ร้อยไหมแล้วเป็นรอยนูน แบบไหนอันตราย? สัญญาณต้องรีบพบแพทย์

ร้อยไหมแล้วเป็นรอยนูนเป็นอาการที่พบได้บ่อยหลังการร้อยไหม โดยรอยนูนที่นิ่มและกดเจ็บเล็กน้อยจากการบวมจะหายได้เองภายใน 1-4 สัปดาห์ แต่หากเป็นรอยนูนแข็งที่ไม่ยุบลง มีอาการแดง ร้อน บวม ปวดรุนแรง หรือมีไข้ร่วมด้วย ต้องรีบพบแพทย์ทันทีเพราะอาจเป็นสัญญาณของการติดเชื้อหรือก้อนแกรนูโลมา ซึ่งสาเหตุหลักมาจากเทคนิคการร้อยไหมที่ไม่ถูกต้อง การตอบสนองของร่างกายต่อไหม หรือการดูแลตัวเองหลังทำที่ไม่เหมาะสม และสามารถแก้ไขได้ด้วยการประคบอุ่น การฉีดสเตียรอยด์ เลเซอร์ หรือการผ่าตัดนำไหมออกในกรณีที่จำเป็น
สัญญาณเตือนอันตราย: รอยนูนแบบไหนที่ต้องรีบพบแพทย์ทันที
รอยนูนที่ต้องรีบพบแพทย์ทันทีคือรอยนูนที่มีสัญญาณของการติดเชื้อ เช่น ผิวหนังแดงขึ้น ปวด บวมร้อน มีหนองไหลออกมา หรือมีไข้ร่วมด้วย รวมถึงอาการปวดรุนแรงผิดปกติ หรือสีผิวบริเวณนั้นเปลี่ยนเป็นสีซีดหรือคล้ำดำ
สัญญาณเตือนอันตรายอื่นๆ ที่ควรไปพบแพทย์โดยด่วน ได้แก่:
- การติดเชื้อ: บริเวณที่ร้อยไหมมีอาการแดง ปวด และบวมมากขึ้นเรื่อยๆ หลังผ่านช่วง 2-3 วันแรกไปแล้ว อาจรู้สึกร้อนเมื่อสัมผัส มีหนองไหลซึมออกมา หรือมีไข้ร่วมด้วย
- อาการปวดรุนแรง: มีอาการปวดอย่างรุนแรงและต่อเนื่อง ซึ่งยาแก้ปวดทั่วไปไม่สามารถบรรเทาได้ อาจเป็นสัญญาณของเลือดคั่งภายใน (Hematoma) หรือปัญหาเกี่ยวกับเส้นประสาท
- สีผิวเปลี่ยนแปลง: หากผิวหนังบริเวณนั้นเปลี่ยนเป็นสีซีดขาว หรือกลายเป็นสีม่วงคล้ำหรือดำ อาจเป็นสัญญาณว่าเส้นเลือดถูกกดทับหรืออุดตัน ทำให้เลือดไปเลี้ยงผิวหนังไม่ได้ ซึ่งเป็นภาวะฉุกเฉิน
- ไหมโผล่ออกมา: หากมองเห็นปลายไหมโผล่ทิ่มออกมาจากผิวหนัง ควรให้แพทย์จัดการทันทีเพื่อป้องกันการติดเชื้อ
ลักษณะรอยนูนหลังร้อยไหม: แยกประเภทปกติและผิดปกติ
รอยนูนและอาการบวมที่สามารถหายได้เอง
รอยนูนที่นิ่มและกดเจ็บเล็กน้อยซึ่งเกิดจากการบวมหรือรอยช้ำเล็กๆ เป็นอาการปกติหลังการร้อยไหมและสามารถหายได้เอง
โดยทั่วไป อาการบวมส่วนใหญ่จะหายไปภายใน 1-2 สัปดาห์ ส่วนรอยนูนหรือความไม่เรียบเนียนที่เหลืออยู่มักจะยุบตัวลงและเรียบเนียนไปเองภายใน 4 สัปดาห์ เมื่อไหมเข้าที่และการสมานแผลเสร็จสมบูรณ์ ในทางตรงกันข้าม รอยนูนที่แข็ง ไม่ขยับ และไม่ยุบลงตามเวลา โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากยังคงอยู่นานเกิน 4-6 สัปดาห์ ถือเป็นอาการผิดปกติและควรไปพบแพทย์
