกัน เครื่อง HIFU ส่วนใหญ่ไม่มีเทคโนโลยีนี้ ทำให้การรักษาเป็นแบบ “สุ่ม” (Blind Treatment) โดยอาศัยการคาดคะเนจากความลึกของหัวยิง ซึ่งอาจทำให้ความแม่นยำและผลลัพธ์ลดลง
ความรู้สึกขณะทำและระดับความเจ็บ
ทั้ง Ulthera และ HIFU ทำให้รู้สึกเจ็บในระดับปานกลางขณะทำ แต่โดยทั่วไปแล้ว Ulthera มักจะเจ็บกว่า เนื่องจากพลังงานคลื่นอัลตราซาวนด์แบบ Micro-focused จะลงไปถึงชั้นผิวที่ลึกและไวต่อความรู้สึกมากกว่า
ความรู้สึกเจ็บจะเกิดขึ้นเฉพาะช่วงที่ปล่อยพลังงานเท่านั้น โดยมักถูกบรรยายว่าเหมือนมีความร้อนลึกๆ หรือเหมือนโดนเข็มทิ่มเป็นช่วงๆ ส่วน HIFU ก็ทำให้รู้สึกไม่สบายตัวเช่นกัน แต่เครื่องรุ่นใหม่อาจเจ็บน้อยกว่า
ปัจจัยที่ส่งผลต่อระดับความเจ็บ ได้แก่:
- บริเวณที่ทำ: บริเวณที่ผิวบางและใกล้กระดูก เช่น แนวกราม หน้าผาก และโหนกคิ้ว จะรู้สึกเจ็บมากกว่าบริเวณแก้ม
- ระดับพลังงาน: การใช้พลังงานที่สูงขึ้นจะเพิ่มความรู้สึกเจ็บ
- ความไวต่อความเจ็บของแต่ละบุคคล: แต่ละคนมีระดับการทนความเจ็บที่แตกต่างกัน
โดยทั่วไปคลินิกจะมีวิธีจัดการความเจ็บปวด เช่น การทายาชา การให้รับประทานยาแก้ปวดก่อนทำ หรือการใช้เครื่องเป่าลมเย็นเพื่อช่วยให้รู้สึกสบายขึ้นระหว่างการรักษา
จำนวนช็อตที่ใช้และระยะเวลาในการรักษา
จำนวนช็อตที่ใช้ในการรักษาด้วย Ulthera สำหรับทั่วใบหน้าและลำคอมักจะอยู่ที่ 600–1,000 ไลน์ขึ้นไป โดยใช้เวลาประมาณ 60–90 นาที ส่วน HIFU จะใช้จำนวนช็อตที่ใกล้เคียงกันหรือน้อยกว่าเล็กน้อย และใช้เวลาเร็วกว่าที่ประมาณ 30–60 นาที
จำนวนช็อตและระยะเวลาในการรักษาจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับเทคโนโลยีและบริเวณที่ทำการรักษา ดังนี้
- Ulthera (Ultherapy)
- จำนวนช็อต: การรักษาทั่วใบหน้าและลำคอโดยทั่วไปใช้ 600–1,000 ไลน์ขึ้นไป ส่วนบริเวณเล็กๆ เช่น ยกคิ้ว อาจใช้ 250–400 ไลน์
- ระยะเวลา: ทั่วใบหน้าและลำคอใช้เวลา 60–90 นาที เนื่องจากต้องใช้เวลาในการดูภาพสแกนชั้นผิว (Imaging) เพื่อความแม่นยำ
- HIFU
- จำนวนช็อต: การรักษาทั่วใบหน้าอาจใช้ประมาณ 400 ไลน์ หรือ 600 ไลน์ถ้ารวมลำคอ
