ยาฉีดคีลอยด์: ราคาเท่าไหร่? ฉีดกี่ครั้ง? มีผลข้างเคียงไหม?

ยาฉีดคีลอยด์คือการรักษาแผลเป็นนูนมาตรฐานอันดับแรกโดยใช้สเตียรอยด์ฉีดเข้าไปในรอยแผลโดยตรงเพื่อทำให้แผลแบนราบและนุ่มลง ซึ่งโดยทั่วไปต้องฉีดประมาณ 3-4 ครั้ง ทุก 4 สัปดาห์ เพื่อลดขนาดของแผลเป็นและบรรเทาอาการคันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ยาฉีดคีลอยด์คืออะไรและทำงานอย่างไร
ยาฉีดคีลอยด์คือ การรักษาแผลเป็นนูนโดยการฉีดตัวยาเข้าไปในรอยแผลเป็นโดยตรง ซึ่งเป็นวิธีมาตรฐานอันดับแรกในการรักษาคีลอยด์และแผลเป็นนูนเกิน (hypertrophic scar)
ตัวยาหลักที่ใช้คือสเตียรอยด์ ไตรแอมซิโนโลน อะเซโตไนด์ (Triamcinolone Acetonide หรือ TAC) ซึ่งทำงานโดยการออกฤทธิ์ต้านการอักเสบและยับยั้งการแบ่งตัวของเซลล์ที่สร้างแผลเป็น (fibroblast) อย่างรุนแรง ส่งผลให้แผลเป็นแบนราบและนุ่มลง ทั้งยังช่วยลดอาการคันและเจ็บปวดได้อีกด้วย ในบางกรณีอาจใช้ร่วมกับยาอื่น เช่น 5-ฟลูออโรยูราซิล (5-FU) เพื่อเสริมประสิทธิภาพในการรักษา
กลไกการออกฤทธิ์ของยาสเตียรอยด์ต่อแผลเป็น
ยาสเตียรอยด์ออกฤทธิ์ต่อแผลเป็นโดยอาศัยฤทธิ์ต้านการอักเสบ (anti-inflammatory) และยับยั้งการแบ่งตัวของเซลล์ (antiproliferative) ที่รุนแรง ยาจะเข้าไปลดการอักเสบภายในเนื้อเยื่อแผลเป็น และยับยั้งการทำงานของเซลล์ไฟโบรบลาสต์ (fibroblast) ซึ่งทำหน้าที่สร้างคอลลาเจนส่วนเกิน ทำให้แผลเป็นนุ่มลง ยุบตัว และแบนราบขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยบรรเทาอาการคันและเจ็บปวดได้อย่างรวดเร็ว
ประเภทของยาที่ใช้ในการฉีดรักษาคีลอยด์
ยาหลักที่ใช้ในการฉีดรักษาคีลอยด์คือ ยาสเตียรอยด์กลุ่มคอร์ติโคสเตียรอยด์ โดยเฉพาะไตรแอมซิโนโลน อะเซโตไนด์ (Triamcinolone Acetonide หรือ TAC) ซึ่งเป็นยามาตรฐานอันดับแรกในการรักษา เนื่องจากมีฤทธิ์ต้านการอักเสบและยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์ได้ดี
นอกจากนี้ยังมียาชนิดอื่นๆ ที่อาจใช้ร่วมด้วยหรือใช้เป็นทางเลือก ได้แก่:
- 5-ฟลูออโรยูราซิล (5-Fluorouracil หรือ 5-FU): มักใช้ร่วมกับ TAC เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษา
- บลีโอมัยซิน (Bleomycin): เป็นยาทางเลือกอันดับสอง เนื่องจากมีความเสี่ยงต่อการเกิดแผลและผลข้างเคียงต่อระบบร่างกาย
- โบทูลินั่ม ท็อกซิน เอ (Botulinum Toxin A หรือ BTX-A): เป็นยาที่มีแนวโน้มให้ผลดีและมีความเสี่ยงเรื่องรอยด่างขาวน้อยกว่าสเตียรอยด์
- อินเตอร์เฟียรอน (Interferon-α/γ): ใช้ในวงจำกัดเนื่องจากมีผลข้างเคียงคล้ายอาการไข้หวัดใหญ่
