ริ้วรอยใต้ตา เลือกฟิลเลอร์ โบท็อกซ์ หรือ Ulthera ดี? 2025

ริ้วรอยใต้ตา คือเส้นริ้วรอยที่เกิดจากการสูญเสียคอลลาเจนซึ่งจะลดลงประมาณ 1% ต่อปีหลังอายุ 25 ปี โดยสามารถจัดการได้ด้วยวิธีต่างๆ เช่น โบท็อกซ์สำหรับริ้วรอยจากการแสดงอารมณ์ หรือฟิลเลอร์เพื่อเติมเต็มร่องลึกให้เรียบเนียน
ริ้วรอยใต้ตาเกิดจากอะไรและมีกี่ประเภท
ประเภทของริ้วรอย: ริ้วรอยตื้นจากการแสดงอารมณ์และร่องลึกจากวัย
ริ้วรอยจากการแสดงอารมณ์ (Dynamic Wrinkles) เกิดขึ้นเมื่อมีการเคลื่อนไหวของใบหน้าและจะหายไปเมื่อใบหน้าผ่อนคลาย ในขณะที่ริ้วรอยตามวัย (Static Wrinkles) จะมองเห็นได้ตลอดเวลาแม้ไม่ได้แสดงอารมณ์ก็ตาม
- ริ้วรอยจากการแสดงอารมณ์ (Dynamic Wrinkles): เกิดจากการหดตัวซ้ำๆ ของกล้ามเนื้อ เช่น การยิ้มหรือการหยีตา เมื่อเวลาผ่านไปและผิวสูญเสียความยืดหยุ่น ริ้วรอยประเภทนี้สามารถเปลี่ยนเป็นริ้วรอยแบบถาวรได้
- ริ้วรอยตามวัย (Static Wrinkles): เป็นผลมาจากการสลายตัวของคอลลาเจนและอีลาสติน ผิวหนังชั้นแท้ที่บางลง และความหย่อนคล้อยของเนื้อเยื่อ ทำให้เกิดเป็นร่องลึกที่มองเห็นได้ชัดเจนแม้ใบหน้าจะอยู่ในภาวะปกติ
สาเหตุหลัก: การสูญเสียคอลลาเจนและผลกระทบจากไลฟ์สไตล์
การสูญเสียคอลลาเจนตามวัยและผลกระทบจากปัจจัยภายนอกและไลฟ์สไตล์ คือสองสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดริ้วรอยรอบดวงตา
โดยปกติแล้ว ผิวจะเริ่มสูญเสียคอลลาเจนประมาณ 1% ต่อปีหลังอายุ 25 ปี ทำให้ผิวบางลง ขาดความกระชับและความยืดหยุ่น จนเกิดเป็นริ้วรอยถาวร (Static Wrinkles) ที่มองเห็นได้ชัดแม้ใบหน้าไม่แสดงอารมณ์
นอกจากนี้ ปัจจัยภายนอกและไลฟ์สไตล์ยังเป็นตัวเร่งให้เกิดริ้วรอยได้เร็วขึ้น ได้แก่:
- แสงแดด เป็นสาเหตุสำคัญที่สุด (อาจมากถึง 80%) ที่ทำลายคอลลาเจนและอีลาสติน ทำให้เกิดริ้วรอยก่อนวัย
เปรียบเทียบ 3 วิธีรักษาริ้วรอยใต้ตา: ฟิลเลอร์ โบท็อกซ์ และ Ulthera
การฉีดฟิลเลอร์เพื่อเติมเต็มร่องลึกใต้ตา
การฉีดฟิลเลอร์เป็นวิธีการรักษาหลักสำหรับร่องลึกใต้ตาหรือร่องน้ำตาที่เห็นได้ชัด โดยเป็นการเพิ่มปริมาตรลึกลงไปตามขอบเบ้าตาเพื่อยกบริเวณที่ยุบตัวขึ้น ลดเงา และทำให้ริ้วรอยตื้นขึ้น
สารที่ใช้มักเป็นฟิลเลอร์กลุ่มกรดไฮยาลูรอนิก (Hyaluronic Acid) ที่มีความนิ่มและยืดหยุ่น เช่น Restylane Lyft, Juvéderm Volbella หรือ Belotero Balance เพื่อให้ผลลัพธ์เรียบเนียนและลดความเสี่ยงที่จะเห็นเป็นก้อนหรือมีสีฟ้า (Tyndall effect)
- ผลลัพธ์: เห็นผลทันทีหลังทำ สามารถลดความลึกของร่องน้ำตาได้ประมาณ 60-80% และอยู่ได้นานประมาณ 9-12 เดือน
- ข้อจำกัด: ฟิลเลอร์ไม่สามารถแก้ไขปัญหาผิวที่หย่อนคล้อยมากหรือริ้วรอยเล็กๆ แบบตื้นๆ (crepey lines) ได้ และไม่เหมาะกับผู้ที่มีถุงใต้ตาหรือก้อนไขมันนูนชัดเจน เพราะอาจทำให้ดูบวมมากขึ้น
