Skip to content

TEL : 081-841-5075, 02-258-4050

Facebook Instagram YouTube
Privato Clinic – Innovation Of Beauty  |  Bangkok
  • หน้าหลัก
  • เกี่ยวกับพรีวาโต
  • บริการทั้งหมดExpand
    • ชะลอวัย
    • ยกกระชับผิวExpand
      • XERF
      • Potenza
      • Sofwave
      • Ulthera
      • Thermage-FLX
    • รักษาสิว
    • เลเซอร์
    • โปรแกรมฉีด
    • บำรุงผิว
  • บทความExpand
    • สิว
    • ยกกระชับ
    • ดูแลผิว
    • ทำเลเซอร์
  • ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว
  • โปรโมชั่น
  • ผลลัพธ์การรักษา
  • วิดีโอรีวิวจากเคสจริง
  • สาขาของเรา
  • ไทยExpand
    • ไทย
    • English
    • 中文 (中国)
  • ปรึกษาแพทย์
Privato Clinic – Innovation Of Beauty  |  Bangkok
Consult a Doctor
Lifting

Ulthera vs HIFU ต่างกันอย่างไร? เปรียบเทียบราคาและผลลัพธ์

Byadmin พฤศจิกายน 10, 2025พฤศจิกายน 10, 2025
By แพทย์หญิงนัชชนก หุ่นวิจิตร Updated on พฤศจิกายน 10, 2025
✦ Medically reviewed by  นายแพทย์เลอพงษ์ กรุดเงิน
Ulthera vs HIFU ต่างกันอย่างไร? เปรียบเทียบราคา จำนวน shot และผลลัพธ์

การเปรียบเทียบ Ulthera กับ Hifu คือความแตกต่างด้านเทคโนโลยี โดย Ulthera เป็นเทคโนโลยี MFU-V ที่มีหน้าจอแสดงภาพชั้นผิวแบบเรียลไทม์ ทำให้ยิงพลังงานลงชั้น SMAS ได้อย่างแม่นยำและปลอดภัย แต่มีราคาสูงถึง 60,000-120,000 บาท ในขณะที่ HIFU ทั่วไปจะไม่มีหน้าจอและมีราคาที่ย่อมเยากว่า

Table of Contents

Toggle
  • Ulthera และ HIFU คืออะไร: หลักการทำงานเบื้องต้น
  • เปรียบเทียบความแตกต่างสำคัญระหว่าง Ulthera และ HIFU
    • เทคโนโลยีและขนาดจุดโฟกัสของพลังงาน
    • ความแม่นยำ: เทคโนโลยีแสดงผลชั้นผิวแบบเรียลไทม์
    • ความรู้สึกขณะทำและระดับความเจ็บ
    • จำนวนช็อตที่ใช้และระยะเวลาในการรักษา
    • ผลลัพธ์ที่คาดหวังและระยะเวลาคงอยู่ของผลลัพธ์
    • โครงสร้างราคาและค่าใช้จ่ายโดยประมาณ
  • ใครเหมาะกับ Ulthera และใครเหมาะกับ HIFU?
    • ลักษณะปัญหาผิวที่เหมาะกับการทำ Ulthera
    • ลักษณะปัญหาผิวที่เหมาะกับการทำ HIFU
    • ข้อควรระวังและผู้ที่ไม่ควรทำหัตถการนี้
  • การเลือกหัตถการที่ใช่: ปัจจัยสำคัญที่ต้องพิจารณา
    • การประเมินปัญหาผิวและความต้องการของตัวเอง
    • ความสำคัญของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและเครื่องมือมาตรฐาน
    • สามารถทำร่วมกับ Thermage หรือหัตถการอื่นได้หรือไม่
  • ความเสี่ยง ผลข้างเคียง และการดูแลตัวเองหลังทำ
    • ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้หลังการรักษา
    • คำแนะนำการเตรียมตัวและการดูแลผิวหลังทำ
  • คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Ulthera และ HIFU
    • HIFU กับ Ulthera อย่างไหนดีกว่ากัน?
    • ทำ Ulthera เจ็บไหม?
    • ทำ HIFU เจ็บกว่า Ulthera จริงหรือไม่?
    • ต้องทำกี่ครั้งถึงจะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน?
    • ผลลัพธ์จากการทำ Ulthera อยู่ได้นานแค่ไหน?
    • สามารถทำ Ulthera และ HIFU พร้อมกันได้หรือไม่?
  • References:

Ulthera และ HIFU คืออะไร: หลักการทำงานเบื้องต้น

Ulthera และ HIFU คือ เทคโนโลยีการยกกระชับผิวโดยใช้พลังงานคลื่นอัลตราซาวด์ความเข้มข้นสูง เพื่อส่งพลังงานความร้อนลงไปใต้ชั้นผิวหนัง ทำให้เกิดการหดตัวและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ ส่งผลให้ผิวที่หย่อนคล้อยยกกระชับขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติโดยไม่ต้องผ่าตัด

