หลังฉีดฟิลเลอร์ ข้อห้าม-ข้อปฏิบัติ ดูแลอย่างไรให้ถูกต้อง
หลังฉีดฟิลเลอร์ คือช่วงดูแลสำคัญเพื่อคงรูปและลดภาวะแทรกซ้อน โดยเน้น 48 ชั่วโมงแรก: ประคบเย็นอย่างถูกวิธี เลี่ยงความร้อนและกิจกรรมที่เลือดสูบฉีด นอนหงายยกศีรษะ; เป้าหมายคือให้ผลลัพธ์เนียนกลืนและปลอดภัย
ข้อปฏิบัติสำคัญใน 48 ชั่วโมงแรกหลังฉีดฟิลเลอร์
การประคบเย็นเพื่อลดอาการบวม
ควรใช้การประคบเย็นเพื่อช่วยลดอาการบวมในช่วง 1-2 วันแรกหลังการฉีดฟิลเลอร์
ควรห่อน้ำแข็งด้วยผ้าเพื่อป้องกันผิวหนัง และประคบเป็นช่วงๆ เพื่อจัดการกับอาการบวมและความเจ็บปวด หลังจากผ่านไป 48-72 ชั่วโมง หากยังมีรอยช้ำอยู่ สามารถเปลี่ยนไปใช้การประคบอุ่นเพื่อช่วยให้รอยช้ำหายเร็วขึ้นได้
หลีกเลี่ยงความร้อนและกิจกรรมที่ทำให้เลือดสูบฉีด
ควรหลีกเลี่ยงความร้อนและกิจกรรมที่ทำให้เลือดสูบฉีดแรงหลังฉีดฟิลเลอร์ เพื่อลดอาการบวมและรอยช้ำที่อาจเด่นชัดขึ้น และป้องกันไม่ให้ฟิลเลอร์เคลื่อนที่
การเพิ่มขึ้นของอัตราการเต้นของหัวใจและความดันโลหิตจากการออกกำลังกายอย่างหนักจะทำให้เลือดไหลเวียนมากขึ้น ซึ่งส่งผลโดยตรงต่ออาการบวมและช้ำ ในขณะเดียวกัน ความร้อนและการสัมผัสรังสียูวียังสามารถเพิ่มอาการบวมและอาจสลายฟิลเลอร์ประเภทกรดไฮยาลูรอนิก (Hyaluronic Acid) ได้เร็วขึ้นอีกด้วย
การนอนและจัดท่าทางที่ถูกต้องเพื่อป้องกันการเสียรูป
ควรนอนหงายโดยให้ศีรษะอยู่สูงกว่าระดับหัวใจในช่วง 1-2 คืนแรกหลังการฉีดฟิลเลอร์ เพื่อป้องกันแรงกดทับที่อาจทำให้ฟิลเลอร์เคลื่อนที่หรือเสียรูป และยังช่วยลดอาการบวมได้อีกด้วย
ควรหลีกเลี่ยงการนอนคว่ำหรือนอนตะแคงในช่วงแรก หลังจากผ่านไป 2-3 วัน เมื่อฟิลเลอร์เริ่มเข้าที่และอาการบวมลดลงแล้ว จึงจะสามารถกลับไปนอนในท่าปกติได้
ข้อห้ามหลักหลังฉีดฟิลเลอร์: สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงโดยเด็ดขาด
อาหารและเครื่องดื่มที่ควรงด: แอลกอฮอล์ ของหมักดอง
ควรหลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์และรับประทานของหมักดองอย่างน้อย 24-48 ชั่วโมงหลังการฉีดฟิลเลอร์ เนื่องจากแอลกอฮอล์ทำให้เลือดบางลงและหลอดเลือดขยายตัว ซึ่งอาจเพิ่มรอยช้ำและอาการบวมได้ ส่วนอาหารหมักดองอาจมีฮีสตามีนที่กระตุ้นการอักเสบ นอกจากนี้ ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีโซเดียมสูงหรือรสจัดเพื่อลดอาการบวมด้วย
การออกกำลังกาย การนวด และการสัมผัสใบหน้า
ควรหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายอย่างหนัก การนวด หรือการกดทับใบหน้าบริเวณที่ฉีด เพื่อป้องกันไม่ให้ฟิลเลอร์เคลื่อนที่และลดอาการบวมช้ำ
- การออกกำลังกาย: ควรงดการออกกำลังกายหนักๆ หรือกิจกรรมที่ทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้นเป็นเวลา 2-3 วัน เพื่อลดอาการบวมและรอยช้ำ แต่สามารถเดินเบาๆ ได้
- การสัมผัสใบหน้า: ควรทำความสะอาดใบหน้าอย่างเบามือและใช้วิธีซับให้แห้งแทนการถู เพื่อป้องกันไม่ให้ฟิลเลอร์เคลื่อนที่
- การนวดและทรีตเมนต์: ควรงดการนวดหน้าหรือการทำทรีตเมนต์ที่ต้องใช้แรงกดบนใบหน้าเป็นเวลาอย่างน้อย 2 สัปดาห์ เพื่อให้ฟิลเลอร์เข้าที่อย่างสมบูรณ์
การแต่งหน้า การทาครีม และการล้างหน้าบริเวณรอยเข็ม
ควรงดการแต่งหน้าอย่างน้อย 24 ชั่วโมง และหลีกเลี่ยงสกินแคร์ที่มีส่วนผสมออกฤทธิ์รุนแรงเป็นเวลา 48 ชั่วโมง เพื่อให้รอยเข็มปิดสนิทและลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ
- การล้างหน้า: ควรล้างหน้าอย่างเบามือ และซับผิวให้แห้งแทนการถู เพื่อป้องกันไม่ให้ฟิลเลอร์เคลื่อนที่
- การทาครีม: ในคืนแรกให้ทำความสะอาดด้วยผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยนและน้ำเปล่าเท่านั้น หลังจาก 48 ชั่วโมง จึงค่อยๆ กลับมาใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวตามปกติได้
- การแต่งหน้า: หลังจาก 24 ชั่วโมง สามารถแต่งหน้าได้ แต่ควรทาอย่างเบามือและหลีกเลี่ยงการถูแรงๆ บริเวณที่ฉีด
อาการที่พบได้ตามปกติและการรับมือ: บวม แดง ช้ำ
ระยะเวลาของอาการบวมในแต่ละบริเวณ
โดยทั่วไป ระยะเวลาของอาการบวมหลังฉีดฟิลเลอร์จะแตกต่างกันไปในแต่ละบริเวณ
- ริมฝีปาก: อาการบวมส่วนใหญ่จะหายไปในเวลาประมาณ 5-7 วัน
- แก้มและคาง: อาการบวมในระดับปานกลางจะลดลงในเวลาประมาณ 1 สัปดาห์
- ร่องแก้ม: โดยทั่วไปจะมีอาการบวมเพียงเล็กน้อยและหายได้ในเวลาไม่กี่วัน
- ใต้ตา: หากอาการบวมยังคงอยู่นานเกินสองสัปดาห์ ควรปรึกษาผู้ให้บริการ
วิธีลดบวมและเร่งการฟื้นตัวอย่างปลอดภัย
วิธีลดบวมและเร่งการฟื้นตัวหลังฉีดฟิลเลอร์อย่างปลอดภัยคือ การประคบเย็น ยกศีรษะให้สูง และหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่กระตุ้นการไหลเวียนเลือด
เพื่อช่วยให้ฟิลเลอร์เข้าที่และลดอาการบวมได้เร็วขึ้น ควรปฏิบัติตามคำแนะนำต่อไปนี้:
- ประคบเย็น: ในช่วง 48 ชั่วโมงแรก ให้ใช้ผ้าห่อน้ำแข็งประคบบริเวณที่ฉีดเป็นระยะๆ เพื่อช่วยลดอาการบวม
- นอนยกศีรษะสูง: การนอนหนุนหมอนสูงหรือให้ศีรษะอยู่สูงกว่าระดับหัวใจ จะช่วยลดการคั่งของของเหลวและป้องกันการกดทับใบหน้า
