XERF กับ Thermage แตกต่างกันตรงไหน เลือกอันไหนดี?

ความแตกต่างสำคัญระหว่าง XERF และ Thermage
ความแตกต่างที่สำคัญที่สุดระหว่าง XERF และ Thermage คือ เทคโนโลยีคลื่นความถี่ที่ใช้ ระดับความลึกในการรักษา และระดับความสบายขณะทำ XERF เป็นเทคโนโลยีรุ่นใหม่ที่ใช้คลื่นความถี่คู่ (Dual-Frequency) เพื่อการรักษาที่ลึกกว่าและเจ็บน้อยกว่า ในขณะที่ Thermage เป็นเทคโนโลยีดั้งเดิมที่ใช้คลื่นความถี่เดียว
ความแตกต่างที่สำคัญมีดังนี้:
- เทคโนโลยีคลื่นความถี่: XERF ใช้คลื่นความถี่ 2 ชนิด (6.78 MHz และ 2.0 MHz) พร้อมกันในหนึ่งช็อต ทำให้พลังงานลงไปได้หลายระดับความลึกในคราวเดียว ส่วน Thermage ใช้คลื่นความถี่เดียว (6.78 MHz) ซึ่งเน้นการทำงานที่ชั้นหนังแท้เป็นหลัก
- ระดับความสบาย: XERF ถูกออกแบบมาให้เจ็บน้อยมากหรือแทบไม่เจ็บเลย เนื่องจากมีระบบให้ความเย็นที่ทำงานตลอดเวลาพร้อมกับการปล่อยพลังงาน ทำให้ส่วนใหญ่ไม่ต้องใช้ยาชา ในขณะที่ Thermage อาจทำให้รู้สึกเจ็บแบบ “ดีดๆ” หรือร้อนลึกๆ และมักใช้ยาชาร่วมด้วยเพื่อลดความรู้สึกไม่สบายผิว
- ความลึกในการรักษา: ด้วยเทคโนโลยีคลื่นความถี่คู่ ทำให้ XERF สามารถส่งพลังงานลงไปได้ลึกถึงชั้น SMAS ซึ่งเป็นชั้นพังผืดที่ใช้ในการผ่าตัดดึงหน้า ในขณะที่ Thermage จะทำงานหลักๆ ที่ชั้นหนังแท้และชั้นไขมันใต้ผิวหนังส่วนบน
- หัวยิง (Tip): หัวยิงของ XERF มีขนาดใหญ่กว่าและไม่มีวันหมดอายุภายในวันเดียว ทำให้สามารถแบ่งการรักษาเป็นหลายครั้งได้ ส่วนหัวยิงของ Thermage จะหมดอายุภายในไม่กี่ชั่วโมงหลังเปิดใช้งาน
ใครเหมาะกับ XERF และใครเหมาะกับ Thermage?
XERF เหมาะสำหรับผู้ที่กังวลเรื่องความเจ็บและต้องการยกกระชับใบหน้าส่วนล่างเป็นพิเศษ ในขณะที่ Thermage เหมาะสำหรับผู้ที่เชื่อมั่นในแบรนด์ดั้งเดิมหรือต้องการแก้ปัญหาหนังตาตกโดยเฉพาะ
ผู้ที่เหมาะกับ XERF คือ:
- ผู้ที่กังวลหรือทนความเจ็บได้น้อย
- ผู้ที่มีความหย่อนคล้อยปานกลางและต้องการยกกระชับบริเวณกรอบหน้าและแนวกราม
- ผู้ที่ต้องการเทคโนโลยีใหม่ล่าสุด
- ผู้ที่มองหาทางเลือกที่อาจมีราคาเข้าถึงง่ายกว่า
ผู้ที่เหมาะกับ Thermage คือ:
- ผู้ที่ต้องการแก้ปัญหาความหย่อนคล้อยบริเวณเปลือกตาโดยเฉพาะ เนื่องจากมีหัวยิงสำหรับดวงตาที่ได้รับการรับรอง
- ผู้ที่เชื่อมั่นในแบรนด์ที่เป็นที่รู้จักและมีประวัติการใช้งานยาวนาน
- ผู้ที่เคยทำ Thermage มาก่อนและพอใจกับผลลัพธ์
- ผู้ที่สามารถทนความรู้สึกร้อนระหว่างทำได้ในระดับหนึ่ง
