ร่องแก้มลึก แก้ด้วยฟิลเลอร์ โบท็อกซ์ หรือ Hifu? แบบไหนดีกว่ากัน

การรักษาริ้วรอยร่องแก้มลึกสามารถทำได้หลายวิธี โดยวิธีที่นิยมคือการฉีดฟิลเลอร์เพื่อเติมเต็มร่องลึกให้ตื้นขึ้นทันทีซึ่งให้ผลลัพธ์นาน 6-18 เดือน หรือใช้โบท็อกซ์เพื่อคลายกล้ามเนื้อซึ่งจะช่วยให้ร่องแก้มตื้นขึ้นเมื่อยิ้มและให้ผลนาน 3-4 เดือน
ร่องแก้มลึกเกิดจากอะไร? เข้าใจ 4 สาเหตุหลักที่ทำให้หน้าดูมีอายุ
ร่องแก้มลึกเกิดจาก 4 สาเหตุหลักที่ทำงานร่วมกัน ได้แก่ การสูญเสียปริมาตรของไขมันและกระดูก การหย่อนคล้อยของผิวหนัง การเปลี่ยนแปลงคุณภาพผิว และการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อซ้ำๆ ซึ่งปัจจัยเหล่านี้มักเกิดจากการเสื่อมสภาพตามวัย
- การสูญเสียปริมาตรของไขมันและกระดูก: เมื่ออายุมากขึ้น ไขมันบริเวณแก้มจะฝ่อตัวและเคลื่อนลงต่ำ ประกอบกับกระดูกบริเวณใต้ตาและขากรรไกรที่ยุบตัวลง ทำให้ผิวหนังที่อยู่ด้านบนขาดการรองรับและพับตัวลงมาเป็นร่องลึก
- การหย่อนคล้อยของผิวและเส้นเอ็น: เส้นเอ็นที่ยึดผิวหน้าอ่อนแอลง ทำให้เนื้อแก้มหย่อนคล้อยลงมาตามแรงโน้มถ่วง และผิวหนังที่ยึดเกาะกันอย่างหลวมๆ บริเวณเหนือร่องแก้มจะหย่อนลงมากองทับกัน ทำให้ร่องดูลึกขึ้น
- การเสื่อมสภาพของผิวหนัง: การสูญเสียคอลลาเจนและไฮยาลูรอนิกแอซิดในชั้นผิว ทำให้ผิวบางลง ขาดความยืดหยุ่น และเกิดเป็นริ้วรอยถาวรได้ง่ายขึ้น
- การเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อ: การยิ้มหรือแสดงสีหน้าซ้ำๆ เป็นเวลาหลายปี ทำให้กล้ามเนื้อดึงผิวหนังจนเกิดเป็นรอยพับ จากเดิมที่เป็นแค่เส้นชั่วคราวขณะแสดงสีหน้า ก็กลายเป็นร่องลึกถาวรแม้ในขณะที่หน้าเฉย
ใครบ้างที่เหมาะกับการรักษาริ้วรอยร่องแก้มด้วยหัตถการ
ผู้ที่เหมาะกับการรักษาริ้วรอยร่องแก้มคือผู้ที่มีร่องแก้มลึกปานกลางถึงมากจนเห็นได้ชัดแม้ไม่ได้แสดงสีหน้า และมีความกังวลเกี่ยวกับร่องแก้มนั้น โดยปัจจัยด้านอายุมีความสำคัญน้อยกว่าสภาพของร่องแก้มและความต้องการของผู้ป่วยเอง ผู้ที่เหมาะสมควรมีมุมมองต่อผลลัพธ์ที่เป็นจริง คือร่องแก้มจะดูตื้นและเรียบเนียนขึ้น แต่ไม่ได้หายไปอย่างสมบูรณ์ นอกจากนี้ การเลือกหัตถการยังขึ้นอยู่กับสาเหตุของปัญหาในแต่ละบุคคล ซึ่งแพทย์จะเป็นผู้ประเมินเพื่อวางแผนการรักษาที่เหมาะสมที่สุด
เปรียบเทียบ 3 วิธีแก้ร่องแก้มยอดนิยม: ฟิลเลอร์ โบท็อกซ์ และ Hifu
การฉีดฟิลเลอร์ (Filler) เพื่อเติมเต็มร่องลึก