- หลีกเลี่ยงกิจกรรมหนักและความร้อน: งดการออกกำลังกายหนักๆ และหลีกเลี่ยงความร้อนหรือแสงแดดจัดในช่วง 2-3 วันแรก เพราะจะทำให้เลือดไหลเวียนมากขึ้นและบวมกว่าเดิม
- ควบคุมอาหารและเครื่องดื่ม: หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และอาหารที่มีโซเดียมสูง (รสเค็มจัด) เพราะจะทำให้อาการบวมแย่ลง
- งดยาบางชนิด: หลีกเลี่ยงยาแก้ปวดกลุ่ม NSAIDs (เช่น แอสไพริน, ไอบูโพรเฟน) และอาหารเสริมที่ทำให้เลือดจาง (เช่น น้ำมันปลา, วิตามินอีปริมาณสูง) เพราะอาจเพิ่มความเสี่ยงของรอยช้ำ
ความแตกต่างระหว่างอาการปกติและอาการข้างเคียง
อาการปกติหลังฉีดฟิลเลอร์คืออาการบวม ช้ำ หรือรู้สึกเป็นก้อนเล็กๆ ซึ่งจะค่อยๆ ดีขึ้นเอง ในขณะที่อาการข้างเคียงที่น่ากังวลคืออาการที่รุนแรงขึ้น เช่น ปวดมากผิดปกติ หรือสีผิวเปลี่ยนไป ซึ่งบ่งชี้ถึงภาวะแทรกซ้อน
อาการปกติ:
- อาการบวม: เป็นเรื่องปกติ โดยเฉพาะบริเวณริมฝีปาก และจะค่อยๆ ยุบลงใน 3-7 วัน
- รอยช้ำ: อาจเกิดขึ้นบริเวณที่ฉีดและจะจางหายไปในเวลาประมาณ 1 สัปดาห์
- ก้อนเล็กๆ หรือผิวไม่เรียบ: สามารถเกิดขึ้นได้และมักจะเรียบเนียนไปเองเมื่อฟิลเลอร์เข้าที่
- อาการข้างเคียงที่ควรพบแพทย์ทันที:
- ปวดรุนแรง: มีอาการปวดที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ และไม่ทุเลาลง
- สีผิวเปลี่ยนไป: ผิวบริเวณที่ฉีดเปลี่ยนเป็นสีซีดขาว ม่วงคล้ำ หรือดำ
- สัญญาณการติดเชื้อ: มีอาการบวมแดงที่ลามกว้างขึ้นหลังผ่านไป 2-3 วัน หรือมีไข้ร่วมด้วย
การดูแลเฉพาะจุด: ปาก คาง ใต้ตา และร่องแก้ม
หลังฉีดฟิลเลอร์ปาก: ข้อควรระวังเพื่อทรงสวยงาม
ข้อควรระวังที่สำคัญที่สุดหลังฉีดฟิลเลอร์ปากคือ การหลีกเลี่ยงการกดทับ การเคลื่อนไหวปากที่รุนแรง และความร้อน เพื่อป้องกันไม่ให้ฟิลเลอร์เคลื่อนที่และช่วยลดอาการบวม
เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ควรปฏิบัติตามคำแนะนำต่อไปนี้:
- หลีกเลี่ยงการเคลื่อนไหวที่ใช้แรงกดบนริมฝีปาก เช่น การดูดหลอด การเม้มปาก หรือการจูบ
- งดเครื่องดื่มร้อนๆ เป็นเวลา 1 วัน เนื่องจากความร้อนจะทำให้อาการบวมเพิ่มขึ้น
- ทาลิปบาล์มที่อ่อนโยนเพื่อให้ริมฝีปากชุ่มชื้น
- ประคบเย็นเบาๆ เพื่อจัดการกับอาการบวมและความเจ็บปวด
- นอนหงายโดยหนุนหมอนให้ศีรษะสูงขึ้นในช่วง 1-2 คืนแรก เพื่อช่วยลดอาการบวมและป้องกันการกดทับใบหน้า
หลังฉีดฟิลเลอร์คางและขมับ: การดูแลเพื่อรักษาทรง
