ฟิลเลอร์แก้มส้มคืออะไร อันตรายไหม อยู่ได้นานเท่าไหร่
ฟิลเลอร์แก้มส้ม คือการฉีดไฮยาลูรอนิกแอซิดบริเวณแก้มส่วนหน้าเพื่อเติมปริมาตรและยกกระชับโครงสร้างกลางใบหน้าให้ดูอ่อนเยาว์ขึ้น โดยผู้รับบริการ 85–95% ประเมินว่าผลลัพธ์ดีขึ้นอย่างชัดเจน.
ฟิลเลอร์แก้มส้มคืออะไร ช่วยแก้ปัญหาใบหน้าส่วนกลางได้อย่างไร
ฟิลเลอร์แก้มส้มคือการฉีดสารเติมเต็มประเภทไฮยาลูรอนิก แอซิด (Hyaluronic Acid) เข้าไปบริเวณกลางใบหน้า เพื่อแก้ปัญหาการยุบตัวของไขมันและกระดูกที่เกิดขึ้นตามวัย ทำให้ใบหน้ากลับมาดูอิ่มฟูและอ่อนเยาว์ขึ้น
ฟิลเลอร์ช่วยแก้ปัญหาใบหน้าส่วนกลางได้หลายประการ ดังนี้
- เติมเต็มปริมาตร (Volume) ที่หายไป: เมื่ออายุมากขึ้น ไขมันและกระดูกบริเวณแก้มจะฝ่อตัวลง ทำให้แก้มแบนและดูโทรม ฟิลเลอร์จะเข้าไปช่วยเสริมโครงสร้างและเพิ่มความอิ่มฟูให้แก้มกลับมาดูเต็มอีกครั้ง
- ช่วยยกกระชับ (Lifting): การฉีดฟิลเลอร์ในชั้นลึกติดกระดูกจะช่วยพยุงเส้นเอ็นบนใบหน้า (Facial Ligaments) ที่หย่อนคล้อยให้กลับเข้าที่ ส่งผลให้ผิวที่หย่อนคล้อยบริเวณแก้มและกรามถูกยกขึ้น
- ลดความลึกของร่องแก้ม (Nasolabial Folds): การเติมเต็มแก้มส่วนบนจะช่วยดึงผิวขึ้น ทำให้ร่องแก้มที่อยู่ถัดลงมาดูตื้นและเรียบเนียนขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ โดยไม่จำเป็นต้องฉีดที่ร่องแก้มโดยตรง
- แก้ปัญหาใต้ตาโหล: เมื่อแก้มส่วนบนเต็มขึ้น จะช่วยลดความชัดของร่องลึกใต้ตา ทำให้บริเวณใต้ตาดูเรียบเนียนและใบหน้าโดยรวมดูสดใสขึ้น
ตำแหน่งของแก้มส้มและหลักการทำงานของฟิลเลอร์
ตำแหน่งของแก้มส้มคือบริเวณโหนกแก้มส่วนหน้า (zygomatic eminence) โดยฟิลเลอร์จะทำงานด้วยการเข้าไปเติมเต็มปริมาตรที่สูญเสียไปและช่วยพยุงโครงสร้างของใบหน้า ตามหลักการ MD Codes จุดนี้เรียกว่า CK2 ซึ่งตำแหน่งจะแตกต่างกันเล็กน้อยในผู้ชายและผู้หญิง โดยของผู้ชายมักจะอยู่ต่ำและเฉียงไปด้านข้างมากกว่า
ฟิลเลอร์เป็นสารในกลุ่มไฮยาลูรอนิกแอซิด (HA) ที่ผ่านการเชื่อมโมเลกุล (cross-linking) เพื่อให้คงตัวและอยู่ได้นานขึ้น โดยมีคุณสมบัติหลัก 2 ประการ:
- การเติมเต็ม (Volumizing): ฟิลเลอร์ชนิดเพิ่มปริมาตรจะเข้าไปทดแทนไขมันชั้นลึกที่ฝ่อตัวลงตามวัย ช่วยทำให้แก้มที่ตอบดูอิ่มฟูขึ้น
- การยกกระชับ (Lifting): ฟิลเลอร์ชนิดที่มีความคงตัวสูง (high G′) เมื่อฉีดลงในชั้นลึกติดกระดูกจะทำหน้าที่คล้ายโครงสร้างเข้าไปพยุงเส้นเอ็นบนใบหน้า ทำให้เนื้อเยื่อที่หย่อนคล้อยยกกระชับขึ้น
ผลลัพธ์ที่คาดหวังได้จากการเติมฟิลเลอร์แก้มส้ม
ผลลัพธ์ที่คาดหวังได้จากการเติมฟิลเลอร์แก้มคือ การฟื้นฟูปริมาตรที่หายไป, การยกกระชับใบหน้าส่วนกลาง, ทำให้ร่องแก้มตื้นขึ้น และความพึงพอใจของผู้รับบริการในระดับสูง
- การฟื้นฟูปริมาตร: ฟิลเลอร์จะช่วยเพิ่มปริมาตรแก้มได้ทันที และจะเห็นผลมากขึ้นเมื่อฟิลเลอร์ดูดซับน้ำ โดยงานวิจัยพบว่าการฉีดฟิลเลอร์ 2 มล. สามารถเพิ่มปริมาตรได้ถึงประมาณ 4.46 มล. ในช่วงแรก