การฉีดฟิลเลอร์เป็นวิธีที่นิยมและมีประสิทธิภาพในการเติมเต็มร่องแก้มที่ลึก โดยเป็นการฉีดสารเติมเต็มประเภทกรดไฮยาลูรอนิก (Hyaluronic Acid) เข้าไปเพื่อทดแทนปริมาตรที่หายไปใต้ผิวหนัง ทำให้ร่องแก้มดูตื้นขึ้นและผิวบริเวณนั้นเรียบเนียนขึ้น ผลลัพธ์สามารถเห็นได้ทันทีหลังการรักษา และโดยทั่วไปจะอยู่ได้นานประมาณ 6-12 เดือน
การฉีดโบท็อกซ์ (Botox) เพื่อคลายกล้ามเนื้อ
การฉีดโบท็อกซ์เป็นการคลายกล้ามเนื้อที่ดึงผิวหนังบริเวณร่องแก้ม เพื่อทำให้ร่องแก้มดูตื้นขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขณะที่ยิ้ม
การรักษานี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีร่องแก้มที่เห็นชัดเจนขึ้นเมื่อแสดงสีหน้า แต่ไม่ลึกมากเมื่อทำหน้าปกติ เนื่องจากโบท็อกซ์ไม่ได้ช่วยเติมเต็มปริมาตร แต่จะเน้นลดการทำงานของกล้ามเนื้อเท่านั้น ผลลัพธ์จะเริ่มเห็นใน 5-7 วัน และอยู่ได้ประมาณ 3-4 เดือน จึงมักใช้เป็นการรักษาร่วมกับฟิลเลอร์มากกว่าการรักษาเดี่ยวๆ สำหรับร่องแก้มลึก
การใช้ Hifu เพื่อยกกระชับผิวจากภายใน
HIFU (High-Intensity Focused Ultrasound) เป็นเทคโนโลยีที่ใช้พลังงานคลื่นอัลตราซาวนด์ความเข้มข้นสูงส่งลงไปใต้ชั้นผิวหนังเพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใหม่ โดยพลังงานความร้อนจะถูกส่งไปยังชั้นผิวหนังระดับลึก (ชั้น SMAS) อย่างแม่นยำโดยไม่ทำลายผิวชั้นนอก กระบวนการนี้จะกระตุ้นให้ร่างกายเกิดการซ่อมแซมตัวเองตามธรรมชาติ ส่งผลให้ผิวค่อยๆ ตึงกระชับและยกขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติเมื่อเวลาผ่านไป ผลลัพธ์จะเริ่มเห็นได้ชัดเจนขึ้นในช่วง 2-3 เดือนหลังการรักษา
ตารางเปรียบเทียบ: ผลลัพธ์ ระยะเวลา และการพักฟื้น
นี่คือตารางเปรียบเทียบผลลัพธ์ ระยะเวลา และการพักฟื้นสำหรับการรักษาร่องแก้มด้วยฟิลเลอร์ โบท็อกซ์ และ HIFU
| หัตถการ | ผลลัพธ์ | ระยะเวลาของผลลัพธ์ | การพักฟื้น |
|---|---|---|---|
| ฟิลเลอร์ (Filler) | เห็นผลทันทีหลังทำ ร่องแก้มดูตื้นขึ้น | 6-18 เดือน | อาจมีอาการบวมหรือช้ำเล็กน้อย 2-3 วัน |
| โบท็อกซ์ (Botox) | เริ่มเห็นผลใน 5-7 วัน ช่วยให้ร่องแก้มตื้นขึ้นเวลายิ้ม | 3-4 เดือน | ไม่ต้องพักฟื้น อาจมีรอยเข็มเล็กน้อย |
| HIFU | เห็นผลเต็มที่ใน 2-3 เดือน ผิวจะค่อยๆ ตึงกระชับขึ้น | 6-12 เดือน | ไม่ต้องพักฟื้น อาจมีรอยแดงเล็กน้อย 2-3 ชั่วโมง |
ปัจจัยสำคัญที่ต้องพิจารณาก่อนตัดสินใจเลือกรักษา
การประเมินโครงสร้างใบหน้าและความลึกของร่องแก้ม
