โกรทแฟคเตอร์ ดีจริงไหม? เจาะลึกผลข้างเคียงและการฉีดเพื่อผิวสวย

โกรทแฟคเตอร์ (Growth Factor) คืออะไรในวงการแพทย์ผิวหนัง
โกรทแฟคเตอร์คือโปรตีนส่งสัญญาณที่มีบทบาทสำคัญในการซ่อมแซมและฟื้นฟูผิว โปรตีนเหล่านี้จะจับกับตัวรับบนผิวเซลล์เพื่อกระตุ้นกระบวนการต่างๆ เช่น การอยู่รอด การแบ่งตัว และการเคลื่อนที่ของเซลล์ ซึ่งช่วยเร่งการรักษาบาดแผลและลดการเกิดแผลเป็น (The use of epidermal growth factor in dermatological practice, International Wound Journal, 2023)
กลไกการทำงานระดับเซลล์และการสร้างเนื้อเยื่อใหม่
โกรทแฟคเตอร์ทำงานโดยจับกับตัวรับบนผิวเซลล์ (cell receptors) เพื่อกระตุ้นการส่งสัญญาณที่นำไปสู่การอยู่รอด การแบ่งตัว การเคลื่อนที่ และการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ ซึ่งเป็นกระบวนการสำคัญในการซ่อมแซมและสร้างเนื้อเยื่อผิวหนังขึ้นใหม่ โดยโกรทแฟคเตอร์แต่ละชนิดจะทำงานแตกต่างกันไป เช่น
- PDGF และ FGF กระตุ้นเซลล์ไฟโบรบลาสต์ (fibroblasts) ให้สร้างคอลลาเจน
- EGF เร่งการเคลื่อนที่ของเซลล์เคราติโนไซต์ (keratinocytes) เพื่อสร้างผิวหนังชั้นนอกขึ้นมาใหม่
กระบวนการเหล่านี้ช่วยเร่งการสมานแผลและลดการเกิดแผลเป็น (Comparison of the efficacy and safety of different growth factors in the treatment of diabetic foot ulcers: an updated network meta-analysis, Frontiers in Endocrinology, 2025)
ประเภทของโกรทแฟคเตอร์: สกัดจากเลือด vs สังเคราะห์
ความแตกต่างที่สำคัญระหว่างโกรทแฟคเตอร์ที่สกัดจากเลือดและแบบสังเคราะห์คือแหล่งที่มาและกระบวนการเตรียม
- พลาสมาที่อุดมด้วยเกล็ดเลือด (PRP): เป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้จากเลือดของผู้ป่วยเอง (Autologous) โดยนำเลือดมาผ่านกระบวนการปั่นเพื่อทำให้เกล็ดเลือดและโกรทแฟคเตอร์มีความเข้มข้นสูงขึ้น
- โกรทแฟคเตอร์สังเคราะห์หรือจากเซลล์อื่น (Allogeneic): เป็นผลิตภัณฑ์ที่ผลิตในห้องปฏิบัติการ โดยมักได้จากอาหารเลี้ยงเซลล์ต้นกำเนิด (Stem Cell) ซึ่งประกอบด้วยโกรทแฟคเตอร์หลายชนิดในปริมาณที่แม่นยำและพร้อมใช้งาน (Adipose mesenchymal stem cell-derived exosomes versus platelet-rich plasma for photoaged facial skin, Journal of Cosmetic Dermatology, 2024)
ประโยชน์ที่คาดหวังได้จากการฉีด Growth Factor
ประสิทธิภาพในการรักษาหลุมสิวและรอยแผลเป็น
การฉีดโกรทแฟคเตอร์มีประสิทธิภาพในการช่วยฟื้นฟูเนื้อเยื่อและลดความลึกของหลุมสิวชนิดตื้น (atrophic acne scars) โดยโกรทแฟคเตอร์จะเข้าไปกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนขึ้นมาใหม่ และเมื่อใช้ร่วมกับการทำเลเซอร์กลุ่ม fractional laser จะช่วยให้ผลการรักษาหลุมสิวดีขึ้น ทั้งยังช่วยลดรอยแดงและอาการบวมหลังทำเลเซอร์ได้อีกด้วย (Use of plasma-rich in growth factors (PRGF) in the treatment of acne, OBM Transplantation, 2023)
