Skip to content

TEL : 081-841-5075, 02-258-4050

Facebook Instagram YouTube
Privato Clinic – Innovation Of Beauty  |  Bangkok
  • หน้าหลัก
  • เกี่ยวกับพรีวาโต
  • บริการทั้งหมดExpand
    • ชะลอวัย
    • ยกกระชับผิวExpand
      • XERF
      • Potenza
      • Sofwave
      • Ulthera
      • Thermage-FLX
    • รักษาสิว
    • เลเซอร์
    • โปรแกรมฉีด
    • บำรุงผิว
  • บทความExpand
    • สิว
    • ยกกระชับ
    • ดูแลผิว
    • ทำเลเซอร์
  • ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว
  • โปรโมชั่น
  • ผลลัพธ์การรักษา
  • วิดีโอรีวิวจากเคสจริง
  • สาขาของเรา
  • ไทยExpand
    • ไทย
    • English
    • 中文 (中国)
  • ปรึกษาแพทย์
Privato Clinic – Innovation Of Beauty  |  Bangkok
Consult a Doctor
Lifting

XERF กับ Thermage แตกต่างกันตรงไหน เลือกอันไหนดี?

Byadmin กันยายน 23, 2025กันยายน 23, 2025
By นายแพทย์เลอพงษ์ กรุดเงิน Updated on กันยายน 23, 2025
✦ Medically reviewed by  นายแพทย์เลอพงษ์ กรุดเงิน

XERF กับ Thermage ต่างกันยังไง

Table of Contents

Toggle
  • ความแตกต่างสำคัญระหว่าง XERF และ Thermage
    • ความแตกต่างที่สำคัญมีดังนี้:
  • ใครเหมาะกับ XERF และใครเหมาะกับ Thermage?
    • ผู้ที่เหมาะกับ XERF คือ:
    • ผู้ที่เหมาะกับ Thermage คือ:
    • ลักษณะปัญหาผิวที่เหมาะกับการรักษาด้วย XERF
    • ลักษณะปัญหาผิวที่เหมาะกับการรักษาด้วย Thermage
    • ข้อควรพิจารณาและผู้ที่ไม่เหมาะกับการรักษา
  • เปรียบเทคโนโลยี: หลักการทำงานที่แตกต่างกัน
    • XERF: เทคโนโลยีคลื่นวิทยุ 2 ความถี่ (Dual-Frequency RF)
    • Thermage: เทคโนโลยีคลื่นวิทยุขั้วเดียว (Monopolar RF)
    • ความลึกของชั้นผิวที่พลังงานลงไปถึง
  • เปรียบเทียบผลลัพธ์ ความรู้สึก และการพักฟื้น
    • ความรู้สึกขณะทำ: ระดับความเจ็บและความร้อน
    • ผลลัพธ์ที่คาดหวังและระยะเวลาเห็นผล
    • ระยะเวลาของผลลัพธ์และการทำซ้ำ
    • การดูแลตัวเองหลังทำและการพักฟื้น
  • กรอบราคาและจำนวนครั้งในการรักษาที่แนะนำ
    • ปัจจัยที่ส่งผลต่อราคาของ XERF และ Thermage
    • จำนวนช็อต (Shots) ที่ใช้ในแต่ละบริเวณ
  • การตัดสินใจเลือก: ปัจจัยสำคัญที่ต้องพิจารณา
    • เป้าหมายหลักของการรักษา: ยกกระชับหรือปรับผิวเรียบเนียน
    • ความกังวลเรื่องความเจ็บและระยะเวลาพักฟื้น
    • การเลือกคลินิกและแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
  • ความเสี่ยง ผลข้างเคียง และข้อควรระวังของทั้งสองเทคโนโลยี
    • ผลข้างเคียงและความเสี่ยงที่สำคัญมีดังนี้:
  • คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ XERF และ Thermage
    • ทำ XERF กับ Thermage เจ็บต่างกันมากไหม?
    • ผลลัพธ์ของ XERF กับ Thermage อยู่ได้นานเท่ากันหรือไม่?
    • XERF และ Thermage ช่วยเรื่องอะไรได้บ้าง?
    • ใครบ้างที่ไม่เหมาะกับการทำ XERF หรือ Thermage?
  • References:

ความแตกต่างสำคัญระหว่าง XERF และ Thermage

ความแตกต่างที่สำคัญที่สุดระหว่าง XERF และ Thermage คือ เทคโนโลยีคลื่นความถี่ที่ใช้ ระดับความลึกในการรักษา และระดับความสบายขณะทำ XERF เป็นเทคโนโลยีรุ่นใหม่ที่ใช้คลื่นความถี่คู่ (Dual-Frequency) เพื่อการรักษาที่ลึกกว่าและเจ็บน้อยกว่า ในขณะที่ Thermage เป็นเทคโนโลยีดั้งเดิมที่ใช้คลื่นความถี่เดียว