- ร่องแก้มตื้นขึ้น: การยกกระชับเนื้อเยื่อแก้มช่วยลดความลึกของร่องแก้มได้ประมาณ 20% โดยไม่จำเป็นต้องฉีดฟิลเลอร์ที่ร่องแก้มโดยตรง
- ผลลัพธ์การยกกระชับ: ฟิลเลอร์ช่วยยกแก้มขึ้นเล็กน้อยประมาณ 2-3 มิลลิเมตร ทำให้โหนกแก้มดูมีมิติและโค้งสวย (Ogee curve) มากขึ้น ส่งผลให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์
- ความพึงพอใจสูง: ผู้รับบริการส่วนใหญ่มีความพึงพอใจสูง โดย 85-95% ถูกประเมินว่า “ดีขึ้น” หรือ “ดีขึ้นมาก” และรู้สึกว่าใบหน้าดูเหนื่อยล้าน้อยลง
ใครบ้างที่เหมาะกับการฉีดฟิลเลอร์แก้มส้ม
ลักษณะปัญหาที่ฟิลเลอร์แก้มส้มสามารถแก้ไขได้
ฟิลเลอร์แก้มส้มสามารถแก้ไขปัญหา การสูญเสียปริมาตรบนใบหน้า ความหย่อนคล้อย และช่วยปรับปรุงรูปทรงของแก้ม ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยจะช่วยแก้ปัญหาต่างๆ ดังนี้
- ฟื้นฟูแก้มที่แบนหรือตอบ: ช่วยเติมเต็มปริมาตรไขมันและกระดูกที่สลายไปตามวัย ทำให้แก้มที่ดูแบนหรือยุบตัวกลับมาดูอิ่มฟูขึ้น
- ยกกระชับใบหน้าส่วนกลาง: การฉีดฟิลเลอร์เพื่อเสริมโครงสร้างบริเวณโหนกแก้มจะช่วยพยุงเนื้อเยื่อที่หย่อนคล้อยให้ยกขึ้น ส่งผลให้ใบหน้าโดยรวมดูอ่อนเยาว์
- ลดความลึกของร่องแก้ม: เมื่อใบหน้าส่วนกลางถูกยกขึ้น จะช่วยทำให้ร่องแก้ม (nasolabial folds) ดูตื้นขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ
- ลดความกลวงใต้ตา: การเติมเต็มไขมันชั้นลึกบริเวณแก้มส่วนบนสามารถช่วยลดร่องลึกหรือความโหลบริเวณใต้ตาได้
- ปรับปรุงรูปทรงใบหน้า: สามารถใช้เพื่อปรับรูปหน้าให้สมดุลยิ่งขึ้น เช่น การสร้างมิติให้โหนกแก้ม หรือทำให้กรอบหน้าดูคมชัดขึ้น
ข้อควรระวังและผู้ที่ไม่เหมาะกับการรักษาด้วยฟิลเลอร์
ผู้ที่ไม่เหมาะกับการฉีดฟิลเลอร์และผู้ที่ต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ ได้แก่บุคคลในกลุ่มต่างๆ ซึ่งโดยทั่วไปจะแบ่งออกเป็นข้อห้ามเด็ดขาดและข้อควรระวัง
ผู้ที่ไม่เหมาะกับการฉีดฟิลเลอร์ (ข้อห้ามเด็ดขาด)
- สตรีมีครรภ์หรือกำลังให้นมบุตร
- ผู้ที่มีประวัติแพ้ส่วนประกอบของฟิลเลอร์อย่างรุนแรง (เช่น แพ้ยาชา)
- ผู้ที่มีการติดเชื้อบริเวณที่จะฉีดหรือบริเวณใกล้เคียง เช่น สิวอักเสบรุนแรง
- ผู้ที่เป็นโรคแพ้ภูมิตัวเอง (Autoimmune) ในระยะที่ควบคุมอาการไม่ได้
- ผู้ที่มีภาวะเลือดออกผิดปกติหรือหยุดยาก
ผู้ที่ควรปรึกษาแพทย์และใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ
- ผู้ที่รับประทานยาละลายลิ่มเลือดหรือยาต้านการแข็งตัวของเลือด ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดรอยช้ำ
- ผู้ที่มีแนวโน้มเกิดแผลเป็นนูนหรือคีลอยด์ได้ง่าย
- ผู้ที่มีประวัติเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงจากการฉีดฟิลเลอร์ในอดีต