การฉีดโบท็อกซ์เพื่อคลายกล้ามเนื้อ ลดริ้วรอยตื้น
การฉีดโบท็อกซ์เป็นการคลายกล้ามเนื้อที่ก่อให้เกิดริ้วรอยจากการแสดงอารมณ์ (Dynamic Wrinkles) เช่น รอยตีนกาที่เกิดจากการยิ้มหรือหยีตา
โบท็อกซ์ทำงานโดยการทำให้กล้ามเนื้อเป็นอัมพาตบางส่วน เพื่อป้องกันการพับย้ำๆ ของผิวหนังซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดริ้วรอยถาวรในอนาคต การรักษานี้เหมาะอย่างยิ่งสำหรับริ้วรอยที่ปรากฏขึ้นเมื่อแสดงสีหน้าและจะจางหายไปเมื่อใบหน้าผ่อนคลาย
- ผลลัพธ์: จะเริ่มเห็นผลใน 3-5 วัน และเห็นผลเต็มที่ใน 1-2 สัปดาห์ โดยผลจะคงอยู่ประมาณ 3-4 เดือน
- ประสิทธิภาพ: เหมาะสำหรับริ้วรอยตีนกาและริ้วรอยจากการขมวดคิ้ว แต่มีประสิทธิภาพน้อยกว่าสำหรับริ้วรอยร่องลึกที่เกิดจากการสูญเสียปริมาตรหรือความหย่อนคล้อยของผิว
การใช้ Ulthera เพื่อยกกระชับผิวรอบดวงตา
Ulthera คือเทคโนโลยีการยกกระชับผิวรอบดวงตาโดยไม่ต้องผ่าตัด ซึ่งใช้คลื่นอัลตราซาวด์ความเข้มข้นสูง (Microfocused Ultrasound) เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ใต้ชั้นผิว ทำให้ผิวที่หย่อนคล้อยตึงขึ้น ริ้วรอยเล็กๆ เรียบเนียนขึ้น และช่วยยกคิ้วได้เล็กน้อย
- หลักการทำงาน: พลังงานอัลตราซาวด์จะถูกส่งลงไปใต้ผิวหนังเพื่อกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินขึ้นมาใหม่ ซึ่งจะช่วยฟื้นฟูโครงสร้างผิวให้แข็งแรงและกระชับขึ้นจากภายใน
- ผลลัพธ์: ผลลัพธ์จะค่อยๆ ปรากฏให้เห็นในช่วง 2-3 เดือนหลังทำ และจะเห็นผลเต็มที่เมื่อคอลลาเจนสร้างตัวสมบูรณ์ โดยผิวจะดูเรียบเนียนและตึงขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ ผลลัพธ์คงอยู่ได้นานประมาณ 12-18 เดือน
- เหมาะสำหรับ: ผู้ที่มีปัญหาผิวรอบดวงตาหย่อนคล้อยเล็กน้อยถึงปานกลาง มีริ้วรอยตื้นๆ หรือหนังตาเริ่มตก แต่ยังไม่ต้องการผ่าตัด
- ราคา: สำหรับการทำบริเวณรอบดวงตาในประเทศไทย ราคาจะอยู่ที่ประมาณ 15,000–25,000 บาท ขึ้นอยู่กับจำนวนไลน์ (shots) ที่ใช้
ตารางเปรียบเทียบ: กลไก ผลลัพธ์ และระยะเวลาพักฟื้น
โบท็อกซ์ ฟิลเลอร์ และอัลเทอร่ามีกลไกการทำงาน ผลลัพธ์ และระยะเวลาพักฟื้นที่แตกต่างกัน โดยโบท็อกซ์เน้นลดริ้วรอยจากการแสดงอารมณ์ ฟิลเลอร์เน้นเติมเต็มร่องลึก และอัลเทอร่าเน้นการยกกระชับผิว
ตารางเปรียบเทียบการรักษาแต่ละประเภท:
| คุณสมบัติ | โบท็อกซ์ (Botox) | ฟิลเลอร์ (Filler) | อัลเทอร่า (Ultherapy) |
|---|---|---|---|
| กลไกการทำงาน | คลายกล้ามเนื้อเพื่อลดริ้วรอยที่เกิดจากการแสดงอารมณ์ (Dynamic Wrinkles) เช่น รอยตีนกา | เติมสารไฮยาลูรอนิก แอซิด (HA) เพื่อเพิ่มปริมาตร ลดร่องลึกและรอยพับใต้ตา (Static Wrinkles) | ใช้คลื่นอัลตราซาวด์กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ในชั้นผิวลึก เพื่อยกกระชับผิวที่หย่อนคล้อย |