- ระยะเวลา: ทั่วใบหน้าใช้เวลาประมาณ 30–60 นาที ซึ่งมักจะเร็วกว่าเพราะไม่มีขั้นตอนการดูภาพสแกนชั้นผิว
ทั้งนี้ จำนวนช็อตที่แน่นอนจะขึ้นอยู่กับการประเมินของแพทย์ตามสภาพผิวและความหย่อนคล้อยของแต่ละบุคคล
ผลลัพธ์ที่คาดหวังและระยะเวลาคงอยู่ของผลลัพธ์
ผลลัพธ์จากการทำ Ulthera และ HIFU จะเริ่มเห็นผลชัดเจนที่สุดในช่วง 2-3 เดือนหลังทำ และคงอยู่ได้นานประมาณ 1 ปี เนื่องจากทั้งสองเทคโนโลยีอาศัยกระบวนการสร้างคอลลาเจนใหม่ของร่างกายซึ่งต้องใช้เวลา
โดยทั่วไปแล้ว ผู้รับบริการจะเริ่มสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย เช่น ผิวดูกระชับขึ้น ภายในไม่กี่สัปดาห์แรก แต่ผลลัพธ์จะค่อยๆ ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องและเห็นผลเต็มที่ในช่วง 3 เดือนหลังการรักษา ซึ่งเป็นช่วงที่คอลลาเจนและอีลาสตินใหม่ถูกสร้างขึ้นมาอย่างสมบูรณ์
ผลลัพธ์ที่ได้มักจะคงอยู่ประมาณ 1 ปี และในบางรายอาจนานถึง 18 เดือน ก่อนที่ผลจะค่อยๆ ลดลงตามกระบวนการแก่ของผิวตามธรรมชาติ
โครงสร้างราคาและค่าใช้จ่ายโดยประมาณ
โดยทั่วไปแล้ว Ulthera เป็นทรีตเมนต์ระดับพรีเมียมที่มีราคาสูงกว่า ในขณะที่ HIFU เป็นตัวเลือกที่เข้าถึงง่ายและมีราคาที่ย่อมเยากว่า
- Ulthera (Ultherapy): ค่าใช้จ่ายสำหรับการทำทั่วใบหน้าและลำคอจะอยู่ที่ประมาณ 60,000 – 120,000 บาท โดยราคาจะขึ้นอยู่กับจำนวนไลน์ที่ใช้ เช่น
- 400 ไลน์: ประมาณ 38,000 – 40,000 บาท
- 700 ไลน์ (ทั่วใบหน้า): ประมาณ 69,999 บาท
- ยกคิ้ว (100-200 ไลน์): ประมาณ 15,000 – 20,000 บาท
- HIFU: มีราคาถูกกว่าอย่างเห็นได้ชัด โดยการทำทั่วใบหน้าด้วยเครื่องที่มีคุณภาพจะมีค่าใช้จ่ายประมาณ 10,000 – 20,000 บาท ตัวอย่างราคาโปรโมชัน เช่น
- 400 ไลน์: ประมาณ 9,999 บาท
- 600 ไลน์: ประมาณ 14,999 บาท
ทั้งนี้ ค่าใช้จ่ายสุดท้ายจะขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ เช่น ขนาดพื้นที่ที่ทำ, จำนวนไลน์ที่แพทย์ประเมิน, ชื่อเสียงของคลินิก และยี่ห้อของเครื่องที่ใช้
ใครเหมาะกับ Ulthera และใครเหมาะกับ HIFU?
