ฉีดผิว ขาวจริงไหม? รีวิว ข้อดี ข้อเสีย อันตรายหรือไม่ 2025

ฉีดผิว ขาวจริงไหมนั้นขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล โดยเป็นการฉีดสารต้านอนุมูลอิสระปริมาณสูงเพื่อลดเม็ดสี ทำให้ผิวสว่างขึ้น 1-2 ระดับ แต่ผลลัพธ์ไม่ถาวรและมีความเสี่ยงหากใช้สารไม่ได้มาตรฐานหรือแพทย์ไม่มีประสบการณ์.
ฉีดผิวขาวคืออะไร?
การฉีดผิวขาว คือหัตถการทางความงามที่ใช้การฉีดสารต้านอนุมูลอิสระปริมาณสูง เช่น กลูตาไธโอนและวิตามินซี เข้าสู่กระแสเลือดโดยตรง เพื่อลดการผลิตเม็ดสีเมลานินและทำให้โทนสีผิวโดยรวมสว่างขึ้น สารเหล่านี้จะช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระที่กระตุ้นการสร้างเม็ดสี ส่งผลให้ผิวมีความกระจ่างใสและมีสีที่สม่ำเสมอมากขึ้น
หลักการทำงานของการฉีดผิวขาว
หลักการทำงานของการฉีดผิวขาวคือการลดการผลิตเม็ดสีเมลานินในผิวหนัง โดยการให้สารต้านอนุมูลอิสระปริมาณสูงเข้าสู่ร่างกายโดยตรง
สารต้านอนุมูลอิสระหลักที่ใช้ เช่น กลูตาไธโอนและวิตามินซี จะเข้าไปต่อต้านอนุมูลอิสระและความเครียดออกซิเดชัน (oxidative stress) ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการผลิตเม็ดสีส่วนเกิน นอกจากนี้ กลูตาไธโอนยังช่วยลดเลือนรอยดำที่เกิดจากรังสียูวี ทำให้สีผิวสม่ำเสมอขึ้น ในขณะที่วิตามินซีช่วยเสริมการทำงานและลดเม็ดสีเมลานินที่ถูกออกซิไดซ์แล้ว ส่งผลให้ผิวโดยรวมดูสว่างและกระจ่างใสขึ้น
สารประกอบหลักที่ใช้ในการฉีด (เช่น วิตามินซี, กลูต้าไธโอน)
สารประกอบหลักที่ใช้ในการฉีดผิวขาวคือสารต้านอนุมูลอิสระในปริมาณสูง โดยส่วนใหญ่มักจะเป็นกลูต้าไธโอนและวิตามินซี
ส่วนประกอบอื่นๆ ที่อาจพบได้ในสูตรฉีดผิวขาว ได้แก่
- วิตามินซี (Ascorbic Acid): มักถูกเติมเข้าไปเพื่อช่วยเสริมการทำงานของกลูต้าไธโอนและเพิ่มความกระจ่างใสให้ผิว
- กรดทรานเอกซามิก (Tranexamic Acid): ในบางประเทศแถบเอเชียมีการนำมาผสมเพื่อช่วยลดเลือนฝ้าและจุดด่างดำ
- วิตามินและสารอาหารอื่นๆ: เช่น วิตามินอี หรือกรดอัลฟาไลโปอิก (Alpha-lipoic acid) เพื่อเสริมฤทธิ์การทำงานร่วมกัน
ฉีดผิวขาวจริงไหม? ผลลัพธ์ที่คาดหวัง
ความขาวที่ได้จากการฉีดผิว
ผลลัพธ์ที่ได้จากการฉีดผิวคือการทำให้สีผิวโดยรวมค่อยๆ สว่างและสม่ำเสมอขึ้น ซึ่งอาจสว่างขึ้นหนึ่งถึงสองระดับ การฉีดผิวไม่สามารถเปลี่ยนสีผิวตามธรรมชาติได้อย่างถาวร แต่จะช่วยลดเลือนจุดด่างดำที่เกิดจากรังสียูวี ทำให้ผิวดูเปล่งปลั่งและมีสุขภาพดีขึ้น ทั้งนี้ผลลัพธ์จะแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล บางคนอาจเห็นการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ปัจจัยที่ส่งผลต่อผลลัพธ์ (สภาพผิวเดิม, การดูแลตัวเอง)
ปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อผลลัพธ์ของการฉีดผิวขาวคือ พันธุกรรม การเผาผลาญ ไลฟ์สไตล์ การป้องกันแสงแดด และความสม่ำเสมอในการรักษา
ปัจจัยเหล่านี้มีอิทธิพลต่อการตอบสนองของแต่ละบุคคลต่อการรักษา ดังนี้
- พันธุกรรมและการเผาผลาญ: บางคนอาจมีระบบเผาผลาญกลูตาไธโอนที่เร็วกว่า หรือมีเซลล์สร้างเม็ดสี (melanocytes) ที่ทำงานได้ดีกว่า ทำให้ผลลัพธ์ลดลง
- ไลฟ์สไตล์และการป้องกันแสงแดด: การหลีกเลี่ยงรังสียูวีและใช้ครีมกันแดดอย่างสม่ำเสมอเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพราะการโดนแดดจะกระตุ้นการสร้างเม็ดสีใหม่และลบล้างผลของการฉีด
- ความสม่ำเสมอในการรักษา: การเข้ารับการรักษาตามกำหนดอย่างต่อเนื่องเป็นกุญแจสำคัญในการยับยั้งการสร้างเม็ดสี หากขาดความต่อเนื่องจะทำให้เห็นผลช้าลง
- สุขภาพโดยรวม: ระดับความเครียดจากปฏิกิริยาออกซิเดชัน (oxidative stress) อาหาร และการสูบบุหรี่ ล้วนมีอิทธิพลต่อผลลัพธ์ที่ได้
ฉีดผิวขาว กี่ครั้งเห็นผล? และอยู่ได้นานแค่ไหน?
โดยทั่วไป จะเริ่มเห็นผลลัพธ์หลังฉีดไปแล้วประมาณ 5-10 ครั้ง และผลลัพธ์จะอยู่ได้นาน 3-12 เดือน หลังจากหยุดฉีด
บางคนอาจรู้สึกว่าผิวสดใสขึ้นหลังฉีด 3-4 ครั้ง แต่สำหรับปัญหาเม็ดสีที่เข้มขึ้นอาจต้องใช้เวลาต่อเนื่อง 3-6 เดือน ผลลัพธ์ที่ได้นั้นไม่ถาวร เนื่องจากเซลล์ผิวจะกลับมาผลิตเม็ดสีตามปกติ หากต้องการรักษาสีผิวให้สว่างอย่างต่อเนื่องจึงจำเป็นต้องฉีดเพื่อคงสภาพ (maintenance) ทุกๆ 1-3 เดือน
ข้อดีของการฉีดผิวขาว
เห็นผลลัพธ์รวดเร็ว
ผลลัพธ์ที่เห็นได้ชัดเจนมักปรากฏขึ้นหลังจากการรักษาต่อเนื่อง 3-4 สัปดาห์ โดยในช่วงเดือนแรก บางคนอาจสังเกตเห็นว่าผิวดูสว่างและกระจ่างใสขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากสารต้านอนุมูลอิสระ อย่างไรก็ตาม สำหรับปัญหาเม็ดสีที่เข้มขึ้น เช่น ฝ้า อาจต้องใช้เวลา 3-6 เดือนจึงจะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน และการฉีดเพียงครั้งเดียวไม่เพียงพอที่จะทำให้สีผิวเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด
ฟื้นฟูและบำรุงผิวให้กระจ่างใส
การฉีดวิตามินผิวช่วยฟื้นฟูและบำรุงผิวให้กระจ่างใสโดยเป็นการส่งสารต้านอนุมูลอิสระปริมาณสูง เช่น กลูตาไธโอนและวิตามินซี เข้าสู่กระแสเลือดโดยตรง เพื่อยับยั้งการผลิตเม็ดสีเมลานินและต่อต้านความเครียดออกซิเดชัน ซึ่งเป็นสาเหตุของผิวหมองคล้ำและจุดด่างดำ
