หน้า V-Shape คืออะไร? รวมทุกเรื่องที่ต้องรู้ก่อนปรับรูปหน้าเรียว

หน้า V-Shape คือลักษณะใบหน้าที่มีโครงหน้ากว้างบริเวณโหนกแก้มแล้วค่อยๆ เรียวเล็กลงมาบรรจบกันที่คางแหลมคมเป็นรูปตัว V ซึ่งสามารถปรับได้ด้วยหัตถการทางการแพทย์หลายวิธี โดยผู้ที่เหมาะกับการปรับรูปหน้า V-Shape คือผู้ที่มีกรอบหน้ากว้างจากกล้ามเนื้อกราม ไขมัน หรือผิวหย่อนคล้อย โดยมีมุมกรามในอุดมคติประมาณ 120–130 องศา และสามารถเลือกวิธีการรักษาตั้งแต่การฉีดโบท็อกซ์ ฟิลเลอร์ ร้อยไหม ไปจนถึง HIFU ที่ผลลัพธ์คงอยู่ได้ 4-6 เดือนถึง 1-2 ปี ขึ้นอยู่กับวิธีการที่เลือก
ลักษณะของใบหน้า V-Shape และการประเมินโครงหน้าเบื้องต้น
ลักษณะเด่นของใบหน้า V-Shape คือ โครงหน้าที่กว้างบริเวณโหนกแก้มแล้วค่อยๆ เรียวเล็กลงมาบรรจบกันที่คางที่แหลมคม ทำให้เกิดเป็นโครงร่างรูปตัว “V” ที่ชัดเจน
ใบหน้า V-Shape ในอุดมคติมักมีมุมกรามที่ป้าน (ประมาณ 120°–130°) ทำให้แนวกรามดูเรียวและนุ่มนวลขึ้น นอกจากนี้ สัดส่วนที่สมดุลและความสมมาตรก็เป็นสิ่งสำคัญ โดยช่วงกลางใบหน้าจะดูกว้างกว่าความกว้างของกรามเล็กน้อย
ในการประเมินเบื้องต้น แพทย์จะพิจารณาว่าสาเหตุที่ทำให้ใบหน้าส่วนล่างดูกว้างนั้นมาจากโครงสร้างใดระหว่างกระดูก กล้ามเนื้อ หรือไขมัน เพื่อวางแผนการรักษาที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล โดยอาจใช้เครื่องมืออย่างการสแกนใบหน้า 3 มิติเพื่อช่วยในการวิเคราะห์
ใครบ้างที่เหมาะกับการปรับรูปหน้า V-Shape?
ผู้ที่เหมาะกับการปรับรูปหน้า V-Shape คือผู้ที่มีปัญหากรอบหน้ากว้างหรือหย่อนคล้อยจากกล้ามเนื้อ ไขมัน หรือผิวหนัง ไม่ใช่จากโครงสร้างกระดูกเป็นหลัก โดยสามารถแบ่งกลุ่มผู้ที่เหมาะสมได้ดังนี้
- ผู้ที่มีกล้ามเนื้อกรามใหญ่: สังเกตได้จากกรามที่นูนขึ้นมาชัดเจนเมื่อกัดฟัน กลุ่มนี้เหมาะกับการฉีดโบท็อกซ์เพื่อทำให้กล้ามเนื้อเล็กลงและใบหน้าดูเรียวขึ้น
- ผู้ที่มีไขมันสะสมที่ใบหน้าส่วนล่าง: ผู้ที่มีแก้มเยอะ มีเหนียง หรือมีไขมันสะสมจนกรอบหน้าไม่คมชัด เหมาะกับหัตถการที่ช่วยลดไขมันหรือยกกระชับผิว
- ผู้ที่มีผิวหย่อนคล้อยเล็กน้อยถึงปานกลาง: ผู้ที่เริ่มมีปัญหาผิวหย่อนคล้อยตามวัย ทำให้กรอบหน้าไม่กระชับ เหมาะกับการทำหัตถการยกกระชับ เช่น ร้อยไหม หรือ HIFU เพื่อคืนความคมชัดให้กรอบหน้า
ผู้ที่มีปัญหากล้ามเนื้อกรามใหญ่
ผู้ที่มีปัญหากล้ามเนื้อกรามใหญ่ (Masseter Hypertrophy) เหมาะอย่างยิ่งกับการฉีดโบทูลินัมท็อกซิน (Botox) เพื่อทำให้กล้ามเนื้อคลายตัวและมีขนาดเล็กลง