| ผลลัพธ์ | ริ้วรอยตื้นขึ้นใน 3-5 วัน เห็นผลเต็มที่ใน 1-2 สัปดาห์ และคงอยู่ประมาณ 3-4 เดือน | เห็นผลทันทีหลังทำ ช่วยให้ร่องลึกดูตื้นขึ้นและใต้ตาดูเต็มขึ้น ผลลัพธ์คงอยู่ประมาณ 9-12 เดือน | ผิวจะค่อยๆ ตึงและเรียบเนียนขึ้นใน 2-3 เดือน ผลลัพธ์คงอยู่ประมาณ 12-18 เดือน |
| ระยะเวลาพักฟื้น | ไม่ต้องพักฟื้น อาจมีรอยเข็มเล็กน้อยซึ่งหายได้เองในไม่กี่ชั่วโมง | อาจมีอาการบวมหรือรอยช้ำเล็กน้อย 1-3 วัน และจะค่อยๆ หายไปใน 1-2 สัปดาห์ | ไม่ต้องพักฟื้น หลังทำอาจมีอาการบวมหรือแดงเล็กน้อยซึ่งจะหายไปในไม่กี่ชั่วโมง |
ใครเหมาะกับการรักษาริ้วรอยใต้ตาด้วยหัตถการทางการแพทย์
การประเมินสภาพผิวและความลึกของริ้วรอย
การประเมินสภาพผิวและความลึกของริ้วรอยทำได้โดย การตรวจพินิจด้วยสายตา การทดสอบความยืดหยุ่นของผิว และการใช้มาตรวัดที่เป็นมาตรฐาน แพทย์จะประเมินริ้วรอยในขณะที่ใบหน้าอยู่นิ่ง (Static Wrinkles) และขณะแสดงสีหน้า (Dynamic Wrinkles) เพื่อแยกลักษณะของริ้วรอย
วิธีการประเมินที่สำคัญ ได้แก่:
- การทดสอบความหย่อนคล้อย (Pinch Test): เพื่อประเมินความยืดหยุ่นของผิว โดยการดึงผิวหนังบริเวณใต้ตาเบาๆ
นอกจากนี้ แพทย์ยังประเมินปัจจัยอื่นๆ เช่น ประเภทสีผิว (Fitzpatrick skin type) และความหนาของผิว เพื่อวางแผนการรักษาที่เหมาะสมและปลอดภัย
ข้อจำกัดและผู้ที่ไม่เหมาะกับการรักษาแต่ละวิธี
ข้อจำกัดและผู้ที่ไม่เหมาะกับการรักษาแต่ละวิธีจะแตกต่างกันไป โดยขึ้นอยู่กับสาเหตุของริ้วรอย สภาพผิว และโรคประจำตัวของผู้ป่วย
- ฟิลเลอร์ (Filler)
- ข้อจำกัด: ไม่เหมาะกับผิวที่หย่อนคล้อยมาก, ริ้วรอยตื้นๆ แบบเครป (crêpey lines) หรือผู้ที่มีถุงใต้ตาเด่นชัด เพราะอาจทำให้ดูบวมขึ้น
- ผู้ที่ไม่เหมาะ: ผู้ที่มีการติดเชื้อบริเวณใบหน้า, เคยฉีดฟิลเลอร์ถาวร, มีผิวใต้ตาที่บางมาก (เสี่ยงต่อการเห็นฟิลเลอร์เป็นสีฟ้า) หรือมีความคาดหวังที่ไม่สมจริง
- โบท็อกซ์ (Botox)
- ข้อจำกัด: ไม่สามารถเติมเต็มร่องลึก, แก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อย หรือลดถุงใต้ตาได้ และมีประสิทธิภาพน้อยสำหรับริ้วรอยที่เห็นชัดแม้ไม่ได้แสดงสีหน้า (Static Wrinkles)
- ผู้ที่ไม่เหมาะ: ผู้ที่เป็นโรคเกี่ยวกับระบบประสาทและกล้ามเนื้อ (เช่น Myasthenia Gravis), แพ้โบทูลินั่ม ท็อกซิน, กำลังตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร และมีการติดเชื้อที่ผิวหนังบริเวณที่จะฉีด
- อัลเทอราปี (Ultherapy)
- ข้อจำกัด: ไม่ได้ช่วยผลัดผิวชั้นบน จึงไม่สามารถกำจัดเม็ดสีหรือริ้วรอยที่ตื้นมากๆ ได้ และผลลัพธ์ที่ได้จะมีความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย ไม่ได้ชัดเจนเท่าฟิลเลอร์หรือโบท็อกซ์