สารประกอบหลักทำงานร่วมกันเพื่อปรับปรุงสภาพผิว ดังนี้:
- กลูตาไธโอน (Glutathione) ทำหน้าที่ลดการสร้างเม็ดสีเมลานินชนิดสีเข้ม และต่อต้านอนุมูลอิสระที่เกิดจากรังสียูวี ทำให้สีผิวโดยรวมสว่างและสม่ำเสมอขึ้น
- วิตามินซี (Vitamin C) ช่วยเสริมการทำงานของกลูตาไธโอน ลดเม็ดสีเมลานินที่ถูกออกซิไดซ์ และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ส่งผลให้ผิวดูเปล่งปลั่งและเรียบเนียนขึ้น
เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน (จากวิตามิน)
การฉีดวิตามินซีในปริมาณสูงเป็นที่ทราบกันว่าช่วยสนับสนุนการทำงานของภูมิคุ้มกัน โดยสามารถเสริมสร้างการตอบสนองของภูมิคุ้มกันต่อการติดเชื้อและช่วยในการซ่อมแซมเนื้อเยื่อ ผู้ใช้บางรายรายงานว่ารู้สึกกระปรี้กระเปร่าและป่วยน้อยลงในช่วงที่รับการรักษา
ข้อเสียและอันตรายจากการฉีดผิวขาว
ผลข้างเคียงทั่วไป (รอยช้ำ, บวม)
อาการช้ำ บวม หรือเจ็บบริเวณที่ฉีดเป็นผลข้างเคียงทั่วไปที่พบได้บ่อย ซึ่งเกิดจากการระคายเคืองของเข็มต่อหลอดเลือดและเนื้อเยื่อโดยรอบ โดยทั่วไปแล้วอาการเหล่านี้จะไม่รุนแรงและสามารถหายได้เองภายใน 1-2 วัน
ความเสี่ยงต่อสุขภาพ (หากใช้สารไม่ได้มาตรฐาน, แพทย์ไม่มีประสบการณ์)
การใช้สารที่ไม่ได้มาตรฐานหรือฉีดกับผู้ที่ไม่มีประสบการณ์ มีความเสี่ยงร้ายแรงต่อสุขภาพ เช่น การติดเชื้อในกระแสเลือด การได้รับสารพิษจากส่วนผสมที่ไม่เปิดเผย และการเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการฉีดผิดวิธี
ความเสี่ยงที่สำคัญประกอบด้วย:
- ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้มาตรฐาน: สารที่ไม่ได้คุณภาพอาจไม่ผ่านการฆ่าเชื้อ ทำให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อในกระแสเลือด หรืออาจมีการปนเปื้อนของสารพิษและส่วนผสมที่ไม่รู้จัก เช่น สเตียรอยด์ ซึ่งเป็นอันตรายต่อร่างกาย
- ผู้ให้บริการที่ไม่มีคุณสมบัติ: การฉีดโดยผู้ที่ขาดความเชี่ยวชาญอาจทำให้เกิดหลอดเลือดดำอักเสบ (phlebitis) ฟองอากาศอุดตันในหลอดเลือด (air embolism) หรือข้อผิดพลาดร้ายแรงอื่นๆ ในการให้สารน้ำทางหลอดเลือด
ฉีดผิวขาวถาวรไหม? (ผลลัพธ์ไม่ถาวร)
ผลลัพธ์จากการฉีดผิวขาวไม่ถาวร และสีผิวจะค่อยๆ กลับคืนสู่สภาพเดิมเมื่อหยุดการรักษา
เนื่องจากการฉีดสารต่างๆ เช่น กลูตาไธโอน เป็นเพียงการยับยั้งการผลิตเม็ดสีเมลานินชั่วคราวเท่านั้น ไม่ได้ทำลายเซลล์สร้างเม็ดสีอย่างถาวร โดยทั่วไปแล้วสีผิวจะเริ่มกลับมาเป็นปกติภายในระยะเวลา 3-12 เดือนหลังหยุดฉีด ดังนั้น หากต้องการรักษาสภาพผิวให้สว่างใสอย่างต่อเนื่อง จำเป็นต้องมีการฉีดซ้ำเป็นระยะ (Maintenance) ตามคำแนะนำของแพทย์
