แก้มย้อย: 7 วิธีแก้ไขที่ได้ผลจริง ปลอดภัย หน้าเรียวเป็นธรรมชาติ
แก้มย้อย แก้มห้อย คืออะไร? แตกต่างกันอย่างไร
แก้มย้อยคือการที่ไขมันและผิวหนังบริเวณแก้มเคลื่อนตัวลงมา ในขณะที่แก้มห้อยคือเนื้อส่วนเกินที่กองลงมาตามแนวขากรรไกร ซึ่งทั้งสองอย่างเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการหย่อนคล้อยของใบหน้าที่เกิดขึ้นตามวัย
โดยทั่วไปแล้ว “แก้มย้อย” หมายถึงภาพรวมของการที่ไขมันและผิวหนังบริเวณช่วงกลางใบหน้า (เช่น ไขมันโหนกแก้ม) เคลื่อนตัวต่ำลง ทำให้แก้มส่วนบนดูตอบลง แต่ส่วนล่างกลับดูมีเนื้อเยอะขึ้น ส่วน “แก้มห้อย” หรือ Jowls คือผลลัพธ์ที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดของแก้มย้อย โดยเป็นก้อนเนื้อที่ห้อยลงมาบริเวณขากรรไกร ทำให้กรอบหน้าไม่เรียบเนียน และมักเกิดร่วมกับร่องน้ำหมากที่ลึกขึ้น
เช็กสัญญาณ: ลักษณะของแก้มหย่อนคล้อยและกระเปาะแก้ม
ลักษณะสำคัญของแก้มหย่อนคล้อยและกระเปาะแก้มคือการเกิดร่องยุบหน้ากระเปาะแก้ม (pre-jowl sulcus) ซึ่งทำให้แนวขากรรไกรไม่เรียบเนียน และการเกิดร่องน้ำหมากที่ลึกขึ้น เมื่อไขมันและผิวหนังบริเวณแก้มเคลื่อนตัวลงมา จะเกิดเป็นร่องยุบด้านหน้ากระเปาะแก้ม ทำให้แนวกรามดูไม่สม่ำเสมอ
สัญญาณอื่นๆ ที่พบร่วมด้วย ได้แก่
- ร่องน้ำหมาก (Marionette lines): คือรอยพับที่ลากจากมุมปากลงมายังคาง ซึ่งจะลึกขึ้นเมื่อแก้มหย่อนคล้อย ทำให้ใบหน้าดูเศร้า
- ระดับความรุนแรง: ในระดับที่ไม่รุนแรง จะสังเกตเห็นเพียงแนวกรามที่คมชัดน้อยลง แต่ในระดับที่รุนแรงจะเห็นกระเปาะแก้มห้อยย้อยและร่องลึกชัดเจนแม้ในขณะที่ใบหน้าไม่แสดงอารมณ์
สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดแก้มย้อยและร่องน้ำหมาก
ปัจจัยจากวัยที่เพิ่มขึ้นและการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างใบหน้า
การสูญเสียคอลลาเจนและอีลาสติน การเคลื่อนตัวลงของไขมันบนใบหน้า และการสลายของกระดูกบนใบหน้า เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้แก้มและกรามหย่อนคล้อยเมื่ออายุมากขึ้น
ปัจจัยเหล่านี้ส่งผลต่อโครงสร้างใบหน้าดังนี้:
- การสูญเสียคอลลาเจนและอีลาสติน: เมื่ออายุมากขึ้น ชั้นผิวหนังแท้จะบางลงและมีความยืดหยุ่นน้อยลงเนื่องจากการสลายของคอลลาเจนและอีลาสติน ทำให้ผิวไม่สามารถต้านทานแรงโน้มถ่วงได้ดีเท่าเดิม
- การเปลี่ยนแปลงของไขมัน: ไขมันที่เคยช่วยยกพยุงแก้มจะเคลื่อนตัวลงมาด้านล่าง ในขณะที่ไขมันบริเวณกรามอาจนูนออกมา ทำให้เกิดลักษณะแก้มตอบแต่ส่วนล่างของใบหน้าดูหย่อนและหนักขึ้น
- การเปลี่ยนแปลงของกระดูก: การสลายของกระดูกบริเวณขากรรไกรบนและขากรรไกรล่างตามวัย ทำให้โครงสร้างที่รองรับเนื้อเยื่ออ่อนหายไป ส่งผลให้ผิวหนังและไขมันขาดความกระชับและเกิดเป็นร่องแก้มและแนวกรามที่ไม่ชัดเจนได้ง่ายขึ้น
ผลกระทบจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตและปัจจัยภายนอก
แสงแดด การสูบบุหรี่ การรับประทานอาหาร และการเปลี่ยนแปลงของน้ำหนัก เป็นพฤติกรรมการใช้ชีวิตและปัจจัยภายนอกหลักที่ทำให้ใบหน้าหย่อนคล้อย
ปัจจัยเหล่านี้เร่งให้ผิวสูญเสียความกระชับและหย่อนคล้อยก่อนวัยอันควร ดังนี้
- แสงแดด เป็นสาเหตุของริ้วรอยและความหย่อนคล้อยที่มองเห็นได้ถึง 80% ในผู้ที่มีผิวขาว
- การสูบบุหรี่ เพิ่มความเสี่ยงของการเกิดริ้วรอยลึกและความหย่อนคล้อยของผิวหนังมากกว่า 2 เท่า เนื่องจากสารพิษในบุหรี่จะทำลายคอลลาเจนและอีลาสติน