- ผู้ที่กำลังรับประทานยาหรืออาหารเสริมบางชนิด เช่น NSAIDs, น้ำมันปลา, วิตามินอี ซึ่งควรหยุดก่อนการรักษาเพื่อลดรอยช้ำ
ขั้นตอนการฉีดฟิลเลอร์แก้มส้ม: การประเมินและเทคนิคการรักษา
การประเมินโครงสร้างใบหน้าและวางแผนการฉีด
การประเมินโครงสร้างใบหน้าและวางแผนการฉีดฟิลเลอร์ เกี่ยวข้องกับการพิจารณาหลายปัจจัย ได้แก่ ระดับการสูญเสียไขมัน รูปทรงใบหน้า คุณภาพผิว และลักษณะเฉพาะตามเพศ เพื่อสร้างแผนการรักษาที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล
แพทย์จะประเมินปัจจัยต่างๆ ดังนี้:
- ระดับการสูญเสียปริมาตรไขมัน: แพทย์จะใช้มาตรวัด เช่น Midface Volume Deficit Scale (MFVDS) เพื่อประเมินความรุนแรงของการยุบตัวของใบหน้าส่วนกลาง
- รูปทรงใบหน้า: แผนการฉีดจะถูกปรับให้เข้ากับรูปหน้าของแต่ละคน เช่น ใบหน้ากลมจะเน้นฉีดบริเวณโหนกแก้มด้านข้างเพื่อสร้างมิติ ส่วนใบหน้าเหลี่ยมอาจเน้นการเพิ่มความกว้างของใบหน้าส่วนบนเพื่อสร้างความสมดุล
- ความแตกต่างตามเพศ: รูปทรงแก้มในอุดมคติจะแตกต่างกัน โดยผู้หญิงมักจะเน้นให้แก้มมีความโค้งมนและพุ่งมาด้านหน้า ส่วนผู้ชายจะเน้นให้แก้มดูคมและกว้างออกไปทางด้านข้าง
- คุณภาพผิว: แพทย์จะประเมินความยืดหยุ่นและความหนาของผิว เพื่อเลือกชนิดของฟิลเลอร์และเทคนิคการฉีดที่เหมาะสม เช่น ผิวที่บางอาจต้องใช้ฟิลเลอร์ที่นิ่มกว่าและฉีดในชั้นที่ลึกกว่า
เทคนิคการฉีดเพื่อผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติและปลอดภัย
เทคนิคการฉีดฟิลเลอร์เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติและปลอดภัย คือการผสมผสานการใช้อุปกรณ์ที่เหมาะสม (เข็มปลายทู่หรือเข็มปลายแหลม) การฉีดในชั้นความลึกที่แตกต่างกัน และการใช้ความรู้ทางกายวิภาคเพื่อความปลอดภัย เทคนิคเหล่านี้ช่วยให้แพทย์สามารถปั้นแก้มให้สวยงามและลดความเสี่ยงของผลข้างเคียงได้
เทคนิคที่สำคัญประกอบด้วย:
- การเลือกใช้อุปกรณ์: แพทย์จะเลือกใช้ระหว่างเข็มปลายทู่ (Cannula) ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บของเส้นเลือดและลดรอยช้ำ หรือเข็มปลายแหลม (Needle) ที่ให้ความแม่นยำสูงในการฉีดเฉพาะจุด โดยมักใช้เทคนิคผสมผสานกัน
- เทคนิคการฉีดแบบหลายชั้น (Layering): เพื่อผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ แพทย์จะฉีดฟิลเลอร์ในชั้นลึกติดกระดูกเพื่อสร้างโครงสร้างและยกกระชับ จากนั้นอาจเติมฟิลเลอร์ชนิดนิ่มในชั้นตื้นเพื่อปรับผิวให้เรียบเนียน
- การฉีดตามจุดที่กำหนดและโซนปลอดภัย: มีการใช้ระบบการวางตำแหน่งฟิลเลอร์ที่เป็นมาตรฐาน เช่น MD Codes™ ซึ่งจะกำหนดจุดฉีดที่สำคัญบนใบหน้าเพื่อผลลัพธ์ที่สมดุลและคาดการณ์ได้ พร้อมทั้งหลีกเลี่ยง “โซนอันตราย” ที่มีเส้นเลือดสำคัญอยู่
- การทดสอบก่อนฉีด (Aspiration): ในบางจุดที่มีความเสี่ยงสูง แพทย์อาจดึงก้านไซริงจ์กลับเบาๆ ก่อนฉีด เพื่อตรวจสอบว่าปลายเข็มไม่ได้อยู่ในเส้นเลือด ซึ่งเป็นหนึ่งในมาตรการเสริมเพื่อเพิ่มความปลอดภัย