ความแตกต่างที่สำคัญมีดังนี้:

  • เทคโนโลยีคลื่นความถี่: XERF ใช้คลื่นความถี่ 2 ชนิด (6.78 MHz และ 2.0 MHz) พร้อมกันในหนึ่งช็อต ทำให้พลังงานลงไปได้หลายระดับความลึกในคราวเดียว ส่วน Thermage ใช้คลื่นความถี่เดียว (6.78 MHz) ซึ่งเน้นการทำงานที่ชั้นหนังแท้เป็นหลัก
  • ระดับความสบาย: XERF ถูกออกแบบมาให้เจ็บน้อยมากหรือแทบไม่เจ็บเลย เนื่องจากมีระบบให้ความเย็นที่ทำงานตลอดเวลาพร้อมกับการปล่อยพลังงาน ทำให้ส่วนใหญ่ไม่ต้องใช้ยาชา ในขณะที่ Thermage อาจทำให้รู้สึกเจ็บแบบ “ดีดๆ” หรือร้อนลึกๆ และมักใช้ยาชาร่วมด้วยเพื่อลดความรู้สึกไม่สบายผิว
  • ความลึกในการรักษา: ด้วยเทคโนโลยีคลื่นความถี่คู่ ทำให้ XERF สามารถส่งพลังงานลงไปได้ลึกถึงชั้น SMAS ซึ่งเป็นชั้นพังผืดที่ใช้ในการผ่าตัดดึงหน้า ในขณะที่ Thermage จะทำงานหลักๆ ที่ชั้นหนังแท้และชั้นไขมันใต้ผิวหนังส่วนบน
  • หัวยิง (Tip): หัวยิงของ XERF มีขนาดใหญ่กว่าและไม่มีวันหมดอายุภายในวันเดียว ทำให้สามารถแบ่งการรักษาเป็นหลายครั้งได้ ส่วนหัวยิงของ Thermage จะหมดอายุภายในไม่กี่ชั่วโมงหลังเปิดใช้งาน

ใครเหมาะกับ XERF และใครเหมาะกับ Thermage?

XERF เหมาะสำหรับผู้ที่กังวลเรื่องความเจ็บและต้องการยกกระชับใบหน้าส่วนล่างเป็นพิเศษ ในขณะที่ Thermage เหมาะสำหรับผู้ที่เชื่อมั่นในแบรนด์ดั้งเดิมหรือต้องการแก้ปัญหาหนังตาตกโดยเฉพาะ

ผู้ที่เหมาะกับ XERF คือ:

  • ผู้ที่กังวลหรือทนความเจ็บได้น้อย
  • ผู้ที่มีความหย่อนคล้อยปานกลางและต้องการยกกระชับบริเวณกรอบหน้าและแนวกราม
  • ผู้ที่ต้องการเทคโนโลยีใหม่ล่าสุด
  • ผู้ที่มองหาทางเลือกที่อาจมีราคาเข้าถึงง่ายกว่า

ผู้ที่เหมาะกับ Thermage คือ:

  • ผู้ที่ต้องการแก้ปัญหาความหย่อนคล้อยบริเวณเปลือกตาโดยเฉพาะ เนื่องจากมีหัวยิงสำหรับดวงตาที่ได้รับการรับรอง
  • ผู้ที่เชื่อมั่นในแบรนด์ที่เป็นที่รู้จักและมีประวัติการใช้งานยาวนาน
  • ผู้ที่เคยทำ Thermage มาก่อนและพอใจกับผลลัพธ์
  • ผู้ที่สามารถทนความรู้สึกร้อนระหว่างทำได้ในระดับหนึ่ง

ลักษณะปัญหาผิวที่เหมาะกับการรักษาด้วย XERF

XERF เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยระดับน้อยถึงปานกลาง มีริ้วรอย และต้องการปรับสภาพผิวให้กระชับเรียบเนียนขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่กลัวเจ็บหรือไม่ต้องการทายาชา

ลักษณะปัญหาผิวที่เหมาะกับการรักษาด้วย XERF ได้แก่:

  • ยกกระชับแก้มและบริเวณแนวกรามที่หย่อนคล้อย
  • ลดเลือนริ้วรอยร่องตื้น เช่น รอยตีนกา ร่องแก้ม และริ้วรอยหน้าผาก
  • กระชับผิวบริเวณลำคอและใต้คาง
  • ปรับสภาพผิวให้ดีขึ้น เช่น ลดขนาดรูขุมขน
  • ผู้ชายที่มีผิวหนาและเนื้อเยื่อหนัก ซึ่งอาจได้ประโยชน์จากเทคโนโลยีที่ส่งพลังงานได้ลึกขึ้น

ลักษณะปัญหาผิวที่เหมาะกับการรักษาด้วย Thermage

Thermage เหมาะสำหรับการรักษาปัญหาผิวหย่อนคล้อยเล็กน้อยถึงปานกลางและริ้วรอย โดยสามารถทำได้ในทุกสภาพสีผิว