การดูแลหลังฉีดฟิลเลอร์คางและขมับที่สำคัญที่สุดคือ การหลีกเลี่ยงการกดทับหรือนวดบริเวณที่ฉีด เพื่อให้ฟิลเลอร์เข้าที่และคงรูปทรงตามที่แพทย์ได้ปั้นไว้
เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ควรปฏิบัติดังนี้:
- การนอน: นอนหงายและหนุนหมอนให้ศีรษะสูงในช่วง 1-2 คืนแรก เพื่อป้องกันการกดทับใบหน้าซึ่งอาจทำให้ฟิลเลอร์เคลื่อนที่ได้
- การทำความสะอาด: ล้างหน้าอย่างเบามือและใช้ผ้าซับเบาๆ แทนการถู
- กิจกรรม: งดการออกกำลังกายหนักๆ การสัมผัสความร้อน และการดื่มแอลกอฮอล์ในช่วง 24-48 ชั่วโมงแรก เพราะอาจทำให้บวมมากขึ้นและส่งผลต่อการเซ็ตตัวของฟิลเลอร์
หลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาและร่องแก้ม: การดูแลผิวบอบบาง
การดูแลผิวหลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาและร่องแก้มที่สำคัญที่สุดคือ การหลีกเลี่ยงการกดทับหรือการเคลื่อนไหวใบหน้าอย่างรุนแรง และใช้การประคบเย็นเพื่อลดอาการบวม
คำแนะนำเฉพาะจุดมีดังนี้:
- ฟิลเลอร์ใต้ตา:
- ใช้การประคบเย็นเพื่อลดอาการบวม
- นอนหนุนหมอนให้ศีรษะสูงขึ้นเพื่อช่วยลดการสะสมของของเหลวบริเวณใต้ตา
- ฟิลเลอร์ร่องแก้ม:
- หลีกเลี่ยงการเคลื่อนไหวปากกว้างๆ เช่น การหาวหรือการทำฟัน ในช่วง 2-3 วันแรก
- สามารถพูดคุยและแสดงสีหน้าได้ตามปกติ แต่หลีกเลี่ยงการยืดปากแรงๆ
- ปฏิบัติตามคำแนะนำทั่วไป คือไม่กดหรือนวดบริเวณที่ฉีด และประคบเย็นหากมีอาการบวม
จากข้อปฏิบัติสู่ผลลัพธ์: ปัจจัยสำคัญที่ต้องพิจารณา
ระยะเวลาที่ฟิลเลอร์จะเข้าที่และเห็นผลเต็มที่
ฟิลเลอร์จะใช้เวลาประมาณ 2-4 สัปดาห์ในการเข้าที่และเห็นผลลัพธ์ที่แท้จริง
แม้ว่าอาการบวมส่วนใหญ่จะลดลงภายใน 3-7 วัน แต่ฟิลเลอร์จะผสานเข้ากับเนื้อเยื่ออย่างสมบูรณ์และอาการบวมที่เหลือจะหายไปจนหมดเมื่อผ่านไปประมาณ 1 เดือน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการประเมินผลลัพธ์สุดท้าย
การทำเลเซอร์หรือทรีตเมนต์อื่นหลังฉีดฟิลเลอร์
ควรรอประมาณ 2 สัปดาห์หลังฉีดฟิลเลอร์ก่อนทำเลเซอร์หรือทรีตเมนต์อื่นๆ บนใบหน้า เพื่อให้ฟิลเลอร์เข้าที่อย่างสมบูรณ์และลดความเสี่ยงที่ฟิลเลอร์จะเคลื่อนที่หรือเกิดการอักเสบ
ทรีตเมนต์ที่ควรหลีกเลี่ยงในช่วง 2 สัปดาห์แรก ได้แก่:
- เลเซอร์, ทรีตเมนต์ที่ใช้แสงความเข้มสูง, คลื่นวิทยุ (RF) และอัลตราซาวนด์
- การนวดหน้า, การทำทรีตเมนต์ผิวหน้าแบบล้ำลึก, การกรอผิว (microdermabrasion) และการลอกผิวด้วยสารเคมี