การฉีดโบท็อกซ์จะช่วยลดขนาดของกล้ามเนื้อแมสซีเทอร์ (Masseter) ทำให้กรอบหน้าช่วงล่างดูเรียวและเป็นทรง V-shape มากขึ้น วิธีนี้ถือเป็นวิธีมาตรฐานที่ไม่ต้องผ่าตัดและได้ผลดีมาก โดยเฉพาะในผู้ที่ความกว้างของใบหน้าเกิดจากกล้ามเนื้อเป็นหลัก ไม่ใช่โครงสร้างกระดูก
ผู้ที่มีไขมันสะสมบริเวณแก้มและเหนียง
ผู้ที่มีไขมันสะสมบริเวณแก้มและเหนียงเหมาะสำหรับการรักษาที่ช่วยลดไขมันหรือกระชับผิว เพื่อเผยให้เห็นกรอบหน้าที่เรียวเป็นทรงตัววี การสะสมของไขมันลักษณะนี้อาจเกิดจากการเพิ่มขึ้นของน้ำหนักหรืออายุที่มากขึ้น ซึ่งทำให้ผิวหนังหย่อนคล้อยและไขมันตกลงมากองบริเวณกรอบหน้า
การรักษาที่เหมาะสมสำหรับผู้ที่มีปัญหานี้ ได้แก่ การสลายไขมัน (Lipolysis) การผ่าตัดไขมันกระพุ้งแก้ม หรือการใช้เครื่องมือที่ให้พลังงานเพื่อกระชับผิว ซึ่งจะช่วยลดความหนาของไขมันและฟื้นฟูแนวกรอบหน้าที่คมชัดขึ้น
ผู้ที่ต้องการปรับกรอบหน้าให้คมชัดและได้สัดส่วน
ผู้ที่ต้องการปรับกรอบหน้าให้คมชัดและได้สัดส่วน สามารถเลือกใช้วิธีการที่ไม่ใช่การผ่าตัดได้หลายวิธี ซึ่งแต่ละวิธีจะเหมาะกับการแก้ปัญหาโครงสร้างใบหน้าที่แตกต่างกันไป
- โบท็อกซ์ (Botox): เหมาะสำหรับผู้ที่มีกล้ามเนื้อกรามใหญ่ ทำให้ใบหน้าส่วนล่างกว้าง การฉีดโบท็อกซ์จะช่วยให้กล้ามเนื้อคลายตัวและมีขนาดเล็กลง ทำให้กรอบหน้าดูเรียวขึ้น
- ฟิลเลอร์ (Dermal Fillers): ใช้เพื่อเสริมโครงสร้างบริเวณคางและแนวกราม ช่วยเพิ่มความยาวหรือมิติให้คาง และสร้างเส้นกรอบหน้าที่คมชัด
- การร้อยไหม (Thread Lifts): เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยบริเวณกรอบหน้า ไหมจะช่วยดึงยกผิวที่หย่อนให้กระชับขึ้น ทำให้เห็นแนวกรามชัดเจนยิ่งขึ้น
- HIFU/Ultherapy: เป็นการใช้คลื่นอัลตราซาวนด์กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิวลึก ทำให้ผิวโดยรวมกระชับและแน่นขึ้น ส่งผลให้กรอบหน้าดูคมชัดขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ
รวมวิธีทางการแพทย์เพื่อสร้างใบหน้า V-Shape ที่ได้มาตรฐาน
การฉีดโบทูลินั่มท็อกซินเพื่อลดขนาดกราม
การฉีดโบทูลินั่มท็อกซินเพื่อลดขนาดกราม เป็นวิธีการปรับรูปหน้าโดยไม่ต้องผ่าตัดเพื่อทำให้ใบหน้าส่วนล่างเรียวเล็กลง โดยการฉีดสารเข้าไปคลายและทำให้กล้ามเนื้อแมสซีเตอร์ (masseter) ที่ใช้ในการเคี้ยวมีขนาดเล็กลง ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ที่มีใบหน้ากว้างจากกล้ามเนื้อ ไม่ใช่จากโครงสร้างกระดูก