- ผู้ที่ไม่เหมาะ: ผู้ที่มีผิวหย่อนคล้อยรุนแรงจนต้องผ่าตัด, มีการติดเชื้อหรือแผลเปิดในบริเวณที่ทำ, มีไขมันบนใบหน้ามากเกินไป (ลดทอนประสิทธิภาพ), เป็นโรคเกี่ยวกับเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน (เช่น ลูปัส) หรือมีความคาดหวังสูงเทียบเท่าการผ่าตัด
ปัจจัยสำคัญในการเลือกวิธีรักษาที่เหมาะสมกับคุณ
ลักษณะของปัญหาริ้วรอย: แบบเส้นบางหรือร่องลึก
ริ้วรอยแบบเส้นบาง (Fine lines) เป็นรอยตื้นๆ ที่มีความลึกน้อยกว่า 1 มม. ในขณะที่ริ้วรอยแบบร่องลึก (Deep furrows) เป็นรอยพับที่ลึกกว่า 2 มม. ริ้วรอยเส้นบางมักเกิดจากการสูญเสียคอลลาเจนในระยะเริ่มต้นและการขาดความชุ่มชื้นของผิวชั้นนอก ส่วนร่องลึกบ่งชี้ถึงความเสียหายของผิวที่รุนแรงขึ้น ซึ่งเกี่ยวข้องกับการสูญเสียปริมาตรของโครงสร้างใต้ผิว (เช่น ไขมันและกระดูก) และความหย่อนคล้อยของผิว
ผลลัพธ์ที่คาดหวังและระยะเวลาคงผล
ผลลัพธ์และความคงทนของแต่ละวิธีแตกต่างกัน โดยโบท็อกซ์จะลดริ้วรอยจากการแสดงอารมณ์ได้นาน 3-4 เดือน ฟิลเลอร์ช่วยเติมเต็มร่องลึกได้ทันทีและอยู่ได้นาน 9-12 เดือน ส่วน Ultherapy จะค่อยๆ ยกกระชับผิวและเห็นผลนานประมาณ 12-18 เดือน
- โบท็อกซ์ (Botox):
- ผลลัพธ์: ลดความรุนแรงของริ้วรอยตีนกาได้ประมาณ 30-50% เมื่อยิ้มเต็มที่ และเห็นผลเต็มที่ใน 1-2 สัปดาห์ เหมาะสำหรับริ้วรอยที่เกิดจากการแสดงอารมณ์
- ระยะเวลา: ผลลัพธ์คงอยู่ประมาณ 3-4 เดือน
- ฟิลเลอร์ (Dermal Fillers):
- ผลลัพธ์: เห็นผลทันทีในการเติมเต็มร่องลึกใต้ตา สามารถแก้ไขร่องลึกได้ประมาณ 60-80% และอาจลดความลึกของร่องได้ถึง 70-90%
- ระยะเวลา: ผลลัพธ์คงอยู่เฉลี่ย 9-12 เดือน และอาจนานถึง 18 เดือนในฟิลเลอร์บางชนิด
- Ultherapy:
- ผลลัพธ์: ผลลัพธ์จะค่อยๆ ปรากฏในช่วง 2-3 เดือน โดยเป็นการยกกระชับผิวที่หย่อนคล้อยและลดริ้วรอยเล็กๆ อาจเห็นการยกกระชับขึ้นประมาณ 20-30%
- ระยะเวลา: ผลลัพธ์จะดีที่สุดในช่วง 2-3 เดือนหลังทำ และคงอยู่ได้ประมาณ 12-18 เดือน
งบประมาณและแผนการรักษาต่อเนื่อง
ค่าใช้จ่ายในการรักษาริ้วรอยใต้ตาในประเทศไทยแตกต่างกันไปตามประเภทการรักษา โดยโบท็อกซ์สำหรับริ้วรอยหางตาเริ่มต้นที่ประมาณ 2,500–8,000 บาท, ฟิลเลอร์ใต้ตาอยู่ที่ 10,000–18,000 บาทต่อซีซี และ Ultherapy รอบดวงตาเริ่มต้นที่ประมาณ 15,000–25,000 บาท
แผนการรักษาต่อเนื่องเพื่อคงผลลัพธ์มีดังนี้:
- โบท็อกซ์ (Botox): ผลลัพธ์คงอยู่ประมาณ 3-4 เดือน แนะนำให้ทำซ้ำ 2-3 ครั้งต่อปี
ข้อควรระวังและความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการรักษา
ผลข้างเคียงที่พบได้ทั่วไปและวิธีดูแลเบื้องต้น
ผลข้างเคียงที่พบได้ทั่วไปมักไม่รุนแรงและเกิดขึ้นชั่วคราว เช่น รอยช้ำ บวม แดง หรืออาการเจ็บเล็กน้อยบริเวณที่ทำ ซึ่งจะแตกต่างกันไปตามแต่ละหัตถการ