ผลลัพธ์และระยะเวลา: ฟิลเลอร์แก้มส้มอยู่ได้นานแค่ไหน
การเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้หลังการรักษาทันที
การเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ทันทีหลังฉีดฟิลเลอร์แก้มคือ แก้มจะดูกลมขึ้น ร่องแก้มตื้นขึ้น และร่องใต้ตาลึกน้อยลง โดยทั่วไปแล้ว ผู้ป่วยจะเห็นการเปลี่ยนแปลงประมาณ 70-80% ของผลลัพธ์ที่ต้องการได้ทันทีหลังการรักษา
ในช่วงแรก แก้มอาจดูเต็มหรือนูนเกินไปเล็กน้อย ซึ่งเป็นผลมาจากอาการบวมเล็กน้อยที่เกิดขึ้นได้เป็นปกติ นอกจากนี้ แก้มอาจให้ความรู้สึกตึงหรือเป็นก้อนเมื่อสัมผัส แต่จะค่อยๆ นิ่มลงและเข้าที่เมื่ออาการบวมลดลง โดยแพทย์มักจะให้ผู้ป่วยดูการเปรียบเทียบก่อนและหลังทำทันที ซึ่งจะเห็นได้ว่าแก้มด้านที่ฉีดจะมีความโค้ง (Ogee curve) และความพุ่งของโหนกแก้มที่สวยงามขึ้นอย่างชัดเจน
ปัจจัยที่มีผลต่อระยะเวลาของฟิลเลอร์แต่ละบุคคล
ปัจจัยหลักที่มีผลต่อระยะเวลาของฟิลเลอร์คือชนิดของฟิลเลอร์ที่ใช้และอัตราการเผาผลาญของแต่ละบุคคล ฟิลเลอร์แต่ละชนิดมีระยะเวลาคงอยู่แตกต่างกันอย่างชัดเจน นอกจากนี้ ปัจจัยส่วนบุคคลก็มีผลอย่างมาก เช่น ผู้ที่มีอัตราการเผาผลาญสูง (เช่น นักกีฬา) หรือมีเอนไซม์ที่สลายฟิลเลอร์ตามธรรมชาติในปริมาณสูงกว่าปกติ อาจทำให้ฟิลเลอร์สลายตัวเร็วกว่าค่าเฉลี่ย
ปริมาณและราคา: ฟิลเลอร์แก้มส้มใช้กี่ซีซีและค่าใช้จ่ายเท่าไหร่
การประเมินปริมาณฟิลเลอร์ที่เหมาะสม (CC)
ปริมาณฟิลเลอร์ที่เหมาะสมจะแตกต่างกันไปตามอายุและการสูญเสียปริมาตรบนใบหน้า โดยทั่วไปจะอยู่ที่ 0.5-2 ซีซี (มล.) ต่อข้าง
ปริมาณที่แนะนำโดยประมาณตามช่วงอายุมีดังนี้:
- วัย 20-30 ปี: หากต้องการเสริมเพื่อปรับรูปหน้า ไม่ใช่การแก้ไขความหย่อนคล้อย มักใช้ประมาณ 0.5-1 ซีซีต่อข้าง
- วัย 30 ปลายๆ – 40 ปี: สำหรับการแก้ไขปัญหาร่องแก้มและการสูญเสียปริมาตรในระยะเริ่มต้น มักใช้ประมาณ 1-2 ซีซีต่อข้าง
- วัย 50-60 ปีขึ้นไป: สำหรับผู้ที่มีร่องลึกหรือการสูญเสียปริมาตรอย่างเห็นได้ชัด อาจต้องการฟิลเลอร์ 2 ซีซีขึ้นไปต่อข้าง
กรอบราคาและปัจจัยที่ส่งผลต่อค่าใช้จ่ายทั้งหมด
โดยทั่วไป ค่าใช้จ่ายสำหรับฟิลเลอร์แก้มในกรุงเทพฯ อยู่ระหว่าง 10,000–30,000 บาทต่อซีซี (ไซริงค์) ซึ่งค่าใช้จ่ายทั้งหมดจะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย
ปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อราคารวม ได้แก่:
- ยี่ห้อและประเภทของฟิลเลอร์: ฟิลเลอร์แบรนด์พรีเมียมที่นำเข้า เช่น Juvederm หรือ Restylane มักมีราคาสูงกว่า (ประมาณ 20,000–30,000 บาท) ในขณะที่ฟิลเลอร์ยี่ห้ออื่น เช่น ฟิลเลอร์จากเกาหลี อาจมีราคาที่ย่อมเยากว่า (ประมาณ 12,000–15,000 บาท)