ใครเหมาะกับการรักษาด้วยยาฉีดคีลอยด์
ลักษณะแผลเป็นที่ตอบสนองต่อการรักษาได้ดี
แผลเป็นที่ตอบสนองต่อการรักษาได้ดีมักเป็นแผลเป็นชนิดนูนเกิน (hypertrophic scar) แผลเป็นใหม่ที่มีอายุน้อยกว่า 1 ปี มีขนาดเล็ก และมีสีแดง ซึ่งบ่งชี้ว่ามีการไหลเวียนของเลือดสูง ทำให้ตัวยาสามารถเข้าถึงได้ดี
ปัจจัยที่บ่งชี้ว่าแผลเป็นจะตอบสนองต่อการรักษาได้ดี ได้แก่:
- ชนิดของแผลเป็น: แผลเป็นนูนเกิน (hypertrophic scar) ตอบสนองต่อการรักษาได้ดีกว่าแผลเป็นคีลอยด์ (keloid)
- อายุของแผลเป็น: แผลเป็นที่เพิ่งเกิดใหม่ (อายุน้อยกว่า 1 ปี) ซึ่งยังคงมีการเจริญเติบโต จะยุบตัวได้ดีกว่าแผลเป็นเก่าที่แข็งและนานแล้ว
- ขนาด: แผลเป็นขนาดเล็กตอบสนองต่อการรักษาได้ดีกว่าแผลเป็นขนาดใหญ่
- อาการ: แผลเป็นที่มีอาการคันหรือเจ็บจะตอบสนองได้ดีในแง่ของการลดอาการ โดยมักเห็นผลอย่างรวดเร็วหลังการฉีด
ข้อห้ามและผู้ที่ไม่ควรฉีดคีลอยด์
ข้อห้ามที่สำคัญที่สุดสำหรับการฉีดคีลอยด์คือ การมีการติดเชื้อหรือเป็นแผลเปิดบริเวณคีลอยด์ เนื่องจากการฉีดอาจทำให้การติดเชื้อลุกลามได้
นอกจากนี้ กลุ่มผู้ที่ไม่ควรฉีดหรือต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ ได้แก่
- ผู้ที่เคยมีประวัติแพ้ยาสเตียรอยด์ชนิดฉีด
- ผู้ที่เป็นโรคคุชชิง (Cushing’s syndrome) หรือมีภาวะฮอร์โมนคอร์ติซอลสูง
- หญิงตั้งครรภ์ (โดยทั่วไปจะเลื่อนการรักษาที่ไม่เร่งด่วนออกไปก่อน)
- ผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องรุนแรง หรือแผลหายยาก เช่น ผู้ป่วยเบาหวานที่ควบคุมไม่ได้
- ผู้ที่ไม่สามารถมารับการรักษาและติดตามผลได้อย่างต่อเนื่อง
ขั้นตอนการฉีดคีลอยด์: การเตรียมตัวและดูแลหลังทำ
การเตรียมตัวก่อนเข้ารับการฉีด
โดยทั่วไป ไม่จำเป็นต้องมีการเตรียมตัวเป็นพิเศษ เนื่องจากการฉีดคีลอยด์ส่วนใหญ่แพทย์จะผสมยาชา (Lidocaine) เข้ากับตัวยาเพื่อช่วยลดความเจ็บปวดอยู่แล้ว
สำหรับผู้ที่ไวต่อความเจ็บปวดมากหรือในเด็ก อาจมีการใช้ยาชาเฉพาะที่ในรูปแบบครีม (เช่น EMLA) ทาบริเวณที่จะฉีดก่อนประมาณ 30-60 นาที นอกจากนี้ บางคลินิกอาจใช้วิธีประคบเย็นหรือใช้เครื่องเป่าลมเย็นบริเวณผิวหนังทันทีก่อนฉีดเพื่อช่วยลดความรู้สึกเจ็บ
สิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างการฉีดยา