- ฟิลเลอร์ (Filler)
- ผลข้างเคียง: อาการที่พบบ่อยที่สุดคือรอยช้ำ บวม แดง และเจ็บเล็กน้อยบริเวณที่ฉีด ซึ่งจะหายไปเองใน 2-3 วัน อาจรู้สึกเป็นก้อนใต้ผิวหนังในช่วงแรก แต่จะค่อยๆ นิ่มลงและเข้าที่ใน 1-2 สัปดาห์
- การดูแล: ประคบเย็นเพื่อลดอาการบวมและช้ำ หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนัก การดื่มแอลกอฮอล์ และการสัมผัสความร้อนสูงเป็นเวลา 24 ชั่วโมง และงดการนวดหน้าแรงๆ ประมาณ 1-2 สัปดาห์
- โบท็อกซ์ (Botox)
- ผลข้างเคียง: อาจมีรอยช้ำ บวม หรือแดงเล็กน้อยบริเวณรอยเข็ม และบางรายอาจมีอาการปวดศีรษะเล็กน้อย ซึ่งทั้งหมดเป็นอาการชั่วคราว
- การดูแล: งดการนวดหรือถูบริเวณที่ฉีดเป็นเวลา 24 ชั่วโมง งดนอนราบเป็นเวลา 4 ชั่วโมงหลังฉีด และหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนัก 1 วัน
- อัลเทอร่า (Ultherapy)
- ผลข้างเคียง: อาการที่พบบ่อยคือความเจ็บระหว่างทำ หลังทำอาจมีอาการบวม แดง หรือรู้สึกปวดระบมลึกๆ ใต้ผิวได้เล็กน้อย ซึ่งจะคงอยู่เพียงไม่กี่วัน
- การดูแล: ไม่จำเป็นต้องพักฟื้น สามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ หากมีอาการปวดสามารถรับประทานยาแก้ปวดทั่วไปได้
สัญญาณอันตรายที่ควรปรึกษาแพทย์ทันที
สัญญาณอันตรายที่ต้องปรึกษาแพทย์ทันทีคืออาการที่บ่งชี้ว่าเส้นเลือดอาจอุดตันจากการฉีดฟิลเลอร์ ซึ่งเป็นภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงและต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน
อาการที่ควรสังเกตและรีบแจ้งแพทย์ทันที ได้แก่:
- อาการปวดรุนแรงเฉียบพลันระหว่างหรือหลังการฉีด
วิธีดูแลและชะลอริ้วรอยใต้ตาด้วยตัวเอง
วิธีที่ดีที่สุดในการดูแลและชะลอริ้วรอยใต้ตาด้วยตัวเองคือ การป้องกันผิวจากแสงแดดอย่างสม่ำเสมอ ใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่เหมาะสม และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต การดูแลเหล่านี้สามารถช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยใหม่และลดเลือนริ้วรอยเดิมได้
คุณสามารถดูแลผิวรอบดวงตาได้ด้วยวิธีต่างๆ ดังนี้
- การป้องกันแสงแดด: ทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 ขึ้นไปรอบดวงตาทุกวัน สวมแว่นกันแดดที่ป้องกันรังสียูวี และใส่หมวกปีกกว้าง เนื่องจากรังสียูวีเป็นสาเหตุหลักของการเกิดริ้วรอยก่อนวัยถึง 80%
- การใช้สกินแคร์: เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมที่ช่วยลดเลือนริ้วรอย เช่น เรตินอยด์ (Retinoids), วิตามินซี (Vitamin C), เปปไทด์ (Peptides) และไนอะซินาไมด์ (Niacinamide) พร้อมทั้งให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวรอบดวงตาเป็นประจำ
- การปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์:
- นอนหลับให้เพียงพอ: พักผ่อนอย่างน้อย 6-8 ชั่วโมง เพื่อให้ผิวได้ซ่อมแซมตัวเอง
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์: เน้นผัก ผลไม้ และอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง และดื่มน้ำให้เพียงพอ
- หลีกเลี่ยงปัจจัยทำร้ายผิว: งดสูบบุหรี่และลดการดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งเป็นตัวการทำลายคอลลาเจน
- ลดพฤติกรรมที่ทำให้เกิดริ้วรอย: หลีกเลี่ยงการขยี้ตาแรงๆ และการแสดงสีหน้าซ้ำๆ เช่น การหยีตาหรือขมวดคิ้วโดยไม่จำเป็น
การเลือกใช้สกินแคร์ที่มีส่วนผสมช่วยลดเลือนริ้วรอย
ส่วนผสมในสกินแคร์ที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีประสิทธิภาพในการลดเลือนริ้วรอย ได้แก่ เรตินอยด์, เปปไทด์, และวิตามินซี ส่วนผสมเหล่านี้ทำงานโดยการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและปกป้องผิวจากความเสียหาย
ส่วนผสมสำคัญอื่นๆ ที่มีประโยชน์ ได้แก่:
- เรตินอยด์ (Retinoids): ถือเป็นมาตรฐานสูงสุด (gold standard) ในการลดริ้วรอย ช่วยเพิ่มการสร้างคอลลาเจนและปรับโครงสร้างอีลาสตินให้เป็นปกติ
การปรับพฤติกรรมเพื่อปกป้องผิวรอบดวงตา
การปรับพฤติกรรมเพื่อปกป้องผิวรอบดวงตาสามารถทำได้โดยการป้องกันผิวจากแสงแดดอย่างสม่ำเสมอ, การปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ให้ดีต่อสุขภาพ, และการหลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่ทำร้ายผิวโดยตรง ซึ่งการปรับเปลี่ยนเหล่านี้จะช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยได้อย่างมีนัยสำคัญ
พฤติกรรมที่แนะนำเพื่อปกป้องผิวรอบดวงตา ได้แก่:
- การป้องกันแสงแดด: ทาครีมกันแดด (SPF 30+) รอบดวงตาทุกวัน และสวมแว่นกันแดดหรือหมวกปีกกว้างเมื่ออยู่กลางแจ้ง
- การนอนหลับและพักสายตา: นอนหลับให้เพียงพอ และพักสายตาจากหน้าจอเป็นประจำเพื่อลดการหยีตา
- อาหารและการดื่มน้ำ: รับประทานอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง เช่น ผักและผลไม้ และดื่มน้ำให้เพียงพอเพื่อให้ผิวชุ่มชื้น
- งดสูบบุหรี่และลดแอลกอฮอล์: การสูบบุหรี่และการดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมากเป็นปัจจัยสำคัญที่เร่งการเกิดริ้วรอย
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสรุนแรง: ไม่ขยี้หรือดึงผิวหนังบริเวณรอบดวงตา เพราะจะทำลายเส้นใยคอลลาเจนและอีลาสติน
- การจัดการความเครียด: ความเครียดเรื้อรังจะเพิ่มฮอร์โมนคอร์ติซอล ซึ่งสามารถทำลายคอลลาเจนและเร่งการเกิดริ้วรอยได้
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับริ้วรอยใต้ตา
ทำอย่างไรให้ริ้วรอยใต้ตาหายไปอย่างถาวร
