โบท็อกรักแร้ ลดเหงื่อ อยู่ได้นานไหม ราคา-ข้อควรรู้ก่อนทำ
โบท็อกรักแร้คืออะไร ช่วยลดเหงื่อและกลิ่นตัวได้อย่างไร
โบท็อกรักแร้คือ การฉีดสารโบทูลินัม ท็อกซิน (Botulinum Toxin) เข้าไปที่บริเวณใต้รักแร้เพื่อรักษาภาวะเหงื่อออกมากผิดปกติ (Hyperhidrosis)
สารโบทูลินัม ท็อกซินจะเข้าไปยับยั้งการทำงานของเส้นประสาทที่ส่งสัญญาณไปยังต่อมเหงื่อ ทำให้ต่อมเหงื่อผลิตเหงื่อได้น้อยลง ซึ่งจากข้อมูลพบว่าสามารถลดการผลิตเหงื่อได้ถึง 75–80% และผลลัพธ์คงอยู่นานอย่างน้อย 6 เดือน เมื่อเหงื่อลดลง การสะสมของแบคทีเรียซึ่งเป็นสาเหตุหลักของกลิ่นตัวก็จะลดลงตามไปด้วย ทำให้ช่วยควบคุมทั้งปริมาณเหงื่อและกลิ่นตัวได้พร้อมกัน
ใครเหมาะกับการฉีดโบท็อกรักแร้ และใครควรหลีกเลี่ยง
ข้อบ่งชี้: ผู้ที่เหมาะกับการรักษาด้วยโบท็อกรักแร้
ผู้ที่เหมาะกับการรักษาด้วยโบท็อกรักแร้คือผู้ที่มีภาวะเหงื่อออกมากผิดปกติ (Hyperhidrosis) บริเวณใต้วงแขน การรักษานี้สามารถลดการผลิตเหงื่อได้ประมาณ 75–80% และผลลัพธ์คงอยู่นานอย่างน้อย 6 เดือนในผู้ป่วยส่วนใหญ่ ซึ่งช่วยให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นและใช้ชีวิตประจำวันได้สะดวกสบายยิ่งขึ้น
ข้อห้าม: กลุ่มที่ไม่ควรฉีดโบท็อกรักแร้
กลุ่มที่ไม่ควรฉีดโบท็อกรักแร้ ได้แก่ ผู้ที่มีโรคเกี่ยวกับระบบประสาทและกล้ามเนื้อ, สตรีมีครรภ์หรือให้นมบุตร, ผู้ที่เคยมีประวัติแพ้โบท็อก และผู้ที่มีการติดเชื้อที่ผิวหนังบริเวณรักแร้
โดยมีรายละเอียดดังนี้:
- ผู้ที่มีภาวะผิดปกติเกี่ยวกับระบบประสาทและกล้ามเนื้อ: เช่น โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (Myasthenia Gravis) หรือ Lambert-Eaton syndrome
- สตรีมีครรภ์หรือกำลังให้นมบุตร: แม้จะยังไม่มีข้อพิสูจน์ถึงอันตรายที่แน่ชัด แต่โดยทั่วไปแนะนำให้เลื่อนการฉีดออกไปก่อนเพื่อความปลอดภัย
- ผู้ที่เคยมีประวัติแพ้โบท็อก: หากเคยมีอาการแพ้หลังฉีด เช่น ผื่น หายใจลำบาก หรือเวียนศีรษะ ควรหลีกเลี่ยงการฉีดในอนาคต
- ผู้ที่มีการติดเชื้อที่ผิวหนัง: หากมีผื่น สิวอักเสบ หรือการระคายเคืองบริเวณรักแร้ ควรเลื่อนการฉีดออกไปก่อนเพื่อลดความเสี่ยงในการแพร่กระจายเชื้อ
ขั้นตอนการฉีดโบท็อกรักแร้: ใช้กี่ยูนิตและเตรียมตัวอย่างไร
การเตรียมตัวก่อนฉีดโบท็อกรักแร้คือ การงดยาและอาหารเสริมที่ส่งผลต่อการแข็งตัวของเลือด งดแอลกฮอล์ และแจ้งข้อมูลสุขภาพให้แพทย์ทราบอย่างละเอียด ส่วนปริมาณยูนิตที่ใช้จะขึ้นอยู่กับการประเมินของแพทย์
ปริมาณยูนิตที่ใช้จะถูกกำหนดโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อลดการผลิตเหงื่อให้ได้ประมาณ 75–80% ซึ่งผลลัพธ์มักจะคงอยู่นานอย่างน้อย 6 เดือน สำหรับการเตรียมตัวก่อนการฉีด มีข้อควรปฏิบัติดังนี้