ลักษณะปัญหาผิวที่เหมาะกับการรักษาด้วย XERF
XERF เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยระดับน้อยถึงปานกลาง มีริ้วรอย และต้องการปรับสภาพผิวให้กระชับเรียบเนียนขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่กลัวเจ็บหรือไม่ต้องการทายาชา
ลักษณะปัญหาผิวที่เหมาะกับการรักษาด้วย XERF ได้แก่:
- ยกกระชับแก้มและบริเวณแนวกรามที่หย่อนคล้อย
- ลดเลือนริ้วรอยร่องตื้น เช่น รอยตีนกา ร่องแก้ม และริ้วรอยหน้าผาก
- กระชับผิวบริเวณลำคอและใต้คาง
- ปรับสภาพผิวให้ดีขึ้น เช่น ลดขนาดรูขุมขน
- ผู้ชายที่มีผิวหนาและเนื้อเยื่อหนัก ซึ่งอาจได้ประโยชน์จากเทคโนโลยีที่ส่งพลังงานได้ลึกขึ้น
ลักษณะปัญหาผิวที่เหมาะกับการรักษาด้วย Thermage
Thermage เหมาะสำหรับการรักษาปัญหาผิวหย่อนคล้อยเล็กน้อยถึงปานกลางและริ้วรอย โดยสามารถทำได้ในทุกสภาพสีผิว
ลักษณะปัญหาที่เหมาะกับการรักษาด้วย Thermage ได้แก่:
- ความหย่อนคล้อยของผิว: เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาแก้มตก, กรอบหน้าไม่คมชัด, เหนียง, ความหย่อนคล้อยบริเวณลำคอ, หน้าท้อง, ต้นแขน และต้นขา
- ริ้วรอย: ช่วยลดเลือนริ้วรอยบนใบหน้า เช่น ร่องแก้ม รอยตีนกา และริ้วรอยรอบดวงตา โดยเฉพาะการยกกระชับหนังตา (Thermage Eyes)
- เซลลูไลท์: สามารถช่วยปรับปรุงปัญหาเซลลูไลท์ได้ชั่วคราว
ข้อควรพิจารณาและผู้ที่ไม่เหมาะกับการรักษา
ข้อควรพิจารณาและผู้ที่ไม่เหมาะกับการรักษาด้วย XERF และ Thermage คือ ผู้ที่ตั้งครรภ์ มีเครื่องกระตุ้นหัวใจ มีการติดเชื้อที่ผิวหนัง หรือมีสิ่งปลูกถ่ายที่เป็นโลหะในบริเวณที่ทำ
นอกจากนี้ ยังมีข้อควรพิจารณาสำหรับบุคคลบางกลุ่มเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและปลอดภัย ได้แก่
- ผู้ที่มีข้อห้ามทางการแพทย์:
- ผู้ที่ใส่เครื่องกระตุ้นหัวใจหรือเครื่องกระตุกหัวใจไฟฟ้า
- สตรีมีครรภ์
- ผู้ที่มีการติดเชื้อที่ผิวหนังหรือเป็นสิวรุนแรงในบริเวณที่ทำการรักษา
- ผู้ที่ใช้ยาไอโสเตรติโนอิน (Isotretinoin) ในช่วงที่ผ่านมา
- ผู้ที่มีสิ่งปลูกถ่ายที่เป็นโลหะ เช่น ไหมทองคำ ในบริเวณใบหน้า
- ผู้ที่อาจไม่เห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน:
- ผู้ที่มีผิวหย่อนคล้อยรุนแรงมากเกินไป ซึ่งอาจเหมาะกับการผ่าตัดมากกว่า
- ผู้ที่มีไขมันใต้ผิวหนังจำนวนมากหรือใบหน้าส่วนล่างหนักมาก
- ผู้ที่คาดหวังผลลัพธ์เทียบเท่าการผ่าตัดดึงหน้า
- กรณีพิเศษที่ต้องใช้ความระมัดระวัง:
- ใบหน้าที่ผอมมาก: ควรใช้ความระมัดระวังเนื่องจากมีความเสี่ยง (แม้จะน้อยมาก) ที่ไขมันจะลดลง
- การทำหัตถการอื่น ๆ: ควรเว้นระยะห่างจากการฉีดฟิลเลอร์ หรือรอประมาณ 3-6 เดือนหลังการผ่าตัดดึงหน้าหรือมีแผลเป็นใหม่
เปรียบเทคโนโลยี: หลักการทำงานที่แตกต่างกัน
XERF: เทคโนโลยีคลื่นวิทยุ 2 ความถี่ (Dual-Frequency RF)
เทคโนโลยีคลื่นวิทยุ 2 ความถี่ (Dual-Frequency RF) ของ XERF คือการปล่อยพลังงานคลื่นวิทยุ 2 ความถี่ (6.78 MHz และ 2.0 MHz) พร้อมกันในหนึ่งช็อต เพื่อให้ความร้อนเข้าถึงเนื้อเยื่อหลายระดับชั้นได้ในคราวเดียว
การทำงานของแต่ละความถี่มีดังนี้:
- คลื่นความถี่ 6.78 MHz: พลังงานจะลงไปที่ผิวชั้นหนังแท้ส่วนตื้น (Superficial Dermis) เพื่อกระตุ้นคอลลาเจนและแก้ปัญหาผิวชั้นบน
- คลื่นความถี่ 2.0 MHz: เป็นคลื่นความถี่ต่ำที่สามารถลงไปได้ลึกกว่า ถึงชั้นเนื้อเยื่อพังผืด (Fibrous Septa) และชั้นพังผืดที่คลุมกล้ามเนื้อ (SMAS) ซึ่งเป็นโครงสร้างพยุงผิว
การผสมผสานนี้ทำให้ XERF สามารถยกกระชับได้ทั้งผิวหนังและโครงสร้างพยุงผิวที่อยู่ลึกไปพร้อมๆ กัน ซึ่งแตกต่างจากเทคโนโลยีคลื่นความถี่เดียวที่เน้นการทำงานที่ผิวชั้นหนังแท้เป็นหลัก
Thermage: เทคโนโลยีคลื่นวิทยุขั้วเดียว (Monopolar RF)
Thermage คือเทคโนโลยีคลื่นวิทยุความถี่เดียวแบบขั้วเดียว (Monopolar RF) ที่ใช้ในการยกกระชับผิวและฟื้นฟูสภาพผิวโดยไม่ต้องผ่าตัด โดยเครื่องจะส่งพลังงานความร้อนที่ควบคุมได้จากคลื่นความถี่ 6.78 MHz ลงสู่ชั้นหนังแท้และเครือข่ายเส้นใยพังผืด (fibroseptal network) ความร้อนดังกล่าวจะกระตุ้นให้คอลลาเจนหดตัวทันทีและส่งเสริมการสร้างคอลลาเจนใหม่ในระยะยาว ส่งผลให้ผิวเรียบเนียน กระชับขึ้น และริ้วรอยลดลง
ความลึกของชั้นผิวที่พลังงานลงไปถึง
XERF สามารถส่งพลังงานลงไปได้ลึกถึงชั้น SMAS ซึ่งเป็นชั้นพังผืดของกล้ามเนื้อ ในขณะที่ Thermage จะส่งพลังงานลงไปถึงชั้นหนังแท้และเครือข่ายเส้นใยในชั้นไขมันใต้ผิวหนัง ความแตกต่างนี้เกิดจากเทคโนโลยีคลื่นความถี่ที่ใช้
- XERF: ใช้เทคโนโลยีคลื่นความถี่คู่ (Dual-Frequency) คือ 6.78 MHz และ 2.0 MHz ทำให้พลังงานลงไปได้หลายระดับความลึกพร้อมกัน ตั้งแต่ชั้นหนังแท้ไปจนถึงชั้น SMAS (ลึกประมาณ 4.5 มม.) ซึ่งเป็นชั้นเดียวกับการผ่าตัดดึงหน้า
- Thermage: ใช้คลื่นความถี่เดียว (Single-Frequency) คือ 6.78 MHz ซึ่งพลังงานจะลงไปได้ลึกประมาณ 3-4 มม. โดยจะครอบคลุมชั้นหนังแท้และชั้นไขมันใต้ผิวหนังส่วนบน แต่โดยทั่วไปจะไม่ลงลึกถึงชั้น SMAS