หลักการทำงานของทั้งสองเทคโนโลยีมีความคล้ายคลึงกัน คือการสร้างจุดความร้อนเล็กๆ (Thermal Coagulation Points) ในชั้นผิวหนังระดับลึก เช่น ชั้นหนังแท้ส่วนลึกและชั้น SMAS (ชั้นพังผืดที่รองรับเนื้อเยื่อใบหน้า) ซึ่งเป็นชั้นเดียวกับที่ศัลยแพทย์ใช้ในการผ่าตัดดึงหน้า ความร้อนที่ประมาณ 60–70°C จะกระตุ้นให้เกิดกระบวนการซ่อมแซมและสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใหม่ขึ้นมาทดแทนของเดิม ทำให้โครงสร้างผิวแข็งแรงและตึงกระชับขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป

  • Ulthera (Ultherapy) ใช้เทคโนโลยี MFU-V (Microfocused Ultrasound with Visualization) ซึ่งมีจุดเด่นคือมีหน้าจอแสดงภาพชั้นผิวแบบเรียลไทม์ (DeepSEE®) ทำให้แพทย์สามารถเห็นและส่งพลังงานไปยังชั้นผิวเป้าหมายได้อย่างแม่นยำ
  • HIFU (High-Intensity Focused Ultrasound) เป็นชื่อเรียกทั่วไปของเทคโนโลยีที่ใช้หลักการเดียวกัน แต่เครื่องส่วนใหญ่มักจะไม่มีหน้าจอแสดงภาพชั้นผิวแบบเรียลไทม์ ทำให้การรักษาต้องอาศัยความเชี่ยวชาญของแพทย์ในการกำหนดความลึกของพลังงาน

เปรียบเทียบความแตกต่างสำคัญระหว่าง Ulthera และ HIFU

เทคโนโลยีและขนาดจุดโฟกัสของพลังงาน

Ulthera ใช้เทคโนโลยี Microfocused Ultrasound with Visualization (MFU-V) ที่สร้างจุดความร้อนขนาดเล็กประมาณ 1 ลูกบาศก์มิลลิเมตร ในขณะที่เครื่อง HIFU ทั่วไปใช้เทคโนโลยี High-Intensity Focused Ultrasound ซึ่งอาจสร้างจุดโฟกัสของพลังงานที่ใหญ่กว่าและมีความสม่ำเสมอน้อยกว่า

ความแตกต่างนี้ส่งผลให้ Ulthera สามารถสร้างจุดความร้อน (Thermal Coagulation Points) ที่มีขนาดและการกระจายตัวที่สม่ำเสมอและแม่นยำสูง ในทางกลับกัน เครื่อง HIFU บางรุ่นอาจมีขนาดจุดโฟกัสที่ไม่แน่นอน ซึ่งอาจส่งผลต่อความสม่ำเสมอในการกระตุ้นคอลลาเจน

ความแม่นยำ: เทคโนโลยีแสดงผลชั้นผิวแบบเรียลไทม์

เทคโนโลยีแสดงผลชั้นผิวแบบเรียลไทม์เป็นจุดเด่นสำคัญของ Ulthera ซึ่งทำให้มีความแม่นยำสูงกว่าเครื่อง HIFU ทั่วไป เทคโนโลยีนี้มีชื่อว่า DeepSEE® ซึ่งเป็นระบบอัลตราซาวด์ที่ช่วยให้แพทย์มองเห็นภาพชั้นผิวหนัง, ชั้นไขมัน และชั้นกล้ามเนื้อ (SMAS) ได้ลึกถึง 8 มม. บนหน้าจอขณะทำการรักษา

ข้อดีของเทคโนโลยีนี้คือ:

  • ความแม่นยำสูง: แพทย์สามารถปล่อยพลังงานลงไปยังชั้นผิวเป้าหมายได้อย่างแม่นยำ ทำให้การรักษามีประสิทธิภาพสูงสุด
  • ความปลอดภัย: ช่วยให้แพทย์หลีกเลี่ยงการยิงพลังงานไปโดนกระดูกหรือเส้นประสาท ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงของผลข้างเคียง
  • การรักษาที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล: แพทย์สามารถปรับแผนการรักษาให้เข้ากับโครงสร้างผิวของคนไข้แต่ละรายได้

ในทางกลับกัน เครื่อง HIFU ส่วนใหญ่ไม่มีเทคโนโลยีนี้ ทำให้การรักษาเป็นแบบ “สุ่ม” (Blind Treatment) โดยอาศัยการคาดคะเนจากความลึกของหัวยิง ซึ่งอาจทำให้ความแม่นยำและผลลัพธ์ลดลง

ความรู้สึกขณะทำและระดับความเจ็บ

ทั้ง Ulthera และ HIFU ทำให้รู้สึกเจ็บในระดับปานกลางขณะทำ แต่โดยทั่วไปแล้ว Ulthera มักจะเจ็บกว่า เนื่องจากพลังงานคลื่นอัลตราซาวนด์แบบ Micro-focused จะลงไปถึงชั้นผิวที่ลึกและไวต่อความรู้สึกมากกว่า

ความรู้สึกเจ็บจะเกิดขึ้นเฉพาะช่วงที่ปล่อยพลังงานเท่านั้น โดยมักถูกบรรยายว่าเหมือนมีความร้อนลึกๆ หรือเหมือนโดนเข็มทิ่มเป็นช่วงๆ ส่วน HIFU ก็ทำให้รู้สึกไม่สบายตัวเช่นกัน แต่เครื่องรุ่นใหม่อาจเจ็บน้อยกว่า

ปัจจัยที่ส่งผลต่อระดับความเจ็บ ได้แก่:

  • บริเวณที่ทำ: บริเวณที่ผิวบางและใกล้กระดูก เช่น แนวกราม หน้าผาก และโหนกคิ้ว จะรู้สึกเจ็บมากกว่าบริเวณแก้ม
  • ระดับพลังงาน: การใช้พลังงานที่สูงขึ้นจะเพิ่มความรู้สึกเจ็บ
  • ความไวต่อความเจ็บของแต่ละบุคคล: แต่ละคนมีระดับการทนความเจ็บที่แตกต่างกัน

โดยทั่วไปคลินิกจะมีวิธีจัดการความเจ็บปวด เช่น การทายาชา การให้รับประทานยาแก้ปวดก่อนทำ หรือการใช้เครื่องเป่าลมเย็นเพื่อช่วยให้รู้สึกสบายขึ้นระหว่างการรักษา

จำนวนช็อตที่ใช้และระยะเวลาในการรักษา

จำนวนช็อตที่ใช้ในการรักษาด้วย Ulthera สำหรับทั่วใบหน้าและลำคอมักจะอยู่ที่ 600–1,000 ไลน์ขึ้นไป โดยใช้เวลาประมาณ 60–90 นาที ส่วน HIFU จะใช้จำนวนช็อตที่ใกล้เคียงกันหรือน้อยกว่าเล็กน้อย และใช้เวลาเร็วกว่าที่ประมาณ 30–60 นาที

จำนวนช็อตและระยะเวลาในการรักษาจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับเทคโนโลยีและบริเวณที่ทำการรักษา ดังนี้

  • Ulthera (Ultherapy)
  • จำนวนช็อต: การรักษาทั่วใบหน้าและลำคอโดยทั่วไปใช้ 600–1,000 ไลน์ขึ้นไป ส่วนบริเวณเล็กๆ เช่น ยกคิ้ว อาจใช้ 250–400 ไลน์
  • ระยะเวลา: ทั่วใบหน้าและลำคอใช้เวลา 60–90 นาที เนื่องจากต้องใช้เวลาในการดูภาพสแกนชั้นผิว (Imaging) เพื่อความแม่นยำ
  • HIFU
  • จำนวนช็อต: การรักษาทั่วใบหน้าอาจใช้ประมาณ 400 ไลน์ หรือ 600 ไลน์ถ้ารวมลำคอ
  • ระยะเวลา: ทั่วใบหน้าใช้เวลาประมาณ 30–60 นาที ซึ่งมักจะเร็วกว่าเพราะไม่มีขั้นตอนการดูภาพสแกนชั้นผิว

ทั้งนี้ จำนวนช็อตที่แน่นอนจะขึ้นอยู่กับการประเมินของแพทย์ตามสภาพผิวและความหย่อนคล้อยของแต่ละบุคคล

ผลลัพธ์ที่คาดหวังและระยะเวลาคงอยู่ของผลลัพธ์

ผลลัพธ์จากการทำ Ulthera และ HIFU จะเริ่มเห็นผลชัดเจนที่สุดในช่วง 2-3 เดือนหลังทำ และคงอยู่ได้นานประมาณ 1 ปี เนื่องจากทั้งสองเทคโนโลยีอาศัยกระบวนการสร้างคอลลาเจนใหม่ของร่างกายซึ่งต้องใช้เวลา

โดยทั่วไปแล้ว ผู้รับบริการจะเริ่มสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย เช่น ผิวดูกระชับขึ้น ภายในไม่กี่สัปดาห์แรก แต่ผลลัพธ์จะค่อยๆ ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องและเห็นผลเต็มที่ในช่วง 3 เดือนหลังการรักษา ซึ่งเป็นช่วงที่คอลลาเจนและอีลาสตินใหม่ถูกสร้างขึ้นมาอย่างสมบูรณ์

ผลลัพธ์ที่ได้มักจะคงอยู่ประมาณ 1 ปี และในบางรายอาจนานถึง 18 เดือน ก่อนที่ผลจะค่อยๆ ลดลงตามกระบวนการแก่ของผิวตามธรรมชาติ

โครงสร้างราคาและค่าใช้จ่ายโดยประมาณ

โดยทั่วไปแล้ว Ulthera เป็นทรีตเมนต์ระดับพรีเมียมที่มีราคาสูงกว่า ในขณะที่ HIFU เป็นตัวเลือกที่เข้าถึงง่ายและมีราคาที่ย่อมเยากว่า

  • Ulthera (Ultherapy): ค่าใช้จ่ายสำหรับการทำทั่วใบหน้าและลำคอจะอยู่ที่ประมาณ 60,000 – 120,000 บาท โดยราคาจะขึ้นอยู่กับจำนวนไลน์ที่ใช้ เช่น
  • 400 ไลน์: ประมาณ 38,000 – 40,000 บาท
  • 700 ไลน์ (ทั่วใบหน้า): ประมาณ 69,999 บาท
  • ยกคิ้ว (100-200 ไลน์): ประมาณ 15,000 – 20,000 บาท
  • HIFU: มีราคาถูกกว่าอย่างเห็นได้ชัด โดยการทำทั่วใบหน้าด้วยเครื่องที่มีคุณภาพจะมีค่าใช้จ่ายประมาณ 10,000 – 20,000 บาท ตัวอย่างราคาโปรโมชัน เช่น
  • 400 ไลน์: ประมาณ 9,999 บาท
  • 600 ไลน์: ประมาณ 14,999 บาท

ทั้งนี้ ค่าใช้จ่ายสุดท้ายจะขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ เช่น ขนาดพื้นที่ที่ทำ, จำนวนไลน์ที่แพทย์ประเมิน, ชื่อเสียงของคลินิก และยี่ห้อของเครื่องที่ใช้

ใครเหมาะกับ Ulthera และใครเหมาะกับ HIFU?