จากข้อมูลที่ให้มา ไม่มีวิธีใดที่สามารถกำจัดริ้วรอยใต้ตาได้อย่างถาวร เนื่องจากริ้วรอยเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการชราตามธรรมชาติ การรักษาที่มีอยู่เป็นการจัดการและชะลอการเกิดริ้วรอย แต่ไม่สามารถหยุดยั้งได้อย่างถาวร
การรักษาต่างๆ ให้ผลลัพธ์เพียงชั่วคราวและต้องทำซ้ำเพื่อคงสภาพผลลัพธ์ไว้ ดังนี้:
- โบท็อกซ์ (Botox): ลดเลือนริ้วรอยจากการแสดงอารมณ์ ผลลัพธ์อยู่ได้ประมาณ 3-4 เดือน
ดังนั้น การรักษาริ้วรอยใต้ตาจึงเน้นไปที่การดูแลอย่างต่อเนื่องเพื่อชะลอความเสื่อมของผิวและคงความอ่อนเยาว์ไว้ให้นานที่สุด
ริ้วรอยใต้ตาเกิดจากอะไรและป้องกันได้หรือไม่
ริ้วรอยใต้ตาเกิดจาก การสูญเสียคอลลาเจนและอีลาสตินตามวัย การถูกทำลายจากแสงแดด และพฤติกรรมการใช้ชีวิต ซึ่งสามารถป้องกันและชะลอการเกิดได้
สาเหตุหลักของริ้วรอยใต้ตา ได้แก่:
- อายุที่เพิ่มขึ้น: หลังอายุ 25 ปี การผลิตคอลลาเจนจะลดลงประมาณ 1% ต่อปี ทำให้ผิวบางลง ขาดความกระชับ และเกิดริ้วรอยได้ง่าย
เราสามารถป้องกันและชะลอการเกิดริ้วรอยใต้ตาได้ด้วยวิธีต่อไปนี้:
- ป้องกันแสงแดด: ทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 ขึ้นไปบริเวณรอบดวงตาทุกวัน และสวมแว่นกันแดดเป็นประจำ
ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาช่วยเรื่องริ้วรอยได้จริงไหม
การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาสามารถช่วยลดเลือนริ้วรอยได้จริง โดยเฉพาะริ้วรอยร่องลึกที่เกิดจากการสูญเสียปริมาตร เช่น การยุบตัวของไขมันและกระดูกใต้ตา
ฟิลเลอร์จะเข้าไปเติมเต็มร่องลึกและบริเวณที่ยุบตัว ทำให้ผิวใต้ตาดูอิ่มฟูและเรียบเนียนขึ้น ซึ่งส่งผลให้ริ้วรอยเล็กๆ ที่อยู่บนผิวชั้นบนดูจางลงไปด้วย วิธีนี้เหมาะสำหรับริ้วรอยที่มองเห็นได้ชัดแม้ไม่ได้แสดงสีหน้า (Static Wrinkles) แต่ไม่เหมาะกับริ้วรอยเหี่ยวย่นที่เกิดจากผิวที่หย่อนคล้อยมากๆ หรือริ้วรอยจากการแสดงอารมณ์ (Dynamic Wrinkles) ซึ่งตอบสนองต่อโบท็อกซ์ได้ดีกว่า
โบท็อกซ์กับฟิลเลอร์ใต้ตาต่างกันอย่างไร
โบท็อกซ์และฟิลเลอร์ใต้ตาทำงานแตกต่างกัน โดยโบท็อกซ์จะใช้เพื่อคลายกล้ามเนื้อที่ทำให้เกิดริ้วรอยจากการแสดงอารมณ์ เช่น รอยตีนกา ในขณะที่ฟิลเลอร์จะใช้เพื่อเติมเต็มปริมาตรในบริเวณที่เป็นร่องลึกหรือเบ้าตาโหลซึ่งเกิดจากการสูญเสียคอลลาเจนและไขมัน
ตารางเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างโบท็อกซ์และฟิลเลอร์ใต้ตา:
| คุณสมบัติ | โบท็อกซ์ (Botox) | ฟิลเลอร์ (Filler) |
|---|---|---|
| กลไกการทำงาน | คลายการทำงานของกล้ามเนื้อ | เติมเต็มปริมาตรและเพิ่มความชุ่มชื้น |
| เหมาะสำหรับ | ริ้วรอยที่เกิดจากการแสดงอารมณ์ (Dynamic Wrinkles) เช่น รอยตีนกา | ร่องลึกใต้ตา เบ้าตาโหล หรือริ้วรอยที่มองเห็นแม้ไม่แสดงอารมณ์ (Static Wrinkles) |
| ระยะเวลาเห็นผล | เริ่มเห็นผลใน 3-5 วัน และเห็นผลเต็มที่ใน 2 สัปดาห์ | เห็นผลทันทีหลังทำ |