เปรียบเทียบผลลัพธ์ ความรู้สึก และการพักฟื้น
ความรู้สึกขณะทำ: ระดับความเจ็บและความร้อน
XERF ให้ความรู้สึกอุ่นสบายและเจ็บน้อยมาก ในขณะที่ Thermage FLX ให้ความรู้สึกร้อนลึกเป็นช่วงๆ และอาจเจ็บได้ในบางจังหวะ โดยความแตกต่างของความรู้สึกระหว่างทำของทั้งสองเครื่องมีดังนี้
XERF:
- ความรู้สึก: ให้ความรู้สึกเหมือนการนวดด้วยหินร้อนหรือรู้สึกอุ่นสบายผิว ไม่มีความร้อนพุ่งขึ้นมาอย่างรุนแรง
- ระดับความเจ็บ: โดยทั่วไปอยู่ที่ 1-3 จาก 10 คะแนน
- การระงับปวด: ไม่จำเป็นต้องใช้ยาชา
- Thermage FLX:
- ความรู้สึก: ให้ความรู้สึกร้อนลึกอย่างรวดเร็วในแต่ละช็อต คล้ายการถูกดีดเบาๆ สลับกับความเย็นทันที มีระบบสั่นเพื่อช่วยลดความเจ็บ
- ระดับความเจ็บ: โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 3-5 จาก 10 คะแนน แต่อาจพุ่งสูงถึง 6-7 ในบางจังหวะ โดยเฉพาะบริเวณแนวกระดูก
- การระงับปวด: บางครั้งมีการใช้ยาชาเฉพาะที่เพื่อเพิ่มความสบายให้แก่ผู้รับบริการ
ผลลัพธ์ที่คาดหวังและระยะเวลาเห็นผล
ผลลัพธ์ที่คาดหวังคือผิวที่ตึงกระชับขึ้น ริ้วรอยลดลง และกรอบหน้าที่คมชัดขึ้น โดยจะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงใน 1 เดือน และเห็นผลเต็มที่ในช่วง 2-6 เดือนหลังทำ
โดยทั่วไปแล้ว ผลลัพธ์จะค่อยๆ ปรากฏตามลำดับเวลาดังนี้
- หลังทำทันที: อาจรู้สึกว่าผิวกระชับขึ้นเล็กน้อยทันที เนื่องจากการหดตัวของคอลลาเจน
- 1-3 เดือน: เริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนขึ้น ผิวจะค่อยๆ เรียบเนียนและตึงกระชับขึ้น
- 3-6 เดือน: เป็นช่วงที่เห็นผลลัพธ์เต็มที่และชัดเจนที่สุด
- ระยะเวลาของผลลัพธ์: ผลลัพธ์จะคงอยู่ได้ประมาณ 1 ปี หรืออาจนานถึง 18-24 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและการดูแลของแต่ละบุคคล
ระยะเวลาของผลลัพธ์และการทำซ้ำ
ผลลัพธ์โดยทั่วไปจะคงอยู่ประมาณ 1 ปี และแนะนำให้ทำซ้ำเพื่อคงสภาพทุกๆ 12-18 เดือน
ในผู้ป่วยบางราย ผลลัพธ์อาจอยู่ได้นานถึง 18-24 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและการดูแลรักษาของแต่ละบุคคล แม้จะมีสมมติฐานว่าผลลัพธ์ของ XERF อาจอยู่ได้นานกว่า แต่ยังไม่มีข้อมูลระยะยาวมายืนยัน ดังนั้นคำแนะนำในการทำซ้ำของทั้งสองเทคโนโลยีจึงยังคงใกล้เคียงกัน
การดูแลตัวเองหลังทำและการพักฟื้น
การดูแลตัวเองหลังทำทั้ง XERF และ Thermage คือ สามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ทันทีโดยแทบไม่มีระยะเวลาพักฟื้น เนื่องจากเป็นหัตถการที่ไม่ทำให้เกิดบาดแผลบนผิว