Ulthera เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการการยกกระชับใบหน้าที่หย่อนคล้อยในระดับลึกและเห็นผลชัดเจน ส่วน HIFU เหมาะสำหรับผู้ที่มีความหย่อนคล้อยเล็กน้อยถึงปานกลาง หรือต้องการทำเพื่อคงสภาพผิวในราคาที่เข้าถึงง่ายกว่า

  • ผู้ที่เหมาะกับ Ulthera:
  • ผู้ที่มีอายุ 30-60 ปี ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยระดับปานกลาง เช่น แก้มตก กรอบหน้าไม่ชัด มีเหนียง หรือคิ้วตก
  • ต้องการผลลัพธ์การยกกระชับที่ล้ำลึกถึงชั้น SMAS ซึ่งเป็นชั้นเดียวกับการผ่าตัดดึงหน้า
  • ให้ความสำคัญกับความแม่นยำและผลลัพธ์ที่น่าเชื่อถือ เนื่องจากเป็นเทคโนโลยีเดียวที่มีจอภาพสแกนแบบเรียลไทม์ (MFU-V) และผ่านการรับรองจาก US FDA
  • ผู้ที่เหมาะกับ HIFU:
  • ผู้ที่มีปัญหาความหย่อนคล้อยเล็กน้อย หรือผู้ที่อายุน้อยที่ต้องการป้องกันความหย่อนคล้อยในอนาคต
  • ผู้ที่ต้องการฟื้นฟูสภาพผิว หรือทำเพื่อการบำรุงรักษา (Maintenance) หลังจากเคยทำ Ulthera มาแล้ว
  • ผู้ที่มองหาทางเลือกที่ราคาประหยัดกว่า และอาจต้องการลดไขมันเล็กน้อยควบคู่ไปกับการยกกระชับ เช่น บริเวณเหนียง

ลักษณะปัญหาผิวที่เหมาะกับการทำ Ulthera

Ulthera เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยในระดับเล็กน้อยถึงปานกลาง ที่ต้องการยกกระชับผิวโดยไม่ต้องผ่าตัด โดยเฉพาะในกลุ่มคนอายุ 30-60 ปี ที่เริ่มมีสัญญาณของความร่วงโรย

ลักษณะปัญหาผิวที่เหมาะกับการทำ Ulthera ได้แก่:

  • คิ้วตก หนังตาเริ่มหย่อน ทำให้ใบหน้าดูไม่สดใส
  • แก้มหย่อนคล้อย ทำให้กรอบหน้าไม่คมชัด
  • มีเหนียงใต้คาง หรือผิวหนังบริเวณใต้คางหย่อนคล้อย
  • ริ้วรอยบริเวณลำคอและเนินอก (Décolletage)

ลักษณะปัญหาผิวที่เหมาะกับการทำ HIFU

HIFU เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยเล็กน้อยถึงปานกลาง ที่ต้องการยกกระชับผิวโดยไม่ต้องผ่าตัด โดยเฉพาะผู้ที่เริ่มมีสัญญาณของความร่วงโรยตามวัย

ลักษณะปัญหาผิวที่เหมาะกับการทำ HIFU ได้แก่:

  • ผิวหน้าและลำคอหย่อนคล้อย
  • กรอบหน้าไม่คมชัด หรือเริ่มมีเหนียง
  • คิ้วตกเล็กน้อย
  • ริ้วรอยเล็กๆ และต้องการให้ผิวโดยรวมกระชับขึ้น
  • ผู้ที่ต้องการลดไขมันเล็กน้อยพร้อมกับกระชับผิว เช่น บริเวณแก้มส่วนล่างหรือใต้คาง
  • ผู้ที่ต้องการกระตุ้นคอลลาเจนเพื่อชะลอวัย

ข้อควรระวังและผู้ที่ไม่ควรทำหัตถการนี้

ผู้ที่ไม่ควรทำ Ulthera หรือ HIFU โดยเด็ดขาดคือ ผู้ที่มีการติดเชื้อบนผิวหนัง มีการฝังโลหะหรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในบริเวณที่ทำ และสตรีมีครรภ์ เนื่องจากอาจก่อให้เกิดอันตรายหรือผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ได้

กลุ่มที่ไม่ควรทำหัตถการนี้ (Absolute Contraindications)

  • ผู้ที่มีการติดเชื้อ มีแผลเปิด หรือเป็นสิวอักเสบรุนแรงในบริเวณที่จะทำ
  • ผู้ที่ฝังอุปกรณ์โลหะหรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในร่างกาย เช่น เครื่องกระตุ้นหัวใจ
  • สตรีมีครรภ์หรือกำลังให้นมบุตร
  • ผู้ที่มีภาวะเลือดออกผิดปกติ หรือกำลังใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือด
  • ผู้ที่เพิ่งฉีดฟิลเลอร์หรือร้อยไหมในบริเวณดังกล่าว

กลุ่มที่ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ (Relative Contraindications)