ระหว่างการฉีดยา แพทย์จะผสมยาชาเข้ากับสเตียรอยด์เพื่อลดความเจ็บปวด โดยผู้ป่วยจะรู้สึกเจ็บแปลบหรือมีแรงกดดันสั้นๆ ขณะที่แพทย์ใช้เข็มขนาดเล็กฉีดยาเข้าไปในเนื้อเยื่อแผลเป็นจนแผลมีสีซีดขาว ซึ่งบ่งชี้ว่ายาได้กระจายตัวอย่างเหมาะสม ก่อนฉีดอาจมีการประคบเย็นหรือทายาชาเฉพาะที่เพื่อช่วยลดความรู้สึกเจ็บ โดยขั้นตอนทั้งหมดใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีต่อแผลเป็นหนึ่งจุด
วิธีดูแลแผลหลังฉีดเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
การดูแลแผลหลังฉีดคีลอยด์ที่ดีที่สุดคือการรักษาความสะอาด หลีกเลี่ยงการระคายเคือง และใช้การรักษาเสริม เช่น แผ่นซิลิโคนและการป้องกันแสงแดด เพื่อช่วยให้การรักษามีประสิทธิภาพและลดโอกาสการกลับมาเป็นซ้ำ
คำแนะนำในการดูแลตัวเองที่บ้านมีดังนี้:
- รักษาความสะอาด: รักษาบริเวณที่ฉีดให้สะอาดและแห้ง งดทาเครื่องสำอางหรือครีมอื่นๆ บนแผลเป็นเวลา 24 ชั่วโมงเพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ
- หลีกเลี่ยงการกระทบกระเทือน: งดการแกะ เกา หรือเสียดสีบริเวณแผล และหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนักที่อาจทำให้ผิวหนังบริเวณนั้นตึงในวันแรก
- ใช้ซิลิโคนเจลหรือแผ่นแปะ: ใช้ซิลิโคนเจลหรือแผ่นแปะตามคำแนะนำของแพทย์ทุกวัน เพื่อช่วยรักษาความชุ่มชื้นและกดทับแผลเป็น ซึ่งจะช่วยเสริมผลการรักษาของยาฉีด
- ป้องกันแสงแดด: ทาครีมกันแดด (SPF 30 ขึ้นไป) หรือปิดแผลเพื่อป้องกันรังสียูวี ซึ่งอาจทำให้รอยแผลเป็นมีสีคล้ำขึ้น
- ไปตามนัดหมาย: การไปฉีดยาตามนัดอย่างสม่ำเสมอเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
ราคา จำนวนครั้ง และผลลัพธ์ที่คาดหวัง
ปัจจัยกำหนดราคาค่ารักษาต่อครั้ง
ปัจจัยหลักที่กำหนดราคาค่ารักษาคีลอยด์ต่อครั้งคือขนาดและจำนวนของแผลเป็น ปริมาณยาที่ใช้ รวมถึงประเภทและที่ตั้งของสถานพยาบาล โดยมีรายละเอียดดังนี้
- ขนาดและจำนวนของคีลอยด์: แผลเป็นที่มีขนาดใหญ่หรือมีหลายตำแหน่งจะมีค่าใช้จ่ายสูงกว่า
- ปริมาณยาที่ใช้: หากต้องใช้ยาในปริมาณมาก ค่ารักษาก็จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
- ประเภทและที่ตั้งของสถานพยาบาล: โรงพยาบาลเอกชนขนาดใหญ่มักมีราคาสูงกว่าคลินิกขนาดเล็ก และราคาอาจแตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่
- โปรโมชันและแพ็กเกจ: คลินิกหลายแห่งมักมีโปรโมชันหรือแพ็กเกจเหมาจ่าย ซึ่งอาจทำให้ราคาต่อครั้งถูกลง
ต้องฉีดกี่ครั้งและบ่อยแค่ไหนจึงจะเห็นผล
โดยทั่วไปแล้ว ต้องฉีดประมาณ 3-4 ครั้ง ห่างกันทุก 4 สัปดาห์ จึงจะเห็นผลการรักษาที่ชัดเจน
- จำนวนครั้ง: คีลอยด์ขนาดเล็กอาจยุบตัวลงหลังฉีด 2-3 ครั้ง ในขณะที่คีลอยด์ขนาดใหญ่อาจต้องฉีด 6 ครั้งขึ้นไป