Ulthera เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการการยกกระชับใบหน้าที่หย่อนคล้อยในระดับลึกและเห็นผลชัดเจน ส่วน HIFU เหมาะสำหรับผู้ที่มีความหย่อนคล้อยเล็กน้อยถึงปานกลาง หรือต้องการทำเพื่อคงสภาพผิวในราคาที่เข้าถึงง่ายกว่า
- ผู้ที่เหมาะกับ Ulthera:
- ผู้ที่มีอายุ 30-60 ปี ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยระดับปานกลาง เช่น แก้มตก กรอบหน้าไม่ชัด มีเหนียง หรือคิ้วตก
- ต้องการผลลัพธ์การยกกระชับที่ล้ำลึกถึงชั้น SMAS ซึ่งเป็นชั้นเดียวกับการผ่าตัดดึงหน้า
- ให้ความสำคัญกับความแม่นยำและผลลัพธ์ที่น่าเชื่อถือ เนื่องจากเป็นเทคโนโลยีเดียวที่มีจอภาพสแกนแบบเรียลไทม์ (MFU-V) และผ่านการรับรองจาก US FDA
- ผู้ที่เหมาะกับ HIFU:
- ผู้ที่มีปัญหาความหย่อนคล้อยเล็กน้อย หรือผู้ที่อายุน้อยที่ต้องการป้องกันความหย่อนคล้อยในอนาคต
- ผู้ที่ต้องการฟื้นฟูสภาพผิว หรือทำเพื่อการบำรุงรักษา (Maintenance) หลังจากเคยทำ Ulthera มาแล้ว
- ผู้ที่มองหาทางเลือกที่ราคาประหยัดกว่า และอาจต้องการลดไขมันเล็กน้อยควบคู่ไปกับการยกกระชับ เช่น บริเวณเหนียง
ลักษณะปัญหาผิวที่เหมาะกับการทำ Ulthera
Ulthera เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยในระดับเล็กน้อยถึงปานกลาง ที่ต้องการยกกระชับผิวโดยไม่ต้องผ่าตัด โดยเฉพาะในกลุ่มคนอายุ 30-60 ปี ที่เริ่มมีสัญญาณของความร่วงโรย
ลักษณะปัญหาผิวที่เหมาะกับการทำ Ulthera ได้แก่:
- คิ้วตก หนังตาเริ่มหย่อน ทำให้ใบหน้าดูไม่สดใส
- แก้มหย่อนคล้อย ทำให้กรอบหน้าไม่คมชัด
- มีเหนียงใต้คาง หรือผิวหนังบริเวณใต้คางหย่อนคล้อย
- ริ้วรอยบริเวณลำคอและเนินอก (Décolletage)
ลักษณะปัญหาผิวที่เหมาะกับการทำ HIFU
HIFU เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยเล็กน้อยถึงปานกลาง ที่ต้องการยกกระชับผิวโดยไม่ต้องผ่าตัด โดยเฉพาะผู้ที่เริ่มมีสัญญาณของความร่วงโรยตามวัย
ลักษณะปัญหาผิวที่เหมาะกับการทำ HIFU ได้แก่:
- ผิวหน้าและลำคอหย่อนคล้อย
- กรอบหน้าไม่คมชัด หรือเริ่มมีเหนียง
- คิ้วตกเล็กน้อย
- ริ้วรอยเล็กๆ และต้องการให้ผิวโดยรวมกระชับขึ้น
- ผู้ที่ต้องการลดไขมันเล็กน้อยพร้อมกับกระชับผิว เช่น บริเวณแก้มส่วนล่างหรือใต้คาง
- ผู้ที่ต้องการกระตุ้นคอลลาเจนเพื่อชะลอวัย
ข้อควรระวังและผู้ที่ไม่ควรทำหัตถการนี้
ผู้ที่ไม่ควรทำ Ulthera หรือ HIFU โดยเด็ดขาดคือ ผู้ที่มีการติดเชื้อบนผิวหนัง มีการฝังโลหะหรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในบริเวณที่ทำ และสตรีมีครรภ์ เนื่องจากอาจก่อให้เกิดอันตรายหรือผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ได้
กลุ่มที่ไม่ควรทำหัตถการนี้ (Absolute Contraindications)
- ผู้ที่มีการติดเชื้อ มีแผลเปิด หรือเป็นสิวอักเสบรุนแรงในบริเวณที่จะทำ