| ผลลัพธ์อยู่ได้นาน | ประมาณ 3-4 เดือน | ประมาณ 9-12 เดือน |
การรักษาต้องทำกี่ครั้งถึงจะเห็นผลชัดเจน
จำนวนครั้งในการรักษาเพื่อให้เห็นผลชัดเจนนั้นขึ้นอยู่กับประเภทของหัตถการ โดยส่วนใหญ่จะเห็นผลลัพธ์ที่ดีตั้งแต่ครั้งแรก แต่มีระยะเวลาการแสดงผลและระยะเวลาคงอยู่ของผลลัพธ์ที่แตกต่างกันไป
- ฟิลเลอร์ (Filler): เห็นผลทันทีหลังทำ 1 ครั้ง และผลลัพธ์จะอยู่ได้นานประมาณ 9-12 เดือน
- โบท็อกซ์ (Botox): เห็นผลชัดเจนใน 1-2 สัปดาห์หลังฉีด 1 ครั้ง แต่ผลลัพธ์จะอยู่ได้ประมาณ 3-4 เดือน จึงต้องทำซ้ำ 2-3 ครั้งต่อปีเพื่อคงผลลัพธ์
- Ultherapy: ทำเพียง 1 ครั้ง แต่จะเห็นผลลัพธ์ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ในช่วง 2-3 เดือนหลังทำ และผลลัพธ์อยู่ได้นานประมาณ 1 ปีขึ้นไป
ดูแลตัวเองอย่างไรหลังรักษาริ้วรอยใต้ตา
การดูแลตัวเองหลังรักษาริ้วรอยใต้ตาจะแตกต่างกันไปตามประเภทการรักษา แต่โดยทั่วไป ควรงดกิจกรรมที่ส่งผลกระทบต่อบริเวณที่ทำ เช่น การออกกำลังกายหนัก การนวดหน้า และการสัมผัสความร้อนสูงในช่วงแรก
คำแนะนำการดูแลตัวเองหลังการรักษาแต่ละประเภทมีดังนี้
- ฟิลเลอร์ (Filler):
- หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนัก แอลกอฮอล์ และความร้อนสูง (เช่น ซาวน่า) เป็นเวลา 24 ชั่วโมง
- งดการนวดหรือกดแรงๆ บริเวณที่ฉีดเป็นเวลา 1-2 สัปดาห์
- ใช้การประคบเย็นเพื่อช่วยลดอาการบวมหรือช้ำ
- หากมีอาการปวดรุนแรง สีผิวเปลี่ยนไป หรือการมองเห็นผิดปกติ ให้รีบติดต่อคลินิกทันที
- โบท็อกซ์ (Botox):
- งดนอนราบหรือก้มศีรษะเป็นเวลา 4 ชั่วโมงหลังฉีด
- ห้ามนวด คลึง หรือถูบริเวณที่ฉีด
- หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนักและแอลกอฮอล์เป็นเวลา 24 ชั่วโมง
- อัลเทอร่า (Ultherapy):
- ไม่มีระยะพักฟื้น สามารถกลับไปทำกิจกรรมต่างๆ ได้ตามปกติทันที
- อาจมีอาการบวมแดงหรือเจ็บเล็กน้อย ซึ่งจะหายไปเองภายในไม่กี่วัน
- สามารถรับประทานยาแก้ปวดเพื่อบรรเทาอาการได้หากจำเป็น
References:
- Cleveland Clinic. Under-Eye Wrinkles: Causes and Treatment Options. clevelandclinic.org
- DermNet NZ. Periorbital Wrinkles and Aging. dermnetnz.org
- MDPI. Aesthetic treatments for periorbital rejuvenation. mdpi.com
- Oxford University Press (OUP). Age-related changes in periorbital skin. oup.com
- NIH. Wrinkles and aging skin: pathophysiology and treatment. nih.gov
- Cosmetic Injectables Center. Under-Eye Filler Treatment Guide. cosmeticinjectables.com
- Mirror Mirror Houston. Under-Eye Wrinkle Treatments. mirrormirrorhouston.com
- Naiss Clinic (Thailand). Under-Eye Treatment Options and Pricing. naissclinic.com