การประเมินร่องแก้มจะพิจารณาจากโครงสร้างใบหน้าโดยรวม ไม่ได้ดูแค่ร่องแก้มเพียงอย่างเดียว เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงและวางแผนการรักษาที่เหมาะสมที่สุด
แพทย์จะทำการประเมินปัจจัยต่างๆ ที่ส่งผลต่อความลึกของร่องแก้ม เช่น
- การสูญเสียปริมาตร: ตรวจสอบการยุบตัวของไขมันหรือกระดูกบริเวณกลางใบหน้า (แก้ม) ซึ่งทำให้เนื้อเยื่อหย่อนลงมากองที่ร่องแก้ม
- ความหย่อนคล้อยของผิว: ประเมินคุณภาพและความยืดหยุ่นของผิวหนัง
- ระดับความรุนแรง: ประเมินความลึกของร่องแก้มโดยใช้มาตรวัดระดับความรุนแรง (เช่น เกรด 1-4) เพื่อกำหนดแนวทางการรักษาที่เหมาะสม ตั้งแต่การรักษาแบบเดี่ยวไปจนถึงการรักษาแบบผสมผสาน
ผลลัพธ์ที่คาดหวังและระยะเวลาคงสภาพ
ผลลัพธ์และระยะเวลาคงสภาพจะแตกต่างกันไปตามวิธีการรักษา โดยแต่ละวิธีให้ผลลัพธ์และมีระยะเวลาที่แตกต่างกัน ดังนี้
- ฟิลเลอร์ (Filler): เห็นผลทันทีหลังทำ โดยร่องแก้มจะดูตื้นขึ้นอย่างชัดเจน ผลลัพธ์คงอยู่ประมาณ 6-12 เดือน และฟิลเลอร์บางรุ่นอาจอยู่ได้นานถึง 18 เดือน
- โบท็อกซ์ (Botox): ผลลัพธ์จะดูเป็นธรรมชาติและไม่ชัดเจนเท่าฟิลเลอร์ เริ่มเห็นผลใน 5-7 วัน และคงอยู่ประมาณ 3-4 เดือน
- ไฮฟู (HIFU): ผลลัพธ์จะค่อยๆ ปรากฏขึ้น โดยจะเห็นผลเต็มที่ในเวลาประมาณ 2-3 เดือนหลังทำ ผลลัพธ์การยกกระชับจะคงอยู่ได้ประมาณ 6-12 เดือน
งบประมาณและแผนการรักษาต่อเนื่อง
งบประมาณสำหรับการรักษาร่องแก้มจะแตกต่างกันไปตามประเภทของหัตถการ และจำเป็นต้องมีการวางแผนการรักษาอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากผลลัพธ์ไม่ใช่การรักษาแบบถาวร
ผู้ป่วยควรพิจารณาค่าใช้จ่ายควบคู่ไปกับระยะเวลาของผลลัพธ์ โดยราคาโดยประมาณในประเทศไทยมีดังนี้:
- ฟิลเลอร์: ราคาประมาณ 7,000–15,000 บาทต่อซีซี ผลลัพธ์อยู่ได้นานประมาณ 1 ปี
- โบท็อกซ์: มีค่าใช้จ่ายต่อครั้งน้อยกว่า แต่ผลลัพธ์อยู่ได้นานเพียง 3-4 เดือน ทำให้ต้องทำซ้ำบ่อยกว่า
- HIFU: การทำ HIFU บริเวณใบหน้าส่วนล่างอาจมีค่าใช้จ่ายประมาณ 10,000 บาท และผลลัพธ์อยู่ได้นานประมาณ 1 ปี
การเลือกรักษาไม่ใช่การตัดสินใจเพียงครั้งเดียว แต่เป็นการดูแลต่อเนื่องในระยะยาว ซึ่งแพทย์มักจะช่วยวางแผนการรักษาที่สอดคล้องกับงบประมาณและความต้องการในการดูแลผลลัพธ์ของผู้ป่วยแต่ละราย
ความเสี่ยงและผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากการรักษาร่องแก้ม
ความเสี่ยงและผลข้างเคียงที่พบได้บ่อยจากการรักษาร่องแก้มคืออาการบวม ช้ำ รอยแดง หรือเจ็บเล็กน้อย ซึ่งโดยทั่วไปจะหายไปเองภายในเวลาไม่กี่วัน แต่ก็มีความเสี่ยงที่รุนแรงซึ่งพบได้น้อยมากเช่นกัน