การฉีดโบท็อกซ์จะทำให้กล้ามเนื้อกรามคลายตัวและฝ่อลงอย่างค่อยเป็นค่อยไปในเวลาไม่กี่สัปดาห์ ส่งผลให้แนวกรามดูเรียวขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
- ผลลัพธ์: จะเริ่มเห็นผลในไม่กี่สัปดาห์และเห็นผลเต็มที่ในเวลาประมาณ 3 เดือน โดยสามารถลดความหนาของกล้ามเนื้อได้เฉลี่ย 30%
- ระยะเวลา: ผลลัพธ์คงอยู่ประมาณ 4-6 เดือน และจำเป็นต้องฉีดซ้ำ 2-3 ครั้งต่อปีเพื่อรักษารูปหน้าให้เรียวสวย
- ความปลอดภัย: ถือเป็นหัตถการที่ปลอดภัยและมีความเสี่ยงต่ำเมื่อทำโดยผู้เชี่ยวชาญ ผลข้างเคียงที่พบได้ยาก เช่น รอยยิ้มไม่สมมาตร จะหายไปได้เองเมื่อโบท็อกซ์หมดฤทธิ์ และไม่มีอันตรายถาวรต่อกล้ามเนื้อหรือกระดูกกรามในปริมาณที่ใช้เพื่อความงามโดยทั่วไป
การใช้ฟิลเลอร์เพื่อเสริมคางและกรอบหน้า
การใช้ฟิลเลอร์เป็นการฉีดสารเติมเต็มเพื่อปั้นและปรับรูปทรงของคางและกรอบหน้า โดยช่วยเพิ่มความยาว ความคมชัด และสร้างโครงหน้าที่ดูมีมิติมากขึ้น
รายละเอียดของการเสริมคางและกรอบหน้าด้วยฟิลเลอร์มีดังนี้:
- เทคนิคการฉีด แพทย์จะฉีดฟิลเลอร์ในปริมาณน้อยๆ ทีละจุด บริเวณเหนือกระดูกคางและตามแนวกราม เพื่อปั้นรูปทรงให้ได้สัดส่วนที่สวยงาม
- ปริมาณและผลิตภัณฑ์ โดยทั่วไปคางต้องการฟิลเลอร์ประมาณ 1-3 mL ส่วนกรอบหน้าอาจใช้ 2-6 mL โดยฟิลเลอร์ประเภท Hyaluronic Acid (HA) เป็นที่นิยมใช้และมีความปลอดภัยสูง
- ผลลัพธ์และระยะเวลา ผลลัพธ์จะเห็นได้ทันทีหลังฉีด และจะคงอยู่นานประมาณ 12-18 เดือน หรืออาจนานถึง 2 ปีในฟิลเลอร์บางรุ่น
- ความปลอดภัยและผลข้างเคียง เป็นวิธีที่ปลอดภัยและเชื่อถือได้ ผลข้างเคียงทั่วไปคืออาการบวม แดง หรือรอยช้ำเล็กน้อยซึ่งจะหายไปใน 1 สัปดาห์ ส่วนความเสี่ยงรุนแรง เช่น การฉีดเข้าเส้นเลือด เกิดขึ้นได้ยากมากเมื่อทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
- การรักษาร่วม มักใช้ร่วมกับการรักษาอื่น เช่น โบท็อกซ์เพื่อลดขนาดกล้ามเนื้อกราม หรือร้อยไหมเพื่อยกกระชับผิว เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ใบหน้า V-Shape ที่สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น
การร้อยไหมเพื่อยกกระชับใบหน้า
การร้อยไหมคือหัตถการที่ไม่ต้องผ่าตัดเพื่อยกกระชับผิวที่หย่อนคล้อย โดยการสอดไหมละลายที่มีเงี่ยงเข้าไปใต้ผิวหนังเพื่อดึงเนื้อเยื่อขึ้นทันทีและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในระยะยาว
- หลักการทำงาน: ไหมจะทำหน้าที่ 2 อย่าง คือ 1) ยกผิวขึ้นทันทีด้วยกลไกการดึงของเงี่ยงไหม และ 2) กระตุ้นให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนและเนื้อเยื่อรอบเส้นไหม (Neocollagenesis) ในช่วง 2-3 เดือนถัดมา ทำให้ผิวเฟิร์มกระชับขึ้น
- ผู้ที่เหมาะสม: เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยเล็กน้อยถึงปานกลาง โดยเฉพาะช่วงอายุ 30 ปลายๆ ถึง 50 ปี
- ผลลัพธ์และระยะเวลา: เห็นผลยกกระชับได้ทันทีหลังทำ แต่จะเห็นผลชัดเจนที่สุดใน 2-3 เดือน เมื่อคอลลาเจนสร้างตัวเต็มที่ ผลลัพธ์คงอยู่ได้ประมาณ 1-2 ปี
- การพักฟื้นและผลข้างเคียง: หลังทำอาจมีอาการบวม ช้ำ หรือรู้สึกตึงเล็กน้อย ซึ่งจะหายไปใน 5-7 วัน ส่วนผลข้างเคียงที่พบได้ไม่บ่อยคือการติดเชื้อ หรือปลายไหมโผล่ออกมา
เทคโนโลยีพลังงาน เช่น HIFU และ Ulthera
HIFU (High-Intensity Focused Ultrasound) คือเทคโนโลยีที่ใช้พลังงานคลื่นเสียงอัลตราซาวนด์ความเข้มข้นสูงเพื่อยกกระชับผิวและปรับกรอบหน้าให้เรียวเป็น V-shape โดยไม่ต้องผ่าตัด โดยเครื่องจะส่งพลังงานลงไปสร้างจุดความร้อนในชั้นผิวลึกถึงชั้น SMAS เพื่อกระตุ้นให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินขึ้นมาใหม่ ทำให้ผิวค่อยๆ ตึงกระชับขึ้น กรอบหน้าคมชัดขึ้น และความหย่อนคล้อยลดลง
ผลลัพธ์จะเริ่มเห็นชัดเจนในช่วง 2-3 เดือนหลังทำ และโดยทั่วไปจะคงอยู่ได้ประมาณ 1 ปี การทำ HIFU แทบไม่มีระยะเวลาพักฟื้น แต่อาจมีอาการบวมแดงหรือเจ็บเล็กน้อยซึ่งจะหายไปเอง
- Ulthera เป็นเครื่อง HIFU แบรนด์แรกที่ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา (FDA) และมักให้ผลลัพธ์ที่ยาวนานจากการทำเพียงครั้งเดียว
- HIFU ทั่วไป อาจมีราคาที่เข้าถึงง่ายกว่า แต่บางครั้งอาจต้องทำ 2-3 ครั้งเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่เทียบเท่ากับ Ulthera
ค่าใช้จ่ายและผลลัพธ์ที่คาดหวังจากการทำหน้า V-Shape
ปัจจัยกำหนดราคาในการปรับรูปหน้าแต่ละวิธี
ปัจจัยหลักที่กำหนดราคาในการปรับรูปหน้าแต่ละวิธีคือ แบรนด์ของผลิตภัณฑ์/เครื่องมือ, ชื่อเสียงของคลินิกและแพทย์, ขอบเขตการรักษา, และโปรโมชั่น
ปัจจัยเหล่านี้ส่งผลต่อค่าใช้จ่ายโดยรวม ดังนี้
- คุณภาพและแบรนด์ของผลิตภัณฑ์/เครื่องมือ: ผลิตภัณฑ์ที่นำเข้าและผ่านการรับรองจากอย. ไทย เช่น โบท็อกซ์ Allergan, ฟิลเลอร์ Juvederm หรือเครื่อง Ulthera แท้ จะมีราคาสูงกว่าผลิตภัณฑ์ยี่ห้ออื่นหรือเครื่อง HIFU ทั่วไป