- การรับประทานอาหาร ที่มีน้ำตาลสูงจะทำให้คอลลาเจนแข็งและเสื่อมสภาพ (กระบวนการ Glycation) ซึ่งเร่งให้เกิดความหย่อนคล้อยที่เรียกว่า “sugar sag”
- การเปลี่ยนแปลงของน้ำหนัก การลดน้ำหนักอย่างรวดเร็วหรือการมีน้ำหนักที่ผันผวนซ้ำๆ (yo-yo dieting) สามารถทิ้งผิวหน้าที่เคยยืดขยายให้หย่อนยานลงได้
7 วิธีแก้แก้มย้อย ยกกระชับใบหน้าให้กลับมาเต่งตึง
วิธีที่ 1: ยกกระชับด้วยเครื่องมือพลังงาน (HIFU, Ulthera, Thermage)
การยกกระชับด้วยเครื่องมือพลังงาน เช่น HIFU, Ulthera และ Thermage เป็นวิธีการที่ไม่ต้องผ่าตัด โดยใช้พลังงานความร้อนส่งลงไปกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินในชั้นผิวลึก ทำให้ผิวค่อยๆ ตึงกระชับและยกขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติเมื่อเวลาผ่านไป
วิธีการเหล่านี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาความหย่อนคล้อยระดับเล็กน้อยถึงปานกลาง และมีข้อดีคือมีระยะเวลาพักฟื้นน้อยมาก
- HIFU และ Ulthera (อัลเทอร่า): ใช้พลังงานคลื่นอัลตราซาวนด์ความเข้มข้นสูง (Focused Ultrasound) ส่งพลังงานเป็นจุดๆ ไปยังชั้นผิวหนังเพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ ผลลัพธ์จะค่อยๆ ปรากฏชัดเจนขึ้นใน 2–3 เดือน โดยจะช่วยให้กรอบหน้าคมชัดขึ้นและแก้มที่หย่อนคล้อยดูลดลง ผลลัพธ์คงอยู่ได้ประมาณ 1 ปี
- Thermage (เทอร์มาจ): ใช้พลังงานคลื่นวิทยุ (Radiofrequency – RF) เพื่อสร้างความร้อนในชั้นผิวหนัง ทำให้เส้นใยคอลลาเจนเก่าหดตัวทันทีและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ในระยะยาว ผลลัพธ์จะค่อยๆ ดีขึ้นในช่วง 4–6 เดือน ช่วยให้ผิวแน่นขึ้น กรอบหน้าเรียบเนียนขึ้น และผลลัพธ์คงอยู่ได้นาน 1–2 ปี
วิธีที่ 2: ร้อยไหมดึงหน้า แก้ปัญหาแก้มห้อยโดยตรง
การร้อยไหมเป็นการใช้ไหมละลายที่มีเงี่ยงหรือปุ่มขนาดเล็กเกี่ยวและดึงเนื้อเยื่อใต้ผิวหนังที่หย่อนคล้อยขึ้น เพื่อยกกระชับแก้มและขากรรไกรที่หย่อนยานได้ทันที
นอกจากการยกกระชับเชิงกลแล้ว ไหมยังกระตุ้นให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนขึ้นมาใหม่ตามแนวไหมขณะที่ไหมค่อยๆ สลายไป ซึ่งช่วยให้ผิวเฟิร์มกระชับได้ยาวนานขึ้น
- ผลลัพธ์: เห็นผลการยกกระชับได้ทันทีหลังทำ และจะเห็นผลชัดเจนขึ้นเมื่อคอลลาเจนถูกสร้างขึ้นใหม่
- ระยะเวลา: ผลลัพธ์คงอยู่ประมาณ 1 ปี ถึง 1 ปีครึ่ง ขึ้นอยู่กับชนิดของไหม
- ผู้ที่เหมาะสม: เหมาะสำหรับผู้ที่มีความหย่อนคล้อยระดับน้อยถึงปานกลาง (ช่วงอายุ 30 ปลายๆ ถึง 50 ปี)
- ข้อจำกัด: การร้อยไหมไม่สามารถกำจัดผิวหนังส่วนเกินออกไปได้ จึงอาจให้ผลลัพธ์ที่จำกัดในผู้ที่มีความหย่อนคล้อยรุนแรง
วิธีที่ 3: ฉีดฟิลเลอร์เติมเต็ม ยกพยุงโครงสร้างใบหน้า
การฉีดฟิลเลอร์เป็นวิธีแก้ไขแก้มหย่อนคล้อยโดยการเติมเต็มปริมาตรที่หายไปเพื่อยกพยุงโครงสร้างใบหน้า ซึ่งช่วยปรับรูปหน้าให้เรียบเนียนและดูอ่อนเยาว์ขึ้นได้ทันที การฉีดฟิลเลอร์มีหลักการทำงานดังนี้
- ยกพยุงแก้ม: การฉีดฟิลเลอร์เพื่อเสริมปริมาตรบริเวณโหนกแก้มที่ยุบตัวลง จะช่วยยกพยุงผิวหนังและไขมันที่หย่อนคล้อยให้กลับขึ้นไปอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม ทำให้ร่องแก้มและแก้มส่วนล่างที่ห้อยดูตื้นและกระชับขึ้น