- ปริมาณที่ต้องการ: ค่าใช้จ่ายทั้งหมดจะคำนวณจากจำนวนไซริงค์ที่ใช้ โดยทั่วไปการเติมฟิลเลอร์แก้มมักใช้ประมาณ 2 ไซริงค์ ทำให้ค่าใช้จ่ายรวมอาจอยู่ระหว่าง 20,000–60,000 บาท
- โปรโมชั่นและแพ็กเกจ: คลินิกหลายแห่งมักมีโปรโมชั่นหรือแพ็กเกจเมื่อซื้อฟิลเลอร์หลายไซริงค์พร้อมกัน ซึ่งจะช่วยให้ราคาต่อไซริงค์ถูกลง
- คลินิกและสถานพยาบาล: สถานที่ให้บริการ เช่น โรงพยาบาลขนาดใหญ่หรือคลินิกหรู อาจมีค่าบริการสูงกว่าคลินิกทั่วไปสำหรับผลิตภัณฑ์เดียวกัน
ข้อควรรู้ก่อนตัดสินใจ: การเลือกคลินิกและการเตรียมตัว
หลักเกณฑ์การเลือกแพทย์และสถานพยาบาลที่ได้มาตรฐาน
หลักเกณฑ์สำคัญในการเลือกแพทย์และสถานพยาบาลคือการเลือกแพทย์ที่ได้รับใบอนุญาตและผ่านการรับรองเฉพาะทาง มีประสบการณ์สูง มีความเข้าใจในด้านสุนทรียศาสตร์ และมีความพร้อมในการจัดการภาวะแทรกซ้อน
เพื่อให้มั่นใจในความปลอดภัยและผลลัพธ์ที่ดี ควรพิจารณาปัจจัยต่อไปนี้:
- คุณวุฒิและการรับรอง: แพทย์ควรเป็นผู้ที่ได้รับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเวชกรรม และควรเป็นแพทย์เฉพาะทางที่ผ่านการรับรอง (Board-Certified) ในสาขาที่เกี่ยวข้อง เช่น แพทย์ผิวหนัง หรือศัลยแพทย์ตกแต่ง
- ประสบการณ์และความชำนาญ: ควรเลือกแพทย์ที่มีประสบการณ์ในการฉีดฟิลเลอร์มาอย่างยาวนานและทำเป็นประจำ (มีเคสหลายร้อยหรือหลายพันเคส) ซึ่งบ่งบอกถึงความชำนาญและทักษะที่สูง
- สุนทรียศาสตร์และศิลปะ: แพทย์ที่ดีต้องมีสายตาทางด้านศิลปะ สามารถประเมินโครงสร้างใบหน้าโดยรวมและออกแบบการรักษาที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล เพื่อให้ผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติและสมส่วน
- ความปลอดภัยและการจัดการภาวะแทรกซ้อน: สถานพยาบาลต้องมีความพร้อมในการรับมือกับเหตุฉุกเฉิน โดยเฉพาะการมีเอนไซม์สลายฟิลเลอร์ (Hyaluronidase) เตรียมไว้เสมอ และแพทย์ต้องมีความรู้ความสามารถในการจัดการกับภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้ทันที
การเตรียมตัวก่อนและแนวทางการดูแลตัวเองหลังฉีด
การเตรียมตัวก่อนฉีดฟิลเลอร์แก้มที่สำคัญคือ การงดยาและอาหารเสริมที่ทำให้เลือดออกง่าย ส่วนการดูแลหลังฉีดเน้นการหลีกเลี่ยงความร้อน การออกกำลังกายหนัก และการกดทับใบหน้า
การเตรียมตัวก่อนฉีด
- งดยาและอาหารเสริม: ควรหยุดยาและอาหารเสริมที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด เช่น น้ำมันปลา, วิตามินอี, กระเทียม, แปะก๊วย และยาแก้ปวดกลุ่ม NSAIDs (เช่น Ibuprofen) เป็นเวลาประมาณ 1 สัปดาห์ก่อนฉีด เพื่อลดความเสี่ยงของอาการช้ำ
- งดแอลกอฮอล์: หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นเวลา 24-48 ชั่วโมงก่อนทำหัตถการ
- แจ้งประวัติยา: แจ้งแพทย์เกี่ยวกับยาทุกชนิดที่กำลังใช้อยู่ โดยเฉพาะยาละลายลิ่มเลือด
- ทายาชา: โดยทั่วไปคลินิกจะทายาชาเฉพาะที่ให้ก่อนฉีดประมาณ 30 นาทีเพื่อลดความเจ็บ