- งดยาและอาหารเสริม: งดยาต้านการอักเสบ (NSAIDs) เช่น แอสไพริน, ไอบูโพรเฟน รวมถึงวิตามินอี, น้ำมันปลา, และแปะก๊วย ก่อนการฉีดเพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดรอยช้ำ
- งดแอลกอฮอล์: หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างน้อย 24 ชั่วโมงก่อนการฉีด
- แจ้งข้อมูลสุขภาพ: แจ้งแพทย์เกี่ยวกับโรคประจำตัว (โดยเฉพาะโรคเกี่ยวกับระบบประสาทและกล้ามเนื้อ), ประวัติการแพ้ยา, และยาทุกชนิดที่กำลังใช้อยู่
- ตรวจสอบสภาพผิว: หากมีผื่น การติดเชื้อ หรือการระคายเคืองบริเวณรักแร้ ควรเลื่อนนัดออกไปก่อน
- ข้อห้าม: โดยทั่วไปไม่แนะนำให้ฉีดในสตรีมีครรภ์หรือกำลังให้นมบุตร
การประเมินและเตรียมตัวก่อนเข้ารับการรักษา
การประเมินและเตรียมตัวก่อนฉีดโบท็อกซ์ เกี่ยวข้องกับการแจ้งข้อมูลสุขภาพทั้งหมดให้แพทย์ทราบ การหลีกเลี่ยงยาและอาหารเสริมบางชนิด และการเลือกคลินิกกับผู้ให้บริการที่น่าเชื่อถือ
เพื่อให้การรักษามีความปลอดภัยและได้ผลดีที่สุด ควรมีการเตรียมตัวดังนี้:
- แจ้งข้อมูลสุขภาพ: แจ้งให้แพทย์ทราบเกี่ยวกับโรคประจำตัวทั้งหมด โดยเฉพาะโรคเกี่ยวกับระบบประสาทและกล้ามเนื้อ (เช่น Myasthenia gravis), ประวัติการแพ้, และหากกำลังตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร
- หลีกเลี่ยงยาและอาหารเสริม: ควรหยุดยาและอาหารเสริมที่อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดรอยช้ำ เช่น ยาต้านการอักเสบ (NSAIDs), แอสไพริน, วิตามินอีในปริมาณสูง, น้ำมันปลา และแปะก๊วย
- งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์: ควรงดดื่มแอลกอฮอล์เป็นเวลาประมาณ 24 ชั่วโมงก่อนการฉีด
- ตรวจสอบสภาพผิว: บริเวณที่จะฉีดต้องไม่มีการติดเชื้อหรือการระคายเคือง เช่น ผื่น สิวอักเสบ หรือเริม หากมีปัญหาผิวควรเลื่อนการรักษาออกไปก่อน
- เลือกผู้ให้บริการที่เชี่ยวชาญ: ควรเลือกรับบริการจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่ได้รับใบอนุญาตและผ่านการฝึกอบรมในคลินิกที่มีชื่อเสียง ซึ่งใช้ผลิตภัณฑ์โบท็อกซ์ของแท้ที่ได้รับการรับรองและจัดเก็บอย่างเหมาะสม
ขั้นตอนระหว่างการฉีดโบท็อกรักแร้
จากข้อมูลที่ให้มา ขั้นตอนการฉีดโบท็อกรักแร้จะครอบคลุมตั้งแต่การเตรียมตัวก่อนฉีดไปจนถึงการดูแลตัวเองหลังฉีด เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีและปลอดภัยที่สุด
โดยทั่วไปแล้ว ขั้นตอนต่างๆ มีดังนี้:
- การเตรียมตัวก่อนฉีด:
- ปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินและวางแผนการรักษา
- หลีกเลี่ยงการใช้ยาที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด เช่น แอสไพริน ไอบูโพรเฟน รวมถึงวิตามินอี น้ำมันปลา และแอลกอฮอล์ประมาณ 24 ชั่วโมงก่อนฉีด เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดรอยช้ำ
- ตรวจสอบให้แน่ใจว่าผิวหนังบริเวณรักแร้ไม่มีการติดเชื้อ ผื่น หรือการระคายเคือง
- ระหว่างการฉีด:
- แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะทำการฉีดโบท็อกในปริมาณที่เหมาะสมไปยังบริเวณรักแร้ โดยการฉีดอย่างระมัดระวังจะช่วยลดการผลิตเหงื่อได้ประมาณ 75-80%
- การดูแลหลังฉีด:
- ห้ามถู กด หรือนวดบริเวณที่ฉีดเป็นเวลาอย่างน้อย 24 ชั่วโมง
- หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนักๆ และสภาพแวดล้อมที่ร้อน เช่น ซาวน่า หรือห้องอบไอน้ำ เป็นเวลา 1-2 วัน
- สามารถประคบเย็นเบาๆ ได้หากมีอาการบวมหรือเจ็บเล็กน้อย
- โดยทั่วไปจะมีการนัดติดตามผลในอีก 2 สัปดาห์เพื่อประเมินผลลัพธ์
การเลือกยี่ห้อและจำนวนยูนิตที่เหมาะสม
การเลือกยี่ห้อและจำนวนยูนิตของโบทูลินัมท็อกซินควรทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งจะพิจารณาจากความแข็งแรงของกล้ามเนื้อของผู้รับบริการ บริเวณที่ต้องการรักษา และผลลัพธ์ที่ต้องการ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดและลดความเสี่ยงของผลข้างเคียง
- การเลือกยี่ห้อ: สิ่งสำคัญที่สุดคือการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ของแท้ที่ได้รับการรับรองและจัดเก็บอย่างเหมาะสม เช่น Botox®, Dysport® หรือ Xeomin® ซึ่งผู้รับบริการมีสิทธิ์สอบถามยี่ห้อที่ใช้จากคลินิกได้โดยตรง
- การกำหนดจำนวนยูนิต: ปริมาณยาที่ใช้จะแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคลและแต่ละบริเวณที่ฉีด แพทย์จะทำการประเมินความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและลักษณะใบหน้าเพื่อกำหนดจำนวนยูนิตที่เหมาะสม การใช้ปริมาณที่พอเหมาะเป็นสิ่งสำคัญเพื่อป้องกันผลลัพธ์ที่ไม่เป็นธรรมชาติหรือผลข้างเคียง เช่น ใบหน้าไม่สมมาตร โดยอาจมีการนัดติดตามผลในอีก 2 สัปดาห์เพื่อประเมินผลและปรับแก้เล็กน้อยหากจำเป็น
ผลลัพธ์และระยะเวลา: โบท็อกรักแร้เห็นผลเมื่อไหร่และอยู่ได้นานแค่ไหน
ไทม์ไลน์การเห็นผล: จากวันแรกถึงผลลัพธ์เต็มที่
โดยทั่วไปจะเริ่มเห็นผลการเปลี่ยนแปลงในช่วง 3-5 วันแรก และเห็นผลลัพธ์เต็มที่ในเวลาประมาณ 1-2 สัปดาห์ ผู้ป่วยมักสังเกตเห็นริ้วรอยที่ดูตื้นขึ้นเล็กน้อยได้ตั้งแต่วันที่ 3 หลังการรักษา และจะเห็นผลลัพธ์ชัดเจนที่สุดในช่วง 10-14 วัน ซึ่งเป็นช่วงที่กล้ามเนื้ออ่อนแรงเต็มที่