- ปรับแนวขากรรไกร: สามารถฉีดฟิลเลอร์โดยตรงบริเวณร่องด้านหน้าของเหนียง (Pre-jowl sulcus) เพื่อเติมเต็มร่องลึก ทำให้แนวขากรรไกรดูเรียบตรงและคมชัดขึ้น หรือที่เรียกว่า “Liquid Jawline Lift”
- เสริมคาง: การฉีดฟิลเลอร์เล็กน้อยที่คางจะช่วยเพิ่มความยาวและมิติให้ใบหน้าส่วนล่าง ทำให้ผิวใต้คางที่หย่อนดูกระชับขึ้น
ฟิลเลอร์ให้ผลลัพธ์ทันทีหลังทำ โดยฟิลเลอร์ประเภทกรดไฮยาลูรอนิก (Hyaluronic Acid) สามารถคงผลลัพธ์ได้นานประมาณ 12–24 เดือน ส่วนฟิลเลอร์ประเภทแคลเซียมไฮดรอกซีอะพาไทต์ (CaHA) อยู่ได้นานประมาณ 12–15 เดือน วิธีนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาความหย่อนคล้อยในระดับน้อยถึงปานกลางซึ่งเกิดจากการสูญเสียปริมาตรบนใบหน้าเป็นหลัก
วิธีที่ 4: กระตุ้นคอลลาเจนด้วย Biostimulator (Sculptra)
Biostimulator คือสารฉีดที่กระตุ้นให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนขึ้นมาใหม่ตามธรรมชาติ เพื่อช่วยฟื้นฟูโครงสร้างและความยืดหยุ่นของผิวจากภายใน สารกลุ่มนี้ที่นิยมใช้คือ Sculptra (PLLA) และ Radiesse (CaHA) ซึ่งแตกต่างจากฟิลเลอร์ทั่วไปตรงที่ไม่ได้เน้นการเติมเต็มทันที แต่จะค่อยๆ ทำให้ผิวแน่นกระชับและดูเปล่งปลั่งขึ้นเมื่อคอลลาเจนใหม่ถูกสร้างขึ้น
- เหมาะสำหรับ: ผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยระดับเริ่มต้นถึงปานกลางร่วมกับภาวะสูญเสียปริมาตรบนใบหน้า
- ผลลัพธ์: ผิวจะค่อยๆ ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในช่วง 2-3 เดือนหลังฉีด และผลลัพธ์สามารถอยู่ได้นาน โดย Sculptra อาจอยู่ได้นานถึง 2 ปี ส่วน Radiesse อยู่ได้ประมาณ 12-15 เดือน
- ข้อควรระวัง: หลังฉีด Sculptra ผู้รับบริการจำเป็นต้องนวดบริเวณที่ฉีดตาม “กฎ 5-5-5” (นวดครั้งละ 5 นาที วันละ 5 ครั้ง เป็นเวลา 5 วัน) เพื่อป้องกันการเกิดก้อนใต้ผิวหนัง
วิธีที่ 5: ฉีดเมโสแฟตสลายไขมันส่วนเกินบริเวณแก้ม
การฉีดเมโสแฟต (Injection Lipolysis) คือการฉีดสารดีออกซีโคลิก (Deoxycholic Acid) เพื่อสลายไขมันที่สะสมอยู่เฉพาะจุด เช่น บริเวณแก้มส่วนล่างหรือเหนียง ทำให้กรอบหน้าคมชัดขึ้น
การฉีดเมโสแฟตเป็นการรักษาที่ออกฤทธิ์โดยตรงกับเซลล์ไขมัน มีรายละเอียดดังนี้
- หลักการทำงาน: ตัวยาจะเข้าไปทำลายเยื่อหุ้มเซลล์ไขมัน ทำให้ไขมันแตกตัวและถูกขับออกจากร่างกายตามกลไกธรรมชาติ
- จำนวนครั้งที่ทำ: โดยทั่วไปต้องทำ 2–4 ครั้ง แต่ละครั้งห่างกันประมาณ 4–6 สัปดาห์เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ชัดเจน
- ผลลัพธ์: ผลลัพธ์จะเริ่มเห็นชัดเจนหลังฉีดประมาณ 6–8 สัปดาห์เมื่ออาการบวมลดลง และการสลายไขมันนี้จะให้ผลลัพธ์ที่ถาวร
- ข้อควรพิจารณา: วิธีนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีไขมันสะสมบริเวณแก้มส่วนล่างและผิวหนังยังมีความกระชับดีอยู่ แต่ไม่เหมาะกับผู้ที่มีแก้มหย่อนคล้อยจากผิวหนังที่ขาดความยืดหยุ่นเป็นหลัก
- ผลข้างเคียง: หลังฉีดจะมีอาการบวมอย่างเห็นได้ชัดประมาณ 1 สัปดาห์ ซึ่งเป็นปฏิกิริยาปกติของร่างกายในการกำจัดไขมัน นอกจากนี้อาจมีความเสี่ยงที่พบได้ไม่บ่อยคือเส้นประสาทบริเวณกรามได้รับการกระทบกระเทือนชั่วคราว ทำให้มุมปากตกหรือไม่สมมาตร ซึ่งส่วนใหญ่มักจะหายได้เอง
วิธีที่ 6: ศัลยกรรมดึงหน้าเพื่อผลลัพธ์ที่ชัดเจนและยาวนาน