รอยนูนที่เป็นก้อนไตแข็งใต้ผิวหนัง
รอยนูนที่เป็นก้อนไตแข็งใต้ผิวหนังหลังการร้อยไหม มักเกิดจากปฏิกิริยาของร่างกายต่อไหมในฐานะสิ่งแปลกปลอม ทำให้เกิดเป็นก้อนพังผืดหรือก้อนแกรนูโลมา (Granuloma)
ก้อนลักษณะนี้จะแตกต่างจากอาการบวมหลังทำในช่วงแรก โดยมักจะมีลักษณะแข็ง ไม่เคลื่อนที่ และไม่ยุบลงเองเมื่อเวลาผ่านไป ซึ่งอาจปรากฏขึ้นหลายสัปดาห์หรือหลายเดือนหลังการร้อยไหม แม้ว่าโดยทั่วไปจะไม่เป็นอันตราย แต่ก็ถือเป็นภาวะผิดปกติที่ควรได้รับการประเมินจากแพทย์เพื่อรับการรักษาที่เหมาะสม เช่น การฉีดสเตียรอยด์เพื่อลดขนาดก้อน
ลักษณะผิวเป็นคลื่น ไม่เรียบเนียนเวลายิ้ม
อาการผิวเป็นคลื่นหรือไม่เรียบเนียนเวลายิ้มหลังร้อยไหม เป็นเรื่องปกติที่พบได้บ่อยในช่วงแรก ซึ่งเกิดจากการที่ไหมดึงผิวแน่นหรือตื้นเกินไปทำให้ผิวเกิดการย่นตัว
โดยทั่วไปแล้ว อาการนี้จะค่อยๆ ดีขึ้นและหายไปเองเมื่ออาการบวมลดลงและเนื้อเยื่อปรับตัวเข้าที่ภายใน 2-3 สัปดาห์ อย่างไรก็ตาม หากรอยคลื่นยังคงเห็นได้ชัดเจนหลังจากผ่านไปหลายสัปดาห์ หรือเห็นได้แม้ไม่ได้แสดงสีหน้า อาจเป็นสัญญาณของปัญหาทางเทคนิค เช่น การวางไหมผิดชั้นหรือดึงตึงเกินไป ซึ่งควรปรึกษาแพทย์เพื่อทำการแก้ไข
รอยบุ๋มหรือรอยยุบตัวของผิวหนัง
รอยบุ๋มหรือรอยยุบตัวของผิวหนังหลังการร้อยไหม เป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้ชั่วคราวและมักจะหายไปเอง โดยทั่วไปแล้ว รอยบุ๋มเล็กน้อยจะค่อยๆ ดีขึ้นและเรียบเนียนไปเองภายใน 2-3 สัปดาห์ถึงสองเดือน เมื่ออาการบวมลดลงและร่างกายสร้างคอลลาเจนขึ้นมาใหม่
สาเหตุหลักมักเกิดจากการที่ไหมถูกดึงตึงเกินไปหรือวางในชั้นผิวที่ตื้นเกินไป ทำให้ผิวหนังเกิดการย่นหรือยุบตัวลง อย่างไรก็ตาม หากรอยบุ๋มมีความรุนแรง มองเห็นได้ชัดเจน หรือไม่ดีขึ้นเลยหลังจากผ่านไป 2-3 เดือน อาจบ่งชี้ถึงปัญหาทางเทคนิคและควรปรึกษาแพทย์เพื่อทำการแก้ไข
สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดรอยนูนและผิวไม่เรียบหลังร้อยไหม
เทคนิคการร้อยไหมและความชำนาญของแพทย์
เทคนิคการร้อยไหมและความชำนาญของแพทย์เป็นปัจจัยสำคัญอย่างยิ่งในการกำหนดผลลัพธ์และลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อน เนื่องจากปัญหาต่างๆ เช่น ก้อนนูน ผิวไม่เรียบ หรือความไม่สมมาตร มักเกิดจากข้อผิดพลาดทางเทคนิคมากกว่าตัวไหมเอง