อย่างไรก็ตาม การรักษาเพื่อลดขนาดกล้ามเนื้อ เช่น กรามหรือน่อง จะใช้เวลานานกว่า โดยจะเริ่มเห็นผลใน 2-4 สัปดาห์ และเห็นผลเต็มที่ใน 2-3 เดือน เนื่องจากต้องรอให้กล้ามเนื้อฝ่อลีบลง
ผลลัพธ์อยู่ได้นานเท่าไหร่และปัจจัยที่เกี่ยวข้อง
โดยทั่วไปผลลัพธ์จะอยู่ได้นานประมาณ 3-6 เดือน แต่ระยะเวลาอาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย
ปัจจัยที่ส่งผลต่อระยะเวลาของผลลัพธ์ ได้แก่:
- ปริมาณยาที่ฉีด: การใช้ปริมาณยาที่สูงขึ้นอาจช่วยให้ผลลัพธ์อยู่ได้นานขึ้น
- การเผาผลาญของแต่ละบุคคล: ผู้ที่มีมวลกล้ามเนื้อมากหรือออกกำลังกายอย่างหนักเป็นประจำอาจเผาผลาญตัวยาได้เร็วกว่า
- บริเวณที่ทำการรักษา: กล้ามเนื้อมัดใหญ่และแข็งแรง (เช่น กล้ามเนื้อกราม) ผลอาจจางลงเร็วกว่ากล้ามเนื้อมัดเล็ก (เช่น กล้ามเนื้อรอบดวงตา)
ความถี่ในการฉีดซ้ำเพื่อคงผลลัพธ์
โดยทั่วไป ควรฉีดซ้ำทุกๆ 3 ถึง 6 เดือน เพื่อคงผลลัพธ์ในการลดเลือนริ้วรอยหรือปรับรูปหน้า
ความถี่ในการฉีดซ้ำจะแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ เช่น ปริมาณยาที่ใช้, ระบบเผาผลาญของร่างกาย และบริเวณกล้ามเนื้อที่ฉีด โดยทั่วไปแล้ว:
- การรักษาริ้วรอย: ผลลัพธ์มักจะคงอยู่ประมาณ 3-4 เดือน
- การลดขนาดกล้ามเนื้อ (เช่น กรามหรือน่อง): ผลลัพธ์อาจคงอยู่นานขึ้นประมาณ 4-6 เดือน
ผู้ที่มีมวลกล้ามเนื้อมากหรือออกกำลังกายหนักอาจพบว่าผลลัพธ์จางลงเร็วขึ้นและอาจต้องฉีดซ้ำบ่อยขึ้น
ราคาโบท็อกรักแร้: ปัจจัยกำหนดราคาและค่าใช้จ่ายโดยประมาณ
ปัจจัยที่มีผลต่อราคา: ยี่ห้อ จำนวนยูนิต และมาตรฐานคลินิก
ข้อมูลที่ให้มาไม่ได้กล่าวถึงปัจจัยที่มีผลต่อราคาโดยตรง แต่ได้เน้นย้ำว่ายี่ห้อของผลิตภัณฑ์ (เช่น Botox, Dysport, Xeomin) จำนวนยูนิตที่ใช้ และมาตรฐานของคลินิกกับความเชี่ยวชาญของผู้ให้บริการ เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพของผลการรักษา
กรอบราคาโดยประมาณสำหรับการรักษา 1 ครั้ง
ไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับกรอบราคาโดยประมาณสำหรับการรักษาในเอกสารที่ให้มา เนื่องจากเนื้อหาเน้นอธิบายในเชิงการแพทย์ เช่น กลไกการออกฤทธิ์ การใช้งานในจุดต่างๆ ผลข้างเคียง และการดูแลตัวเอง แต่ไม่ได้ระบุถึงค่าใช้จ่ายในการรักษา
ข้อควรพิจารณาก่อนตัดสินใจฉีดโบท็อกรักแร้
การเลือกคลินิกและแพทย์ผู้ทำหัตถการที่มีประสบการณ์
การเลือกแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและคลินิกที่มีชื่อเสียงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งต่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพของการรักษา ควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าผู้ทำหัตถการเป็นผู้ประกอบวิชาชีพทางการแพทย์ที่ได้รับใบอนุญาตและผ่านการฝึกอบรม เช่น แพทย์ผิวหนังหรือศัลยแพทย์ตกแต่งที่ได้รับการรับรอง
คลินิกที่น่าเชื่อถือจะใช้ผลิตภัณฑ์โบทูลินัมท็อกซินของแท้ที่ได้รับการรับรองและจัดเก็บอย่างเหมาะสม ซึ่งจะช่วยรับประกันความปลอดภัยและผลลัพธ์ที่ดี ในขณะที่ผลิตภัณฑ์ของปลอมหรือจากตลาดมืดอาจเป็นอันตรายได้ ผู้ป่วยสามารถสอบถามเกี่ยวกับยี่ห้อของผลิตภัณฑ์ที่ใช้และตรวจสอบแนวทางการจัดเก็บของคลินิกได้
เปรียบเทียบกับวิธีลดเหงื่ออื่นๆ เช่น MiraDry หรือการผ่าตัด
จากข้อมูลที่ให้มา ไม่มีการเปรียบเทียบการฉีดโบท็อกซ์เพื่อลดเหงื่อกับวิธี MiraDry หรือการผ่าตัด
อย่างไรก็ตาม เอกสารระบุว่าการฉีดโบท็อกซ์ (onabotulinumtoxinA) สามารถลดการผลิตเหงื่อใต้วงแขนได้ประมาณ 75–80% โดยผลลัพธ์คงอยู่อย่างน้อย 6 เดือน และยังใช้รักษาภาวะเหงื่อออกที่ฝ่ามือได้อีกด้วย
การตั้งความคาดหวังต่อผลลัพธ์ที่สมจริง
ผลลัพธ์จากการฉีดโบท็อกซ์เป็นการเปลี่ยนแปลงชั่วคราว ซึ่งต้องอาศัยการรักษาอย่างสม่ำเสมอเพื่อคงผลลัพธ์ไว้ โบท็อกซ์จะช่วยคลายกล้ามเนื้อเพื่อลดเลือนริ้วรอยที่เกิดจากการแสดงอารมณ์ (Dynamic Wrinkles) หรือลดขนาดกล้ามเนื้อ แต่ไม่สามารถเติมเต็มร่องลึกหรือยกกระชับผิวที่หย่อนคล้อยได้
ประเด็นสำคัญในการตั้งความคาดหวังที่สมจริง ได้แก่
- ระยะเวลาเห็นผล: สำหรับริ้วรอยจะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงใน 3-5 วัน และเห็นผลเต็มที่ใน 1-2 สัปดาห์ ส่วนการลดขนาดกล้ามเนื้อ (เช่น กรามหรือน่อง) จะเห็นผลชัดเจนใน 2-3 เดือน
- ระยะเวลาของผลลัพธ์: โดยทั่วไปผลลัพธ์จะคงอยู่ประมาณ 3-6 เดือน หลังจากนั้นกล้ามเนื้อจะกลับมาทำงานได้ตามปกติ จึงจำเป็นต้องกลับมาฉีดซ้ำ
- ข้อจำกัด: โบท็อกซ์ไม่สามารถทดแทนการรักษาประเภทอื่น เช่น ฟิลเลอร์ (สำหรับเติมเต็ม) หรือ HIFU (สำหรับยกกระชับผิว) และไม่สามารถให้ผลลัพธ์เทียบเท่าการผ่าตัดในผู้ที่มีปัญหาริ้วรอยและความหย่อนคล้อยที่รุนแรง
- การติดตามผล: โดยทั่วไปจะมีการนัดหมายเพื่อติดตามผลใน 2 สัปดาห์ เพื่อประเมินผลลัพธ์และอาจมีการเติมยาเล็กน้อยหากจำเป็นเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่สมดุล
ผลข้างเคียงและความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการฉีดโบท็อกรักแร้
ผลข้างเคียงหลักจากการฉีดโบท็อกรักแร้คือ อาการเจ็บเล็กน้อยชั่วคราวบริเวณที่ฉีด และอาจมีเหงื่อออกชดเชยในบริเวณอื่นของร่างกาย โดยทั่วไปแล้ว การรักษานี้ถือว่าปลอดภัยและร่างกายทนต่อยาได้ดี