ลักษณะปัญหาที่เหมาะกับการรักษาด้วย Thermage ได้แก่:

  • ความหย่อนคล้อยของผิว: เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาแก้มตก, กรอบหน้าไม่คมชัด, เหนียง, ความหย่อนคล้อยบริเวณลำคอ, หน้าท้อง, ต้นแขน และต้นขา
  • ริ้วรอย: ช่วยลดเลือนริ้วรอยบนใบหน้า เช่น ร่องแก้ม รอยตีนกา และริ้วรอยรอบดวงตา โดยเฉพาะการยกกระชับหนังตา (Thermage Eyes)
  • เซลลูไลท์: สามารถช่วยปรับปรุงปัญหาเซลลูไลท์ได้ชั่วคราว

ข้อควรพิจารณาและผู้ที่ไม่เหมาะกับการรักษา

ข้อควรพิจารณาและผู้ที่ไม่เหมาะกับการรักษาด้วย XERF และ Thermage คือ ผู้ที่ตั้งครรภ์ มีเครื่องกระตุ้นหัวใจ มีการติดเชื้อที่ผิวหนัง หรือมีสิ่งปลูกถ่ายที่เป็นโลหะในบริเวณที่ทำ

นอกจากนี้ ยังมีข้อควรพิจารณาสำหรับบุคคลบางกลุ่มเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและปลอดภัย ได้แก่

  • ผู้ที่มีข้อห้ามทางการแพทย์:
  • ผู้ที่ใส่เครื่องกระตุ้นหัวใจหรือเครื่องกระตุกหัวใจไฟฟ้า
  • สตรีมีครรภ์
  • ผู้ที่มีการติดเชื้อที่ผิวหนังหรือเป็นสิวรุนแรงในบริเวณที่ทำการรักษา
  • ผู้ที่ใช้ยาไอโสเตรติโนอิน (Isotretinoin) ในช่วงที่ผ่านมา
  • ผู้ที่มีสิ่งปลูกถ่ายที่เป็นโลหะ เช่น ไหมทองคำ ในบริเวณใบหน้า
  • ผู้ที่อาจไม่เห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน:
  • ผู้ที่มีผิวหย่อนคล้อยรุนแรงมากเกินไป ซึ่งอาจเหมาะกับการผ่าตัดมากกว่า
  • ผู้ที่มีไขมันใต้ผิวหนังจำนวนมากหรือใบหน้าส่วนล่างหนักมาก
  • ผู้ที่คาดหวังผลลัพธ์เทียบเท่าการผ่าตัดดึงหน้า
  • กรณีพิเศษที่ต้องใช้ความระมัดระวัง:
  • ใบหน้าที่ผอมมาก: ควรใช้ความระมัดระวังเนื่องจากมีความเสี่ยง (แม้จะน้อยมาก) ที่ไขมันจะลดลง
  • การทำหัตถการอื่น ๆ: ควรเว้นระยะห่างจากการฉีดฟิลเลอร์ หรือรอประมาณ 3-6 เดือนหลังการผ่าตัดดึงหน้าหรือมีแผลเป็นใหม่

เปรียบเทคโนโลยี: หลักการทำงานที่แตกต่างกัน

XERF: เทคโนโลยีคลื่นวิทยุ 2 ความถี่ (Dual-Frequency RF)

เทคโนโลยีคลื่นวิทยุ 2 ความถี่ (Dual-Frequency RF) ของ XERF คือการปล่อยพลังงานคลื่นวิทยุ 2 ความถี่ (6.78 MHz และ 2.0 MHz) พร้อมกันในหนึ่งช็อต เพื่อให้ความร้อนเข้าถึงเนื้อเยื่อหลายระดับชั้นได้ในคราวเดียว

การทำงานของแต่ละความถี่มีดังนี้:

  • คลื่นความถี่ 6.78 MHz: พลังงานจะลงไปที่ผิวชั้นหนังแท้ส่วนตื้น (Superficial Dermis) เพื่อกระตุ้นคอลลาเจนและแก้ปัญหาผิวชั้นบน
  • คลื่นความถี่ 2.0 MHz: เป็นคลื่นความถี่ต่ำที่สามารถลงไปได้ลึกกว่า ถึงชั้นเนื้อเยื่อพังผืด (Fibrous Septa) และชั้นพังผืดที่คลุมกล้ามเนื้อ (SMAS) ซึ่งเป็นโครงสร้างพยุงผิว

การผสมผสานนี้ทำให้ XERF สามารถยกกระชับได้ทั้งผิวหนังและโครงสร้างพยุงผิวที่อยู่ลึกไปพร้อมๆ กัน ซึ่งแตกต่างจากเทคโนโลยีคลื่นความถี่เดียวที่เน้นการทำงานที่ผิวชั้นหนังแท้เป็นหลัก