- ชื่อเสียงของคลินิกและประสบการณ์ของแพทย์: คลินิกหรือโรงพยาบาลชั้นนำที่มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและมีประสบการณ์สูงมักมีค่าบริการที่สูงกว่า เพื่อแลกกับความน่าเชื่อถือและมาตรฐานความปลอดภัย
- ขอบเขตการรักษา: ค่าใช้จ่ายจะเพิ่มขึ้นตามปริมาณที่ใช้ เช่น จำนวนยูนิตของโบท็อกซ์, จำนวนซีซีของฟิลเลอร์, จำนวนเส้นไหม หรือจำนวนช็อต (lines) ของ HIFU
- โปรโมชั่นและแพ็กเกจ: คลินิกต่างๆ มักจัดโปรโมชั่นหรือแพ็กเกจการรักษาแบบผสมผสาน ซึ่งอาจทำให้ราคาโดยรวมลดลงได้
ระยะเวลาเห็นผลและความคงทนของผลลัพธ์
ระยะเวลาในการเห็นผลและความคงทนของผลลัพธ์จะแตกต่างกันไปในแต่ละหัตถการ โดยฟิลเลอร์จะเห็นผลทันที ในขณะที่ HIFU ต้องใช้เวลาหลายเดือนกว่าจะเห็นผลเต็มที่
- โบท็อกซ์ (Botox): จะเริ่มเห็นผลในไม่กี่สัปดาห์ และเห็นผลเต็มที่ในเวลาประมาณ 3 เดือน โดยผลลัพธ์จะคงอยู่ประมาณ 4-6 เดือน
- ฟิลเลอร์ (Fillers): เห็นผลการเปลี่ยนแปลงได้ทันทีหลังทำ และผลลัพธ์จะคงอยู่ได้นานประมาณ 12-24 เดือน ขึ้นอยู่กับชนิดของฟิลเลอร์
- ร้อยไหม (Thread Lift): เห็นผลยกกระชับได้ทันทีหลังทำ แต่จะเห็นผลชัดเจนขึ้นในช่วง 1-3 เดือนหลังทำ โดยผลลัพธ์จะคงอยู่ได้ประมาณ 1-2 ปี
- ไฮฟู/อัลเทอร่า (HIFU/Ultherapy): ผลลัพธ์จะค่อยๆ ปรากฏ โดยจะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ 2 เดือน และเห็นผลเต็มที่ในช่วง 3-4 เดือนหลังทำ ซึ่งผลลัพธ์จะคงอยู่ได้ประมาณ 1 ปี
การดูแลตัวเองและข้อปฏิบัติตัวหลังทำ
การดูแลตัวเองหลังทำหัตถการปรับรูปหน้า V-Shape จะเน้นการหลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่อาจกระทบต่อผลลัพธ์ในช่วงแรก เช่น การนวดหน้า การออกกำลังกายหนัก และการสัมผัสความร้อน โดยมีข้อปฏิบัติแตกต่างกันไปตามแต่ละหัตถการ
ข้อปฏิบัติหลังทำหัตถการแต่ละประเภท มีดังนี้
- โบท็อกซ์ (Botox)
- งดนอนราบหรือก้มหน้านานๆ 4 ชั่วโมงหลังฉีด
- หลีกเลี่ยงการนวด กด หรือถูบริเวณที่ฉีด 24 ชั่วโมง
- งดออกกำลังกายหนัก ซาวน่า และเลี่ยงความร้อน 1 วัน
- งดเคี้ยวอาหารเหนียวหรือแข็ง 1 วัน
- ฟิลเลอร์ (Filler)
- หลีกเลี่ยงการกดหรือนวดแรงๆ บริเวณที่ฉีด 2 สัปดาห์
- งดออกกำลังกายหนักและเลี่ยงความร้อนจัด 2 วัน
- ดื่มน้ำมากๆ และงดแอลกอฮอล์ 1-2 วัน
- พยายามนอนหงายในช่วงแรกเพื่อลดการกดทับ
- ร้อยไหม (Thread Lift)
- นอนหมอนสูงและพยายามนอนหงาย 5-7 วันแรก
- งดอ้าปากกว้างๆ หรือแสดงสีหน้าแรงๆ 2 สัปดาห์