การศัลยกรรมดึงหน้า (Facelift) เป็นการผ่าตัดเพื่อยกและจัดตำแหน่งเนื้อเยื่อบนใบหน้าที่หย่อนคล้อยให้กลับสู่ตำแหน่งเดิม พร้อมทั้งตัดผิวหนังส่วนเกินออกไป ซึ่งเป็นวิธีที่ได้ผลลัพธ์ชัดเจนและยาวนานที่สุดสำหรับการแก้ปัญหาแก้มห้อยและเหนียงในระดับปานกลางถึงรุนแรง
การศัลยกรรมดึงหน้ามีเทคนิคหลัก 2 รูปแบบ คือ
- SMAS Facelift: เป็นการดึงชั้นผิวหนังและชั้นกล้ามเนื้อ SMAS ให้ตึงขึ้น ผลลัพธ์คงอยู่ประมาณ 5–10 ปี
- Deep-Plane Facelift: เป็นการผ่าตัดลงไปใต้ชั้น SMAS เพื่อปลดปล่อยเส้นเอ็นที่ยึดผิวหนัง แล้วยกโครงสร้างทั้งหมดขึ้นพร้อมกัน ทำให้ได้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติและยาวนานกว่า โดยคงอยู่ได้ประมาณ 10–15 ปี
วิธีนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาความหย่อนคล้อยระดับปานกลางถึงรุนแรง ซึ่งการรักษาแบบไม่ผ่าตัดไม่สามารถแก้ไขได้เพียงพอ โดยต้องใช้เวลาพักฟื้นเบื้องต้นประมาณ 2 สัปดาห์ และจะเห็นผลลัพธ์เต็มที่ใน 4–6 สัปดาห์
วิธีที่ 7: บริหารใบหน้าและนวดกระชับผิวแบบธรรมชาติ
การบริหารใบหน้าหรือ “โยคะใบหน้า” สามารถช่วยให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ลงได้ โดยการสร้างความแข็งแรงและเพิ่มขนาดของกล้ามเนื้อ ซึ่งช่วยเติมเต็มแก้มที่ตอบและทำให้แนวกรามคมชัดขึ้นเล็กน้อย
จากการศึกษาพบว่า ผู้เข้าร่วมที่บริหารใบหน้าเป็นประจำดูอ่อนกว่าวัยโดยเฉลี่ยประมาณ 3 ปี อย่างไรก็ตาม ผลลัพธ์ที่ได้นั้นไม่ชัดเจนมากนักและต้องทำอย่างสม่ำเสมอเพื่อคงผลไว้ วิธีนี้ไม่สามารถกระชับผิวหนังที่หย่อนคล้อยหรือกำจัดร่องแก้มที่เกิดขึ้นแล้วได้โดยตรง นอกจากนี้ ผู้เชี่ยวชาญยังเตือนว่าการบริหารบางท่าที่ทำให้เกิดรอยย่นซ้ำๆ อาจทำให้ริ้วรอยลึกขึ้นได้ ส่วนการนวดนั้นช่วยกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต แต่ไม่สามารถแก้ปัญหาความหย่อนคล้อยที่ชัดเจนได้ โดยสรุปแล้ว การบริหารใบหน้าเป็นเพียงวิธีเสริมที่ดี แต่ไม่สามารถทดแทนการรักษาทางการแพทย์ได้
เปรียบเทียบแต่ละวิธีแก้แก้มย้อย เลือกแบบไหนให้เหมาะกับคุณ
ตารางเปรียบเทียบ: ผลลัพธ์ ราคา และระยะเวลาพักฟื้น
นี่คือตารางเปรียบเทียบผลลัพธ์ ราคา และระยะเวลาพักฟื้นสำหรับการรักษาแก้มหย่อนคล้อยและร่องน้ำหมาก โดยราคาที่แสดงเป็นค่าประมาณในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ และอาจแตกต่างกันไปในแต่ละภูมิภาค
| วิธีการรักษา | ผลลัพธ์ | ราคาโดยประมาณ (USD) | ระยะเวลาพักฟื้น |
|---|---|---|---|
| ไฮฟู / อัลเทอร่า | ยกกระชับผิว 20-30% เหมาะสำหรับความหย่อนคล้อยเล็กน้อยถึงปานกลาง ผลลัพธ์อยู่ได้ประมาณ 1 ปี | $1,000–$4,000 | น้อยมาก (อาจมีรอยแดงหรือบวมเล็กน้อย 2-3 ชั่วโมง) |
| เทอร์มาจ | ผิวกระชับขึ้น เหมาะสำหรับความหย่อนคล้อยระยะเริ่มต้น ผลลัพธ์อยู่ได้ 1-2 ปี | $2,000–$3,000 | น้อยมาก (อาจมีรอยแดงชั่วคราว) |
| ร้อยไหม | ยกกระชับเนื้อเยื่อได้ทันที เหมาะสำหรับความหย่อนคล้อยเล็กน้อยถึงปานกลาง ผลลัพธ์อยู่ได้ประมาณ 1 ปี | $2,000–$4,000 | บวมหรือช้ำเล็กน้อย 2-3 วัน |
| ฟิลเลอร์ | เติมเต็มโหนกแก้มและปรับกรอบหน้าให้เรียบเนียนได้ทันที ผลลัพธ์อยู่ได้ 12-24 เดือน | $1,200–$3,000 | แทบไม่มี (อาจมีรอยช้ำเล็กน้อย) |
| สารกระตุ้นคอลลาเจน | กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนเพื่อเพิ่มความแน่นและปรับปรุงคุณภาพผิว ผลลัพธ์อยู่ได้นานกว่า 2 ปี (Sculptra) | $1,800–$2,700 | บวมเล็กน้อย ไม่ต้องพักฟื้น |