- ผู้ที่ฝังอุปกรณ์โลหะหรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในร่างกาย เช่น เครื่องกระตุ้นหัวใจ
- สตรีมีครรภ์หรือกำลังให้นมบุตร
- ผู้ที่มีภาวะเลือดออกผิดปกติ หรือกำลังใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือด
- ผู้ที่เพิ่งฉีดฟิลเลอร์หรือร้อยไหมในบริเวณดังกล่าว
กลุ่มที่ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ (Relative Contraindications)
- ผู้ที่เป็นโรคแพ้ภูมิตัวเอง (Autoimmune diseases) ที่เกี่ยวข้องกับผิวหนัง
- ผู้ที่มีประวัติการเกิดแผลเป็นคีลอยด์ได้ง่าย
- ผู้ที่เป็นโรคเบาหวานที่ควบคุมระดับน้ำตาลได้ไม่ดี หรือมีภาวะที่แผลหายช้า
- ผู้ที่มีโรคประจำตัวเกี่ยวกับระบบประสาท เช่น โรคอัมพาตใบหน้า (Bell’s palsy)
การเลือกหัตถการที่ใช่: ปัจจัยสำคัญที่ต้องพิจารณา
การประเมินปัญหาผิวและความต้องการของตัวเอง
การประเมินปัญหาผิวและความต้องการของตัวเองควรเริ่มจากการพิจารณาปัญหาหลักที่ต้องการแก้ไข เช่น ความหย่อนคล้อยของผิว ระดับความรุนแรง ไปจนถึงปัจจัยส่วนตัวอย่างงบประมาณและความทนต่อความเจ็บ
ปัจจัยสำคัญที่ควรพิจารณาเพื่อประเมินความต้องการของตนเองมีดังนี้
- ปัญหาผิวและเป้าหมาย: ประเมินว่าปัญหาหลักคือความหย่อนคล้อยที่ต้องการการ “ยกกระชับ” เช่น กรอบหน้าไม่ชัด คิ้วตก หรือเหนียง หรือเป็นปัญหาริ้วรอยตื้นๆ
- ระดับความหย่อนคล้อย: เทคโนโลยีนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีความหย่อนคล้อยระดับน้อยถึงปานกลาง หากผิวหย่อนคล้อยมากอาจต้องพิจารณาการผ่าตัด
- ความทนต่อความเจ็บ: Ulthera มักจะเจ็บกว่าแต่ทำครั้งเดียวเห็นผลชัดเจน ส่วน HIFU อาจเจ็บน้อยกว่าแต่อาจต้องทำซ้ำ
- งบประมาณและความน่าเชื่อถือ: Ulthera เป็นเทคโนโลยีพรีเมียม ราคาสูงกว่า แต่ได้รับการรับรองจาก US FDA ในขณะที่ HIFU มีราคาที่เข้าถึงง่ายกว่า
- ความคาดหวังต่อผลลัพธ์: ทำความเข้าใจว่าผลลัพธ์จะค่อยๆ ปรากฏชัดเจนที่สุดในเวลาประมาณ 3 เดือน และผลลัพธ์ที่ได้จะเป็นการยกกระชับอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่เทียบเท่าการผ่าตัดดึงหน้า
- การปรึกษาแพทย์: สิ่งสำคัญที่สุดคือการปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อประเมินสภาพผิว ความหนา และความยืดหยุ่นของผิว เพื่อให้แพทย์สามารถแนะนำเทคโนโลยีที่เหมาะสมที่สุดสำหรับแต่ละบุคคลได้
ความสำคัญของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและเครื่องมือมาตรฐาน
แพทย์ผู้เชี่ยวชาญและเครื่องมือมาตรฐานมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความปลอดภัยและผลลัพธ์ของการรักษา เนื่องจากการทำ Ulthera และ HIFU เป็นหัตถการที่ต้องอาศัยความชำนาญสูงและเครื่องมือที่เชื่อถือได้
- แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ: ความชำนาญของแพทย์ส่งผลโดยตรงต่อผลลัพธ์และความปลอดภัย แพทย์จะสามารถประเมินสภาพผิวและออกแบบการรักษาที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคลได้ เช่น การเลือกใช้ระดับพลังงาน ความลึก และจำนวนไลน์ที่ถูกต้อง เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและลดความเสี่ยงของผลข้างเคียง เช่น การกระทบกระเทือนเส้นประสาท
- เครื่องมือมาตรฐาน: เครื่องมือแท้ที่ได้มาตรฐานจะปล่อยพลังงานคลื่นอัลตราซาวด์ที่แม่นยำและสม่ำเสมอ ทำให้พลังงานลงลึกถึงชั้นผิวเป้าหมายได้อย่างถูกต้อง ในทางกลับกัน เครื่องปลอมหรือเครื่องที่ไม่ได้มาตรฐานอาจปล่อยพลังงานที่ไม่เสถียร ซึ่งอาจทำให้ผลลัพธ์ไม่เป็นที่น่าพอใจ หรือร้ายแรงที่สุดคืออาจทำให้เกิดผลข้างเคียง เช่น ผิวไหม้ได้
สามารถทำร่วมกับ Thermage หรือหัตถการอื่นได้หรือไม่
ได้ การทำ Ulthera หรือ HIFU สามารถทำร่วมกับหัตถการอื่น ๆ ได้ เพื่อให้ผลลัพธ์การรักษาที่ครอบคลุมและดียิ่งขึ้น การทำทรีตเมนต์แบบผสมผสานนี้เป็นที่นิยมมากขึ้นเพื่อจัดการกับปัญหาริ้วรอยแห่งวัยในหลายมิติพร้อมกัน
หัตถการที่มักทำร่วมกัน ได้แก่:
- Thermage: สามารถทำร่วมกันได้เพื่อจัดการผิวในชั้นความลึกที่ต่างกัน โดย Ulthera จะเน้นชั้นผิวลึก (SMAS) ส่วน Thermage จะเน้นผิวชั้นตื้น แต่มักจะทำคนละครั้งโดยเว้นระยะห่างกันหลายเดือน
- ฟิลเลอร์ (Fillers): แนะนำให้ทำ Ulthera หรือ HIFU *ก่อน* แล้วรอประมาณ 1-4 สัปดาห์จึงค่อยฉีดฟิลเลอร์ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ความร้อนส่งผลกระทบต่อฟิลเลอร์ที่เพิ่งฉีดไป
- โบท็อกซ์ (Botox): สามารถทำร่วมกันได้ดี เนื่องจากโบท็อกซ์จัดการริ้วรอยจากการขยับของกล้ามเนื้อ ส่วน Ulthera/HIFU ช่วยเรื่องการยกกระชับ โดยสามารถทำในวันเดียวกันหรือห่างกันไม่นานได้
- การร้อยไหม (Thread Lifts): การทำร่วมกันสามารถให้ผลลัพธ์การยกกระชับที่ดีและยาวนานขึ้น โดยการร้อยไหมจะช่วยยกกระชับในทันที ส่วน HIFU จะช่วยกระตุ้นคอลลาเจนเพื่อผลลัพธ์ที่ต่อเนื่อง
การทำหัตถการร่วมกันควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อวางลำดับการรักษาที่เหมาะสมและปลอดภัย
ความเสี่ยง ผลข้างเคียง และการดูแลตัวเองหลังทำ
ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้หลังการรักษา
โดยทั่วไปแล้ว ผลข้างเคียงที่พบบ่อยที่สุดคืออาการบวมแดง รู้สึกเจ็บเมื่อสัมผัส และอาการชาเล็กน้อย ซึ่งโดยปกติจะหายไปได้เองภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมงถึงสองสามวัน
ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มหลัก ดังนี้
- ผลข้างเคียงทั่วไปที่เกิดขึ้นชั่วคราว:
- ผิวแดง (Erythema): เป็นอาการที่พบบ่อยที่สุดหลังทำทันที และมักจะหายไปภายในไม่กี่ชั่วโมง
- อาการบวม (Edema): อาจมีอาการบวมเล็กน้อย โดยเฉพาะบริเวณแนวกราม ซึ่งจะค่อยๆ ยุบลงใน 2-3 วัน
- อาการเจ็บเมื่อสัมผัส (Tenderness): อาจรู้สึกเจ็บหรือระบมเมื่อสัมผัสบริเวณที่ทำการรักษา ซึ่งอาจคงอยู่ได้ตั้งแต่ 2-3 วันไปจนถึง 1-2 สัปดาห์
- อาการชาหรือรู้สึกแปลบๆ (Numbness/Paresthesia): อาจเกิดขึ้นได้ในบางบริเวณ และจะค่อยๆ หายไปเอง
- ผลข้างเคียงที่พบได้ยากแต่รุนแรง (พบได้น้อยกว่า 1-2%):
- เส้นประสาทได้รับผลกระทบชั่วคราว: อาจทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงชั่วคราว เช่น มุมปากตก ซึ่งโดยส่วนใหญ่จะกลับมาเป็นปกติภายใน 2-4 สัปดาห์
- ผิวไหม้หรือพุพอง: มีความเสี่ยงต่ำมาก และมักเกิดจากการใช้เครื่องที่ไม่ได้มาตรฐานหรือเทคนิคการรักษาที่ไม่ถูกต้อง
- ไขมันบนใบหน้าฝ่อ (Fat Atrophy): เป็นกรณีที่พบได้ยากมาก อาจเกิดจากการยิงพลังงานผิดชั้นผิวหนัง ซึ่งความเสี่ยงจะสูงขึ้นหากใช้เครื่องที่ไม่มีหน้าจอแสดงผลแบบเรียลไทม์
คำแนะนำการเตรียมตัวและการดูแลผิวหลังทำ
คำแนะนำคือควรเตรียมผิวให้แข็งแรงก่อนทำและดูแลผิวอย่างอ่อนโยนหลังทำ โดยหลีกเลี่ยงปัจจัยที่อาจก่อให้เกิดการระคายเคือง
การเตรียมตัวก่อนทำ
- งดหัตถการที่ระคายเคืองผิว: ควรหลีกเลี่ยงการทำเลเซอร์ การผลัดเซลล์ผิว หรือการสครับผิวในบริเวณที่จะทำอย่างน้อย 1-2 สัปดาห์
- หลีกเลี่ยงแสงแดด: งดการอาบแดดหรือตากแดดจัดๆ เพื่อไม่ให้ผิวอักเสบก่อนทำ
- ทำความสะอาดผิว: ในวันนัดหมาย ควรมาด้วยใบหน้าที่สะอาด ปราศจากเครื่องสำอางหรือครีมบำรุง
- ปรึกษาเรื่องยา: หากทานยาละลายลิ่มเลือดหรืออาหารเสริมบางชนิด ควรปรึกษาแพทย์ก่อนทำเพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดรอยช้ำ
- ทานยาแก้ปวด: สามารถทานยาแก้ปวดกลุ่มพาราเซตามอลหรือไอบูโพรเฟนประมาณ 30-60 นาทีก่อนทำเพื่อช่วยลดความรู้สึกเจ็บ
การดูแลผิวหลังทำ
- หลีกเลี่ยงความร้อน: งดกิจกรรมที่ทำให้เกิดความร้อนสูง เช่น ซาวน่า สตรีม หรือออกกำลังกายอย่างหนัก เป็นเวลา 24-48 ชั่วโมง
- ปกป้องผิวจากแสงแดด: ทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 ขึ้นไปอย่างสม่ำเสมอ
- ใช้สกินแคร์สูตรอ่อนโยน: ทำความสะอาดและบำรุงผิวด้วยผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยน และงดใช้ส่วนผสมที่อาจระคายเคือง เช่น เรตินอยด์, AHA, BHA หรือสครับ เป็นเวลา 3-7 วัน
- หลีกเลี่ยงการนวดหน้า: ไม่ควรกด นวด หรือถูใบหน้าแรงๆ ในช่วง 2-3 วันแรก
- แต่งหน้าได้ตามปกติ: โดยทั่วไปสามารถแต่งหน้าได้ในวันรุ่งขึ้น หากผิวไม่มีอาการระคายเคืองรุนแรง
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Ulthera และ HIFU
HIFU กับ Ulthera อย่างไหนดีกว่ากัน?