Thermage: เทคโนโลยีคลื่นวิทยุขั้วเดียว (Monopolar RF)

Thermage คือเทคโนโลยีคลื่นวิทยุความถี่เดียวแบบขั้วเดียว (Monopolar RF) ที่ใช้ในการยกกระชับผิวและฟื้นฟูสภาพผิวโดยไม่ต้องผ่าตัด โดยเครื่องจะส่งพลังงานความร้อนที่ควบคุมได้จากคลื่นความถี่ 6.78 MHz ลงสู่ชั้นหนังแท้และเครือข่ายเส้นใยพังผืด (fibroseptal network) ความร้อนดังกล่าวจะกระตุ้นให้คอลลาเจนหดตัวทันทีและส่งเสริมการสร้างคอลลาเจนใหม่ในระยะยาว ส่งผลให้ผิวเรียบเนียน กระชับขึ้น และริ้วรอยลดลง

ความลึกของชั้นผิวที่พลังงานลงไปถึง

XERF สามารถส่งพลังงานลงไปได้ลึกถึงชั้น SMAS ซึ่งเป็นชั้นพังผืดของกล้ามเนื้อ ในขณะที่ Thermage จะส่งพลังงานลงไปถึงชั้นหนังแท้และเครือข่ายเส้นใยในชั้นไขมันใต้ผิวหนัง ความแตกต่างนี้เกิดจากเทคโนโลยีคลื่นความถี่ที่ใช้

  • XERF: ใช้เทคโนโลยีคลื่นความถี่คู่ (Dual-Frequency) คือ 6.78 MHz และ 2.0 MHz ทำให้พลังงานลงไปได้หลายระดับความลึกพร้อมกัน ตั้งแต่ชั้นหนังแท้ไปจนถึงชั้น SMAS (ลึกประมาณ 4.5 มม.) ซึ่งเป็นชั้นเดียวกับการผ่าตัดดึงหน้า
  • Thermage: ใช้คลื่นความถี่เดียว (Single-Frequency) คือ 6.78 MHz ซึ่งพลังงานจะลงไปได้ลึกประมาณ 3-4 มม. โดยจะครอบคลุมชั้นหนังแท้และชั้นไขมันใต้ผิวหนังส่วนบน แต่โดยทั่วไปจะไม่ลงลึกถึงชั้น SMAS

เปรียบเทียบผลลัพธ์ ความรู้สึก และการพักฟื้น

ความรู้สึกขณะทำ: ระดับความเจ็บและความร้อน

XERF ให้ความรู้สึกอุ่นสบายและเจ็บน้อยมาก ในขณะที่ Thermage FLX ให้ความรู้สึกร้อนลึกเป็นช่วงๆ และอาจเจ็บได้ในบางจังหวะ โดยความแตกต่างของความรู้สึกระหว่างทำของทั้งสองเครื่องมีดังนี้

XERF:

  • ความรู้สึก: ให้ความรู้สึกเหมือนการนวดด้วยหินร้อนหรือรู้สึกอุ่นสบายผิว ไม่มีความร้อนพุ่งขึ้นมาอย่างรุนแรง
  • ระดับความเจ็บ: โดยทั่วไปอยู่ที่ 1-3 จาก 10 คะแนน
  • การระงับปวด: ไม่จำเป็นต้องใช้ยาชา
  • Thermage FLX:
  • ความรู้สึก: ให้ความรู้สึกร้อนลึกอย่างรวดเร็วในแต่ละช็อต คล้ายการถูกดีดเบาๆ สลับกับความเย็นทันที มีระบบสั่นเพื่อช่วยลดความเจ็บ
  • ระดับความเจ็บ: โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 3-5 จาก 10 คะแนน แต่อาจพุ่งสูงถึง 6-7 ในบางจังหวะ โดยเฉพาะบริเวณแนวกระดูก
  • การระงับปวด: บางครั้งมีการใช้ยาชาเฉพาะที่เพื่อเพิ่มความสบายให้แก่ผู้รับบริการ

ผลลัพธ์ที่คาดหวังและระยะเวลาเห็นผล

ผลลัพธ์ที่คาดหวังคือผิวที่ตึงกระชับขึ้น ริ้วรอยลดลง และกรอบหน้าที่คมชัดขึ้น โดยจะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงใน 1 เดือน และเห็นผลเต็มที่ในช่วง 2-6 เดือนหลังทำ

โดยทั่วไปแล้ว ผลลัพธ์จะค่อยๆ ปรากฏตามลำดับเวลาดังนี้

  • หลังทำทันที: อาจรู้สึกว่าผิวกระชับขึ้นเล็กน้อยทันที เนื่องจากการหดตัวของคอลลาเจน
  • 1-3 เดือน: เริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนขึ้น ผิวจะค่อยๆ เรียบเนียนและตึงกระชับขึ้น
  • 3-6 เดือน: เป็นช่วงที่เห็นผลลัพธ์เต็มที่และชัดเจนที่สุด
  • ระยะเวลาของผลลัพธ์: ผลลัพธ์จะคงอยู่ได้ประมาณ 1 ปี หรืออาจนานถึง 18-24 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและการดูแลของแต่ละบุคคล