การชะลอวัยและลดเลือนริ้วรอยแห่งวัย
การฉีดโกรทแฟคเตอร์สามารถช่วยฟื้นฟูผิวที่แก่ก่อนวัยและลดเลือนริ้วรอยได้ โดยการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและการผลัดเซลล์ผิว จากการศึกษาแบบควบคุมพบว่าผิวหน้าที่ได้รับการรักษาด้วยพลาสมาที่อุดมด้วยเกล็ดเลือด (PRP) ซึ่งเป็นโกรทแฟคเตอร์ชนิดหนึ่ง มีริ้วรอยลดลงอย่างเห็นได้ชัด ผิวเรียบเนียนขึ้น และรูขุมขนเล็กลงเมื่อเทียบกับการรักษาด้วยยาหลอก การศึกษาอื่นยังพบว่าทั้ง PRP และสารสกัดจากสเต็มเซลล์ให้ผลลัพธ์ในการปรับปรุงสภาพผิวที่เสื่อมจากแสงแดดได้ใกล้เคียงกัน (Adipose mesenchymal stem cell-derived exosomes versus platelet-rich plasma for photoaged facial skin: An investigator-blinded split-face trial, Journal of Cosmetic Dermatology, 2024)
การฟื้นฟูผิวเสียจากแสงแดดและมลภาวะ
โกรทแฟคเตอร์ช่วยฟื้นฟูผิวที่ถูกทำลายจากแสงแดดโดยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่และซ่อมแซมผิวชั้นนอก (epidermis) ซึ่งช่วยลดเลือนริ้วรอยเล็กๆ ที่เกิดจากแสงแดด ลดรอยแดง และปรับสีผิวที่ไม่สม่ำเสมอ ทำให้ผิวโดยรวมดูกระจ่างใสและสุขภาพดีขึ้น (Adipose mesenchymal stem cell-derived exosomes versus platelet-rich plasma for photoaged facial skin: an investigator-blinded split-face trial, Journal of Cosmetic Dermatology, 2024)
ข้อเปรียบเทียบระหว่าง Growth Factor, PRP และ Stem Cell
ความแตกต่างด้านแหล่งที่มาและกระบวนการผลิต
ความแตกต่างที่สำคัญอยู่ที่แหล่งที่มาและกระบวนการเตรียม โดย PRP (Platelet-Rich Plasma) ได้มาจากเลือดของผู้ป่วยเอง, โกรทแฟคเตอร์สังเคราะห์ผลิตขึ้นในห้องปฏิบัติการ, และสเต็มเซลล์เก็บเกี่ยวมาจากเนื้อเยื่อ เช่น ไขกระดูกหรือไขมัน
- PRP: เตรียมโดยการเจาะเลือดของผู้ป่วยแล้วนำไปปั่นเหวี่ยงเพื่อทำให้เกล็ดเลือดและโกรทแฟคเตอร์เข้มข้น ซึ่งเป็นกระบวนการที่ทำเสร็จในวันเดียว
- โกรทแฟคเตอร์สังเคราะห์: ผลิตในห้องปฏิบัติการ โดยมักเป็นสารหลั่งจากการเพาะเลี้ยงสเต็มเซลล์ ทำให้ได้ส่วนผสมของโกรทแฟคเตอร์ในปริมาณที่แม่นยำและพร้อมใช้งาน
- สเต็มเซลล์: เกี่ยวข้องกับการเก็บเซลล์ต้นกำเนิดจากไขกระดูกหรือเนื้อเยื่อไขมัน ซึ่งมักจะต้องผ่านกระบวนการคัดแยกและอาจต้องเพาะเลี้ยงเพื่อเพิ่มจำนวนก่อนนำไปใช้ (Adipose mesenchymal stem cell-derived exosomes versus platelet-rich plasma for photoaged facial skin: an investigator-blinded split-face trial, Journal of Cosmetic Dermatology, 2024)