| ฉีดสลายไขมัน | สลายไขมันบริเวณร่องน้ำหมากอย่างถาวร (ต้องทำ 2-4 ครั้ง) เหมาะสำหรับคนที่มีไขมันสะสม | $3,000–$5,000 | บวมค่อนข้างมากประมาณ 1 สัปดาห์ |
| ผ่าตัดดึงหน้า | ผลลัพธ์ชัดเจนที่สุดและยาวนานที่สุด (10-15 ปี) สำหรับความหย่อนคล้อยปานกลางถึงรุนแรง | $8,000–$15,000+ | นานที่สุด (พักฟื้นเบื้องต้น 2 สัปดาห์ ฟื้นตัวเต็มที่ 4-6 สัปดาห์) |
ปัญหาแก้มลักษณะต่างๆ ควรเลือกวิธีแก้ไขอย่างไร
การเลือกวิธีแก้ไขปัญหาแก้ม ควรพิจารณาจากสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดปัญหา ซึ่งโดยทั่วไปจะประเมินจากปริมาตรไขมัน ความหย่อนคล้อยของผิวหนัง และโครงสร้างกระดูกใบหน้า
แนวทางการรักษาตามลักษณะปัญหาต่างๆ มีดังนี้
- แก้มตอบหรือสูญเสียปริมาตร (Volume Loss): เหมาะกับการใช้ฟิลเลอร์หรือการฉีดไขมันเพื่อเติมเต็มส่วนที่ยุบตัวลง ซึ่งจะช่วยยกกระชับใบหน้าโดยรวมได้
- ไขมันส่วนเกิน (แก้มยุ้ยหรือมีเหนียง): เหมาะกับการฉีดสลายไขมัน (Injection Lipolysis) หรือการดูดไขมัน เพื่อลดขนาดของไขมันสะสมเฉพาะจุด
- ผิวหนังหย่อนคล้อย (Skin Laxity): หากหย่อนคล้อยเล็กน้อยถึงปานกลาง สามารถใช้เครื่องมือที่ให้พลังงาน เช่น HIFU หรือ Thermage เพื่อกระตุ้นคอลลาเจนและยกกระชับผิว แต่หากหย่อนคล้อยรุนแรง การผ่าตัดดึงหน้าจะเป็นวิธีที่ได้ผลชัดเจนที่สุด
- ปัญหาร่วมกัน: ในหลายกรณีมักมีหลายปัญหาร่วมกัน จึงนิยมใช้วิธีรักษาร่วมกัน เช่น การฉีดฟิลเลอร์เพื่อเพิ่มปริมาตร ควบคู่กับการร้อยไหมเพื่อยกกระชับผิวที่หย่อนคล้อย
ความปลอดภัยและผลข้างเคียงที่ควรรู้ก่อนตัดสินใจ
ข้อควรระวังและใครที่ไม่เหมาะกับการทำหัตถการยกกระชับ
ข้อควรระวังหลักในการทำหัตถการยกกระชับคือความเสี่ยงต่อเส้นประสาท การอุดตันของเส้นเลือด และการติดเชื้อ ส่วนผู้ที่ไม่เหมาะจะขึ้นอยู่กับแต่ละหัตถการ ซึ่งรวมถึงผู้ที่มีโรคประจำตัวรุนแรง ผู้ที่สูบบุหรี่ หรือผู้ที่มีลักษณะปัญหาไม่ตรงกับวิธีรักษา
ข้อควรระวังและผู้ที่ไม่เหมาะกับการรักษาแต่ละประเภทมีดังนี้
- กลุ่มเครื่องมือพลังงาน (HIFU, Ultherapy, Thermage):
- ข้อควรระวัง: อาจเกิดอาการเจ็บแปลบตามแนวเส้นประสาทชั่วคราว, ไขมันบนใบหน้าฝ่อหากใช้พลังงานไม่เหมาะสม, หรือผิวไหม้หากเทคนิคไม่ถูกต้อง (พบได้ยาก)
- ผู้ที่ไม่เหมาะ: ผู้ที่มีผิวหย่อนคล้อยรุนแรงมากอาจเห็นผลไม่ชัดเจน
- กลุ่มสารฉีด (ฟิลเลอร์, Biostimulators):
- ข้อควรระวัง: ความเสี่ยงที่ร้ายแรงที่สุด (แต่พบได้น้อยมาก) คือการฉีดฟิลเลอร์เข้าเส้นเลือดซึ่งอาจทำให้เนื้อเยื่อตายหรือตาบอดได้ ส่วนผลข้างเคียงทั่วไปคือรอยช้ำ บวม หรือเป็นก้อน
- ผู้ที่ไม่เหมาะ: สารกระตุ้นคอลลาเจน (Biostimulators) อาจไม่เหมาะกับผู้ที่มีแนวโน้มเกิดแผลเป็นนูน (keloid) หรือหากเทคนิคการฉีดไม่ถูกต้องอาจเกิดก้อนแข็งใต้ผิวหนังได้
- การร้อยไหม:
- ข้อควรระวัง: ผลข้างเคียงที่พบบ่อยคืออาการบวม ช้ำ ผิวอาจดูบุ๋มหรือย่นในช่วงแรก ความเสี่ยงอื่น ๆ ได้แก่ การติดเชื้อ หรือไหมโผล่ออกมา
- ผู้ที่ไม่เหมาะ: ผู้ที่มีผิวหนังหย่อนคล้อยและหนามาก ๆ เพราะไหมดึงรั้งน้ำหนักผิวไม่ไหว ทำให้เห็นผลการยกกระชับไม่ชัดเจน
- การฉีดสลายไขมัน (เช่น Kybella):
- ข้อควรระวัง: จะมีอาการบวม ช้ำ และปวดอย่างเห็นได้ชัดนานประมาณ 1 สัปดาห์หลังทำ ความเสี่ยงที่พบได้คือเส้นประสาทที่ควบคุมมุมปากอาจบาดเจ็บชั่วคราว ทำให้ยิ้มไม่สมมาตร