ผลข้างเคียงจะแตกต่างกันไปตามวิธีการรักษา ดังนี้:
- ฟิลเลอร์: อาการทั่วไปคือบวมและช้ำ ความเสี่ยงที่รุนแรงแต่พบได้น้อยคือการอุดตันของเส้นเลือด (Vascular Occlusion) ซึ่งอาจทำให้เนื้อเยื่อเสียหายได้ นอกจากนี้อาจเกิดก้อนหรือไม่เรียบเนียนได้ชั่วคราว
- โบท็อกซ์: ผลข้างเคียงมักน้อยมาก อาจมีอาการเจ็บหรือรอยช้ำเล็กน้อย หากตัวยากระจายไปยังกล้ามเนื้อที่ไม่ต้องการ อาจทำให้การยิ้มดูไม่สมมาตรชั่วคราวได้
- HIFU: เป็นหัตถการที่ไม่มีแผล จึงมีความเสี่ยงน้อยมาก ผู้รับการรักษาอาจรู้สึกเจ็บระหว่างทำ และอาจมีรอยแดง บวม หรือรู้สึกตึงที่ผิวเล็กน้อยหลังทำ ซึ่งจะหายไปในไม่กี่ชั่วโมงถึงสองสามวัน ในกรณีที่พบได้ยากมากอาจเกิดการระคายเคืองเส้นประสาทชั่วคราวได้
วิธีดูแลและชะลอการเกิดร่องแก้มลึกด้วยตัวเอง
การดูแลและชะลอการเกิดร่องแก้มลึกด้วยตัวเองสามารถทำได้โดยการป้องกันผิวจากแสงแดด งดสูบบุหรี่ และใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่เหมาะสมอย่างสม่ำเสมอ แม้วิธีเหล่านี้จะไม่สามารถลบร่องแก้มที่ลึกแล้วให้หายไปได้ แต่จะช่วยชะลอการเกิดร่องลึกใหม่และทำให้ร่องเดิมดูตื้นขึ้นได้
วิธีดูแลตัวเองเพื่อชะลอการเกิดร่องแก้ม มีดังนี้:
- ป้องกันแสงแดด: ทาครีมกันแดดทุกวัน เพราะรังสียูวีเป็นตัวการสำคัญที่ทำลายคอลลาเจนและทำให้ผิวเสื่อมสภาพ
- งดสูบบุหรี่: การสูบบุหรี่ทำลายคอลลาเจนและอีลาสตินในผิว ทำให้เกิดริ้วรอยได้ง่ายขึ้น
- ใช้สกินแคร์ที่เหมาะสม:
- เรตินอยด์ (Retinoids): ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของเรตินอยด์ในตอนกลางคืนเพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน
- มอยส์เจอไรเซอร์: ทาครีมบำรุงผิวเป็นประจำเพื่อให้ผิวชุ่มชื้นและดูอิ่มฟู ซึ่งจะช่วยให้ริ้วรอยดูจางลงชั่วคราว
- สารต้านอนุมูลอิสระ: ใช้เซรั่มวิตามินซีในตอนเช้าเพื่อปกป้องผิวจากมลภาวะ
- ปรับพฤติกรรมการนอน: พยายามนอนหงายเพื่อหลีกเลี่ยงการกดทับใบหน้าด้านใดด้านหนึ่งเป็นเวลานาน ซึ่งอาจทำให้ร่องแก้มลึกขึ้นได้
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์: เน้นอาหารที่อุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ โปรตีน และไขมันดี เพื่อเสริมสร้างสุขภาพผิวจากภายใน
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการรักษาร่องแก้ม
ร่องแก้มลึกเกิดจากสาเหตุอะไรได้บ้าง?