ผลลัพธ์และความเหมาะสมของแต่ละสภาพผิว
การฉีดโกรทแฟคเตอร์และ PRP เหมาะที่สุดสำหรับปัญหาผิวระดับเล็กน้อยถึงปานกลาง ในขณะที่สเต็มเซลล์มีศักยภาพในการฟื้นฟูที่สูงกว่าสำหรับกรณีที่ต้องการการซ่อมแซมที่เข้มข้น
- โกรทแฟคเตอร์และ PRP: เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิว กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และช่วยในการสมานแผล เช่น รอยแผลเป็นจากสิวที่ไม่ลึกมาก หรือริ้วรอยตื้นๆ การรักษานี้มีความเสี่ยงต่ำและเป็นการบำรุงแบบค่อยเป็นค่อยไป แต่ผลลัพธ์ไม่ถาวรและจำเป็นต้องทำซ้ำเป็นระยะ
- สเต็มเซลล์: มีศักยภาพในการซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่สูงกว่า สามารถปล่อยสัญญาณการเจริญเติบโตได้หลากหลายกว่าและอาจให้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนหรือยาวนานกว่า PRP จึงอาจเหมาะกับกรณีที่ต้องการการฟื้นฟูอย่างเข้มข้น แต่ก็มีความซับซ้อน ค่าใช้จ่ายสูงกว่า และมีกฎระเบียบที่เข้มงวดกว่า (Adipose mesenchymal stem cell-derived exosomes versus platelet-rich plasma for photoaged facial skin: an investigator-blinded split-face trial, Journal of Cosmetic Dermatology, 2024)
ความเสี่ยงและผลข้างเคียงที่ต้องพิจารณาก่อนตัดสินใจ
อาการไม่พึงประสงค์ระยะสั้นและระยะยาว
ผลข้างเคียงจากการฉีดโกรทแฟคเตอร์โดยทั่วไปไม่รุนแรงและเกิดขึ้นเพียงชั่วคราว โดยอาการระยะสั้นที่พบบ่อยคือรอยแดง อาการบวม หรือรอยช้ำบริเวณที่ฉีด ซึ่งมักจะหายไปเองภายในไม่กี่ชั่วโมงถึงสองสามวัน สำหรับผลข้างเคียงระยะยาว จากข้อมูลการวิจัยในปัจจุบันยังไม่พบอันตรายที่สำคัญ และถือว่ามีความปลอดภัยสูงเมื่อทำหัตถการอย่างถูกวิธี (Comparison of the efficacy and safety of different growth factors in the treatment of diabetic foot ulcers: an updated network meta-analysis, Frontiers in Endocrinology, 2025)
ข้อห้ามและกลุ่มเสี่ยงที่ไม่ควรรับบริการ
ข้อห้ามหลักสำหรับการฉีดโกรทแฟคเตอร์คือ ผู้ป่วยมะเร็งที่ยังดำเนินโรคอยู่ ผู้ที่มีการติดเชื้อ และผู้ที่มีความผิดปกติของเลือด นอกจากนี้ยังมีกลุ่มที่ต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษก่อนรับบริการ ดังนี้
ข้อห้ามเด็ดขาด (Contraindications):
- มะเร็งที่ยังดำเนินโรคอยู่: เนื่องจากโกรทแฟคเตอร์อาจกระตุ้นการเติบโตของเซลล์มะเร็งได้
- การติดเชื้อที่ยังดำเนินอยู่: ทั้งการติดเชื้อเฉพาะที่บริเวณที่จะฉีด หรือการติดเชื้อในกระแสเลือด