- สาเหตุจากเทคนิคที่ไม่ถูกต้อง: ภาวะแทรกซ้อนส่วนใหญ่มักเกิดจากแพทย์ที่ขาดประสบการณ์ เช่น การวางไหมตื้นเกินไป, การดึงไหมตึงเกินไปจนผิวเป็นรอน, การฝังปลายไหมไม่ลึกพอทำให้เกิดปม, หรือการวางไหมในชั้นผิวที่ไม่ถูกต้อง
- เทคนิคที่ถูกต้อง: แพทย์ผู้ชำนาญจะวางไหมในชั้นความลึกที่เหมาะสม (ชั้นไขมันใต้ผิวหนัง) ด้วยแรงดึงที่สม่ำเสมอ และฝังปลายไหมทั้งหมดอย่างเรียบร้อย เพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดก้อนนูนหรือผิวที่ไม่สม่ำเสมอ
- ความสำคัญของการเลือกแพทย์: การเลือกแพทย์ที่มีประสบการณ์สูงและผ่านการรับรองอย่างถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการลดความเสี่ยง เนื่องจากแพทย์ที่มีความเข้าใจในกายวิภาคของใบหน้าและเทคนิคการร้อยไหมจะสามารถจัดการกับเนื้อเยื่อได้อย่างนุ่มนวลและวางไหมได้อย่างแม่นยำ
การตอบสนองของร่างกายและการเกิดพังผืด
การตอบสนองของร่างกายต่อไหมคือการสร้างเนื้อเยื่อแผลเป็นหรือพังผืดขึ้นมารอบๆ เส้นไหม ซึ่งเป็นปฏิกิริยาที่ตั้งใจให้เกิดขึ้นเพื่อสร้างคอลลาเจนและทำให้ผิวแน่นกระชับขึ้น แต่ในบางคนอาจเกิดการตอบสนองที่มากเกินไปจนกลายเป็นก้อนแข็งได้
โดยปกติแล้ว ร่างกายจะมองว่าเส้นไหมเป็นสิ่งแปลกปลอมและสร้างแคปซูลของเนื้อเยื่อแผลเป็นล้อมรอบไว้ ซึ่งเป็นผลดีในการพยุงผิว แต่หากร่างกายมีการตอบสนองที่รุนแรงเกินไป อาจทำให้เกิดพังผืดส่วนเกิน (fibrosis) หรือก้อนนูนแข็งที่เรียกว่า แกรนูโลมา (granuloma) ซึ่งเป็นผลมาจากปฏิกิริยาการอักเสบที่ยาวนานของร่างกาย
ปัจจัยที่อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดพังผืดมากผิดปกติ ได้แก่:
- ผู้ที่มีแนวโน้มเป็นโรคแพ้ภูมิตัวเอง (autoimmune)
- ผู้ที่มีประวัติการเกิดแผลเป็นนูนหรือคีลอยด์ง่าย
- ชนิดของไหม โดยไหมที่ไม่ละลายจะมีความเสี่ยงสูงกว่าไหมชนิดละลาย
ชนิดและจำนวนเส้นไหมที่ไม่เหมาะสมกับสภาพผิว
การใช้ชนิดและจำนวนเส้นไหมที่ไม่เหมาะสมกับสภาพผิว คือการใช้ไหมที่มีขนาดหนาเกินไป มีเงี่ยงขนาดใหญ่ หรือใช้ในปริมาณที่มากเกินไป โดยเฉพาะในผู้ที่มีผิวบางและละเอียดอ่อน
- ชนิดของไหม: ไหมเงี่ยง (Barbed threads) มีความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดก้อนหรือรอยบุ๋มได้มากกว่าไหมแบบเรียบหากร้อยผิดตำแหน่ง ส่วนไหมที่มีความหนาและแข็งแรง (เช่น PCL) อาจทำให้เกิดอาการบวมหรือตึงในช่วงแรกได้มากกว่า