ร่องแก้มลึกเกิดจากหลายปัจจัยร่วมกันที่เกี่ยวข้องกับความเสื่อมของโครงสร้างใบหน้าตามวัย โดยสาเหตุหลักเกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางกายวิภาคหลายอย่างรวมกัน ไม่ได้เกิดจากสาเหตุเดียว
สาเหตุหลักๆ ได้แก่:
- การสูญเสียและการเคลื่อนตัวของไขมัน: ไขมันบริเวณแก้มลดลงและเคลื่อนตัวต่ำลง ทำให้เนื้อแก้มหย่อนลงมากองเหนือร่องแก้ม
- เส้นเอ็นยึดผิวอ่อนแอลง: เส้นเอ็นที่ช่วยพยุงผิวหน้าอ่อนแอลง ทำให้ผิวและไขมันหย่อนคล้อยลงมาได้ง่ายขึ้น
- การสูญเสียมวลกระดูก: กระดูกบริเวณใบหน้าส่วนกลางและขากรรไกรยุบตัวลงตามวัย ทำให้ผิวหนังขาดโครงสร้างรองรับและเกิดการพับตัวเป็นร่องลึก
- ผิวสูญเสียคอลลาเจน: ผิวที่บางลงและขาดความยืดหยุ่นจากการสูญเสียคอลลาเจน ทำให้เกิดเป็นริ้วรอยร่องลึกได้ง่าย
- การเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อ: การยิ้มหรือแสดงสีหน้าซ้ำๆ เป็นเวลานาน ทำให้เกิดรอยพับถาวรจนเห็นเป็นร่องลึกแม้ในขณะที่ไม่ได้แสดงสีหน้า
- พันธุกรรม: บางคนมีโครงสร้างใบหน้าที่ทำให้เห็นร่องแก้มชัดมาตั้งแต่กำเนิด
การฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้มเจ็บไหม?
ความเจ็บจากการฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้มนั้นสามารถจัดการได้และอยู่ในระดับที่ไม่รุนแรง โดยทั่วไปแพทย์จะทายาชาเฉพาะที่ประมาณ 15-30 นาทีก่อนฉีด และฟิลเลอร์ส่วนใหญ่ในปัจจุบันมีส่วนผสมของยาชา (Lidocaine) ซึ่งช่วยลดความเจ็บปวดระหว่างการฉีด ผู้ป่วยอาจรู้สึกเหมือนโดนหยิกเบาๆ หรือรู้สึกตึงๆ เล็กน้อยในตอนแรก แต่ความเจ็บปวดมักถูกประเมินไว้ที่ระดับ 2-4 จาก 10 เท่านั้น
แก้ร่องแก้มด้วยวิธีธรรมชาติได้ผลจริงหรือไม่?
วิธีธรรมชาติสามารถช่วยชะลอและทำให้ร่องแก้มดูดีขึ้นได้ แต่ไม่สามารถกำจัดร่องแก้มที่ลึกและเห็นได้ชัดเจนแล้ว วิธีเหล่านี้เน้นการป้องกันและบำรุงผิวให้แข็งแรง ซึ่งจะช่วยให้ร่องแก้มไม่ลึกขึ้นอย่างรวดเร็ว
วิธีทางธรรมชาติที่แนะนำ ได้แก่:
- การป้องกันแสงแดด: การทาครีมกันแดดทุกวันเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เพราะรังสียูวีเป็นตัวการทำลายคอลลาเจนและทำให้ร่องแก้มลึกขึ้น
- การใช้สกินแคร์: ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของเรตินอยด์ (Retinoids) สามารถช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในระยะยาว ส่วนมอยส์เจอไรเซอร์จะช่วยให้ผิวชุ่มชื้นและทำให้ริ้วรอยดูตื้นขึ้นชั่วคราว
- ปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์: การไม่สูบบุหรี่ การนอนหงายเพื่อลดการกดทับใบหน้า และการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ล้วนช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยได้
- การนวดหน้าหรือโยคะใบหน้า: อาจช่วยเพิ่มการไหลเวียนโลหิตได้ แต่หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ยืนยันว่าสามารถลดริ้วรอยได้อย่างชัดเจนยังมีจำกัด และหากทำไม่ถูกวิธีอาจทำให้ริ้วรอยลึกขึ้นได้
ผลลัพธ์จากการรักษาร่องแก้มอยู่ได้นานแค่ไหน?