- การทำฟัน ควรเว้นระยะเวลา 2 สัปดาห์ทั้งก่อนและหลังฉีดฟิลเลอร์เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ
สัญญาณอันตรายที่ต้องรีบปรึกษาแพทย์ทันที
สัญญาณอันตรายที่ต้องรีบปรึกษาแพทย์ทันทีคือ อาการปวดรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ, สีผิวที่เปลี่ยนไป, ผิวหนังบริเวณที่ฉีดเย็นหรือชา, มีตุ่มน้ำหรือสะเก็ดสีเข้ม, การมองเห็นผิดปกติ หรือสัญญาณของการติดเชื้อ อาการเหล่านี้อาจบ่งชี้ถึงภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง เช่น การอุดตันของเส้นเลือด หรือการติดเชื้อ ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน
อาการที่น่ากังวลประกอบด้วย:
- อาการปวดรุนแรง: ปวดมากผิดปกติและอาการไม่ดีขึ้น
- สีผิวเปลี่ยนไป: ผิวซีด มีรอยจ้ำสีขาวหรือสีฟ้าม่วง หรือมีสีคล้ำผิดปกติ
- ความรู้สึกผิดปกติ: ผิวหนังบริเวณที่ฉีดเย็นหรือชา
- แผลพุพอง: เกิดตุ่มน้ำหรือสะเก็ดสีเข้ม ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของเนื้อเยื่อตาย
- การมองเห็นผิดปกติ: หากฉีดฟิลเลอร์บริเวณใกล้ดวงตา
- สัญญาณการติดเชื้อ: มีไข้สูง รอยแดงบวมที่ขยายวงกว้างขึ้นเรื่อยๆ หลังผ่านไป 2-3 วัน หรือเกิดก้อนบวมแข็งและเจ็บคล้ายฝี
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการดูแลตัวเองหลังฉีดฟิลเลอร์
หลังฉีดฟิลเลอร์ นอนตะแคงได้ไหม?
ควรหลีกเลี่ยงการนอนตะแคงในช่วง 1-2 คืนแรกหลังการฉีดฟิลเลอร์ เนื่องจากการนอนตะแคงอาจสร้างแรงกดทับในบริเวณที่ฉีด ซึ่งอาจทำให้ฟิลเลอร์เคลื่อนที่และส่งผลให้ผลลัพธ์ไม่สม่ำเสมอได้
แนะนำให้นอนหงายโดยหนุนหมอนให้ศีรษะสูงขึ้นเล็กน้อยแทน หลังจากผ่านไป 2-3 คืน เมื่อฟิลเลอร์เริ่มเข้าที่และอาการบวมลดลงแล้ว จึงจะสามารถกลับไปนอนในท่าปกติได้
หลังฉีดฟิลเลอร์ แต่งหน้าหรือทาครีมได้เมื่อไหร่?
ควรงดแต่งหน้าเป็นเวลาอย่างน้อย 24 ชั่วโมง และงดใช้สกินแคร์ที่มีส่วนผสมออกฤทธิ์รุนแรงเป็นเวลา 48 ชั่วโมงหลังฉีดฟิลเลอร์
การเว้นระยะเวลา 24 ชั่วโมงก่อนแต่งหน้าจะช่วยให้รอยเข็มปิดสนิทและลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ สำหรับสกินแคร์ ควรงดใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมออกฤทธิ์ เช่น เรตินอยด์ หรือกรดผลัดเซลล์ผิว (AHA) เป็นเวลา 48 ชั่วโมง แต่สามารถใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดและมอยส์เจอไรเซอร์ที่อ่อนโยนได้
อาการบวมหลังฉีดฟิลเลอร์เป็นปกติหรือไม่ และลดบวมได้อย่างไร?