ก่อนตัดสินใจฉีดผิวขาว: สิ่งที่ควรรู้
การเลือกคลินิกและแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
ควรเลือกคลินิกหรือโรงพยาบาลที่น่าเชื่อถือ ซึ่งมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญคอยดูแลและสามารถให้ข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ที่ใช้ได้อย่างโปร่งใส
ข้อควรพิจารณาเพิ่มเติมในการเลือกสถานพยาบาล ได้แก่:
- สอบถามข้อมูลและขอดูบรรจุภัณฑ์หรือใบรับรองของผลิตภัณฑ์ที่ใช้
- หลีกเลี่ยงสถานพยาบาลที่ให้คำมั่นสัญญาเกินจริง หรือปฏิเสธที่จะเปิดเผยส่วนผสม
- สังเกตสัญญาณเตือน เช่น ราคาที่ต่ำกว่าตลาดมาก หรือไม่มีการประเมินทางการแพทย์โดยแพทย์ก่อนทำหัตถการ
- ควรมีแพทย์หรือพยาบาลวิชาชีพประเมินผู้ป่วยก่อนการฉีดทุกครั้ง
- สถานพยาบาลควรมีมาตรฐานในการเฝ้าสังเกตอาการหลังการฉีดอย่างน้อย 30 นาที เพื่อจัดการกับปฏิกิริยาเฉียบพลันที่อาจเกิดขึ้น
ฉีดผิวขาวราคาเท่าไหร่?
โดยเฉลี่ยแล้ว การฉีดผิวขาวในประเทศไทยมีราคาประมาณ 3,000–6,000 บาทต่อครั้ง
อย่างไรก็ตาม ราคาอาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับสถานพยาบาลและสูตรยาที่ใช้ โดยคลินิกบางแห่งอาจมีโปรโมชันหรือแพ็กเกจที่ทำให้ราคาลดลงเหลือประมาณ 1,500–2,500 บาทต่อครั้ง ในขณะที่โรงพยาบาลชั้นนำอาจมีราคาสูงถึง 10,000 บาทขึ้นไปต่อครั้งสำหรับสูตรพรีเมียม เนื่องจากโดยทั่วไปต้องฉีด 5-10 ครั้งเพื่อให้เห็นผล ค่าใช้จ่ายโดยรวมจึงอาจสูงขึ้นตามไปด้วย
การเตรียมตัวก่อนและหลังฉีดผิวขาว
การเตรียมตัวก่อนฉีดผิวขาวคือการปรึกษาแพทย์และแจ้งประวัติสุขภาพ ส่วนการดูแลหลังฉีดคือการสังเกตอาการผิดปกติและหลีกเลี่ยงแสงแดดอย่างเคร่งครัด เพื่อให้การรักษามีความปลอดภัยและได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
การเตรียมตัวก่อนฉีด
- ปรึกษาแพทย์และแจ้งประวัติสุขภาพอย่างละเอียด รวมถึงโรคประจำตัวและยาที่ใช้เป็นประจำ
- หลีกเลี่ยงการใช้ยาต้านการอักเสบ (NSAIDs) หรือยาละลายลิ่มเลือด เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดรอยช้ำ (ควรปรึกษาแพทย์ก่อนหยุดยา)
- ดื่มน้ำให้เพียงพอในวันนัด เพื่อช่วยให้การหาเส้นเลือดทำได้ง่ายขึ้นและลดอาการวิงเวียนศีรษะ
การดูแลหลังฉีด
- สังเกตอาการที่คลินิกประมาณ 15-30 นาทีหลังฉีด เพื่อเฝ้าระวังผลข้างเคียงเฉียบพลัน
- หลีกเลี่ยงแสงแดดและใช้ครีมกันแดดอย่างสม่ำเสมอ เพราะการโดนแดดจะกระตุ้นการสร้างเม็ดสีใหม่และลดทอนผลลัพธ์ของการฉีด