ผลลัพธ์จากการรักษาร่องแก้มจะอยู่ได้นานแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับวิธีที่ใช้ โดยทั่วไปฟิลเลอร์จะอยู่ได้นาน 6-18 เดือน, โบท็อกซ์ประมาณ 3-4 เดือน และ HIFU ประมาณ 1 ปี
ระยะเวลาของผลลัพธ์สำหรับแต่ละวิธีมีดังนี้:
- ฟิลเลอร์ (Filler): ฟิลเลอร์กรดไฮยาลูรอนิก (Hyaluronic Acid) ส่วนใหญ่จะให้ผลลัพธ์นานประมาณ 6-12 เดือน แต่บางชนิดอาจอยู่ได้นานถึง 18 เดือน หลังจากนั้นฟิลเลอร์จะค่อยๆ สลายไปและจำเป็นต้องฉีดซ้ำเพื่อคงผลลัพธ์
- โบท็อกซ์ (Botox): ผลลัพธ์จะอยู่ได้ประมาณ 3-4 เดือน เมื่อหมดฤทธิ์แล้วการทำงานของกล้ามเนื้อจะกลับมาเป็นปกติ จึงต้องฉีดซ้ำทุกๆ 3-4 เดือนเพื่อรักษาผล
- ไฮฟู (HIFU): ผลลัพธ์จากการกระตุ้นคอลลาเจนจะอยู่ได้ประมาณ 1 ปี โดยผิวจะค่อยๆ ยกกระชับขึ้นและเห็นผลเต็มที่ใน 2-3 เดือน แนะนำให้ทำซ้ำทุกปีเพื่อคงสภาพผิว
การรักษาร่องแก้มแบบไม่ผ่าตัดทุกวิธีจำเป็นต้องทำซ้ำเพื่อรักษาผลลัพธ์ไว้ เนื่องจากกระบวนการชราของผิวจะยังคงดำเนินต่อไป
อายุเท่าไหร่ถึงจะเริ่มดูแลปัญหาร่องแก้มได้?
ไม่มีอายุที่กำหนดไว้ตายตัวสำหรับการเริ่มดูแลร่องแก้ม แต่เวลาที่เหมาะสมที่สุดคือเมื่อร่องแก้มเริ่มปรากฏให้เห็นชัดเจนจนทำให้คุณรู้สึกกังวล
โดยทั่วไป ร่องแก้มจะเริ่มเห็นได้ชัดขึ้นในช่วงปลายอายุ 20 ถึง 30 ปีเวลายิ้ม และอาจกลายเป็นเส้นถาวรในช่วงอายุ 40 ปีขึ้นไป บางคนอาจเริ่มดูแลเชิงป้องกันตั้งแต่อายุ 20 ปลายๆ เพื่อชะลอการเกิดร่องลึก ในขณะที่บางคนอาจเริ่มรักษาเมื่ออายุมากขึ้น ซึ่งก็ยังสามารถให้ผลลัพธ์ที่ดีได้ ดังนั้น การตัดสินใจจึงขึ้นอยู่กับความกังวลของแต่ละบุคคลเป็นหลัก
การรักษาร่องแก้มจำเป็นต้องทำซ้ำหรือไม่?
จำเป็นต้องทำซ้ำ เนื่องจากการรักษาร่องแก้มแบบไม่ผ่าตัดส่วนใหญ่ให้ผลลัพธ์เพียงชั่วคราวและต้องมีการดูแลต่อเนื่องเพื่อคงสภาพไว้
ระยะเวลาของผลลัพธ์จะแตกต่างกันไปตามวิธีการรักษา ดังนี้
- ฟิลเลอร์ (Filler): อยู่ได้ประมาณ 6-12 เดือน และมักจะต้องเติมทุกปี
- โบท็อกซ์ (Botox): อยู่ได้ประมาณ 3-4 เดือน จึงต้องฉีดซ้ำ 3-4 ครั้งต่อปี
- ไฮฟู (HIFU): ผลลัพธ์อยู่ได้ประมาณ 1 ปี และแนะนำให้ทำซ้ำทุกปีเพื่อกระตุ้นคอลลาเจนอย่างต่อเนื่อง
References:
- Hong, G-W. et al. Why Do Nasolabial Folds Appear? Exploring the Anatomical Perspectives and the Role of Thread-Based Interventions. Diagnostics. mdpi.com
- Raspaldo, H. et al. Effectiveness and Safety of STYLAGE® L Lidocaine in the Treatment of Nasolabial Folds: A Randomized, Double-Blind, Split-Face Study. Aesthetic Plastic Surgery. springer.com
- Cleveland Clinic. Nasolabial Folds (Smile Lines): Causes & Treatment, Prevention. Cleveland Clinic Health Library. clevelandclinic.org
- Schortinghuis, J. et al. A systematic review of microfocused ultrasound for facial skin tightening. MDPI (Open Access via PMC). ncbi.nlm.nih.gov