การดูแลตัวเองหลังฉีด
- หลีกเลี่ยงกิจกรรมหนัก: งดการออกกำลังกายอย่างหนัก, ซาวน่า, หรือการสัมผัสความร้อนสูงเป็นเวลา 48 ชั่วโมง เพื่อลดอาการบวม
- หลีกเลี่ยงการกดทับ: งดการนวดหน้าแรงๆ หรือการกดทับบริเวณที่ฉีดเป็นเวลาประมาณ 1 สัปดาห์
- ปรับท่านอน: พยายามนอนหงายโดยหนุนหมอนให้ศีรษะสูงขึ้นในช่วง 2 คืนแรก เพื่อช่วยลดอาการบวม
- งดแต่งหน้า: ควรหลีกเลี่ยงการแต่งหน้าอย่างน้อย 6-8 ชั่วโมง แต่ทางที่ดีที่สุดคือ 24 ชั่วโมง เพื่อป้องกันการติดเชื้อ
- ประคบเย็น: สามารถประคบเย็นบริเวณที่ฉีดเป็นระยะๆ ในช่วง 24-48 ชั่วโมงแรกเพื่อช่วยลดอาการบวมและช้ำ
- พบแพทย์ตามนัด: ควรกลับไปพบแพทย์เพื่อติดตามผลในอีกประมาณ 2 สัปดาห์ เพื่อประเมินผลลัพธ์และทำการปรับแก้หากจำเป็น
ความเสี่ยงและผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากการฉีดฟิลเลอร์
อาการทั่วไปที่พบได้และวิธีดูแลเบื้องต้น
อาการข้างเคียงที่พบได้บ่อยที่สุดหลังฉีดฟิลเลอร์แก้มคือ รอยช้ำ อาการบวม อาการเจ็บเล็กน้อย และความไม่สมมาตรในช่วงแรก ซึ่งอาการเหล่านี้มักไม่รุนแรงและจะหายไปได้เอง
วิธีดูแลเบื้องต้นสำหรับแต่ละอาการ มีดังนี้:
- รอยช้ำ: เป็นอาการที่พบได้บ่อยที่สุด อาจอยู่ได้นาน 1-2 สัปดาห์ สามารถใช้คอนซีลเลอร์ปกปิดได้หลังฉีด 24 ชั่วโมง การประคบเย็นจะช่วยลดรอยช้ำได้
- อาการบวม: โดยทั่วไปจะบวมที่สุดในวันที่ 2-3 และจะค่อยๆ ยุบลงจนเกือบเป็นปกติภายใน 7-10 วัน การดูแลเบื้องต้นคือการประคบเย็นในช่วง 48 ชั่วโมงแรก นอนหนุนหมอนสูง และหลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์
- อาการเจ็บและรู้สึกตึง: อาจมีอาการเจ็บเล็กน้อยคล้ายรอยฟกช้ำและรู้สึกตึงๆ บริเวณที่ฉีดในช่วง 2-3 วันแรก ซึ่งจะค่อยๆ ดีขึ้นและแก้มจะนิ่มลงจนรู้สึกเป็นธรรมชาติภายใน 1-2 สัปดาห์
- ความไม่สมมาตรเล็กน้อย: มักเกิดจากอาการบวมที่ไม่เท่ากันในแต่ละข้างและจะค่อยๆ หายไปเองเมื่ออาการบวมยุบลง หากยังคงไม่สมมาตรอยู่ สามารถปรึกษาแพทย์เพื่อเติมแก้ไขเล็กน้อยได้ในการนัดติดตามผล 2 สัปดาห์
สัญญาณอันตรายที่ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที
สัญญาณอันตรายที่ร้ายแรงที่สุดและต้องรีบพบแพทย์ทันทีคือ การเปลี่ยนแปลงการมองเห็นอย่างกะทันหัน, อาการปวดรุนแรง, และสีผิวที่เปลี่ยนไปอย่างผิดปกติ (เช่น ซีดขาวหรือเป็นจ้ำสีคล้ำ) สัญญาณเหล่านี้อาจบ่งชี้ถึงภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง เช่น ฟิลเลอร์อุดตันในหลอดเลือด ซึ่งอาจนำไปสู่เนื้อเยื่อตายหรือตาบอดได้ และจำเป็นต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน
นอกจากนี้ สัญญาณของการติดเชื้อที่ควรปรึกษาแพทย์ ได้แก่:
- อาการบวมแดง ร้อน และปวดมากขึ้นผิดปกติหลังฉีดไปแล้ว 2-3 วัน
- มีไข้ หรือมีหนองบริเวณที่ฉีด
- ก้อนแข็งที่เกิดขึ้นและไม่หายไปเองหลังฉีดไปแล้วหลายสัปดาห์หรือหลายเดือน