- ระยะเวลาเห็นผล: อาการคันหรือเจ็บจะลดลงภายในไม่กี่วันหลังฉีดครั้งแรก ส่วนการยุบตัวของแผลเป็นจะเริ่มเห็นได้ชัดเจนหลังฉีดไปแล้ว 2-3 ครั้ง (ประมาณ 2-3 เดือน)
ระยะเวลาเห็นผลและการเปลี่ยนแปลงของแผลเป็น
โดยทั่วไป อาการคันหรือเจ็บจะลดลงภายในไม่กี่วันหลังฉีดครั้งแรก ส่วนการเปลี่ยนแปลงที่มองเห็นได้ เช่น แผลเป็นแบนราบลง จะเริ่มสังเกตได้ในเวลาประมาณ 3-4 สัปดาห์
การเปลี่ยนแปลงของแผลเป็นจะเกิดขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปตามลำดับดังนี้
- การบรรเทาอาการ: อาการคันและความเจ็บปวดมักจะดีขึ้นอย่างรวดเร็วภายในไม่กี่วันหลังการฉีดครั้งแรก
- การยุบตัวของแผล: แผลเป็นจะเริ่มดูแบนราบหรือซีดลงหลังจากผ่านไปประมาณ 3-4 สัปดาห์ ซึ่งเป็นช่วงเวลาใกล้เคียงกับการฉีดครั้งที่สอง
- ผลลัพธ์ที่ชัดเจน: การเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดเจนส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นหลังจากการฉีด 2-3 ครั้ง (ประมาณ 2-3 เดือน) โดยผู้ป่วยส่วนใหญ่จะพบว่าแผลเป็นยุบตัวลงมากกว่า 50%
ข้อควรพิจารณาก่อนตัดสินใจฉีดคีลอยด์
การเลือกคลินิกและแพทย์ผู้ทำการรักษา
ควรเลือกแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เช่น แพทย์ผิวหนังหรือศัลยแพทย์ตกแต่ง และคลินิกที่น่าเชื่อถือ โดยให้ความสำคัญกับคลินิกที่มีเทคนิคปลอดเชื้อและแพทย์ที่มีประสบการณ์มากกว่าการเลือกจากราคาที่ถูกที่สุดเพียงอย่างเดียว เพื่อความปลอดภัยในการรักษา
เปรียบเทียบการฉีดกับวิธีรักษาคีลอยด์แบบอื่น
การฉีดยาเป็นวิธีรักษาคีลอยด์อันดับแรก เนื่องจากมีความสมดุลระหว่างประสิทธิภาพ ความปลอดภัย และค่าใช้จ่าย ในขณะที่วิธีอื่น เช่น การผ่าตัด การฉายรังสี และเลเซอร์ มีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันไป และมักใช้สำหรับคีลอยด์ที่ไม่ตอบสนองต่อการฉีดหรือใช้รักษาร่วมกัน
ตารางเปรียบเทียบวิธีการรักษาคีลอยด์แบบต่างๆ:
| วิธีการรักษา | ข้อดี | ข้อเสีย / ความเสี่ยง | เหมาะสำหรับ |
|---|---|---|---|
| การฉีดยา (Steroids) | เป็นวิธีมาตรฐาน ปลอดภัย ทำให้แผลเป็นแบนราบและนุ่มลง ลดอาการคันและเจ็บได้ดี ค่าใช้จ่ายไม่สูง | ต้องทำหลายครั้ง อาจเกิดผิวบุ๋ม (atrophy) หรือสีผิวเปลี่ยน | คีลอยด์ส่วนใหญ่ (เป็นวิธีแรกที่เลือกใช้) |
| การผ่าตัด | กำจัดก้อนคีลอยด์ออกได้ทันที | เสี่ยงกลับมาเป็นซ้ำสูงมาก (50–100%) หากทำอย่างเดียว | คีลอยด์ขนาดใหญ่มาก และต้องรักษาร่วมกับวิธีอื่น เช่น การฉีดยาหรือการฉายรังสีตามหลัง |