- หากมีรอยช้ำ สามารถใช้การประคบอุ่นเพื่อช่วยบรรเทาได้
- หากมีอาการรุนแรง เช่น เจ็บหน้าอก หายใจลำบาก หรือมีสัญญาณของปัญหาตับ/ไต (เช่น ตาเหลือง ปัสสาวะสีเข้ม) ให้รีบไปพบแพทย์ทันที
ข้อควรระวังและผู้ที่ไม่ควรฉีดผิวขาว
ข้อห้ามและข้อจำกัด
ข้อห้ามหลักสำหรับการฉีดผิวขาวคือผู้ที่มีประวัติแพ้ส่วนผสม เช่น กลูตาไธโอนหรือวิตามินซี, ผู้ป่วยโรคตับหรือไตขั้นรุนแรง, สตรีมีครรภ์หรือให้นมบุตร และเด็ก นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มที่ควรใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษและควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับบริการ ได้แก่
- ผู้ป่วยโรคหอบหืด
- ผู้ที่มีภาวะพร่องเอนไซม์ G6PD (ควรระวังการฉีดวิตามินซีในปริมาณสูง)
- ผู้ที่เป็นโรคตับอักเสบ (Active hepatitis)
สัญญาณอันตรายที่ต้องพบแพทย์
สัญญาณอันตรายที่ต้องไปพบแพทย์ทันที ได้แก่ อาการเจ็บหน้าอกรุนแรง ใจสั่น เป็นลม หายใจลำบาก หรือมีผื่นขึ้นรุนแรง ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของอาการแพ้เฉียบพลัน
นอกจากนี้ ควรไปพบแพทย์หากมีอาการผิดปกติอื่นๆ เกิดขึ้นหลังกลับบ้านไปแล้ว เช่น:
- อาเจียนไม่หยุด ปวดท้องรุนแรง หรือปวดศีรษะรุนแรง
- ตาเหลืองหรือปัสสาวะสีเข้มคล้ายสีชา ซึ่งเป็นสัญญาณของภาวะตับทำงานผิดปกติ
- ปัสสาวะออกน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งอาจบ่งชี้ถึงปัญหาที่ไต
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการฉีดผิวขาว
ฉีดผิวขาวเจ็บไหม?
โดยทั่วไปแล้ว การฉีดผิวขาวจะเจ็บเพียงเล็กน้อย เทียบเท่ากับการให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำหรือการเจาะเลือดตามปกติ
ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะรู้สึกเหมือนถูกเข็มเจาะเล็กน้อยเมื่อเริ่มสอดเข็มเท่านั้น และอาจรู้สึกไม่สบายตัวเล็กน้อยระหว่างการให้สารน้ำ แต่โดยรวมแล้วถือเป็นหัตถการที่ทนความเจ็บปวดได้ดี หากกังวลเรื่องความเจ็บปวด สามารถทายาชาเฉพาะที่ก่อนทำได้
ฉีดผิวขาวแล้วจะกลับมาดำไหม?
ใช่ครับ ผลลัพธ์จากการฉีดผิวขาวไม่ถาวร และสีผิวจะค่อยๆ กลับคืนสู่สภาพเดิมเมื่อหยุดการรักษา
เนื่องจากการฉีดกลูตาไธโอนเป็นเพียงการยับยั้งการผลิตเมลานินชั่วคราว ไม่ได้ทำลายเซลล์สร้างเม็ดสี เมื่อหยุดฉีด เซลล์ผิวก็จะกลับมาผลิตเมลานินตามปกติ โดยทั่วไปแล้วสีผิวจะกลับสู่โทนสีเดิมภายในระยะเวลา 3-12 เดือน ดังนั้นหากต้องการรักษาสภาพผิวให้สว่างใสอย่างต่อเนื่อง จำเป็นต้องเข้ารับการฉีดเพื่อคงสภาพเป็นระยะ
ดริปผิวครั้งเดียวเห็นผลไหม?