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับฟิลเลอร์แก้มส้ม
ฉีดฟิลเลอร์แก้มส้มเจ็บไหม
การฉีดฟิลเลอร์แก้มส้ม เจ็บน้อยมาก โดยผู้ป่วยส่วนใหญ่มักให้คะแนนความเจ็บปวดอยู่ที่ 2-3 จาก 10 คะแนนเท่านั้น
เนื่องจากก่อนการฉีดจะมีการทายาชาเฉพาะที่เพื่อลดความรู้สึกเจ็บ นอกจากนี้ ฟิลเลอร์รุ่นใหม่ส่วนใหญ่มักมีส่วนผสมของยาชา (Lidocaine) ซึ่งจะช่วยให้รู้สึกชาจากภายในขณะฉีด ความรู้สึกระหว่างทำจึงมักเป็นเพียงแค่แรงกดหรือความรู้สึกเหมือนถูกหยิกเบาๆ เท่านั้น
หลังฉีดฟิลเลอร์แก้มส้มหน้าบวมกี่วัน
โดยทั่วไป อาการบวมที่เห็นได้ชัดส่วนใหญ่จะหายไปภายใน 7-10 วัน หลังจากการฉีดฟิลเลอร์แก้ม
อาการบวมจะเกิดขึ้นตามลำดับเวลาดังนี้:
- วันที่ 2-3: เป็นช่วงที่ใบหน้าจะบวมมากที่สุด
- วันที่ 4-5: อาการบวมจะเริ่มลดลงอย่างเห็นได้ชัด
- 2-4 สัปดาห์: อาการบวมเล็กน้อยที่เหลืออยู่จะหายไปจนหมด และผลลัพธ์จะเข้าที่อย่างสมบูรณ์
ฟิลเลอร์แก้มส้มเหมาะกับคนอายุเท่าไหร่
ฟิลเลอร์แก้มเหมาะสำหรับผู้ใหญ่ทุกวัย แต่มักจะเริ่มทำในช่วงอายุ 20 ปลายๆ ถึง 30 ปีขึ้นไป โดยอายุที่เหมาะสมจะขึ้นอยู่กับเป้าหมายของแต่ละบุคคล
- อายุ 20 ปีขึ้นไป: สามารถทำได้เพื่อปรับแก้โครงสร้างใบหน้า เช่น ผู้ที่มีโหนกแก้มแบน หรือเพื่อเพิ่มความคมชัดให้ใบหน้า แต่ยังไม่จำเป็นต้องทำเพื่อแก้ปัญหาการสูญเสียไขมัน
- อายุ 30-40 ปี: เป็นช่วงวัยที่คนส่วนใหญ่นิยมเริ่มฉีดฟิลเลอร์ เพื่อแก้ไขสัญญาณแห่งวัยระยะแรกและเติมเต็มแก้มที่เริ่มตอบลง
- อายุ 50 ปีขึ้นไป: ไม่มีข้อจำกัดเรื่องอายุสูงสุด ผู้สูงวัยสามารถฉีดฟิลเลอร์เพื่อเติมเต็มแก้มที่ยุบตัวลงอย่างเห็นได้ชัด ตราบใดที่สุขภาพแข็งแรงและมีความคาดหวังที่สมจริง
ฟิลเลอร์สลายหมดแล้วหน้าจะหย่อนคล้อยกว่าเดิมหรือไม่
ไม่ทำให้ผิวหนังหย่อนคล้อยกว่าเดิม เมื่อฟิลเลอร์สลายไปหมดแล้ว ใบหน้าจะค่อยๆ กลับคืนสู่สภาพเดิมก่อนการฉีด
ผิวหนังมีความยืดหยุ่นและสามารถปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงของปริมาตรในระดับปกติได้ คล้ายกับการที่ผิวหนังปรับตัวตามการเปลี่ยนแปลงของน้ำหนักตัว ความเชื่อที่ว่าฟิลเลอร์จะทำให้ผิวหนังยืดออกนั้นไม่เป็นความจริง เว้นแต่ในกรณีที่ฉีดในปริมาณที่มากเกินไปซ้ำๆ เป็นเวลานาน ซึ่งไม่ใช่การปฏิบัติมาตรฐาน ในทางตรงกันข้าม ระหว่างที่ฟิลเลอร์ยังอยู่ ฟิลเลอร์จะช่วยพยุงผิวหนังไว้ ซึ่งอาจช่วยชะลอความหย่อนคล้อยในช่วงเวลานั้นได้
ฟิลเลอร์แก้มส้มใช้กี่ซีซีถึงจะเห็นผลชัดเจน
โดยทั่วไปแล้ว การฉีดฟิลเลอร์แก้มส้มให้เห็นผลชัดเจนมักใช้ปริมาณ 2-4 ซีซี อย่างไรก็ตาม ปริมาณที่แน่นอนจะขึ้นอยู่กับอายุและความรุนแรงของการยุบตัวของใบหน้า โดยสามารถแบ่งได้ดังนี้
- ผู้ที่มีปัญหาน้อย หรืออายุช่วง 30 ปลายๆ ถึง 40 ปี: มักเริ่มต้นที่ข้างละ 1-2 ซีซี (รวม 2-4 ซีซี) เพื่อเติมเต็มและยกกระชับใบหน้า