หลังการทำอาจมีอาการบวมหรือแดงเล็กน้อยซึ่งจะหายไปเองภายในไม่กี่ชั่วโมง โดยทั่วไปอาการของ XERF จะน้อยกว่าและหายเร็วกว่า Thermage การดูแลที่สำคัญคือการให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวและทาครีมกันแดดอย่างสม่ำเสมอ โดยสามารถแต่งหน้าได้ในวันเดียวกันหลังทำ XERF หรือในวันถัดไปหลังทำ Thermage
กรอบราคาและจำนวนครั้งในการรักษาที่แนะนำ
ปัจจัยที่ส่งผลต่อราคาของ XERF และ Thermage
ปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อราคาของ XERF และ Thermage คือ ต้นทุนของเครื่องมือและหัวทิป (consumables), การจดจำของแบรนด์, และตำแหน่งทางการตลาด
ปัจจัยเหล่านี้ส่งผลต่อราคาที่ผู้บริโภคต้องจ่าย ดังนี้:
- ต้นทุนเครื่องและหัวทิป: ทั้งสองเครื่องมีราคาสูง แต่หัวทิปของ Thermage มีราคาสูงกว่าและมีเวลาจำกัดในการใช้งาน (หมดอายุในไม่กี่ชั่วโมงหลังเปิดใช้) ทำให้ต้นทุนต่อการรักษาสูงขึ้น ในขณะที่หัวทิปของ XERF มีราคาถูกกว่าและไม่มีเวลาจำกัดในการใช้งาน ทำให้คลินิกมีความยืดหยุ่นและอาจมีต้นทุนที่ต่ำกว่า
- การจดจำของแบรนด์และตำแหน่งทางการตลาด: Thermage เป็นแบรนด์ที่เป็นที่รู้จักและยอมรับในตลาดมานาน จึงสามารถตั้งราคาในระดับพรีเมียมได้ ในขณะที่ XERF เป็นเทคโนโลยีใหม่ที่มักจะตั้งราคาให้เข้าถึงง่ายกว่าเพื่อแข่งขันและสร้างส่วนแบ่งในตลาด
- กำไรของคลินิก: คลินิกจะตั้งราคาการรักษาโดยคำนวณจากต้นทุนทั้งหมดเพื่อให้ได้ผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) ที่คุ้มค่า
จำนวนช็อต (Shots) ที่ใช้ในแต่ละบริเวณ
จำนวนช็อตที่ใช้สำหรับใบหน้าโดยทั่วไปคือ Thermage FLX ประมาณ 500–600 ช็อต และ XERF ประมาณ 300–400 ช็อต เนื่องจาก XERF มีหัวทิปที่ใหญ่กว่าจึงใช้จำนวนช็อตน้อยกว่าในการครอบคลุมพื้นที่เดียวกัน
จำนวนช็อตโดยประมาณสำหรับแต่ละบริเวณมีดังนี้:
Thermage FLX
- ทั่วใบหน้า: 500–600 ช็อต
- ทั่วใบหน้าและลำคอ: เพิ่มอีก 100–200 ช็อต
- รอบดวงตา: 100–200 ช็อต (ด้วยหัวทิปขนาดเล็ก)
- XERF
- ทั่วใบหน้า: 300–400 ช็อต
- ทั่วใบหน้าและลำคอ: ประมาณ 500 ช็อต
การตัดสินใจเลือก: ปัจจัยสำคัญที่ต้องพิจารณา
เป้าหมายหลักของการรักษา: ยกกระชับหรือปรับผิวเรียบเนียน
เป้าหมายหลักของการรักษาด้วย XERF และ Thermage คือการยกกระชับผิวที่หย่อนคล้อยและปรับสภาพผิวให้เรียบเนียนไปพร้อมกัน โดยทั้งสองเป้าหมายเกิดจากกลไกเดียวกันคือการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ใต้ผิว