| การฉายรังสี | มีประสิทธิภาพสูงมากในการป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำหลังผ่าตัด (ลดโอกาสเหลือ <20%) | ค่าใช้จ่ายสูง มีความเสี่ยงระยะยาว (แม้จะน้อย) จึงมักใช้ในผู้ใหญ่และกรณีที่รุนแรง | คีลอยด์ที่ดื้อต่อการรักษา หรือใช้ป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำหลังผ่าตัด |
| เลเซอร์ (Laser) | ช่วยลดรอยแดงและปรับผิวให้เรียบเนียนขึ้น ความเสี่ยงต่ำ | ไม่ค่อยได้ผลในการลดขนาดคีลอยด์ที่นูนหนามาก ต้องทำหลายครั้ง | คีลอยด์ที่ยังมีรอยแดง หรือแผลเป็นนูน (hypertrophic scar) |
| การจี้เย็น (Cryotherapy) | ทำให้คีลอยด์แบนราบลงได้ดีในแผลขนาดเล็ก | เจ็บ และมักทำให้เกิดรอยด่างขาวถาวร ไม่เหมาะกับผู้มีผิวคล้ำ | คีลอยด์ขนาดเล็ก |
การป้องกันคีลอยด์กลับมาเป็นซ้ำ
การป้องกันคีลอยด์กลับมาเป็นซ้ำต้องอาศัยหลายวิธีร่วมกัน โดยมีเป้าหมายเพื่อควบคุมแผลเป็นในระยะยาวหลังจากที่แผลเรียบลงแล้ว
วิธีการป้องกันที่สำคัญมีดังนี้:
- การใช้อุปกรณ์กดทับ (Pressure Therapy): การใช้อุปกรณ์ที่สร้างแรงกดอย่างสม่ำเสมอ เช่น ต่างหูแบบหนีบสำหรับคีลอยด์ที่ใบหู หรือเสื้อผ้าที่ออกแบบมาเพื่อกดทับแผลเป็นบริเวณหน้าอกหรือแขนขา สามารถลดอัตราการกลับมาเป็นซ้ำได้อย่างมีนัยสำคัญ
- แผ่นซิลิโคนเจล (Silicone Gel Sheets): การใช้แผ่นซิลิโคนแปะบนแผลเป็นทุกวันเป็นเวลาอย่างน้อย 3-6 เดือน จะช่วยรักษาความชุ่มชื้นและควบคุมการสร้างคอลลาเจน ซึ่งได้รับการพิสูจน์แล้วว่าช่วยลดการเกิดซ้ำได้
- การป้องกันแสงแดด: ควรทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 ขึ้นไป หรือปกปิดแผลเป็นจากแสงแดด เพื่อป้องกันการอักเสบและปัญหาสีผิวคล้ำที่อาจกระตุ้นให้แผลเป็นแย่ลง
- การติดตามผลระยะยาว: การพบแพทย์อย่างสม่ำเสมอ เช่น ทุก 3-4 เดือนในปีแรกหลังการรักษา เพื่อตรวจหาการกลับมาเป็นซ้ำในระยะเริ่มต้น หากพบว่าแผลเริ่มนูนขึ้นใหม่ แพทย์จะสามารถให้การรักษาเพิ่มเติมได้ทันที
- การหลีกเลี่ยงการบาดเจ็บซ้ำ: ควรหลีกเลี่ยงการกระทำที่อาจก่อให้เกิดแผลในบริเวณเดิม เช่น การเจาะหูซ้ำ หรือการสักทับบริเวณที่เคยเป็นคีลอยด์
ผลข้างเคียงและความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น
ผลข้างเคียงทั่วไปที่สามารถจัดการได้
ผลข้างเคียงที่พบบ่อยที่สุดจากการฉีดคีลอยด์คือ ผิวหนังฝ่อหรือยุบตัว รอยด่างขาว และเส้นเลือดฝอยขยายตัว
ผลข้างเคียงเหล่านี้สามารถจัดการได้และมักเกิดขึ้นเฉพาะบริเวณที่ฉีดเท่านั้น:
- ผิวหนังฝ่อ (Skin Atrophy): เป็นผลข้างเคียงที่พบบ่อยที่สุด ผิวหนังบริเวณที่ฉีดจะบางและยุบตัวลง ซึ่งมักเกิดขึ้นเฉพาะที่และอาจฟื้นตัวได้บางส่วนเมื่อหยุดการฉีด
- รอยด่างขาว (Hypopigmentation): สีผิวบริเวณที่รักษาจะจางลง โดยเฉพาะในผู้ที่มีผิวคล้ำ เนื่องจากสเตียรอยด์ไปลดการทำงานของเซลล์สร้างเม็ดสี
- เส้นเลือดฝอยขยายตัว (Telangiectasia): อาจเกิดเส้นเลือดฝอยเล็กๆ สีแดงคล้ายใยแมงมุมบนผิวหนังบริเวณที่ฉีด ซึ่งเป็นผลมาจากผิวที่บางลง
สัญญาณอันตรายที่ต้องรีบปรึกษาแพทย์
สัญญาณอันตรายที่ต้องรีบปรึกษาแพทย์หลังการฉีดคีลอยด์คือ อาการปวดรุนแรงหรือมีของเหลวผิดปกติไหลซึมออกมาจากแผล
อาการเหล่านี้เป็นสัญญาณที่พบได้ไม่บ่อยและอาจบ่งชี้ถึงการติดเชื้อ ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการตรวจจากแพทย์ทันที
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการฉีดคีลอยด์
ฉีดคีลอยด์เจ็บไหม?
การฉีดคีลอยด์ทำให้เกิดความเจ็บปวดบ้าง แต่โดยทั่วไปแล้วสามารถทนได้ เนื่องจากแพทย์มักผสมยาชา (lidocaine) เข้ากับสเตียรอยด์เพื่อลดความรู้สึกไม่สบาย และอาจมีการประคบเย็นหรือใช้สเปรย์เย็นที่ผิวก่อนฉีดเพื่อช่วยลดความเจ็บปวด
โดยทั่วไปจะรู้สึกเหมือนโดนหยิกเบาๆ และอาจมีความรู้สึกแสบหรือตึงเล็กน้อยเพียงไม่กี่วินาที ซึ่งความเจ็บปวดจะหายไปทันทีหลังฉีดเสร็จ
ต้องฉีดคีลอยด์กี่ครั้งถึงจะเห็นผล?
โดยทั่วไป จะเริ่มเห็นผลการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนหลังฉีดไปแล้วประมาณ 2-3 ครั้ง หรือในช่วง 2-3 เดือนแรกของการรักษา อย่างไรก็ตาม อาการคันหรือเจ็บมักจะดีขึ้นอย่างรวดเร็วภายในไม่กี่วันหลังการฉีดครั้งแรก
จำนวนครั้งในการฉีดทั้งหมดจะขึ้นอยู่กับขนาดและการตอบสนองของคีลอยด์แต่ละบุคคล
- คีลอยด์ขนาดเล็ก: อาจยุบตัวลงอย่างน่าพอใจหลังฉีดประมาณ 3 ครั้ง
- คีลอยด์ขนาดใหญ่หรือนานแล้ว: อาจต้องฉีด 5-8 ครั้ง หรือมากกว่านั้นเพื่อให้แผลเรียบเนียนที่สุด
ยาฉีดคีลอยด์มีผลข้างเคียงถาวรหรือไม่?
ใช่ ผลข้างเคียงบางอย่างจากการฉีดคีลอยด์อาจคงอยู่ถาวรได้
ผลข้างเคียงที่พบได้และอาจคงอยู่ถาวรในบางกรณีคือภาวะเส้นเลือดฝอยขยายตัว (Telangiectasia) ซึ่งทำให้เห็นเป็นเส้นเลือดฝอยเล็กๆ สีแดงบริเวณที่ฉีด นอกจากนี้ ผลข้างเคียงอื่นๆ เช่น ผิวหนังยุบตัว บางลง หรือบุ๋ม (Atrophy) และสีผิวจางลง (Hypopigmentation) ก็อาจเกิดขึ้นได้ ซึ่งแม้ว่าอาการเหล่านี้จะสามารถดีขึ้นได้เองหลังจากหยุดการรักษา แต่ก็อาจคงอยู่เป็นเวลานานในผู้ป่วยบางราย
หลังฉีดคีลอยด์แล้วมีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำไหม?