ระยะเวลาของผลลัพธ์และการทำซ้ำ

ผลลัพธ์โดยทั่วไปจะคงอยู่ประมาณ 1 ปี และแนะนำให้ทำซ้ำเพื่อคงสภาพทุกๆ 12-18 เดือน

ในผู้ป่วยบางราย ผลลัพธ์อาจอยู่ได้นานถึง 18-24 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและการดูแลรักษาของแต่ละบุคคล แม้จะมีสมมติฐานว่าผลลัพธ์ของ XERF อาจอยู่ได้นานกว่า แต่ยังไม่มีข้อมูลระยะยาวมายืนยัน ดังนั้นคำแนะนำในการทำซ้ำของทั้งสองเทคโนโลยีจึงยังคงใกล้เคียงกัน

การดูแลตัวเองหลังทำและการพักฟื้น

การดูแลตัวเองหลังทำทั้ง XERF และ Thermage คือ สามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ทันทีโดยแทบไม่มีระยะเวลาพักฟื้น เนื่องจากเป็นหัตถการที่ไม่ทำให้เกิดบาดแผลบนผิว

หลังการทำอาจมีอาการบวมหรือแดงเล็กน้อยซึ่งจะหายไปเองภายในไม่กี่ชั่วโมง โดยทั่วไปอาการของ XERF จะน้อยกว่าและหายเร็วกว่า Thermage การดูแลที่สำคัญคือการให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวและทาครีมกันแดดอย่างสม่ำเสมอ โดยสามารถแต่งหน้าได้ในวันเดียวกันหลังทำ XERF หรือในวันถัดไปหลังทำ Thermage

กรอบราคาและจำนวนครั้งในการรักษาที่แนะนำ

ปัจจัยที่ส่งผลต่อราคาของ XERF และ Thermage

ปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อราคาของ XERF และ Thermage คือ ต้นทุนของเครื่องมือและหัวทิป (consumables), การจดจำของแบรนด์, และตำแหน่งทางการตลาด

ปัจจัยเหล่านี้ส่งผลต่อราคาที่ผู้บริโภคต้องจ่าย ดังนี้:

  • ต้นทุนเครื่องและหัวทิป: ทั้งสองเครื่องมีราคาสูง แต่หัวทิปของ Thermage มีราคาสูงกว่าและมีเวลาจำกัดในการใช้งาน (หมดอายุในไม่กี่ชั่วโมงหลังเปิดใช้) ทำให้ต้นทุนต่อการรักษาสูงขึ้น ในขณะที่หัวทิปของ XERF มีราคาถูกกว่าและไม่มีเวลาจำกัดในการใช้งาน ทำให้คลินิกมีความยืดหยุ่นและอาจมีต้นทุนที่ต่ำกว่า
  • การจดจำของแบรนด์และตำแหน่งทางการตลาด: Thermage เป็นแบรนด์ที่เป็นที่รู้จักและยอมรับในตลาดมานาน จึงสามารถตั้งราคาในระดับพรีเมียมได้ ในขณะที่ XERF เป็นเทคโนโลยีใหม่ที่มักจะตั้งราคาให้เข้าถึงง่ายกว่าเพื่อแข่งขันและสร้างส่วนแบ่งในตลาด
  • กำไรของคลินิก: คลินิกจะตั้งราคาการรักษาโดยคำนวณจากต้นทุนทั้งหมดเพื่อให้ได้ผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) ที่คุ้มค่า

จำนวนช็อต (Shots) ที่ใช้ในแต่ละบริเวณ

จำนวนช็อตที่ใช้สำหรับใบหน้าโดยทั่วไปคือ Thermage FLX ประมาณ 500–600 ช็อต และ XERF ประมาณ 300–400 ช็อต เนื่องจาก XERF มีหัวทิปที่ใหญ่กว่าจึงใช้จำนวนช็อตน้อยกว่าในการครอบคลุมพื้นที่เดียวกัน

จำนวนช็อตโดยประมาณสำหรับแต่ละบริเวณมีดังนี้:

Thermage FLX

  • ทั่วใบหน้า: 500–600 ช็อต
  • ทั่วใบหน้าและลำคอ: เพิ่มอีก 100–200 ช็อต
  • รอบดวงตา: 100–200 ช็อต (ด้วยหัวทิปขนาดเล็ก)
  • XERF
  • ทั่วใบหน้า: 300–400 ช็อต
  • ทั่วใบหน้าและลำคอ: ประมาณ 500 ช็อต