- ผู้ที่ไม่เหมาะ: ผู้ที่แก้มห้อยเกิดจากผิวหนังที่หย่อนคล้อยเป็นหลัก ไม่ใช่ไขมันสะสม เพราะการสลายไขมันอาจทำให้ผิวที่หลวมอยู่แล้วดูแย่ลง
- การผ่าตัดดึงหน้า:
- ข้อควรระวัง: มีความเสี่ยงจากการผ่าตัด เช่น ก้อนเลือดคั่ง, การติดเชื้อ, แผลเป็น และการบาดเจ็บของเส้นประสาทใบหน้า (ความเสียหายถาวรพบได้น้อยกว่า 0.5% ในมือผู้เชี่ยวชาญ)
- ผู้ที่ไม่เหมาะ: ผู้ที่มีปัญหาสุขภาพร้ายแรง (เช่น โรคหัวใจ, เบาหวานที่ควบคุมไม่ได้), ผู้ที่สูบบุหรี่ (ต้องหยุดสูบก่อนผ่าตัดเพื่อลดความเสี่ยงเนื้อเยื่อตาย), และผู้ที่มีความคาดหวังไม่สมจริง
- การผ่าตัดไขมันกระพุ้งแก้ม:
- ผู้ที่ไม่เหมาะ: ไม่แนะนำในผู้ที่มีใบหน้าผอมหรือแคบอยู่แล้ว หรือผู้สูงอายุที่มีผิวหย่อนคล้อย เพราะอาจทำให้ใบหน้าดูซูบตอบและแก่กว่าวัยในระยะยาว
การเลือกคลินิกที่น่าเชื่อถือและปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
การเลือกคลินิกที่น่าเชื่อถือควรเริ่มต้นจากการปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่ได้รับการรับรอง (board-certified aesthetic specialist) ซึ่งจะสามารถประเมินและวางแผนการรักษาที่เหมาะกับแต่ละบุคคลได้
การปรึกษาที่ดีควรมีการวิเคราะห์ปัจจัยต่างๆ อย่างละเอียด เช่น คุณภาพผิว, การสูญเสียไขมัน, ความหย่อนคล้อยของผิว และโครงสร้างกระดูกใบหน้า เพื่อทำความเข้าใจสาเหตุที่แท้จริงของปัญหา นอกจากนี้ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะพูดคุยถึงความคาดหวังของผู้รับบริการ, ความสามารถในการยอมรับการผ่าตัดและระยะเวลาพักฟื้น เพื่อแนะนำทางเลือกการรักษาที่เหมาะสมที่สุด โดยจะเริ่มจากวิธีที่รุกรานน้อยที่สุดก่อน และให้ข้อมูลตามจริงเกี่ยวกับข้อจำกัดของแต่ละหัตถการ
ค่าใช้จ่ายและระยะเวลาเห็นผลของแต่ละวิธี
ราคาโดยประมาณในการรักษาแก้มหย่อนคล้อย
ราคาโดยประมาณในการรักษาแก้มหย่อนคล้อยจะแตกต่างกันอย่างมาก ขึ้นอยู่กับประเภทของการรักษาและภูมิภาค โดยมีค่าใช้จ่ายตั้งแต่หลักร้อยดอลลาร์สหรัฐสำหรับการทำทรีตเมนต์ในบางประเทศ ไปจนถึงหลายหมื่นดอลลาร์สหรัฐสำหรับการผ่าตัด
ราคาโดยประมาณสำหรับแต่ละวิธีในสหรัฐอเมริกา มีดังนี้:
- HIFU/Ultherapy: ประมาณ 1,000–4,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อครั้ง
- Thermage RF: ประมาณ 2,000–3,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อครั้ง
- ร้อยไหม (Thread Lifts): ประมาณ 2,000–4,000 ดอลลาร์สหรัฐ
- ฟิลเลอร์ (Dermal Fillers): ประมาณ 1,200–3,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ขึ้นอยู่กับปริมาณที่ใช้)
- ฉีดสลายไขมัน (Kybella): อาจสูงถึง 3,000–5,000 ดอลลาร์สหรัฐสำหรับคอร์สการรักษาทั้งหมด
- ผ่าตัดดึงหน้า (Facelift Surgery): เริ่มต้นที่ 8,000–15,000 ดอลลาร์สหรัฐขึ้นไป
ทั้งนี้ ราคาในประเทศแถบเอเชีย เช่น เกาหลีใต้และจีน อาจมีราคาที่ต่ำกว่าในสหรัฐอเมริกาและยุโรป เนื่องจากการแข่งขันที่สูงและต้นทุนที่แตกต่างกัน
ผลลัพธ์อยู่ได้นานแค่ไหน และการดูแลตัวเองหลังทำ
ระยะเวลาของผลลัพธ์จะแตกต่างกันไปตามแต่ละวิธี ตั้งแต่ประมาณ 1 ปีสำหรับหัตถการที่ไม่ต้องผ่าตัด ไปจนถึง 10-15 ปีสำหรับการผ่าตัด ส่วนการดูแลตัวเองหลังทำจะขึ้นอยู่กับความหนักเบาของแต่ละหัตถการ
- HIFU/Ultherapy/Thermage:
- ผลลัพธ์: อยู่ได้นานประมาณ 1-2 ปี
- การดูแลหลังทำ: พักฟื้นน้อยมาก อาจมีรอยแดงหรือบวมเล็กน้อยเพียงไม่กี่ชั่วโมง