- จำนวนเส้นไหม: การใช้ไหมในปริมาณที่มากเกินไป (เช่น มากกว่า 10 เส้นในครั้งเดียว) จะเพิ่มความเสี่ยงของอาการบวม การบาดเจ็บของเนื้อเยื่อ และการเกิดก้อนนูนได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในผิวที่บางซึ่งไม่สามารถรองรับไหมจำนวนมากได้ดีนัก
การดูแลตัวเองหลังทำหัตถการที่ไม่ถูกต้อง
การดูแลตัวเองหลังทำหัตถการที่ไม่ถูกต้องอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น ตุ่ม รอยบุ๋ม หรือการติดเชื้อได้ แม้ว่าแพทย์จะทำการร้อยไหมอย่างสมบูรณ์แบบ แต่การดูแลตัวเองที่ไม่ดีก็ยังสามารถสร้างปัญหาได้
พฤติกรรมที่ไม่ควรทำซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อน ได้แก่:
- การขยับใบหน้ามากเกินไป
- การนอนตะแคงหรือนอนคว่ำ
- การทำกิจกรรม เช่น ซาวน่าหรือสูบบุหรี่ในช่วง 1-2 สัปดาห์แรก
- การสัมผัสบริเวณที่ร้อยไหมด้วยมือที่ไม่สะอาด หรือแต่งหน้าเร็วเกินไป ซึ่งอาจทำให้เกิดการติดเชื้อ
- การดื่มน้ำไม่เพียงพอ ซึ่งทำให้กระบวนการฟื้นตัวช้าลง
แนวทางการจัดการและแก้ไขรอยนูน รอยบุ๋มหลังร้อยไหม
การดูแลเบื้องต้นด้วยตัวเองที่บ้าน
การดูแลเบื้องต้นด้วยตัวเองที่บ้านสามารถทำได้โดยการประคบอุ่น การนวดเบาๆ การใช้เจลลดบวม และการนอนหนุนหมอนสูง เพื่อช่วยบรรเทาอาการผิดปกติเล็กน้อยหลังการร้อยไหม
- การประคบอุ่น: สามารถใช้หลังจากช่วง 48-72 ชั่วโมงแรก เพื่อช่วยลดรอยช้ำและก้อนเลือดเล็กๆ
- การนวดเบาๆ: หลังจากผ่านไปประมาณ 1-2 สัปดาห์ สามารถนวดคลึงบริเวณที่มีรอยบุ๋มหรือตุ่มนูนเล็กน้อยอย่างเบามือตามคำแนะนำของแพทย์ เพื่อช่วยให้ผิวเรียบเนียนขึ้น
- การนอนหนุนหมอนสูง: ช่วยลดอาการบวมโดยทำให้ของเหลวไหลเวียนได้ดีขึ้น
- การใช้ผลิตภัณฑ์เสริม: เจลอาร์นิกา (Arnica gel) หรืออาหารเสริมโบรมีเลน (bromelain) อาจช่วยลดรอยช้ำและอาการบวมได้เร็วขึ้น
อย่างไรก็ตาม วิธีการเหล่านี้เหมาะสำหรับอาการที่ไม่รุนแรงเท่านั้น หากเป็นก้อนแข็ง ปมไหม หรือมีสัญญาณการติดเชื้อ การนวดหรือประคบจะไม่สามารถช่วยได้และจำเป็นต้องปรึกษาแพทย์
การรักษาโดยแพทย์: การฉีดสลายก้อนนูน
การฉีดสลายก้อนนูนหลังร้อยไหมโดยแพทย์มักใช้การฉีดสเตียรอยด์ เพื่อลดการอักเสบและทำให้ก้อนพังผืดหรือแกรนูโลมา (granuloma) ยุบตัวลง ซึ่งโดยทั่วไปอาจต้องฉีด 1-3 ครั้ง ห่างกันหลายสัปดาห์
นอกจากนี้ยังมีการฉีดประเภทอื่นๆ ที่ใช้รักษาตามลักษณะของปัญหา ดังนี้
- การฉีดน้ำเกลือ (Saline Injection): เพื่อช่วยเร่งการสลายตัวของไหม PDO หรือสลายพังผืด
- การทำซับซิชั่น (Subcision): ใช้เข็มเซาะพังผืดใต้ผิวหนังเพื่อคลายรอยบุ๋มลึกที่เกิดจากแผลเป็น