มีโอกาสที่คีลอยด์จะกลับมาเป็นซ้ำได้ โดยอัตราการกลับมาเป็นซ้ำหลังการฉีดสเตียรอยด์อย่างเดียวมีตั้งแต่ 9% ถึง 50% ขึ้นอยู่กับขนาด ตำแหน่งของคีลอยด์ และปัจจัยส่วนบุคคล
อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงนี้สามารถลดลงได้อย่างมากด้วยการดูแลต่อเนื่อง เช่น การใช้แผ่นซิลิโคน การสวมใส่อุปกรณ์กดทับ และการกลับมาพบแพทย์เพื่อตรวจติดตาม ซึ่งหากพบสัญญาณการกลับมาเป็นซ้ำในระยะเริ่มต้น แพทย์อาจฉีดยากระตุ้น (booster) เพื่อควบคุมไม่ให้แผลเป็นกลับมานูนใหญ่อีกครั้ง
สามารถใช้แผ่นแปะคีลอยด์ร่วมกับการฉีดได้หรือไม่?
ได้ การใช้แผ่นแปะซิลิโคนสำหรับคีลอยด์ร่วมกับการฉีดถือเป็นวิธีที่แนะนำ โดยทั่วไปแพทย์จะแนะนำให้ใช้แผ่นแปะซิลิโคนหรือซิลิโคนเจลทุกวันในช่วงระหว่างการฉีดแต่ละครั้งและต่อเนื่องไปอีกอย่างน้อย 3-6 เดือนหลังการรักษา เพื่อช่วยรักษาความชุ่มชื้น กดทับแผลเป็น และป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ
ฉีดคีลอยด์เองที่บ้านได้ไหม?
ไม่สามารถฉีดคีลอยด์เองที่บ้านได้ เนื่องจากการฉีดคีลอยด์เป็นหัตถการทางการแพทย์ที่ต้องทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น เพื่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพสูงสุด
การฉีดคีลอยด์เองมีความเสี่ยงสูงหลายประการ ได้แก่
- การติดเชื้อ: หากใช้อุปกรณ์ที่ไม่ปลอดเชื้อหรือทำในสภาพแวดล้อมที่ไม่สะอาด อาจทำให้เกิดการติดเชื้อรุนแรงได้
- ผลข้างเคียงจากการฉีดผิดวิธี: การฉีดที่ตื้นหรือลึกเกินไป หรือฉีดเข้าผิวหนังปกติรอบๆ อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงถาวร เช่น ผิวหนังยุบตัว (skin atrophy) สีผิวจางลง (hypopigmentation) หรือเกิดเส้นเลือดฝอยขยายตัว (telangiectasia)
- การใช้ยาและปริมาณที่ไม่เหมาะสม: แพทย์จะประเมินขนาดและความหนาของคีลอยด์เพื่อเลือกความเข้มข้นและปริมาณยาที่ถูกต้อง การใช้ยาผิดขนาดอาจทำให้การรักษาไม่ได้ผลหรือเกิดอันตรายได้
References:
- American Academy of Dermatology (AAD). (n.d.). Keloid Scars: Diagnosis and Treatment. AAD. aad.org
- National Institute of Health. (n.d.). Intralesional Corticosteroid Injection for Keloids and Hypertrophic Scars. NIH. nih.gov
- UpToDate. (n.d.). Treatment of Keloids and Hypertrophic Scars. UpToDate. uptodate.com
- Frontiers in Medicine. (n.d.). Management Strategies for Keloid Scars. Frontiers. frontiersin.org
- Lippincott Williams & Wilkins (LWW). (n.d.). Keloid Treatment Guidelines. LWW Journals. lww.com
- Springer. (n.d.). Clinical Approaches to Keloid Therapy. Springer. springer.com