อาการบวมหลังฉีดฟิลเลอร์เป็นเรื่องปกติ โดยอาการบวมจะชัดเจนที่สุดในช่วง 2-3 วันแรก และจะค่อยๆ ยุบลงภายในหนึ่งสัปดาห์
คุณสามารถลดอาการบวมได้โดย:
- ประคบเย็นในช่วง 1-2 วันแรก
- นอนหนุนหมอนให้ศีรษะสูง
- หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายอย่างหนัก ความร้อน แอลกอฮอล์ และอาหารรสเค็มจัด
หลังฉีดฟิลเลอร์กินแอลกอฮอล์หรือของหมักดองได้ไหม?
ควรงดดื่มแอลกอฮอล์และรับประทานของหมักดองอย่างน้อย 24-48 ชั่วโมงหลังฉีดฟิลเลอร์
เนื่องจากแอลกอฮอล์สามารถเพิ่มการไหลเวียนของเลือดและทำให้เลือดบางลง ซึ่งอาจทำให้อาการบวมและรอยช้ำรุนแรงขึ้น ส่วนอาหารหมักดองมักมีฮิสตามีนหรือแอลกอฮอล์ ซึ่งอาจกระตุ้นให้เกิดการอักเสบได้เช่นกัน
ควรเว้นการทำเลเซอร์หรือทรีตเมนต์หน้านานเท่าไหร่?
หลังฉีดฟิลเลอร์ ควรเว้นการทำเลเซอร์หรือทรีตเมนต์หน้าประมาณ 2 สัปดาห์ เพื่อให้ฟิลเลอร์เข้าที่และลดความเสี่ยงที่ฟิลเลอร์จะเคลื่อนที่หรือเกิดการอักเสบมากเกินไป
ในช่วงเวลานี้ควรหลีกเลี่ยงหัตถการต่างๆ เช่น
- เลเซอร์
- ทรีตเมนต์ที่ใช้คลื่นวิทยุหรืออัลตราซาวนด์
- การนวดหน้า หรือทรีตเมนต์ที่ต้องลงน้ำหนักบนใบหน้า
- การกรอผิว (Microdermabrasion)
- การลอกผิวด้วยสารเคมี (Chemical peels)
หากมีอาการผิดปกติ เช่น ปวดมาก ผิวสีคล้ำ ควรทำอย่างไร?
ให้รีบติดต่อผู้ฉีดฟิลเลอร์ของคุณทันที เนื่องจากอาการเหล่านี้ถือเป็นภาวะฉุกเฉินและอาจเป็นสัญญาณของภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง เช่น การติดเชื้อหรือการอุดตันของเส้นเลือด ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการรักษาอย่างรวดเร็วเพื่อป้องกันความเสียหายต่อเนื้อเยื่อ
References:
- Murray, T. (n.d.). Lip Filler Aftercare: Do’s and Don’ts To Help You Heal. Cleveland Clinic – Health Essentials. clevelandclinic.org
- Boston Center for Plastic Surgery. (n.d.). Things You Should Never Do After Getting Facial Fillers. Boston Center for Plastic Surgery Blog. bostoncenterforplasticsurgery.com
- Central Texas Dermatology. (n.d.). Lip Filler Swelling Stages: Your Guide to Healing & Aftercare. Central Texas Dermatology Blog. centexderm.com
- Janovskiene, A. et al. (2025). Safety and Potential Complications of Facial Wrinkle Correction with Dermal Fillers: A Systematic Literature Review. Medicina, 61, 25. mdpi.com
- Fabi, S. (n.d.). Sleep Tight After Dermal Filler Treatment: Post-Treatment Sleeping Tips. Cosmetic Laser Dermatology (CLDerm). clderm.com
- Gallagher, G. (n.d.). 10 Best Aftercare Tips for Lip Fillers. Healthline. healthline.com