Ulthera (อัลเทอร่า) มักถูกพิจารณาว่าดีกว่าในด้านความแม่นยำและผลลัพธ์ที่คาดการณ์ได้ เนื่องจากเป็นเทคโนโลยีเดียวที่มีจออัลตราซาวด์ (MFU-V) ทำให้แพทย์สามารถมองเห็นชั้นผิวหนังและยิงพลังงานลงไปที่ชั้น SMAS ได้อย่างแม่นยำและปลอดภัย ในขณะที่เครื่อง HIFU ส่วนใหญ่ไม่มีจอภาพ ทำให้การรักษาเป็นแบบ “blind” หรืออาศัยการคาดคะเน
ตารางเปรียบเทียบความแตกต่างที่สำคัญระหว่าง Ulthera และ HIFU:
| คุณสมบัติ | Ulthera (อัลเทอร่า) | HIFU (ไฮฟู่) |
|---|---|---|
| เทคโนโลยี | MFU-V (Microfocused Ultrasound with Visualization) มีจอภาพแบบเรียลไทม์ | HIFU (High-Intensity Focused Ultrasound) ส่วนใหญ่ไม่มีจอภาพ |
| ความแม่นยำ | สูงมาก พลังงานสม่ำเสมอและลงลึกตรงจุดที่ต้องการ | แตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับคุณภาพของเครื่อง อาจไม่สม่ำเสมอ |
| ความปลอดภัย | ได้รับการรับรองจาก US FDA มีข้อมูลการวิจัยรองรับจำนวนมาก | มีหลายเกรดและยี่ห้อ บางเครื่องอาจไม่ได้รับการรับรอง |
| ความเจ็บ | โดยทั่วไปรู้สึกเจ็บกว่า | เจ็บน้อยกว่าหรือใกล้เคียงกัน ขึ้นอยู่กับเครื่องและพลังงาน |
| ราคา | สูงกว่า | เข้าถึงง่ายกว่าและมีราคาถูกกว่า |
โดยสรุป Ulthera เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์การยกกระชับที่ชัดเจนและแม่นยำสูงสุด ส่วน HIFU เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการยกกระชับในงบประมาณที่จำกัด โดยควรเลือกทำกับเครื่องที่ได้มาตรฐานและคลินิกที่น่าเชื่อถือ
ทำ Ulthera เจ็บไหม?
การทำ Ulthera ทำให้เกิดความรู้สึกเจ็บได้ โดยทั่วไปจัดเป็นความเจ็บในระดับปานกลาง และมักจะรู้สึกเจ็บกว่าการทำ HIFU เนื่องจากพลังงานจะถูกส่งลงไปในชั้นผิวที่ลึกกว่า
ความเจ็บจะเกิดขึ้นเพียงชั่วขณะที่ปล่อยพลังงานอัลตราซาวด์ โดยจะรู้สึกเหมือนมีความร้อนลึกๆ หรือเหมือนมีเข็มทิ่มเบาๆ โดยเฉพาะในบริเวณที่ใกล้กระดูก เช่น แนวกราม หน้าผาก และโหนกคิ้ว อย่างไรก็ตาม คลินิกส่วนใหญ่จะมีวิธีจัดการความเจ็บปวด เช่น การทายาชา การให้รับประทานยาแก้ปวด หรือใช้เครื่องเป่าลมเย็นเพื่อช่วยลดความรู้สึกไม่สบายตัวระหว่างทำ
ทำ HIFU เจ็บกว่า Ulthera จริงหรือไม่?