- ความผิดปกติของเลือดหรือการแข็งตัวของเลือด: รวมถึงผู้ที่ใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือด เพราะมีความเสี่ยงเลือดออก
กลุ่มที่ต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ (Special Populations):
- สตรีมีครรภ์หรือให้นมบุตร: เนื่องจากยังขาดข้อมูลด้านความปลอดภัย
- ผู้ป่วยโรคแพ้ภูมิตัวเอง (Autoimmune diseases): เพราะอาจกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันและทำให้อาการของโรคกำเริบได้
- ผู้ที่มีประวัติเป็นแผลเป็นนูน (Keloid): ควรปรึกษาแพทย์อย่างละเอียด เพราะอาจมีผลต่อการสร้างแผลเป็นที่ผิดปกติได้ (PRP therapy: Who is it not suitable for? Risks and contraindications explained, PRPmed, 2023)
ราคาประเมินและโครงสร้างค่าใช้จ่ายในการรักษา
อัตราค่าบริการรายครั้งและแบบคอร์ส
ค่าใช้จ่ายสำหรับการฉีดโกรทแฟคเตอร์หนึ่งครั้งอยู่ที่ประมาณ $500–$1,500 และสำหรับคอร์สการรักษาแบบ 3 ครั้งจะมีค่าใช้จ่ายรวมประมาณ $2,250–$2,700 โดยเฉลี่ยแล้ว ค่าบริการต่อครั้งจะอยู่ที่ประมาณ $750 และคอร์สการรักษาส่วนใหญ่มักประกอบด้วยการฉีด 3 ครั้ง โดยเว้นระยะห่างกันหนึ่งเดือน (Soul & Beauty Medical Spa, 2023)
ปัจจัยที่มีผลต่อราคา: ยี่ห้อและเทคนิคแพทย์
ยี่ห้อของผลิตภัณฑ์และเทคนิคความเชี่ยวชาญของแพทย์เป็นปัจจัยที่มีผลโดยตรงต่อราคา โดยระบบที่เป็นกรรมสิทธิ์เฉพาะหรือเซรั่มที่เตรียมจากห้องปฏิบัติการอาจมีราคาสูงกว่า นอกจากนี้ ความเชี่ยวชาญของแพทย์ผู้ให้บริการ เช่น แพทย์ผิวหนังหรือศัลยแพทย์ตกแต่งที่ผ่านการรับรอง ก็มีผลต่อค่าใช้จ่ายเช่นกัน (How much do natural growth factor injections cost?, Soul & Beauty Medical Spa, 2023)
หลักเกณฑ์การเลือกสถานพยาบาลและผลิตภัณฑ์ที่ปลอดภัย
วิธีตรวจสอบมาตรฐานและความปลอดภัยของตัวยา
วิธีตรวจสอบคือการเลือกคลินิกที่ดำเนินการโดยผู้เชี่ยวชาญที่ได้รับใบอนุญาต และใช้ชุดเตรียม PRP ที่ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยา (FDA)
ควรตรวจสอบว่าผู้ให้บริการเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เช่น แพทย์ผิวหนังหรือศัลยแพทย์ตกแต่ง ที่ผ่านการฝึกอบรมด้านการฉีด Growth Factor โดยเฉพาะ คลินิกที่ได้มาตรฐานจะใช้ชุดอุปกรณ์ที่ได้รับการรับรองและปฏิบัติตามหลักการปลอดเชื้ออย่างเคร่งครัด การใช้ชุดอุปกรณ์ที่ไม่ได้มาตรฐานไม่เพียงแต่จะลดทอนประสิทธิภาพ แต่ยังเสี่ยงต่อการปนเปื้อนและการติดเชื้อ ผู้รับบริการจึงควรสอบถามคลินิกโดยตรงว่าใช้ผลิตภัณฑ์หรือระบบใดในการทำหัตถการ (Platelet-rich plasma for hair regrowth requires art and science, MDedge Dermatology News, 2022)