- หลีกเลี่ยงการนวดหน้าและทำทรีตเมนต์อื่นๆ 2-3 สัปดาห์
- ทานยาตามที่แพทย์สั่ง และงดแอลกอฮอล์ ของหมักดอง และการออกกำลังกายหนัก 1-2 สัปดาห์
- HIFU/Ultherapy
- ทาครีมบำรุงให้ความชุ่มชื้นและครีมกันแดดสม่ำเสมอ
- หลีกเลี่ยงแสงแดดจัด 1-2 สัปดาห์
- งดการสครับผิวหรือทำเลเซอร์อื่นๆ ในบริเวณเดียวกัน 2 สัปดาห์
- สามารถใช้ชีวิตและออกกำลังกายได้ตามปกติ
ความเสี่ยง ผลข้างเคียง และข้อควรระวังที่ต้องทราบ
ความเสี่ยงและผลข้างเคียงส่วนใหญ่ไม่รุนแรงและเกิดขึ้นชั่วคราว เช่น อาการบวม รอยช้ำ หรือความรู้สึกตึงเล็กน้อย ซึ่งจะหายไปเองภายในไม่กี่วันถึงหนึ่งสัปดาห์ อย่างไรก็ตาม การทำหัตถการแต่ละประเภทมีความเสี่ยงที่แตกต่างกันไป
- โบท็อกซ์กราม (Masseter Botox):
- ผลข้างเคียงทั่วไป: พบได้น้อยมากและไม่รุนแรง
- ความเสี่ยงที่พบได้น้อย: อาจเกิดการยิ้มไม่สมมาตร หรือเคี้ยวอาหารแข็งลำบากชั่วคราว ซึ่งจะหายไปเองเมื่อโบท็อกซ์หมดฤทธิ์ การฉีดโบท็อกซ์เพื่อปรับรูปหน้าในระยะยาวถือว่าปลอดภัยสูงและไม่มีอันตรายถาวร
- ฟิลเลอร์ (Fillers):
- ผลข้างเคียงทั่วไป: อาการบวม แดง หรือรอยช้ำบริเวณที่ฉีด ซึ่งมักจะหายไปใน 1 สัปดาห์
- ความเสี่ยงรุนแรง (พบได้ยากมาก): ความเสี่ยงที่ร้ายแรงที่สุดคือการฉีดฟิลเลอร์เข้าเส้นเลือด (Vascular Occlusion) ซึ่งอาจทำให้เนื้อเยื่อตายได้ แต่พบได้ยากมากบริเวณคางและกราม นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงเรื่องการติดเชื้อ
- ร้อยไหม (Thread Lifts):
- ผลข้างเคียงทั่วไป: มีอาการบวมและช้ำได้นาน 2-5 วัน รู้สึกตึงหรือเจ็บเล็กน้อยตามแนวไหม และอาจมีรอยบุ๋มหรือผิวไม่เรียบชั่วคราว
- ความเสี่ยงที่พบได้น้อย: การติดเชื้อ, ปลายไหมโผล่ออกมาจากผิวหนัง, หรือเส้นประสาทได้รับผลกระทบชั่วคราว
- HIFU/Ultherapy:
- ผลข้างเคียงทั่วไป: ผิวแดง บวม หรือรู้สึกเสียวแปลบๆ เล็กน้อย ซึ่งมักหายไปในไม่กี่ชั่วโมงถึงสองสามวัน
- ความเสี่ยงที่พบได้น้อย: เส้นประสาทถูกกระทบชั่วคราว (ทำให้ชาหรือกล้ามเนื้ออ่อนแรง) หรือไขมันบนใบหน้าฝ่อ ซึ่งป้องกันได้โดยการเลือกผู้ให้บริการที่มีประสบการณ์
ข้อควรระวังที่สำคัญที่สุดคือการเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐานและแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่ใช้ผลิตภัณฑ์ของแท้ที่ผ่านการรับรองจากอย. เพื่อลดความเสี่ยงของผลข้างเคียงรุนแรง
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการทำหน้า V-Shape
ทำหน้า V-Shape เจ็บไหม?