- การฉีดโบทูลินั่ม ท็อกซิน (Botox): ใช้ในกรณีที่การเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อทำให้เกิดรอยบุ๋มอย่างต่อเนื่อง เพื่อคลายกล้ามเนื้อบริเวณนั้นชั่วคราว
- การฉีดไฮยาลูโรนิเดส (Hyaluronidase): ใช้สำหรับสลายก้อนที่เกิดจากฟิลเลอร์ไฮยาลูรอนิก แอซิด เท่านั้น ไม่สามารถสลายไหมได้
การใช้เลเซอร์หรือพลังงานคลื่นวิทยุช่วยสลายพังผืด
การใช้เลเซอร์และพลังงานคลื่นวิทยุ (RF) สามารถช่วยสลายพังผืดและปรับโครงสร้างคอลลาเจนที่เป็นแผลเป็นได้ โดยการรักษาด้วยเลเซอร์จะช่วยสลายคอลลาเจนที่เป็นแผลเป็นเพื่อให้คอลลาเจนใหม่ที่เรียบเนียนกว่าเข้ามาแทนที่ ส่วน RF Microneedling จะสร้างการบาดเจ็บเล็กๆ อย่างควบคุมได้เพื่อกระตุ้นให้ร่างกายปรับโครงสร้างเนื้อเยื่อแผลเป็นขึ้นมาใหม่
โดยทั่วไป การรักษาด้วยวิธีเหล่านี้จำเป็นต้องทำหลายครั้ง และแม้ว่าจะสามารถปรับปรุงสภาพผิวให้ดีขึ้นได้อย่างมีนัยสำคัญ แต่อาจไม่สามารถลบรอยแผลเป็นที่ลึกหรือรุนแรงมากได้ทั้งหมด
การผ่าตัดเพื่อนำเส้นไหมออกในกรณีที่จำเป็น
การผ่าตัดเพื่อนำเส้นไหมออกเป็นหัตถการเล็กๆ ที่ทำภายใต้การฉีดยาชา เพื่อแก้ไขภาวะแทรกซ้อน เช่น การติดเชื้อ ก้อนแกรนูโลมา หรือการระคายเคืองเส้นประสาท
โดยทั่วไป แพทย์จะทำแผลเล็กๆ บริเวณใกล้เคียงกับปัญหา จากนั้นใช้เครื่องมือจับเส้นไหมและค่อยๆ ดึงออกมา แม้ความเสี่ยงจะต่ำ (อาจเกิดแผลเป็นเล็กน้อย เลือดออก หรือติดเชื้อ) แต่การนำไหมออกมีอัตราความสำเร็จสูงในการแก้ไขปัญหา เนื่องจากเป็นการกำจัดต้นตอของอาการระคายเคืองออกไปโดยตรง
ไทม์ไลน์การฟื้นตัว: รอยนูนและอาการบวมจะหายไปเมื่อไหร่
รอยนูนและอาการบวมส่วนใหญ่จะหายไปภายใน 2-4 สัปดาห์ โดยอาการบวมจะลดลงอย่างเห็นได้ชัดภายใน 5 วันแรก และรอยนูนเล็กๆ มักจะเรียบเนียนขึ้นภายใน 1-2 สัปดาห์
โดยทั่วไปแล้ว ใบหน้าจะดูเป็นปกติในเวลาประมาณ 2 สัปดาห์ และคนส่วนใหญ่จะฟื้นตัวเต็มที่เมื่อครบ 4 สัปดาห์ หากรอยนูนยังคงอยู่โดยไม่เปลี่ยนแปลงหลังจากผ่านไป 4-6 สัปดาห์ ควรปรึกษาแพทย์
ข้อควรพิจารณาก่อนตัดสินใจแก้ไขรอยนูน
การประเมินความรุนแรงและระยะเวลาที่เกิดปัญหา
แพทย์จะประเมินภาวะแทรกซ้อนจากการร้อยไหมโดยพิจารณาจาก ความรุนแรงของปัญหาและระยะเวลาที่เกิดขึ้น เพื่อตัดสินใจเลือกแนวทางการรักษาที่เหมาะสม
การประเมินปัจจัยทั้งสองมีรายละเอียดดังนี้
- ความรุนแรง (Severity): แบ่งออกเป็น 3 ระดับ