- ร้อยไหม (Thread Lifts):
- ผลลัพธ์: อยู่ได้นานประมาณ 1-1.5 ปี
- การดูแลหลังทำ: อาจมีอาการบวมหรือช้ำเล็กน้อย 2-3 วัน และผิวอาจมีรอยบุ๋มหรือย่นซึ่งจะเรียบเนียนขึ้นในเวลาประมาณ 1 สัปดาห์
- ฟิลเลอร์ (Fillers) และสารกระตุ้นคอลลาเจน (Biostimulators):
- ผลลัพธ์: ฟิลเลอร์กรดไฮยาลูรอนิก (HA) อยู่ได้นานประมาณ 12-24 เดือน ส่วนสารกระตุ้นคอลลาเจนอย่าง Sculptra อาจอยู่ได้นานกว่า 2 ปี
- การดูแลหลังทำ: ไม่ต้องพักฟื้น แต่อาจมีรอยช้ำเล็กน้อยได้ สำหรับ Sculptra ต้องนวดบริเวณที่ฉีดตามกฎ 5-5-5 (5 นาที 5 ครั้งต่อวัน เป็นเวลา 5 วัน)
- ฉีดสลายไขมัน (Injection Lipolysis/Kybella):
- ผลลัพธ์: ผลลัพธ์ถาวร เนื่องจากเซลล์ไขมันถูกทำลายไปอย่างถาวร
- การดูแลหลังทำ: ต้องพักฟื้น โดยจะมีอาการบวมอย่างเห็นได้ชัดบริเวณที่ฉีดประมาณ 3-7 วัน
- ผ่าตัดดึงหน้า (Facelift Surgery):
- ผลลัพธ์: เป็นวิธีที่ให้ผลลัพธ์ยาวนานที่สุด โดยอยู่ได้นาน 10-15 ปี หรือมากกว่านั้น
- การดูแลหลังทำ: ต้องใช้เวลาพักฟื้นนานที่สุด โดยจะมีอาการบวมและช้ำในช่วง 1-2 สัปดาห์แรก และอาจใช้เวลา 4-6 สัปดาห์จึงจะดูเป็นปกติเต็มที่
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับแก้มย้อย (FAQ)
แก้มย้อยกับร่องน้ำหมากเกี่ยวข้องกันอย่างไร?
แก้มที่หย่อนคล้อยและไขมันบริเวณขากรรไกรที่ตกลงมาจะสร้างแรงดึงรั้งที่มุมปาก ซึ่งเป็นสาเหตุโดยตรงที่ทำให้เกิดหรือทำให้ร่องน้ำหมาก (Marionette Lines) ลึกและชัดเจนขึ้น
ร่องน้ำหมากคือร่องลึกที่ลากจากมุมปากในแนวเฉียงลงมายังคาง เมื่อผิวหนังและไขมันบริเวณแก้มสูญเสียความกระชับและหย่อนคล้อยลงตามแรงโน้มถ่วง เนื้อเยื่อเหล่านี้จะดึงรั้งผิวบริเวณมุมปากให้ตกลงมาด้วย ทำให้ร่องดังกล่าวปรากฏชัดขึ้น การหย่อนคล้อยที่มากขึ้นตามวัยจะยิ่งทำให้ร่องน้ำหมากลึกขึ้น ส่งผลให้ใบหน้าดูเศร้าหมอง
ฉีดแฟตแล้วทำให้แก้มห้อยกว่าเดิมจริงหรือไม่?
การฉีดแฟตอาจทำให้แก้มหรือเหนียงหย่อนคล้อยกว่าเดิมได้ โดยเฉพาะในผู้ที่มีผิวหลวมและขาดความยืดหยุ่นอยู่แล้ว
สาเหตุเป็นเพราะการฉีดแฟตจะเข้าไปสลายไขมันที่เคยช่วยพยุงผิวหนังอยู่ เมื่อไขมันส่วนนั้นหายไปแต่ผิวหนังไม่สามารถกระชับกลับคืนมาได้ ก็จะทำให้ผิวหนังที่หย่อนคล้อยอยู่แล้วดูแย่ลง การรักษานี้จึงเหมาะกับผู้ที่มีไขมันสะสมเฉพาะจุดและผิวยังมีความกระชับอยู่ แต่ไม่เหมาะกับผู้ที่แก้มห้อยจากความหย่อนคล้อยของผิวเป็นหลัก
อายุเท่าไหร่ถึงจะเริ่มแก้ปัญหาแก้มหย่อนคล้อยได้?
การรักษาแก้มหย่อนคล้อยสามารถเริ่มทำได้ตั้งแต่อายุ 30 ปีขึ้นไป แต่จะขึ้นอยู่กับระดับความหย่อนคล้อยของแต่ละบุคคลมากกว่าอายุที่ตายตัว
โดยทั่วไปแล้ว ช่วงวัยที่เหมาะสมสำหรับการรักษาแต่ละประเภทมีดังนี้
- อายุ 30 ปีขึ้นไป: เป็นช่วงที่การสูญเสียคอลลาเจนเริ่มปรากฏให้เห็น ผู้คนมักเริ่มทำทรีตเมนต์ที่ไม่ต้องผ่าตัด เช่น ฟิลเลอร์ หรือเลเซอร์ยกกระชับ เพื่อชะลอวัย (Prejuvenation)
- อายุ 30 ปลายๆ ถึง 50 ปี: เป็นช่วงวัยที่เหมาะสำหรับการรักษาแบบไม่ต้องผ่าตัด เช่น HIFU, Thermage หรือการร้อยไหม สำหรับผู้ที่มีความหย่อนคล้อยเล็กน้อยถึงปานกลาง
- อายุ 40 ปลายๆ ถึง 60 ปี: มักเป็นช่วงวัยที่พิจารณาการผ่าตัดดึงหน้า เมื่อมีความหย่อนคล้อยในระดับปานกลางถึงรุนแรง หรือเมื่อวิธีอื่นให้ผลลัพธ์ไม่เพียงพอ
มีวิธีป้องกันไม่ให้แก้มย้อยก่อนวัยหรือไม่?