- การยกกระชับ (Lifting/Tightening): เน้นการแก้ปัญหาความหย่อนคล้อยของผิว เช่น บริเวณกรอบหน้า แก้ม และลำคอ
- การปรับผิวเรียบเนียน (Smoothing): เน้นการลดเลือนริ้วรอยเล็กๆ (Fine lines) และปรับปรุงผิวสัมผัส (Skin texture) ให้ดีขึ้น
ความกังวลเรื่องความเจ็บและระยะเวลาพักฟื้น
XERF เจ็บน้อยกว่า Thermage อย่างชัดเจน และแทบไม่ต้องใช้ยาชา ในขณะที่ทั้งสองเครื่องไม่มีระยะเวลาพักฟื้น ทำให้สามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ทันที
- XERF: ผู้ป่วยส่วนใหญ่รู้สึกสบายผิวเหมือนการนวดด้วยหินร้อน โดยมีระดับความเจ็บเฉลี่ยเพียง 1-3 จาก 10 จึงไม่จำเป็นต้องใช้ยาชา อาการแดงเล็กน้อยหลังทำจะหายไปภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง
- Thermage FLX: ผู้ป่วยอาจรู้สึกร้อนวูบวาบหรือเหมือนถูกดีดเบาๆ ในบางจังหวะ โดยมีระดับความเจ็บเฉลี่ย 3-5 จาก 10 และบางครั้งอาจต้องใช้ยาชาเฉพาะที่เพื่อความสบาย อาการแดงหรือบวมเล็กน้อยอาจเกิดขึ้นได้และจะหายไปในเวลาไม่กี่ชั่วโมง
การเลือกคลินิกและแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
การเลือกแพทย์ที่มีประสบการณ์สูงและคลินิกที่ได้มาตรฐานเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เนื่องจากผลลัพธ์และความปลอดภัยของทั้งเครื่อง XERF และ Thermage ขึ้นอยู่กับผู้ทำเป็นอย่างมาก
ปัจจัยสำคัญในการพิจารณาเลือกคลินิกและแพทย์ ได้แก่:
- ประสบการณ์และความเชี่ยวชาญของแพทย์ แพทย์ที่มีประสบการณ์จะสามารถประเมินสภาพผิว เลือกผู้ป่วยที่เหมาะสม และปรับตั้งค่าพลังงานได้อย่างเหมาะสมเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
- การฝึกอบรมที่ถูกต้อง แพทย์และเจ้าหน้าที่ต้องผ่านการฝึกอบรมการใช้อุปกรณ์อย่างถูกต้อง ทั้งในด้านเทคนิคการวางหัวยิง การปรับพลังงาน และการดูแลผิวระหว่างทำ
- การให้คำปรึกษาและประเมินผู้ป่วย คลินิกที่ดีจะสามารถให้คำแนะนำว่าเครื่องมือชนิดใดเหมาะสมกับปัญหาและความต้องการของผู้ป่วยแต่ละราย พร้อมทั้งจัดการความคาดหวังตามความเป็นจริง
- ความน่าเชื่อถือและมาตรฐานของคลินิก ควรเลือกคลินิกที่ใช้เครื่องมือของแท้และทันสมัย มีการบำรุงรักษาอย่างสม่ำเสมอ และให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของผู้ป่วยเป็นอันดับแรก
ความเสี่ยง ผลข้างเคียง และข้อควรระวังของทั้งสองเทคโนโลยี