การเตรียมตัวและการดูแลตัวเองหลังทำหัตถการ
การเตรียมตัวก่อนทำหัตถการคือ การงดยาและอาหารเสริมบางชนิด ส่วนการดูแลหลังทำคือการหลีกเลี่ยงยาต้านการอักเสบและกิจกรรมที่ทำให้เกิดความร้อน
การเตรียมตัวก่อนทำ
- งดยาต้านการอักเสบชนิดไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) เช่น ไอบูโพรเฟน และยาแอสไพริน ประมาณ 5-7 วันก่อนทำ
- งดอาหารเสริมที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด เช่น น้ำมันปลา วิตามินอี และแปะก๊วย
- หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ 2-3 วันก่อนทำ
- ดื่มน้ำให้เพียงพอและมาถึงคลินิกด้วยใบหน้าที่สะอาดปราศจากเครื่องสำอาง
การดูแลหลังทำ
- หลีกเลี่ยงยา NSAIDs และยาสเตียรอยด์อย่างน้อย 1 สัปดาห์ สามารถใช้ยาพาราเซตามอลเพื่อบรรเทาอาการปวดได้
- หลีกเลี่ยงการเข้าซาวน่า ห้องอบไอน้ำ และการออกกำลังกายอย่างหนักเป็นเวลา 48 ชั่วโมง
- ปกป้องผิวจากแสงแดดอย่างสม่ำเสมอ
- งดแต่งหน้าอย่างน้อย 12-24 ชั่วโมงหากมีการทำร่วมกับไมโครนีดลิง (Use of plasma-rich in growth factors (PRGF) in the treatment of acne, OBM Transplantation, 2023)
สิ่งที่มักเข้าใจผิดเกี่ยวกับการฉีดโกรทแฟคเตอร์
ความเชื่อผิดๆ ว่าโกรทแฟคเตอร์สามารถทดแทนการผ่าตัดดึงหน้าได้
เป็นความเชื่อที่ผิด เนื่องจากการฉีดโกรทแฟคเตอร์ไม่สามารถทดแทนการผ่าตัดดึงหน้าได้ การรักษาด้วยโกรทแฟคเตอร์ (GF) หรือ PRP ช่วยปรับปรุงคุณภาพผิว เช่น กระตุ้นคอลลาเจน ทำให้ผิวเรียบเนียน และลดริ้วรอยเล็กๆ แต่ไม่ได้ช่วยยกกระชับเนื้อเยื่อที่หย่อนคล้อยหรือกำจัดผิวหนังส่วนเกิน สำหรับผู้ที่มีผิวหย่อนคล้อยมากยังคงต้องอาศัยการผ่าตัดเพื่อผลลัพธ์การยกกระชับที่ชัดเจน (5 facts that demystify the Vampire Facial®, Seiler Skin Aesthetics Blog, 2025)
ความเข้าใจคลาดเคลื่อนเรื่องความถาวรของผลลัพธ์
ผลลัพธ์จากการฉีดโกรทแฟคเตอร์นั้นไม่ถาวร โดยทั่วไปผลลัพธ์จะคงอยู่ได้ประมาณ 6-12 เดือน เนื่องจากกระบวนการแก่ของผิวตามธรรมชาติยังคงดำเนินต่อไป ดังนั้นจึงจำเป็นต้องกลับมาฉีดซ้ำเป็นระยะเพื่อคงผลลัพธ์ไว้ (Krauss Dermatology, 2022)
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับโกรทแฟคเตอร์
Growth Factor ควรฉีดบ่อยแค่ไหนเพื่อผลลัพธ์ที่ดี?
โดยทั่วไป แนะนำให้ทำ 3 ครั้ง ห่างกันครั้งละ 4 สัปดาห์ ในช่วงแรกเพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและฟื้นฟูผิว หลังจากครบคอร์สแล้ว ควรฉีดเพื่อคงสภาพผิวทุกๆ 6–12 เดือน ทั้งนี้ ความถี่อาจปรับเปลี่ยนได้ตามการตอบสนองของผิวและกระบวนการแก่ชราของแต่ละบุคคล (Soul & Beauty Medical Spa, 2023)
การฉีด Growth Factor เจ็บมากไหม?