โดยทั่วไปแล้ว การดริปผิวเพียงครั้งเดียวไม่เพียงพอที่จะทำให้ผิวขาวขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
หลังจากการดริปครั้งแรก บางคนอาจรู้สึกว่าผิวดูสดใสหรือชุ่มชื้นขึ้นชั่วคราวจากวิตามินที่ได้รับ แต่ยังไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงของเม็ดสีที่วัดผลได้ เนื่องจากการสร้างเม็ดสีเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์ในการยับยั้งการสร้างเม็ดสีอย่างสม่ำเสมอจึงจะเห็นการเปลี่ยนแปลงของสีผิว โดยทั่วไปแล้วจำเป็นต้องทำต่อเนื่องเป็นชุด (เช่น 5-10 ครั้ง) เพื่อให้เห็นผลลัพธ์ด้านความกระจ่างใสที่ชัดเจน
ฉีดผิวขาวกี่เข็มถึงจะขาว?
โดยทั่วไปแล้ว ต้องฉีดต่อเนื่องเป็นคอร์สประมาณ 5-10 ครั้ง จึงจะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนขึ้น
โดยส่วนใหญ่จะเริ่มจากการฉีดสัปดาห์ละ 1 ครั้ง บางคนอาจเริ่มเห็นว่าผิวดูสว่างและใสขึ้นหลังฉีดไป 3-4 สัปดาห์ แต่สำหรับผู้ที่มีปัญหาเม็ดสีที่เข้มหรือฝังลึก อาจต้องใช้เวลาต่อเนื่อง 3-6 เดือนจึงจะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน ทั้งนี้ การฉีดเพียงเข็มเดียวไม่เพียงพอที่จะทำให้ผิวขาวขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และผลลัพธ์จะแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล
ฉีดวิตามินผิว อันตรายไหม?
การฉีดวิตามินผิวอาจเป็นอันตรายได้และมีความเสี่ยงหลายประการ แม้ว่าผลข้างเคียงส่วนใหญ่มักไม่รุนแรง แต่ก็มีความเสี่ยงที่ร้ายแรงซึ่งควรพิจารณา
ความเสี่ยงและผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น ได้แก่:
- ผลข้างเคียงที่ไม่รุนแรง: อาการที่พบได้บ่อยคือ เจ็บ ปวด บวม หรือมีรอยช้ำบริเวณที่ฉีด นอกจากนี้อาจมีอาการคลื่นไส้ เวียนศีรษะ หรือปวดศีรษะชั่วคราวหลังการฉีด
- ความเสี่ยงที่รุนแรง: แม้จะพบได้ไม่บ่อย แต่มีความเสี่ยงต่อการเกิดอาการแพ้อย่างรุนแรง (Anaphylaxis), การทำงานของตับและไตผิดปกติ, นิ่วในไต และปฏิกิริยาทางผิวหนังที่รุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ (Stevens-Johnson Syndrome)
- ความเสี่ยงจากผลิตภัณฑ์และการบริการ: การใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้มาตรฐาน ไม่ผ่านการรับรอง หรือฉีดโดยผู้ที่ไม่ใช่บุคลากรทางการแพทย์ อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ การได้รับสารปนเปื้อน หรือการบริหารยาที่ไม่ถูกต้อง
References:
- National Institutes of Health. nih.gov
- Journal of Clinical and Aesthetic Dermatology. jcadonline.com
- CosmoDerma. cosmoderma.org
- Indian Journal of Clinical and Experimental Dermatology. ijced.org
- PagePress. (n.d.). PagePress. pagepress.org
- Samitivej Chonburi Hospital. samitivejchonburi.com
- Empower Pharmacy. Empower Pharmacy. empowerpharmacy.com