การดูแลตัวเองหลังฉีดโบท็อกรักแร้เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
การดูแลตัวเองหลังฉีดโบท็อกรักแร้คือการหลีกเลี่ยงการนวดหรือกดบริเวณที่ฉีด งดออกกำลังกายหนัก และหลีกเลี่ยงความร้อน เพื่อให้ตัวยาออกฤทธิ์ได้อย่างเต็มที่และลดผลข้างเคียง
เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ควรปฏิบัติตามคำแนะนำต่อไปนี้:
- ห้ามนวดหรือกด: ไม่ควรถู นวด หรือกดบริเวณที่ฉีดเป็นเวลาอย่างน้อย 24 ชั่วโมง เพื่อป้องกันไม่ให้ตัวยากระจายไปยังกล้ามเนื้อส่วนที่ไม่ต้องการ
- งดกิจกรรมหนัก: ควรหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนักๆ หรือการยกของหนักเป็นเวลา 6-24 ชั่วโมงหลังฉีด เพื่อลดความเสี่ยงของรอยช้ำ
- หลีกเลี่ยงความร้อน: ควรงดเข้าซาวน่า ห้องสตรีม หรือสัมผัสความร้อนจัดเป็นเวลา 1-2 วัน เนื่องจากความร้อนอาจเพิ่มอาการบวมและรอยช้ำได้
- ประคบเย็น (ถ้าจำเป็น): หากมีอาการบวมหรือเจ็บ สามารถประคบเย็นเบาๆ ได้ แต่ต้องระวังไม่กดแรงเกินไป
- ติดตามผล: ผลลัพธ์จะเริ่มเห็นชัดเจนใน 1-2 สัปดาห์ ซึ่งแพทย์อาจนัดติดตามผลเพื่อประเมินและปรับแก้หากจำเป็น
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการฉีดโบท็อกรักแร้
โบท็อกรักแร้ช่วยลดเหงื่อและกลิ่นตัวได้จริงไหม
โบท็อกสามารถช่วยลดเหงื่อใต้วงแขนได้จริง โดยผลการศึกษาทางคลินิกแสดงให้เห็นว่าสามารถลดการผลิตเหงื่อได้ประมาณ 75–80% และผลลัพธ์คงอยู่นานอย่างน้อย 6 เดือนในผู้ป่วยส่วนใหญ่ การรักษานี้ช่วยให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นและทำงานในชีวิตประจำวันได้สะดวกขึ้น
ฉีดโบท็อกรักแร้เจ็บไหม
การฉีดโบท็อกรักแร้อาจทำให้เกิดความเจ็บปวดเล็กน้อยและเกิดขึ้นเพียงชั่วคราวบริเวณที่ฉีด
ความเจ็บปวดดังกล่าวถือเป็นผลข้างเคียงหลักของการรักษาภาวะเหงื่อออกมากเกินไปด้วยโบท็อก แต่โดยทั่วไปแล้วผู้ป่วยสามารถทนต่อความเจ็บปวดได้ดี
โบท็อกรักแร้ต้องฉีดบ่อยแค่ไหน
โดยทั่วไปแล้วผลลัพธ์ของการฉีดโบท็อกเพื่อลดเหงื่อใต้วงแขนจะคงอยู่อย่างน้อย 6 เดือนในผู้ป่วยส่วนใหญ่
ข้อมูลจากการทดลองทางคลินิกแสดงให้เห็นว่าการฉีดโบท็อกสามารถลดการผลิตเหงื่อใต้วงแขนได้ประมาณ 75–80% และจำเป็นต้องกลับมาฉีดซ้ำเพื่อรักษาระดับประสิทธิภาพดังกล่าวไว้
ต้องใช้โบท็อกรักแร้กี่ยูนิตถึงจะเห็นผล
จากข้อมูลที่ให้มา ไม่ได้ระบุจำนวนยูนิตของโบท็อกที่ใช้สำหรับรักษาเหงื่อออกใต้วงแขน
อย่างไรก็ตาม งานวิจัยระบุว่าการรักษาสามารถลดการผลิตเหงื่อใต้วงแขนได้ประมาณ 75–80% และผลลัพธ์คงอยู่นานอย่างน้อย 6 เดือนในผู้ป่วยส่วนใหญ่
หลังฉีดโบท็อกรักแร้ห้ามทำอะไรบ้าง