การตัดสินใจเลือก: ปัจจัยสำคัญที่ต้องพิจารณา

เป้าหมายหลักของการรักษา: ยกกระชับหรือปรับผิวเรียบเนียน

เป้าหมายหลักของการรักษาด้วย XERF และ Thermage คือการยกกระชับผิวที่หย่อนคล้อยและปรับสภาพผิวให้เรียบเนียนไปพร้อมกัน โดยทั้งสองเป้าหมายเกิดจากกลไกเดียวกันคือการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ใต้ผิว

  • การยกกระชับ (Lifting/Tightening): เน้นการแก้ปัญหาความหย่อนคล้อยของผิว เช่น บริเวณกรอบหน้า แก้ม และลำคอ
  • การปรับผิวเรียบเนียน (Smoothing): เน้นการลดเลือนริ้วรอยเล็กๆ (Fine lines) และปรับปรุงผิวสัมผัส (Skin texture) ให้ดีขึ้น

ความกังวลเรื่องความเจ็บและระยะเวลาพักฟื้น

XERF เจ็บน้อยกว่า Thermage อย่างชัดเจน และแทบไม่ต้องใช้ยาชา ในขณะที่ทั้งสองเครื่องไม่มีระยะเวลาพักฟื้น ทำให้สามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ทันที

  • XERF: ผู้ป่วยส่วนใหญ่รู้สึกสบายผิวเหมือนการนวดด้วยหินร้อน โดยมีระดับความเจ็บเฉลี่ยเพียง 1-3 จาก 10 จึงไม่จำเป็นต้องใช้ยาชา อาการแดงเล็กน้อยหลังทำจะหายไปภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง
  • Thermage FLX: ผู้ป่วยอาจรู้สึกร้อนวูบวาบหรือเหมือนถูกดีดเบาๆ ในบางจังหวะ โดยมีระดับความเจ็บเฉลี่ย 3-5 จาก 10 และบางครั้งอาจต้องใช้ยาชาเฉพาะที่เพื่อความสบาย อาการแดงหรือบวมเล็กน้อยอาจเกิดขึ้นได้และจะหายไปในเวลาไม่กี่ชั่วโมง

การเลือกคลินิกและแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

การเลือกแพทย์ที่มีประสบการณ์สูงและคลินิกที่ได้มาตรฐานเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เนื่องจากผลลัพธ์และความปลอดภัยของทั้งเครื่อง XERF และ Thermage ขึ้นอยู่กับผู้ทำเป็นอย่างมาก

ปัจจัยสำคัญในการพิจารณาเลือกคลินิกและแพทย์ ได้แก่:

  • ประสบการณ์และความเชี่ยวชาญของแพทย์ แพทย์ที่มีประสบการณ์จะสามารถประเมินสภาพผิว เลือกผู้ป่วยที่เหมาะสม และปรับตั้งค่าพลังงานได้อย่างเหมาะสมเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
  • การฝึกอบรมที่ถูกต้อง แพทย์และเจ้าหน้าที่ต้องผ่านการฝึกอบรมการใช้อุปกรณ์อย่างถูกต้อง ทั้งในด้านเทคนิคการวางหัวยิง การปรับพลังงาน และการดูแลผิวระหว่างทำ
  • การให้คำปรึกษาและประเมินผู้ป่วย คลินิกที่ดีจะสามารถให้คำแนะนำว่าเครื่องมือชนิดใดเหมาะสมกับปัญหาและความต้องการของผู้ป่วยแต่ละราย พร้อมทั้งจัดการความคาดหวังตามความเป็นจริง
  • ความน่าเชื่อถือและมาตรฐานของคลินิก ควรเลือกคลินิกที่ใช้เครื่องมือของแท้และทันสมัย มีการบำรุงรักษาอย่างสม่ำเสมอ และให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของผู้ป่วยเป็นอันดับแรก

ความเสี่ยง ผลข้างเคียง และข้อควรระวังของทั้งสองเทคโนโลยี

ทั้งสองเทคโนโลยีมีความปลอดภัยสูง โดยมีความเสี่ยงและผลข้างเคียงที่คล้ายคลึงกัน เช่น รอยแดงและอาการบวมชั่วคราว แต่ XERF ถูกออกแบบมาให้มีความเจ็บน้อยกว่าอย่างมีนัยสำคัญ

ผลข้างเคียงและความเสี่ยงที่สำคัญมีดังนี้:

ความเจ็บระหว่างทำ:

  • Thermage: ผู้ป่วยอาจรู้สึกร้อนลึกหรือเหมือนถูกดีดเบาๆ ในแต่ละช็อต แม้จะมีความรู้สึกสั่นเพื่อช่วยลดความเจ็บ แต่บางรายอาจยังรู้สึกเจ็บในระดับ 3-7 จาก 10 และอาจต้องใช้ยาชาเฉพาะที่
  • XERF: ให้ความรู้สึกอุ่นสบาย ไม่มีความร้อนพุ่งขึ้นมาอย่างรุนแรง ผู้ป่วยส่วนใหญ่ให้คะแนนความเจ็บเพียง 1-3 จาก 10 และไม่จำเป็นต้องใช้ยาชา
  • ผลข้างเคียงที่พบบ่อย:
  • Thermage: อาจมีรอยแดงและอาการบวมเล็กน้อย ซึ่งจะหายไปเองภายในไม่กี่ชั่วโมงถึงหนึ่งวัน
  • XERF: มีรอยแดงน้อยมากและมักจะจางลงภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง และมีอาการบวมน้อยมาก
  • ความเสี่ยงที่พบได้น้อยมาก:
  • ผิวไหม้หรือพุพอง: ความเสี่ยงต่ำมากสำหรับทั้งสองเครื่อง (<0.5% สำหรับ Thermage และยังไม่มีรายงานสำหรับ XERF) เนื่องจากมีระบบทำความเย็นที่ทันสมัย
  • ไขมันฝ่อ (Fat Atrophy): เป็นความเสี่ยงที่พบได้น้อยมาก (<0.1%) ใน Thermage รุ่นใหม่ๆ และมักเกี่ยวข้องกับการใช้พลังงานสูงเกินไปในอดีต สำหรับ XERF ยังไม่มีรายงานผลข้างเคียงนี้
  • รอยดำหลังการอักเสบ (PIH): ความเสี่ยงต่ำมากในทั้งสองเทคโนโลยี เพราะพลังงานคลื่นวิทยุไม่ทำปฏิกิริยากับเม็ดสีผิว
  • ข้อห้ามและข้อควรระวัง:
  • ทั้งสองเทคโนโลยีมีข้อห้ามเหมือนกัน คือ ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่ตั้งครรภ์, ผู้ที่ใส่เครื่องกระตุ้นหัวใจ (Pacemaker), มีการติดเชื้อที่ผิวหนังในบริเวณที่ทำ หรือมีโลหะฝังอยู่ในบริเวณที่จะทำการรักษา

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ XERF และ Thermage

ทำ XERF กับ Thermage เจ็บต่างกันมากไหม?

ต่างกัน, XERF เจ็บน้อยกว่า Thermage อย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากเทคโนโลยีการปล่อยพลังงานและการให้ความเย็นที่แตกต่างกัน

  • Thermage ให้ความรู้สึกเหมือนถูกดีดด้วยความร้อนสั้นๆ หรือ “ร้อนจี๊ด” ในแต่ละช็อต ระดับความเจ็บเฉลี่ยอยู่ที่ 3-5 จาก 10 และบางครั้งอาจต้องใช้ยาชาเพื่อความสบาย
  • XERF ให้ความรู้สึกอุ่นสบายต่อเนื่องคล้ายการนวดด้วยหินร้อน ไม่มีความรู้สึกเจ็บแบบกระตุก ระดับความเจ็บเฉลี่ยอยู่ที่ 1-3 จาก 10 และไม่จำเป็นต้องใช้ยาชา

ผลลัพธ์ของ XERF กับ Thermage อยู่ได้นานเท่ากันหรือไม่?

โดยทั่วไปแล้ว ผลลัพธ์ของทั้งสองเทคโนโลยีอยู่ได้นานใกล้เคียงกัน คือประมาณ 12–18 เดือน

อย่างไรก็ตาม มีสมมติฐานว่าผลลัพธ์ของ XERF อาจอยู่ได้นานกว่า เนื่องจากสามารถกระตุ้นคอลลาเจนในชั้นผิวที่ลึกกว่าได้ แต่ทฤษฎีนี้ยังต้องรอการพิสูจน์จากการศึกษาในระยะยาวต่อไป ปัจจุบันจึงแนะนำให้ทำการรักษาเพื่อคงผลลัพธ์ (maintenance) ในระยะเวลาที่ใกล้เคียงกัน

XERF และ Thermage ช่วยเรื่องอะไรได้บ้าง?

XERF และ Thermage เป็นเทคโนโลยีที่ช่วยยกกระชับผิว ลดเลือนริ้วรอย และฟื้นฟูสภาพผิวโดยไม่ต้องผ่าตัด โดยสามารถใช้ได้กับบริเวณต่างๆ ของใบหน้าและลำตัว ดังนี้

ใบหน้า:

  • ยกกระชับแก้ม กรอบหน้า และบริเวณใต้คางที่หย่อนคล้อย
  • ลดเลือนริ้วรอยและร่องลึก เช่น ร่องแก้ม ตีนกา และหน้าผาก
  • ยกคิ้วและเปลือกตา (โดยเฉพาะ Thermage ที่มีหัวสำหรับดวงตาโดยเฉพาะ)
  • ปรับปรุงสภาพผิวให้เรียบเนียนและกระชับรูขุมขน
  • ลำคอและเนินอก:
  • ลดความหย่อนคล้อยของผิวบริเวณลำคอและเนินอก
  • ลำตัว:
  • กระชับผิวบริเวณหน้าท้อง (เช่น หลังคลอดบุตร), ต้นแขน, ต้นขา, และบั้นท้าย
  • ช่วยลดเซลลูไลท์ได้ชั่วคราว

ใครบ้างที่ไม่เหมาะกับการทำ XERF หรือ Thermage?