- รุนแรงน้อย: ปัญหาเล็กน้อยที่อาจหายได้เอง เช่น รอยบุ๋มตื้นๆ หรืออาการบวมเล็กน้อย
- รุนแรงปานกลาง: ปัญหาที่มองเห็นได้ชัดเจนแต่ไม่เป็นอันตราย เช่น ปมไหมที่คลำได้ หรือความไม่สมมาตร
- รุนแรงมาก: ปัญหาที่คุกคามสุขภาพหรืออาจสร้างความเสียหายถาวร เช่น การติดเชื้อ, เนื้อเยื่อตาย หรือเส้นประสาทบาดเจ็บ ซึ่งต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน
- ระยะเวลา (Duration): เวลาที่เกิดปัญหาเป็นตัวกำหนดว่าจะต้องรีบแก้ไขหรือรอได้
- ปัญหาที่เพิ่งเกิด: หากเป็นปัญหาเล็กน้อยที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่นาน (เช่น 1-2 สัปดาห์) แพทย์มักจะแนะนำให้รอดูก่อน เพราะมีโอกาสสูงที่จะหายได้เองเมื่ออาการบวมลดลง
- ปัญหาเรื้อรัง: หากปัญหาคงอยู่นานโดยไม่ดีขึ้น (เช่น 2-3 เดือน) แสดงว่าไม่สามารถหายเองได้และจำเป็นต้องได้รับการแก้ไข
- ข้อยกเว้น: ปัญหาร้ายแรงอย่างการติดเชื้อหรือปลายไหมโผล่ทะลุผิวหนัง จะต้องได้รับการแก้ไขทันทีโดยไม่ต้องรอ
ความเข้าใจผิดและข้อควรระวังเกี่ยวกับปัญหาหลังร้อยไหม
ความเข้าใจผิดที่พบบ่อยคือการคิดว่าตุ่มหรือรอยบุ๋มทุกอย่างเป็นภาวะแทรกซ้อนที่อันตราย ในความเป็นจริงแล้ว ตุ่มนิ่มๆ หรือผิวที่ไม่เรียบในช่วง 1-2 สัปดาห์แรกมักเป็นอาการบวมตามปกติและจะหายไปเอง แต่ข้อควรระวังที่สำคัญคือการสังเกตอาการผิดปกติที่ต้องรีบพบแพทย์
โดยทั่วไป อาการบวมและผิวที่ไม่เรียบเนียนจะดีขึ้นมากภายใน 2 สัปดาห์ และมักจะหายเป็นปกติใน 4-6 สัปดาห์ หากตุ่มหรือรอยบุ๋มยังคงอยู่ไม่เปลี่ยนแปลงหลังจากช่วงเวลานี้ ถือว่าผิดปกติและควรปรึกษาแพทย์
ข้อควรระวังและสัญญาณอันตราย:
- ตุ่มที่ผิดปกติ: ตุ่มแข็ง ไม่ยุบลงเมื่อเวลาผ่านไป หรือตุ่มที่มาพร้อมกับอาการปวด บวม แดง ร้อน อาจเป็นก้อนพังผืด (Granuloma) หรือการติดเชื้อ
- รอยบุ๋มที่ไม่หายไป: รอยบุ๋มเล็กน้อยมักจะหายไปเอง แต่ถ้ารอยบุ๋มมีความลึกมากหรือไม่ดีขึ้นเลยหลังจากผ่านไป 2-3 เดือน อาจเกิดจากเทคนิคการร้อยไหมที่ผิดพลาด
- สัญญาณการติดเชื้อ: หากมีอาการปวด บวม แดง ร้อน มากขึ้นเรื่อยๆ มีหนองไหลออกจากแผล หรือมีไข้ ควรรีบพบแพทย์ทันที
- สีผิวเปลี่ยนแปลง: หากผิวบริเวณที่ร้อยไหมเปลี่ยนเป็นสีซีด ขาว หรือคล้ำดำ อาจเป็นสัญญาณของภาวะขาดเลือด ซึ่งเป็นภาวะฉุกเฉิน
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับภาวะแทรกซ้อนหลังร้อยไหม
รอยนูนหลังร้อยไหมกี่วันหาย?