- ผู้ที่มีอายุมากขึ้น (50-60 ปีขึ้นไป) หรือมีการยุบตัวของแก้มมาก: อาจต้องใช้ปริมาณข้างละ 2 ซีซีขึ้นไป (รวม 4 ซีซีขึ้นไป) เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ชัดเจน
การฉีดฟิลเลอร์แก้มส้มอันตรายหรือไม่
การฉีดฟิลเลอร์แก้มส้ม มีความปลอดภัยสูง เมื่อทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและใช้ผลิตภัณฑ์ฟิลเลอร์ที่ผ่านการรับรองมาตรฐาน ผลข้างเคียงที่พบบ่อยมักไม่รุนแรงและหายได้เอง เช่น อาการบวม รอยช้ำ หรือความรู้สึกเจ็บเล็กน้อย ซึ่งโดยทั่วไปจะดีขึ้นภายใน 1-2 สัปดาห์
อย่างไรก็ตาม การฉีดฟิลเลอร์ยังมีความเสี่ยงร้ายแรงที่อาจเกิดขึ้นได้ แม้จะพบได้น้อยมากก็ตาม ได้แก่:
- การอุดตันของเส้นเลือด (Vascular Occlusion): เป็นภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงที่สุด เกิดขึ้นเมื่อฟิลเลอร์เข้าไปอุดตันในหลอดเลือด ทำให้เนื้อเยื่อบริเวณนั้นขาดเลือดและอาจนำไปสู่เนื้อเยื่อตายได้หากไม่ได้รับการรักษาทันที
- การติดเชื้อ: อาจเกิดการติดเชื้อบริเวณที่ฉีด ซึ่งสามารถรักษาได้ด้วยยาปฏิชีวนะ
- การสูญเสียการมองเห็น: เป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบได้ยากที่สุด เกิดขึ้นเมื่อฟิลเลอร์เข้าสู่เส้นเลือดที่ไปเลี้ยงดวงตา
ความเสี่ยงเหล่านี้สามารถลดลงได้อย่างมากโดยการเลือกฉีดกับแพทย์ที่มีประสบการณ์สูงและใช้เทคนิคที่ถูกต้องในคลินิกที่ได้มาตรฐาน
References:
- National Center for Biotechnology Information. (n.d.). PMC research articles on facial anatomy and dermal filler techniques. PMC. pmc.ncbi.nlm.nih.gov
- Wiley Online Library. (n.d.). Various dermatology and plastic surgery research articles on facial fillers. Wiley. onlinelibrary.wiley.com
- Journal of Cosmetic Dermatology. (n.d.). Research on hyaluronic acid fillers and aesthetic outcomes. Journals. journals.lww.com
- Trinh, L.N.T. & Gupta, A. (n.d.). Hyaluronic Acid Fillers for Midface Augmentation: A Systematic Review. Journal of Cosmetic Dermatology, 20, 2380-2385. journals.lww.com
- Beleznay, K. et al. (n.d.). Dermal Filler-Associated Blindness: A Review. Plastic and Reconstructive Surgery, 137, 1562-1569. journals.lww.com
- Heydenrych, I. et al. (n.d.). Management of Acute Filler-Related Vascular Complications. Aesthetic Surgery Journal, 38, 1-3. academic.oup.com
- Philipp-Dormston, W. et al. (n.d.). Global Approaches to Dermal Filler Aftercare and Follow-up. Journal of Cosmetic Dermatology, 19, 1088-1096. onlinelibrary.wiley.com
- Cleveland Clinic. (n.d.). Facial fillers and cosmetic procedures information. Cleveland Clinic. clevelandclinic.org