ความเจ็บของการทำหน้า V-Shape จะแตกต่างกันไปในแต่ละหัตถการ โดยส่วนใหญ่จะใช้ยาชาเฉพาะที่เพื่อลดความรู้สึกไม่สบาย แต่ระดับความเจ็บที่อาจพบได้มีดังนี้
- โบท็อกซ์กราม: เจ็บน้อยที่สุด รู้สึกเหมือนมดกัดเล็กน้อยตอนฉีด
- ฟิลเลอร์คาง/กรอบหน้า: เจ็บเล็กน้อย เนื่องจากมีการใช้ยาชาเฉพาะที่ก่อนทำ
- ร้อยไหม: อาจรู้สึกไม่สบายหรือเจ็บมากกว่าฟิลเลอร์ มีความรู้สึกตึงๆ ใต้ผิวหนังหลังทำ ซึ่งสามารถจัดการได้ด้วยยาแก้ปวดทั่วไป
- HIFU/Ultherapy: มักเป็นหัตถการที่รู้สึกเจ็บที่สุดในระหว่างทำ โดยจะรู้สึกเหมือนมีพลังงานความร้อนส่งลงไปใต้ผิวเป็นจุดๆ แต่ความเจ็บจะหายไปทันทีเมื่อหยุดยิงพลังงาน ซึ่งแพทย์มักให้ยาแก้ปวดก่อนทำเพื่อช่วยลดความรู้สึกไม่สบาย
การฉีดโบท็อกซ์ลดกรามอันตรายหรือไม่?
การฉีดโบท็อกซ์ลดกรามถือว่ามีความปลอดภัยสูง และเป็นหัตถการที่เป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางเมื่อทำโดยผู้ประกอบวิชาชีพที่มีคุณสมบัติเหมาะสม
โบทูลินั่ม ท็อกซินที่ใช้จะออกฤทธิ์เฉพาะที่บริเวณกล้ามเนื้อที่ฉีดและไม่มีผลกระทบต่อระบบอื่นๆ ของร่างกาย ผลข้างเคียงส่วนใหญ่พบได้น้อยมาก ไม่รุนแรง และเป็นเพียงชั่วคราว เช่น รอยยิ้มไม่สมมาตร หรือเคี้ยวอาหารแข็งๆ ได้ลำบากเล็กน้อย ซึ่งจะหายไปเองเมื่อโบท็อกซ์หมดฤทธิ์
จากการศึกษาในระยะยาวไม่พบความเสียหายถาวรต่อกล้ามเนื้อหรือโครงสร้างกระดูกกรามเมื่อใช้ในปริมาณที่เหมาะสมทางเครื่องสำอาง เพื่อความปลอดภัยสูงสุด ควรเลือกคลินิกที่น่าเชื่อถือและใช้ผลิตภัณฑ์ของแท้ที่ผ่านการรับรองเท่านั้น
ผู้ชายสามารถทำหน้า V-Shape ได้หรือไม่?
ผู้ชายสามารถทำหน้า V-Shape ได้ แต่เป้าหมายและเทคนิคที่ใช้มักจะถูกปรับให้เหมาะสมเพื่อคงความคมคายแบบผู้ชายไว้ แทนที่จะเน้นให้ใบหน้าเรียวแหลมเหมือนผู้หญิง
การปรับรูปหน้าสำหรับผู้ชายมักมีเป้าหมายเพื่อสร้างกรอบหน้าที่คมชัดและดูมีมิติมากขึ้น โดยมีการปรับเทคนิคการรักษาดังนี้:
- โบท็อกซ์: ช่วยลดความกว้างของกราม แต่จะใช้ในปริมาณที่พอเหมาะเพื่อไม่ให้ใบหน้าดูแคบหรือหวานจนเกินไป
- ฟิลเลอร์: มักใช้เพื่อเสริมคางให้ดูกว้างและแข็งแรงขึ้น หรือสร้างแนวกรามที่คมชัด แทนที่จะทำให้คางแหลม
- ร้อยไหมและ HIFU: สามารถทำได้เช่นกัน แต่อาจต้องปรับเทคนิคหรือระดับพลังงานเนื่องจากผิวของผู้ชายมีความหนามากกว่า
สิ่งสำคัญคือการสื่อสารกับแพทย์อย่างชัดเจนถึงผลลัพธ์ที่ต้องการ เพื่อให้ได้ใบหน้าที่สมส่วนและยังคงเอกลักษณ์ความเป็นชายไว้
วิธีไหนทำให้หน้าเรียว V-Shape ได้ผลถาวร?