ทั้งสองเทคโนโลยีมีความปลอดภัยสูง โดยมีความเสี่ยงและผลข้างเคียงที่คล้ายคลึงกัน เช่น รอยแดงและอาการบวมชั่วคราว แต่ XERF ถูกออกแบบมาให้มีความเจ็บน้อยกว่าอย่างมีนัยสำคัญ
ผลข้างเคียงและความเสี่ยงที่สำคัญมีดังนี้:
ความเจ็บระหว่างทำ:
- Thermage: ผู้ป่วยอาจรู้สึกร้อนลึกหรือเหมือนถูกดีดเบาๆ ในแต่ละช็อต แม้จะมีความรู้สึกสั่นเพื่อช่วยลดความเจ็บ แต่บางรายอาจยังรู้สึกเจ็บในระดับ 3-7 จาก 10 และอาจต้องใช้ยาชาเฉพาะที่
- XERF: ให้ความรู้สึกอุ่นสบาย ไม่มีความร้อนพุ่งขึ้นมาอย่างรุนแรง ผู้ป่วยส่วนใหญ่ให้คะแนนความเจ็บเพียง 1-3 จาก 10 และไม่จำเป็นต้องใช้ยาชา
- ผลข้างเคียงที่พบบ่อย:
- Thermage: อาจมีรอยแดงและอาการบวมเล็กน้อย ซึ่งจะหายไปเองภายในไม่กี่ชั่วโมงถึงหนึ่งวัน
- XERF: มีรอยแดงน้อยมากและมักจะจางลงภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง และมีอาการบวมน้อยมาก
- ความเสี่ยงที่พบได้น้อยมาก:
- ผิวไหม้หรือพุพอง: ความเสี่ยงต่ำมากสำหรับทั้งสองเครื่อง (<0.5% สำหรับ Thermage และยังไม่มีรายงานสำหรับ XERF) เนื่องจากมีระบบทำความเย็นที่ทันสมัย
- ไขมันฝ่อ (Fat Atrophy): เป็นความเสี่ยงที่พบได้น้อยมาก (<0.1%) ใน Thermage รุ่นใหม่ๆ และมักเกี่ยวข้องกับการใช้พลังงานสูงเกินไปในอดีต สำหรับ XERF ยังไม่มีรายงานผลข้างเคียงนี้
- รอยดำหลังการอักเสบ (PIH): ความเสี่ยงต่ำมากในทั้งสองเทคโนโลยี เพราะพลังงานคลื่นวิทยุไม่ทำปฏิกิริยากับเม็ดสีผิว
- ข้อห้ามและข้อควรระวัง:
- ทั้งสองเทคโนโลยีมีข้อห้ามเหมือนกัน คือ ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่ตั้งครรภ์, ผู้ที่ใส่เครื่องกระตุ้นหัวใจ (Pacemaker), มีการติดเชื้อที่ผิวหนังในบริเวณที่ทำ หรือมีโลหะฝังอยู่ในบริเวณที่จะทำการรักษา
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ XERF และ Thermage
ทำ XERF กับ Thermage เจ็บต่างกันมากไหม?
ต่างกัน, XERF เจ็บน้อยกว่า Thermage อย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากเทคโนโลยีการปล่อยพลังงานและการให้ความเย็นที่แตกต่างกัน
- Thermage ให้ความรู้สึกเหมือนถูกดีดด้วยความร้อนสั้นๆ หรือ “ร้อนจี๊ด” ในแต่ละช็อต ระดับความเจ็บเฉลี่ยอยู่ที่ 3-5 จาก 10 และบางครั้งอาจต้องใช้ยาชาเพื่อความสบาย
- XERF ให้ความรู้สึกอุ่นสบายต่อเนื่องคล้ายการนวดด้วยหินร้อน ไม่มีความรู้สึกเจ็บแบบกระตุก ระดับความเจ็บเฉลี่ยอยู่ที่ 1-3 จาก 10 และไม่จำเป็นต้องใช้ยาชา
ผลลัพธ์ของ XERF กับ Thermage อยู่ได้นานเท่ากันหรือไม่?