  • ผู้ที่เป็นโรคแพ้ภูมิตัวเอง (Autoimmune diseases) ที่เกี่ยวข้องกับผิวหนัง
  • ผู้ที่มีประวัติการเกิดแผลเป็นคีลอยด์ได้ง่าย
  • ผู้ที่เป็นโรคเบาหวานที่ควบคุมระดับน้ำตาลได้ไม่ดี หรือมีภาวะที่แผลหายช้า
  • ผู้ที่มีโรคประจำตัวเกี่ยวกับระบบประสาท เช่น โรคอัมพาตใบหน้า (Bell’s palsy)

การเลือกหัตถการที่ใช่: ปัจจัยสำคัญที่ต้องพิจารณา

การประเมินปัญหาผิวและความต้องการของตัวเอง

การประเมินปัญหาผิวและความต้องการของตัวเองควรเริ่มจากการพิจารณาปัญหาหลักที่ต้องการแก้ไข เช่น ความหย่อนคล้อยของผิว ระดับความรุนแรง ไปจนถึงปัจจัยส่วนตัวอย่างงบประมาณและความทนต่อความเจ็บ

ปัจจัยสำคัญที่ควรพิจารณาเพื่อประเมินความต้องการของตนเองมีดังนี้

  • ปัญหาผิวและเป้าหมาย: ประเมินว่าปัญหาหลักคือความหย่อนคล้อยที่ต้องการการ “ยกกระชับ” เช่น กรอบหน้าไม่ชัด คิ้วตก หรือเหนียง หรือเป็นปัญหาริ้วรอยตื้นๆ
  • ระดับความหย่อนคล้อย: เทคโนโลยีนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีความหย่อนคล้อยระดับน้อยถึงปานกลาง หากผิวหย่อนคล้อยมากอาจต้องพิจารณาการผ่าตัด
  • ความทนต่อความเจ็บ: Ulthera มักจะเจ็บกว่าแต่ทำครั้งเดียวเห็นผลชัดเจน ส่วน HIFU อาจเจ็บน้อยกว่าแต่อาจต้องทำซ้ำ
  • งบประมาณและความน่าเชื่อถือ: Ulthera เป็นเทคโนโลยีพรีเมียม ราคาสูงกว่า แต่ได้รับการรับรองจาก US FDA ในขณะที่ HIFU มีราคาที่เข้าถึงง่ายกว่า
  • ความคาดหวังต่อผลลัพธ์: ทำความเข้าใจว่าผลลัพธ์จะค่อยๆ ปรากฏชัดเจนที่สุดในเวลาประมาณ 3 เดือน และผลลัพธ์ที่ได้จะเป็นการยกกระชับอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่เทียบเท่าการผ่าตัดดึงหน้า
  • การปรึกษาแพทย์: สิ่งสำคัญที่สุดคือการปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อประเมินสภาพผิว ความหนา และความยืดหยุ่นของผิว เพื่อให้แพทย์สามารถแนะนำเทคโนโลยีที่เหมาะสมที่สุดสำหรับแต่ละบุคคลได้

ความสำคัญของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและเครื่องมือมาตรฐาน

แพทย์ผู้เชี่ยวชาญและเครื่องมือมาตรฐานมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความปลอดภัยและผลลัพธ์ของการรักษา เนื่องจากการทำ Ulthera และ HIFU เป็นหัตถการที่ต้องอาศัยความชำนาญสูงและเครื่องมือที่เชื่อถือได้

  • แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ: ความชำนาญของแพทย์ส่งผลโดยตรงต่อผลลัพธ์และความปลอดภัย แพทย์จะสามารถประเมินสภาพผิวและออกแบบการรักษาที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคลได้ เช่น การเลือกใช้ระดับพลังงาน ความลึก และจำนวนไลน์ที่ถูกต้อง เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและลดความเสี่ยงของผลข้างเคียง เช่น การกระทบกระเทือนเส้นประสาท
  • เครื่องมือมาตรฐาน: เครื่องมือแท้ที่ได้มาตรฐานจะปล่อยพลังงานคลื่นอัลตราซาวด์ที่แม่นยำและสม่ำเสมอ ทำให้พลังงานลงลึกถึงชั้นผิวเป้าหมายได้อย่างถูกต้อง ในทางกลับกัน เครื่องปลอมหรือเครื่องที่ไม่ได้มาตรฐานอาจปล่อยพลังงานที่ไม่เสถียร ซึ่งอาจทำให้ผลลัพธ์ไม่เป็นที่น่าพอใจ หรือร้ายแรงที่สุดคืออาจทำให้เกิดผลข้างเคียง เช่น ผิวไหม้ได้

สามารถทำร่วมกับ Thermage หรือหัตถการอื่นได้หรือไม่

ได้ การทำ Ulthera หรือ HIFU สามารถทำร่วมกับหัตถการอื่น ๆ ได้ เพื่อให้ผลลัพธ์การรักษาที่ครอบคลุมและดียิ่งขึ้น การทำทรีตเมนต์แบบผสมผสานนี้เป็นที่นิยมมากขึ้นเพื่อจัดการกับปัญหาริ้วรอยแห่งวัยในหลายมิติพร้อมกัน

หัตถการที่มักทำร่วมกัน ได้แก่:

  • Thermage: สามารถทำร่วมกันได้เพื่อจัดการผิวในชั้นความลึกที่ต่างกัน โดย Ulthera จะเน้นชั้นผิวลึก (SMAS) ส่วน Thermage จะเน้นผิวชั้นตื้น แต่มักจะทำคนละครั้งโดยเว้นระยะห่างกันหลายเดือน
  • ฟิลเลอร์ (Fillers): แนะนำให้ทำ Ulthera หรือ HIFU *ก่อน* แล้วรอประมาณ 1-4 สัปดาห์จึงค่อยฉีดฟิลเลอร์ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ความร้อนส่งผลกระทบต่อฟิลเลอร์ที่เพิ่งฉีดไป
  • โบท็อกซ์ (Botox): สามารถทำร่วมกันได้ดี เนื่องจากโบท็อกซ์จัดการริ้วรอยจากการขยับของกล้ามเนื้อ ส่วน Ulthera/HIFU ช่วยเรื่องการยกกระชับ โดยสามารถทำในวันเดียวกันหรือห่างกันไม่นานได้
  • การร้อยไหม (Thread Lifts): การทำร่วมกันสามารถให้ผลลัพธ์การยกกระชับที่ดีและยาวนานขึ้น โดยการร้อยไหมจะช่วยยกกระชับในทันที ส่วน HIFU จะช่วยกระตุ้นคอลลาเจนเพื่อผลลัพธ์ที่ต่อเนื่อง

การทำหัตถการร่วมกันควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อวางลำดับการรักษาที่เหมาะสมและปลอดภัย

ความเสี่ยง ผลข้างเคียง และการดูแลตัวเองหลังทำ

ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้หลังการรักษา

โดยทั่วไปแล้ว ผลข้างเคียงที่พบบ่อยที่สุดคืออาการบวมแดง รู้สึกเจ็บเมื่อสัมผัส และอาการชาเล็กน้อย ซึ่งโดยปกติจะหายไปได้เองภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมงถึงสองสามวัน

ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มหลัก ดังนี้

  • ผลข้างเคียงทั่วไปที่เกิดขึ้นชั่วคราว:
  • ผิวแดง (Erythema): เป็นอาการที่พบบ่อยที่สุดหลังทำทันที และมักจะหายไปภายในไม่กี่ชั่วโมง
  • อาการบวม (Edema): อาจมีอาการบวมเล็กน้อย โดยเฉพาะบริเวณแนวกราม ซึ่งจะค่อยๆ ยุบลงใน 2-3 วัน
  • อาการเจ็บเมื่อสัมผัส (Tenderness): อาจรู้สึกเจ็บหรือระบมเมื่อสัมผัสบริเวณที่ทำการรักษา ซึ่งอาจคงอยู่ได้ตั้งแต่ 2-3 วันไปจนถึง 1-2 สัปดาห์
  • อาการชาหรือรู้สึกแปลบๆ (Numbness/Paresthesia): อาจเกิดขึ้นได้ในบางบริเวณ และจะค่อยๆ หายไปเอง
  • ผลข้างเคียงที่พบได้ยากแต่รุนแรง (พบได้น้อยกว่า 1-2%):
  • เส้นประสาทได้รับผลกระทบชั่วคราว: อาจทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงชั่วคราว เช่น มุมปากตก ซึ่งโดยส่วนใหญ่จะกลับมาเป็นปกติภายใน 2-4 สัปดาห์
  • ผิวไหม้หรือพุพอง: มีความเสี่ยงต่ำมาก และมักเกิดจากการใช้เครื่องที่ไม่ได้มาตรฐานหรือเทคนิคการรักษาที่ไม่ถูกต้อง
  • ไขมันบนใบหน้าฝ่อ (Fat Atrophy): เป็นกรณีที่พบได้ยากมาก อาจเกิดจากการยิงพลังงานผิดชั้นผิวหนัง ซึ่งความเสี่ยงจะสูงขึ้นหากใช้เครื่องที่ไม่มีหน้าจอแสดงผลแบบเรียลไทม์

คำแนะนำการเตรียมตัวและการดูแลผิวหลังทำ

คำแนะนำคือควรเตรียมผิวให้แข็งแรงก่อนทำและดูแลผิวอย่างอ่อนโยนหลังทำ โดยหลีกเลี่ยงปัจจัยที่อาจก่อให้เกิดการระคายเคือง

การเตรียมตัวก่อนทำ

  • งดหัตถการที่ระคายเคืองผิว: ควรหลีกเลี่ยงการทำเลเซอร์ การผลัดเซลล์ผิว หรือการสครับผิวในบริเวณที่จะทำอย่างน้อย 1-2 สัปดาห์
  • หลีกเลี่ยงแสงแดด: งดการอาบแดดหรือตากแดดจัดๆ เพื่อไม่ให้ผิวอักเสบก่อนทำ
  • ทำความสะอาดผิว: ในวันนัดหมาย ควรมาด้วยใบหน้าที่สะอาด ปราศจากเครื่องสำอางหรือครีมบำรุง
  • ปรึกษาเรื่องยา: หากทานยาละลายลิ่มเลือดหรืออาหารเสริมบางชนิด ควรปรึกษาแพทย์ก่อนทำเพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดรอยช้ำ
  • ทานยาแก้ปวด: สามารถทานยาแก้ปวดกลุ่มพาราเซตามอลหรือไอบูโพรเฟนประมาณ 30-60 นาทีก่อนทำเพื่อช่วยลดความรู้สึกเจ็บ