โดยทั่วไป รอยนูนหลังร้อยไหมจะค่อยๆ ยุบลงและหายไปภายใน 1-4 สัปดาห์ ในช่วงสัปดาห์แรก อาการบวมและรอยนูนส่วนใหญ่จะลดลงอย่างเห็นได้ชัด และใบหน้ามักจะดูเกือบเป็นปกติภายใน 2 สัปดาห์ เมื่อถึงสัปดาห์ที่ 4 รอยนูนที่มองเห็นได้ส่วนใหญ่มักจะหายไปจนหมด หากรอยนูนยังคงอยู่โดยไม่เปลี่ยนแปลงนานเกิน 4-6 สัปดาห์ ถือว่านานกว่าปกติและควรปรึกษาแพทย์
ร้อยไหมแล้วหน้าบุ๋มจะหายเองได้ไหม?
รอยบุ๋มที่ไม่รุนแรงส่วนใหญ่สามารถหายได้เอง ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการฟื้นตัวตามปกติ โดยรอยบุ๋มมักจะค่อยๆ ตื้นขึ้นเมื่ออาการบวมลดลงและผิวหนังปรับตัวเข้ากับเส้นไหมภายในเวลาประมาณ 4-6 สัปดาห์
อย่างไรก็ตาม หากรอยบุ๋มมีความลึกมาก ไม่ดีขึ้นเลย หรือยังคงอยู่หลังจากผ่านไป 2-3 เดือน ควรปรึกษาแพทย์ เพราะอาจเกิดจากเทคนิคการร้อยไหมที่ผิดพลาดและจำเป็นต้องได้รับการแก้ไข
อาการแบบไหนคือสัญญาณของการติดเชื้อหลังร้อยไหม?
สัญญาณของการติดเชื้อหลังร้อยไหม ได้แก่ อาการปวด บวม แดง และร้อนบริเวณที่ทำมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งอาจมีไข้หรือหนองร่วมด้วย โดยอาการเหล่านี้มักจะแย่ลงหลังจากผ่านไป 2-3 วันแรก แทนที่จะค่อยๆ ดีขึ้น
อาการอื่นๆ ที่ควรสังเกต มีดังนี้:
- ผิวหนังบริเวณที่ร้อยไหมรู้สึกร้อนเมื่อสัมผัส
- มีอาการปวดตุบๆ ที่รุนแรงขึ้น
- มีหนองหรือของเหลวสีเหลือง/ครีมไหลออกมาจากรูเข็ม
- มีไข้สูงกว่า 38 องศาเซลเซียส รู้สึกหนาวสั่น หรือไม่สบายตัว
- คลำเจอก้อนนูนที่อุ่นและเจ็บ ซึ่งอาจเป็นฝีหนอง
ถ้าไหมขาดหรือไหมโผล่ออกมาควรทำอย่างไร?