การปรับรูปหน้าให้เรียว V-Shape ได้ผลลัพธ์ถาวร ต้องใช้วิธีการผ่าตัดศัลยกรรมเท่านั้น เช่น การผ่าตัดกราม V-line เพื่อปรับโครงสร้างกระดูกอย่างถาวร
วิธีการที่ไม่ใช่การผ่าตัด เช่น โบท็อกซ์ ฟิลเลอร์ ร้อยไหม และ HIFU ล้วนให้ผลลัพธ์เพียงชั่วคราว ซึ่งต้องทำซ้ำเป็นระยะเพื่อคงผลลัพธ์ไว้
ต้องทำกี่ครั้งถึงจะเห็นผลลัพธ์ชัดเจน?
โดยทั่วไปแล้ว การปรับรูปหน้า V-shape แบบไม่ผ่าตัดส่วนใหญ่ จะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ แต่ระยะเวลาในการเห็นผลจะแตกต่างกันไปในแต่ละหัตถการ
- ฟิลเลอร์ (Filler): เห็นผลทันทีหลังทำ 1 ครั้ง
- ร้อยไหม (Thread Lift): เห็นผลยกกระชับทันทีหลังทำ 1 ครั้ง และจะเห็นผลชัดเจนที่สุดใน 1-3 เดือน
- โบท็อกซ์ (Botox): ทำ 1 ครั้ง ผลลัพธ์จะเริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ในช่วง 2-4 สัปดาห์
- HIFU/Ultherapy: โดยทั่วไปทำ 1 ครั้ง ผลลัพธ์จะค่อยๆ ปรากฏในช่วง 2-4 เดือนหลังทำ แต่อาจมีการแนะนำให้ทำซ้ำเพื่อผลลัพธ์ที่ดีขึ้น
หลังทำหน้า V-Shape ต้องพักฟื้นนานแค่ไหน?
ระยะเวลาพักฟื้นจะแตกต่างกันไปตามแต่ละหัตถการ โดยโบท็อกซ์และ HIFU แทบไม่ต้องพักฟื้น ในขณะที่ฟิลเลอร์และร้อยไหมอาจต้องใช้เวลาพักฟื้นเล็กน้อย
ระยะเวลาพักฟื้นโดยประมาณสำหรับแต่ละวิธี มีดังนี้
- โบท็อกซ์กราม: แทบไม่ต้องพักฟื้น สามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ทันที
- ฟิลเลอร์ (คาง/กรอบหน้า): พักฟื้นน้อยมาก อาจมีอาการบวมเล็กน้อย 1-2 วัน
- ร้อยไหม: ต้องพักฟื้นระยะสั้น โดยจะมีอาการบวมและช้ำประมาณ 2-5 วัน
- HIFU/Ulthera: ไม่ต้องพักฟื้น อาจมีรอยแดงเล็กน้อย 2-3 ชั่วโมงหลังทำ แต่สามารถกลับไปทำกิจกรรมต่างๆ ได้ตามปกติ
References:
- Ferrillo, M. et al. (2023). The Role of Botulinum Toxin for Masseter Muscle Hypertrophy: A Comprehensive Review. Toxins (MDPI). mdpi.com
- Ou, Y. et al. (2023). Nonsurgical Chin Augmentation Using Hyaluronic Acid: A Systematic Review. Aesthetic Plast Surg. pubmed.ncbi.nlm.nih.gov
- Hong, G. et al. (2025). Pre- and Post-Procedural Considerations and Thread Types for Thread Lifting. Life (MDPI). mdpi.com
- Go, B. et al. (2023). Using Injectable Fillers for Chin and Jawline Rejuvenation. World J Otorhinolaryngol Head Neck Surg. pubmed.ncbi.nlm.nih.gov
- Cleveland Clinic. (n.d.). Thread Lift: What to Expect, Benefits & Complications. Cleveland Clinic. clevelandclinic.org
- Ritz Clinic. (n.d.). Ultherapy vs. HIFU – What’s the Difference? The Ritz Clinic. theritzclinic.com
- V Square Clinic. (n.d.). Botox Injection FAQs. V Square Clinic. vsquareclinic.com
- R•MEDY MD Aesthetics. (n.d.). How to Choose the Right Clinic for Your Aesthetic Treatments. R•MEDY MD. rmedyaesthetics.com