การดูแลผิวหลังทำ

  • หลีกเลี่ยงความร้อน: งดกิจกรรมที่ทำให้เกิดความร้อนสูง เช่น ซาวน่า สตรีม หรือออกกำลังกายอย่างหนัก เป็นเวลา 24-48 ชั่วโมง
  • ปกป้องผิวจากแสงแดด: ทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 ขึ้นไปอย่างสม่ำเสมอ
  • ใช้สกินแคร์สูตรอ่อนโยน: ทำความสะอาดและบำรุงผิวด้วยผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยน และงดใช้ส่วนผสมที่อาจระคายเคือง เช่น เรตินอยด์, AHA, BHA หรือสครับ เป็นเวลา 3-7 วัน
  • หลีกเลี่ยงการนวดหน้า: ไม่ควรกด นวด หรือถูใบหน้าแรงๆ ในช่วง 2-3 วันแรก
  • แต่งหน้าได้ตามปกติ: โดยทั่วไปสามารถแต่งหน้าได้ในวันรุ่งขึ้น หากผิวไม่มีอาการระคายเคืองรุนแรง

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Ulthera และ HIFU

HIFU กับ Ulthera อย่างไหนดีกว่ากัน?

Ulthera (อัลเทอร่า) มักถูกพิจารณาว่าดีกว่าในด้านความแม่นยำและผลลัพธ์ที่คาดการณ์ได้ เนื่องจากเป็นเทคโนโลยีเดียวที่มีจออัลตราซาวด์ (MFU-V) ทำให้แพทย์สามารถมองเห็นชั้นผิวหนังและยิงพลังงานลงไปที่ชั้น SMAS ได้อย่างแม่นยำและปลอดภัย ในขณะที่เครื่อง HIFU ส่วนใหญ่ไม่มีจอภาพ ทำให้การรักษาเป็นแบบ “blind” หรืออาศัยการคาดคะเน

ตารางเปรียบเทียบความแตกต่างที่สำคัญระหว่าง Ulthera และ HIFU:

คุณสมบัติ Ulthera (อัลเทอร่า) HIFU (ไฮฟู่)
เทคโนโลยี MFU-V (Microfocused Ultrasound with Visualization) มีจอภาพแบบเรียลไทม์ HIFU (High-Intensity Focused Ultrasound) ส่วนใหญ่ไม่มีจอภาพ
ความแม่นยำ สูงมาก พลังงานสม่ำเสมอและลงลึกตรงจุดที่ต้องการ แตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับคุณภาพของเครื่อง อาจไม่สม่ำเสมอ
ความปลอดภัย ได้รับการรับรองจาก US FDA มีข้อมูลการวิจัยรองรับจำนวนมาก มีหลายเกรดและยี่ห้อ บางเครื่องอาจไม่ได้รับการรับรอง
ความเจ็บ โดยทั่วไปรู้สึกเจ็บกว่า เจ็บน้อยกว่าหรือใกล้เคียงกัน ขึ้นอยู่กับเครื่องและพลังงาน
ราคา สูงกว่า เข้าถึงง่ายกว่าและมีราคาถูกกว่า

โดยสรุป Ulthera เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์การยกกระชับที่ชัดเจนและแม่นยำสูงสุด ส่วน HIFU เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการยกกระชับในงบประมาณที่จำกัด โดยควรเลือกทำกับเครื่องที่ได้มาตรฐานและคลินิกที่น่าเชื่อถือ

ทำ Ulthera เจ็บไหม?

การทำ Ulthera ทำให้เกิดความรู้สึกเจ็บได้ โดยทั่วไปจัดเป็นความเจ็บในระดับปานกลาง และมักจะรู้สึกเจ็บกว่าการทำ HIFU เนื่องจากพลังงานจะถูกส่งลงไปในชั้นผิวที่ลึกกว่า

ความเจ็บจะเกิดขึ้นเพียงชั่วขณะที่ปล่อยพลังงานอัลตราซาวด์ โดยจะรู้สึกเหมือนมีความร้อนลึกๆ หรือเหมือนมีเข็มทิ่มเบาๆ โดยเฉพาะในบริเวณที่ใกล้กระดูก เช่น แนวกราม หน้าผาก และโหนกคิ้ว อย่างไรก็ตาม คลินิกส่วนใหญ่จะมีวิธีจัดการความเจ็บปวด เช่น การทายาชา การให้รับประทานยาแก้ปวด หรือใช้เครื่องเป่าลมเย็นเพื่อช่วยลดความรู้สึกไม่สบายตัวระหว่างทำ

ทำ HIFU เจ็บกว่า Ulthera จริงหรือไม่?

ไม่จริง โดยทั่วไปแล้ว Ulthera (Ultherapy) จะเจ็บกว่า HIFU เนื่องจาก Ulthera ใช้พลังงานคลื่นอัลตราซาวด์แบบ Micro-focused ที่ลงลึกถึงชั้นผิว SMAS ซึ่งเป็นชั้นที่ไวต่อความรู้สึกมากกว่า ทำให้เกิดความรู้สึกร้อนลึกๆ หรือเหมือนมีเข็มเล็กๆ ทิ่มเป็นช่วงๆ ในขณะที่ HIFU ก็ทำให้รู้สึกไม่สบายผิวเช่นกัน แต่เครื่องรุ่นใหม่ๆ มักถูกออกแบบมาให้เจ็บน้อยกว่า

ต้องทำกี่ครั้งถึงจะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน?