ไม่จริง โดยทั่วไปแล้ว Ulthera (Ultherapy) จะเจ็บกว่า HIFU เนื่องจาก Ulthera ใช้พลังงานคลื่นอัลตราซาวด์แบบ Micro-focused ที่ลงลึกถึงชั้นผิว SMAS ซึ่งเป็นชั้นที่ไวต่อความรู้สึกมากกว่า ทำให้เกิดความรู้สึกร้อนลึกๆ หรือเหมือนมีเข็มเล็กๆ ทิ่มเป็นช่วงๆ ในขณะที่ HIFU ก็ทำให้รู้สึกไม่สบายผิวเช่นกัน แต่เครื่องรุ่นใหม่ๆ มักถูกออกแบบมาให้เจ็บน้อยกว่า
ต้องทำกี่ครั้งถึงจะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน?
โดยทั่วไปแล้ว ส่วนใหญ่เห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนได้ตั้งแต่การทำเพียงครั้งเดียว
ทั้ง Ulthera และ HIFU ถูกออกแบบมาให้เห็นผลการรักษาที่น่าพอใจในการทำเพียง 1 ครั้ง โดยเฉพาะ Ulthera ที่มีผลการศึกษาพบว่าผู้ป่วยกว่า 90% มีผิวที่ยกกระชับขึ้นหลังทำเพียงครั้งเดียว สำหรับ HIFU แม้ว่าส่วนใหญ่จะเห็นผลดีขึ้นหลังทำครั้งแรกเช่นกัน แต่ในบางกรณีแพทย์อาจแนะนำให้ทำ 2-3 ครั้งเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด หลังจากนั้นอาจพิจารณาทำซ้ำทุก 1-1.5 ปีเพื่อคงสภาพผลลัพธ์ไว้
ผลลัพธ์จากการทำ Ulthera อยู่ได้นานแค่ไหน?
โดยทั่วไป ผลลัพธ์จากการทำ Ulthera จะอยู่ได้นานประมาณ 1 ปี แต่ในบางกรณีอาจอยู่ได้นานถึง 18 เดือนหรือมากกว่านั้น ซึ่งผลลัพธ์จะค่อยๆ ลดลงตามกระบวนการแก่ของผิวตามธรรมชาติ
สามารถทำ Ulthera และ HIFU พร้อมกันได้หรือไม่?
โดยทั่วไปแล้ว ไม่แนะนำให้ทำ Ulthera และ HIFU พร้อมกันในวันเดียวกัน เนื่องจากทั้งสองเทคโนโลยีใช้หลักการทำงานที่คล้ายกันมาก คือการใช้คลื่นอัลตราซาวด์เพื่อกระตุ้นคอลลาเจน การทำพร้อมกันจึงไม่มีความจำเป็นและอาจทำให้ผิวได้รับพลังงานมากเกินไป
อย่างไรก็ตาม แพทย์อาจวางแผนการรักษาโดยใช้เทคโนโลยีหนึ่งสำหรับบางบริเวณ และอีกเทคโนโลยีสำหรับบริเวณอื่น หรือใช้ HIFU เพื่อเป็นการดูแลต่อเนื่อง (touch-up) หลังจากทำ Ulthera ไปแล้วในปีก่อนหน้า
References:
- Journal of Clinical and Aesthetic Dermatology. (n.d.). Microfocused Ultrasound for Skin Tightening. Clinical Research Publication. jcadonline.com
- Ultherapy Singapore. (n.d.). Authenticity and Technology Information. Official Ultherapy Resources. ultherapysg.com
- Cosmetic Skin Clinic. (n.d.). Ultherapy vs HIFU: Technology Comparison. Clinical Information. cosmeticskinclinic.com
- University of Groningen Research. (n.d.). A Systematic Review of Efficacy of Microfocused Ultrasound. Academic Research. research.rug.nl
- Lux Aesthetic Clinic. (n.d.). HIFU vs Ultherapy Treatment Comparison. Medical Practice Resources. luxaestheticclinic.com