หากไหมโผล่ออกมาหรือขาด ควรติดต่อแพทย์ผู้ทำหัตถการทันที
นี่ไม่ใช่อาการที่เป็นอันตราย แต่จำเป็นต้องให้แพทย์จัดการอย่างถูกวิธีและปลอดเชื้อ โดยแพทย์มักจะแก้ไขด้วยการตัดไหมส่วนที่โผล่ออกมาให้เรียบไปกับผิวหนัง หรืออาจจะดันกลับเข้าไปใต้ผิวหนังให้เข้าที่ ระหว่างรอพบแพทย์ ไม่ควรสัมผัสหรือดึงไหมเองเพื่อป้องกันการติดเชื้อ
ในกรณีที่ไหมขาดอยู่ภายใน ส่วนใหญ่มักไม่เป็นอันตรายเพราะไหมจะสลายไปเองตามธรรมชาติ แต่อาจทำให้ผลลัพธ์การยกกระชับลดลง ซึ่งแพทย์จะประเมินและอาจพิจารณาร้อยไหมเพิ่มให้ใหม่
การนวดคลึงบริเวณที่ร้อยไหมช่วยลดรอยนูนได้จริงหรือ?
การนวดเบาๆ สามารถช่วยลดรอยนูนหรือรอยบุ๋มเล็กน้อยหลังการร้อยไหมได้จริง แต่จะได้ผลกับปัญหาบางประเภทเท่านั้น โดยการนวดจะช่วยลดรอยนูนที่นิ่ม รอยย่น หรือรอยบุ๋มตื้นๆ ที่เกิดจากการบวมหรือการดึงรั้งของผิวหนังได้
อย่างไรก็ตาม การนวดไม่สามารถแก้ไขก้อนแข็งที่เกิดจากปมไหมหรือก้อนแกรนูโลมา (ก้อนพังผืด) ได้ และควรทำอย่างเบามือหลังจากผ่านช่วง 1-2 สัปดาห์แรกไปแล้ว เพื่อป้องกันไม่ให้ไหมเคลื่อนที่
ร้อยไหมแล้วเป็นไตอันตรายหรือไม่?
โดยทั่วไปแล้ว การเกิดไตหลังร้อยไหมไม่เป็นอันตรายร้ายแรง เนื่องจากก้อนไตแข็ง (granuloma) ที่เกิดขึ้นมักเป็นการอักเสบของร่างกายที่ไม่มีเชื้อโรค ไม่ใช่การติดเชื้อ และไม่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพโดยรวม
ปัญหาหลักคือเรื่องความสวยงาม เพราะอาจมองเห็นเป็นก้อนนูนหรือคลำเจอได้ และอาจทำให้รู้สึกไม่สบายตัวบ้าง แม้ว่าจะไม่เป็นอันตราย แต่ก็ควรให้แพทย์ประเมินเพื่อยืนยันว่าเป็นก้อนไตพังผืดและไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อ ซึ่งสามารถรักษาได้ด้วยการฉีดสเตียรอยด์เพื่อลดขนาดก้อนหรือผ่าตัดนำออก
References:
- Cleveland Clinic. (n.d.). Thread Lift: What to Expect, Benefits & Complications. Cleveland Clinic Health Library. clevelandclinic.org
- Yi, K.-H., & Park, S.Y. (2025). Facial Thread Lifting Complications. Journal of Cosmetic Dermatology (Wiley). onlinelibrary.wiley.com
- Wolters Kluwer. (2024). Facial thread lifting: Complications, causes and prevention. Wolters Kluwer Health (Journal of Craniofacial Surgery). wolterskluwer.com
- Kim, H.J. et al. (n.d.). Predictors of Dissatisfaction After Polydioxanone (PDO) Thread Lift. PubMed Central. pmc.ncbi.nlm.nih.gov
- Park, J.H. et al. (2022). Barbed PDO Thread Face Lift: A Case Study of Bacterial Complication. Aesthetic Plastic Surgery (Springer). springer.com
- MINT (Hans Biomed). (n.d.). Science of Threads: Common Causes of Dimpling. MINT™ PDO Blog. mintpdo.com
- APTOS. (n.d.). How to choose a doctor and a clinic for a thread lift. Aptos Global. aptos.global
- Saul, M. (n.d.). Signs of a botched thread lift gone wrong. Cosmetic Surgery Solicitors. cosmeticsurgerysolicitors.co.uk