หลังฉีดโบท็อกรักแร้ ควรหลีกเลี่ยงการนวดหรือกดบริเวณที่ฉีด การออกกำลังกายอย่างหนัก และการสัมผัสความร้อนสูง เพื่อป้องกันไม่ให้ตัวยากระจายไปยังส่วนที่ไม่ต้องการและลดความเสี่ยงของผลข้างเคียง
ข้อห้ามและข้อควรปฏิบัติหลังฉีดโบท็อกรักแร้ ได้แก่
- ห้ามนวดหรือถู: ไม่ควรถู นวด หรือกดบริเวณที่ฉีดเป็นเวลาอย่างน้อย 24 ชั่วโมง
- งดออกกำลังกายหนัก: ควรหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายอย่างหนักหรือการยกของหนักเป็นเวลาประมาณ 6–24 ชั่วโมงหลังฉีด เพราะอาจเพิ่มการไหลเวียนเลือดและทำให้เกิดรอยช้ำได้
- หลีกเลี่ยงความร้อน: งดเข้าซาวน่า ห้องสตรีม หรือสัมผัสกับความร้อนจัดเป็นเวลา 1–2 วัน เพื่อลดอาการบวมหรือรอยช้ำ
- งดทำทรีตเมนต์อื่น: ไม่ควรทำเลเซอร์หรือทรีตเมนต์อื่นๆ บริเวณรักแร้เป็นเวลาประมาณ 7–14 วัน เพื่อให้ผิวและกล้ามเนื้อได้พักฟื้น
โบท็อกรักแร้ต่างจากการรักษาเหงื่อออกมากวิธีอื่นอย่างไร
โบท็อกรักแร้ทำงานโดยการ สกัดกั้นสัญญาณประสาทที่สั่งให้ต่อมเหงื่อผลิตเหงื่อ ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาที่สาเหตุโดยตรง การรักษานี้สามารถลดการผลิตเหงื่อใต้วงแขนได้ประมาณ 75–80% และผลลัพธ์คงอยู่นานอย่างน้อย 6 เดือนในผู้ป่วยส่วนใหญ่ โดยทั่วไปแล้วเป็นวิธีที่ปลอดภัยและทนต่อผลข้างเคียงได้ดี โดยผลข้างเคียงหลักคืออาการเจ็บบริเวณที่ฉีดเล็กน้อยและเกิดขึ้นชั่วคราว
References:
- Bach K. & Simman R. The Multispecialty Toxin: A Literature Review of Botulinum Toxin. Plastic and Reconstructive Surgery – Global Open. journals.lww.com
- Lowe N. & Naumann M. Treatment of hyperhidrosis with Botox (onabotulinumtoxinA): Development, insights, and impact. Medicine (Baltimore). pmc.ncbi.nlm.nih.gov
- Cleveland Clinic. Botox (Botulinum Toxin) Injections: Treatment, Recovery & Side Effects. Cleveland Clinic Health Library. clevelandclinic.org
- Hu J. et al. Mild Allergic Reactions after Botulinum Toxin Injection: A Case Series and Literature Review. (Published in a Wolters Kluwer journal on behalf of ASPS). pmc.ncbi.nlm.nih.gov
- Lin J. et al. Clinical observations on hypersensitive reactions to botulinum toxin type A and proposed precautions. Chinese Academy of Medical Sciences – Plastic Surgery Hosp. (Case report). pmc.ncbi.nlm.nih.gov
- Body Catalyst Clinic. HIFU vs Botox – Non-Surgical Facelift or Muscle Relaxer? Body Catalyst Blog. bodycatalyst.com.au