มีหลายวิธีที่สามารถช่วยป้องกันหรือชะลอการเกิดแก้มย้อยก่อนวัยได้ โดยเน้นที่การปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์และการดูแลผิวพรรณอย่างสม่ำเสมอ
พฤติกรรมที่ช่วยป้องกันแก้มย้อยก่อนวัยอันควร ได้แก่:
- การป้องกันแสงแดด การทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูงและครอบคลุม (broad-spectrum) เป็นประจำสามารถป้องกันการเสื่อมสลายของคอลลาเจนได้ เนื่องจากประมาณ 80% ของริ้วรอยและความหย่อนคล้อยเกิดจากแสงแดด
- การงดสูบบุหรี่ สารพิษในบุหรี่ทำลายคอลลาเจนและอีลาสตินโดยตรง ทำให้ผู้ที่สูบบุหรี่มีแนวโน้มแก้มย้อยและมีริ้วรอยลึกก่อนวัย
- การควบคุมอาหาร ควรลดอาหารที่มีน้ำตาลสูงเพื่อป้องกันกระบวนการไกลเคชั่น (glycation) ที่ทำให้คอลลาเจนเสื่อมสภาพ และเน้นทานอาหารที่อุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น ผักและผลไม้
- การรักษาน้ำหนักให้คงที่ การลดน้ำหนักอย่างรวดเร็วหรือมีน้ำหนักที่ผันผวนบ่อยๆ (yo-yo dieting) จะทำให้ผิวหนังสูญเสียความยืดหยุ่นและเกิดความหย่อนคล้อยได้ง่าย
- การใช้สกินแคร์ที่เหมาะสม การใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของเรตินอยด์ (วิตามินเอ) ในตอนกลางคืนได้รับการพิสูจน์แล้วว่าสามารถกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและชะลอการเกิดริ้วรอยและความหย่อนคล้อยได้
การตัดไขมันกระพุ้งแก้มช่วยลดแก้มย้อยได้ไหม?
โดยทั่วไปแล้ว การตัดไขมันกระพุ้งแก้ม ไม่ได้ช่วยรักษาแก้มที่หย่อนคล้อยหรือแก้มย้อยโดยตรง แต่เป็นหัตถการที่มุ่งเน้นการลดความอูมของแก้มเพื่อให้ใบหน้าดูเรียวลง
การผ่าตัดไขมันกระพุ้งแก้มเป็นการนำไขมันที่อยู่ลึกใต้กล้ามเนื้อออก ซึ่งจะช่วยปรับรูปหน้าให้ดูมีมิติและเรียวเป็นทรง V-shape มากขึ้น แต่ไม่ได้ช่วยยกกระชับผิวหนังหรือเนื้อเยื่อที่หย่อนคล้อยตามวัย ในทางกลับกัน หากทำในผู้ที่มีใบหน้าตอบหรือมีแก้มย้อยอยู่แล้ว อาจทำให้ใบหน้าดูซูบซีดและแก่กว่าวัยได้ เนื่องจากเป็นการนำไขมันที่ช่วยพยุงโครงสร้างใบหน้าออกไป
ดังนั้น การตัดไขมันกระพุ้งแก้มจึงเหมาะสำหรับผู้ที่อายุน้อย (ช่วง 20-40 ปี) ที่มีแก้มเยอะโดยกำเนิดและต้องการปรับรูปหน้าให้เรียวลง ไม่ใช่การรักษาสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยเป็นหลัก
อ้างอิง:
- Alam, M. et al. (2018). Facial exercises may improve facial aging: Evidence from a randomized controlled trial. Northwestern University News. northwestern.edu
- American Society of Plastic Surgeons. (2023). Injection Lipolysis (Kybella) – Nonsurgical Fat Reduction: Procedure details and recovery. PlasticSurgery.org. plasticsurgery.org
- American Society of Plastic Surgeons. (2023). Buccal Fat Removal – Cheek Reduction overview. PlasticSurgery.org. plasticsurgery.org
- Bellamy, J. (2025). Benefits of a Deep Plane Facelift vs. SMAS Facelift. Bellamy MD Plastic Surgery Blog. bellamy.md
- Biskanaki, F. et al. (2025). Complications and Risks of High-Intensity Focused Ultrasound (HIFU) in Aesthetic Procedures: A Review. Applied Sciences, 15(9), 4958. mdpi.com
- Cleveland Clinic. (2023). Marionette Lines: What They Are, Causes, and Treatment. ClevelandClinic.org. clevelandclinic.org
- Frankfurt Laser Clinic (Dr. med. A. Ryssel). (2023). Ultherapy® Treatment – Costs & Methods. Plastische-chirurgie-dr-ryssel.de. plastische-chirurgie-dr-ryssel.de
- Hubmed. (2025). How Dermal Fillers for Sagging Jowls Work and What Products to Use. Hubmeded.com. hubmeded.com
- Northwestern U. Feinberg School of Medicine – Alam, M. (2018). Study on facial “face yoga” exercises. JAMA Dermatology (reported in Northwestern Magazine). northwestern.edu
- Skin Cancer Foundation. (2022). Skin Aging Fact. SkinCancer.org. skincancer.org
- Smith, S. et al. (2024). Subjective evaluation of monopolar radiofrequency treatment by patients in aesthetic rejuvenation. Skin Research & Technology, 30(8): e13350. wiley.com
- Willson, A. (2024). Facial fat: The good, the bad and the confusing. American Society of Plastic Surgeons News. plasticsurgery.org
- Yi, K.H. et al. (2023). Why do marionette lines appear? Anatomical perspectives and thread-based interventions. Journal of Plastic, Reconstructive & Aesthetic Surgery. pmc.ncbi.nlm.nih.gov