โดยทั่วไปแล้ว การฉีด Growth Factor ไม่เจ็บมาก เนื่องจากก่อนการฉีดจะมีการทายาชาชนิดเข้มข้นในบริเวณที่จะทำการรักษา ผู้เข้ารับการรักษาส่วนใหญ่จึงรู้สึกเพียงแค่แรงกดเบาๆ หรือรู้สึกเหมือนโดนเข็มสะกิดเล็กน้อยเท่านั้น หลังทำอาจมีอาการเจ็บหรือตึงเล็กน้อย แต่สามารถจัดการได้ง่าย (5 facts that demystify the Vampire Facial®, Seiler Skin Aesthetics Blog, 2025)
Growth Factor ช่วยรักษาฝ้าและกระได้จริงหรือ?
ไม่สามารถรักษาฝ้าและกระได้โดยตรง และไม่ใช่วิธีการรักษาหลัก เนื่องจากการฉีด Growth Factor มุ่งเน้นไปที่การสร้างคอลลาเจนและฟื้นฟูเซลล์ผิว ไม่ได้มีเป้าหมายเพื่อยับยั้งการผลิตเม็ดสีโดยตรง
แม้ว่า Growth Factor อาจช่วยปรับสีผิวโดยรวมให้สว่างและสม่ำเสมอขึ้นได้บ้าง แต่การรักษาฝ้าและกระที่ได้ผลดีกว่าคือการใช้วิธีอื่นที่ตรงจุด เช่น เลเซอร์, IPL, หรือยาทาเฉพาะที่อย่างไฮโดรควิโนนและเรตินอยด์
หลังฉีดต้องพักฟื้นหน้านานกี่วัน?
โดยทั่วไปแล้วการพักฟื้นหลังฉีดโกรทแฟคเตอร์นั้นน้อยมาก และคนส่วนใหญ่สามารถกลับไปทำงานได้ในวันถัดไป
หลังทำอาจมีรอยแดงและอาการบวมเล็กน้อยคล้ายผิวไหม้แดด ซึ่งโดยทั่วไปจะหายไปภายใน 12 ถึง 24 ชั่วโมง และรอยแดงส่วนใหญ่จะลดลงในวันที่สอง
การฉีด Growth Factor มีอันตรายสะสมหรือไม่?
ยังไม่พบความเสี่ยงหรืออันตรายร้ายแรงในระยะยาวจากการฉีด Growth Factor หรือ PRP ซ้ำหลายครั้ง จากข้อมูลที่มีในปัจจุบัน การฉีดเพื่อบำรุงรักษาอย่างต่อเนื่องนั้นมีความปลอดภัย
เนื่องจาก Growth Factor หรือเกล็ดเลือด (PRP) ที่ใช้เป็นส่วนประกอบจากร่างกายของผู้ป่วยเอง ร่างกายจึงสามารถจัดการและสลายไปได้ตามธรรมชาติโดยไม่มีปัญหา การทำทรีตเมนต์ซ้ำจึงให้ผลดีแบบสะสมในด้านการกระตุ้นคอลลาเจนและการฟื้นฟูเนื้อเยื่อ โดยไม่ก่อให้เกิดการสะสมของผลข้างเคียงที่เป็นอันตราย อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือต้องทำหัตถการด้วยเทคนิคที่ปลอดเชื้อโดยผู้เชี่ยวชาญที่ผ่านการรับรองเท่านั้นเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงในการติดเชื้อ
ผลลัพธ์หลังทำอยู่ได้นานกี่เดือน?
ผลลัพธ์จากการฉีดโกรทแฟคเตอร์จะคงอยู่ประมาณ 6 ถึง 12 เดือน ผลลัพธ์ที่ได้นั้นไม่ถาวร เนื่องจากกระบวนการชราของผิวตามธรรมชาติยังคงดำเนินต่อไป ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีการทำทรีตเมนต์ซ้ำเพื่อคงสภาพผลลัพธ์ไว้ (Krauss Dermatology, 2022)