โดยทั่วไปแล้ว ผลลัพธ์ของทั้งสองเทคโนโลยีอยู่ได้นานใกล้เคียงกัน คือประมาณ 12–18 เดือน
อย่างไรก็ตาม มีสมมติฐานว่าผลลัพธ์ของ XERF อาจอยู่ได้นานกว่า เนื่องจากสามารถกระตุ้นคอลลาเจนในชั้นผิวที่ลึกกว่าได้ แต่ทฤษฎีนี้ยังต้องรอการพิสูจน์จากการศึกษาในระยะยาวต่อไป ปัจจุบันจึงแนะนำให้ทำการรักษาเพื่อคงผลลัพธ์ (maintenance) ในระยะเวลาที่ใกล้เคียงกัน
XERF และ Thermage ช่วยเรื่องอะไรได้บ้าง?
XERF และ Thermage เป็นเทคโนโลยีที่ช่วยยกกระชับผิว ลดเลือนริ้วรอย และฟื้นฟูสภาพผิวโดยไม่ต้องผ่าตัด โดยสามารถใช้ได้กับบริเวณต่างๆ ของใบหน้าและลำตัว ดังนี้
ใบหน้า:
- ยกกระชับแก้ม กรอบหน้า และบริเวณใต้คางที่หย่อนคล้อย
- ลดเลือนริ้วรอยและร่องลึก เช่น ร่องแก้ม ตีนกา และหน้าผาก
- ยกคิ้วและเปลือกตา (โดยเฉพาะ Thermage ที่มีหัวสำหรับดวงตาโดยเฉพาะ)
- ปรับปรุงสภาพผิวให้เรียบเนียนและกระชับรูขุมขน
- ลำคอและเนินอก:
- ลดความหย่อนคล้อยของผิวบริเวณลำคอและเนินอก
- ลำตัว:
- กระชับผิวบริเวณหน้าท้อง (เช่น หลังคลอดบุตร), ต้นแขน, ต้นขา, และบั้นท้าย
- ช่วยลดเซลลูไลท์ได้ชั่วคราว
ใครบ้างที่ไม่เหมาะกับการทำ XERF หรือ Thermage?
ผู้ที่ไม่เหมาะกับการทำ XERF หรือ Thermage คือผู้ที่มีเครื่องกระตุ้นหัวใจ, กำลังตั้งครรภ์, มีการติดเชื้อที่ผิวหนัง หรือมีโลหะฝังในบริเวณที่จะทำ
กลุ่มคนที่ไม่ควรทำหัตถการเหล่านี้ ได้แก่:
- ผู้ที่ใส่เครื่องกระตุ้นหัวใจ (Pacemaker) หรือเครื่องกระตุกหัวใจ (Defibrillator)
- สตรีมีครรภ์
- ผู้ที่มีการติดเชื้อที่ผิวหนังหรือเป็นสิวอักเสบรุนแรงในบริเวณที่จะทำ
- ผู้ที่ใช้ยาไอโซเตรติโนอิน (Isotretinoin) ในช่วงที่ผ่านมา
- ผู้ที่มีการฝังวัสดุที่เป็นโลหะ เช่น ไหมทอง ในบริเวณที่จะทำ
References:
- Cynosure Lutronic Inc. (2024). Cynosure Lutronic Announces U.S. Clearance of the XERF Device, Redefining the Future of Non-Invasive Skin Tightening. Business Wire. businesswire.com
- Suh, D.H. et al. (2020). A survey on monopolar radiofrequency treatment: The latest update. Dermatologic Therapy. wiley.com
- Hong, J. et al. (2024). Efficacy of dual-frequency noninvasive monopolar radiofrequency in skin tightening: Histological evidence. Skin Research and Technology. wiley.com
- Shin, J.M. et al. (2024). Efficacy and Safety of Monopolar Radiofrequency for Tightening the Skin of Aged Faces. Cosmetics. mdpi.com
- Cleveland Clinic. (n.d.). Radio Frequency (RF) Skin Tightening: Benefits & Dangers. clevelandclinic.org
- Narurkar, V. (2018). Thermage FLX: Single-Session Standout. Dermatology Times. dermatologytimes.com
- Carruthers, J. et al. (2014). Monopolar radiofrequency for skin tightening: our experience and a review of the literature. Dermatologic Surgery. lww.com
- DermNet New Zealand. (n.d.). Radiothermoplasty and Thermage. dermnetnz.org