ผู้ที่ไม่เหมาะกับการทำ XERF หรือ Thermage คือผู้ที่มีเครื่องกระตุ้นหัวใจ, กำลังตั้งครรภ์, มีการติดเชื้อที่ผิวหนัง หรือมีโลหะฝังในบริเวณที่จะทำ

กลุ่มคนที่ไม่ควรทำหัตถการเหล่านี้ ได้แก่:

  • ผู้ที่ใส่เครื่องกระตุ้นหัวใจ (Pacemaker) หรือเครื่องกระตุกหัวใจ (Defibrillator)
  • สตรีมีครรภ์
  • ผู้ที่มีการติดเชื้อที่ผิวหนังหรือเป็นสิวอักเสบรุนแรงในบริเวณที่จะทำ
  • ผู้ที่ใช้ยาไอโซเตรติโนอิน (Isotretinoin) ในช่วงที่ผ่านมา
  • ผู้ที่มีการฝังวัสดุที่เป็นโลหะ เช่น ไหมทอง ในบริเวณที่จะทำ

References:

  1. Cynosure Lutronic Inc. (2024). Cynosure Lutronic Announces U.S. Clearance of the XERF Device, Redefining the Future of Non-Invasive Skin Tightening. Business Wire. businesswire.com
  2. Suh, D.H. et al. (2020). A survey on monopolar radiofrequency treatment: The latest update. Dermatologic Therapy. wiley.com
  3. Hong, J. et al. (2024). Efficacy of dual-frequency noninvasive monopolar radiofrequency in skin tightening: Histological evidence. Skin Research and Technology. wiley.com
  4. Shin, J.M. et al. (2024). Efficacy and Safety of Monopolar Radiofrequency for Tightening the Skin of Aged Faces. Cosmetics. mdpi.com
  5. Cleveland Clinic. (n.d.). Radio Frequency (RF) Skin Tightening: Benefits & Dangers. clevelandclinic.org
  6. Narurkar, V. (2018). Thermage FLX: Single-Session Standout. Dermatology Times. dermatologytimes.com
  7. Carruthers, J. et al. (2014). Monopolar radiofrequency for skin tightening: our experience and a review of the literature. Dermatologic Surgery. lww.com
  8. DermNet New Zealand. (n.d.). Radiothermoplasty and Thermage. dermnetnz.org

แนะแนวเรื่อง

Previous Previous
XERF กับ Ulthera เลือกอะไรดี? เช็กลิสต์ 5 ข้อที่ควรรู้
NextContinue
ฟิลเลอร์แก้มส้มคืออะไร อันตรายไหม อยู่ได้นานเท่าไหร่

สาขาพรีวาโต คลินิก

    สาขาอโศก ตั้งอยู่ที่ ชั้น 2 อาคารมิดทาวน์
    Phone: 02-258-4050 , 081-841-5075
    สาขาสีลม ตั้งอยู่ที่ ชั้น 1 อาคารซี.พี.ทาวเวอร์
    Phone: 02-780-2011 , 098-272-5244
    สาขาราชพฤกษ์ ตั้งอยู่ที่ ชั้น 2 ศูนย์การค้า เดอะคริสตัล เอสบี (ด้านบนร้านสตาร์บัคส์)
    Phone: 02-102-2778 , 098-272-5244

ติดต่อเรา

    Facebook: Privato Clinic
    Messenger: Privato Clinic
    Instagram: privatoclinic
    Email: privatoclinic@gmail.com
    Line: @privatoclinic

Copyright© 2022-2024. All Rights Reserved

Scroll to top
  • หน้าหลัก
  • เกี่ยวกับพรีวาโต
  • บริการทั้งหมด
    • ชะลอวัย
    • ยกกระชับผิว
      • XERF
      • Potenza
      • Sofwave
      • Ulthera
      • Thermage-FLX
    • รักษาสิว
    • เลเซอร์
    • โปรแกรมฉีด
    • บำรุงผิว
  • บทความ
    • สิว
    • ยกกระชับ
    • ดูแลผิว
    • ทำเลเซอร์
  • ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว
  • โปรโมชั่น
  • ผลลัพธ์การรักษา
  • วิดีโอรีวิวจากเคสจริง
  • สาขาของเรา
  • ไทย
    • ไทย
    • English
    • 中文 (中国)
  • ปรึกษาแพทย์
Facebook Instagram YouTube