โดยทั่วไปแล้ว ส่วนใหญ่เห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนได้ตั้งแต่การทำเพียงครั้งเดียว

ทั้ง Ulthera และ HIFU ถูกออกแบบมาให้เห็นผลการรักษาที่น่าพอใจในการทำเพียง 1 ครั้ง โดยเฉพาะ Ulthera ที่มีผลการศึกษาพบว่าผู้ป่วยกว่า 90% มีผิวที่ยกกระชับขึ้นหลังทำเพียงครั้งเดียว สำหรับ HIFU แม้ว่าส่วนใหญ่จะเห็นผลดีขึ้นหลังทำครั้งแรกเช่นกัน แต่ในบางกรณีแพทย์อาจแนะนำให้ทำ 2-3 ครั้งเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด หลังจากนั้นอาจพิจารณาทำซ้ำทุก 1-1.5 ปีเพื่อคงสภาพผลลัพธ์ไว้

ผลลัพธ์จากการทำ Ulthera อยู่ได้นานแค่ไหน?

โดยทั่วไป ผลลัพธ์จากการทำ Ulthera จะอยู่ได้นานประมาณ 1 ปี แต่ในบางกรณีอาจอยู่ได้นานถึง 18 เดือนหรือมากกว่านั้น ซึ่งผลลัพธ์จะค่อยๆ ลดลงตามกระบวนการแก่ของผิวตามธรรมชาติ

สามารถทำ Ulthera และ HIFU พร้อมกันได้หรือไม่?

โดยทั่วไปแล้ว ไม่แนะนำให้ทำ Ulthera และ HIFU พร้อมกันในวันเดียวกัน เนื่องจากทั้งสองเทคโนโลยีใช้หลักการทำงานที่คล้ายกันมาก คือการใช้คลื่นอัลตราซาวด์เพื่อกระตุ้นคอลลาเจน การทำพร้อมกันจึงไม่มีความจำเป็นและอาจทำให้ผิวได้รับพลังงานมากเกินไป

อย่างไรก็ตาม แพทย์อาจวางแผนการรักษาโดยใช้เทคโนโลยีหนึ่งสำหรับบางบริเวณ และอีกเทคโนโลยีสำหรับบริเวณอื่น หรือใช้ HIFU เพื่อเป็นการดูแลต่อเนื่อง (touch-up) หลังจากทำ Ulthera ไปแล้วในปีก่อนหน้า

References:

  1. Journal of Clinical and Aesthetic Dermatology. (n.d.). Microfocused Ultrasound for Skin Tightening. Clinical Research Publication. jcadonline.com
  2. Ultherapy Singapore. (n.d.). Authenticity and Technology Information. Official Ultherapy Resources. ultherapysg.com
  3. Cosmetic Skin Clinic. (n.d.). Ultherapy vs HIFU: Technology Comparison. Clinical Information. cosmeticskinclinic.com
  4. University of Groningen Research. (n.d.). A Systematic Review of Efficacy of Microfocused Ultrasound. Academic Research. research.rug.nl
  5. Lux Aesthetic Clinic. (n.d.). HIFU vs Ultherapy Treatment Comparison. Medical Practice Resources. luxaestheticclinic.com

แนะแนวเรื่อง

Previous Previous
ข้อเสียของการทำ Thermage: รอยแดง บวม ผิวไหม้ เกิดขึ้นจริงไหม?
NextContinue
Ultraformer III ราคาเท่าไหร่ในกรุงเทพ อัพเดทล่าสุด 2025

สาขาพรีวาโต คลินิก

    สาขาอโศก ตั้งอยู่ที่ ชั้น 2 อาคารมิดทาวน์
    Phone: 02-258-4050 , 081-841-5075
    สาขาสีลม ตั้งอยู่ที่ ชั้น 1 อาคารซี.พี.ทาวเวอร์
    Phone: 02-780-2011 , 098-272-5244
    สาขาราชพฤกษ์ ตั้งอยู่ที่ ชั้น 2 ศูนย์การค้า เดอะคริสตัล เอสบี (ด้านบนร้านสตาร์บัคส์)
    Phone: 02-102-2778 , 098-272-5244

ติดต่อเรา

    Facebook: Privato Clinic
    Messenger: Privato Clinic
    Instagram: privatoclinic
    Email: privatoclinic@gmail.com
    Line: @privatoclinic

Copyright© 2022-2024. All Rights Reserved

Scroll to top
  • หน้าหลัก
  • เกี่ยวกับพรีวาโต
  • บริการทั้งหมด
    • ชะลอวัย
    • ยกกระชับผิว
      • XERF
      • Potenza
      • Sofwave
      • Ulthera
      • Thermage-FLX
    • รักษาสิว
    • เลเซอร์
    • โปรแกรมฉีด
    • บำรุงผิว
  • บทความ
    • สิว
    • ยกกระชับ
    • ดูแลผิว
    • ทำเลเซอร์
  • ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว
  • โปรโมชั่น
  • ผลลัพธ์การรักษา
  • วิดีโอรีวิวจากเคสจริง
  • สาขาของเรา
  • ไทย
    • ไทย
    • English
    • 中文 (中国)
  • ปรึกษาแพทย์
Facebook Instagram YouTube