ผิวแห้งขาดวิตามินอะไร? รวม 5 สารอาหารจำเป็นที่ผิวต้องการ

ผิวแห้งมาก ขาดวิตามินอะไร เป็นภาวะที่บ่งชี้ได้ว่าร่างกายอาจกำลังต้องการสารอาหารจำเป็นกว่า 5 ชนิดเพื่อซ่อมแซมผิว ซึ่งแพทย์แนะนำให้ดูแลจากภายในด้วยอาหารที่มีวิตามิน A และ C ควบคู่กับการบำรุงภายนอกด้วยครีมที่มีส่วนผสมของยูเรียหรือกรดแลคติกความเข้มข้น 5–12% เพื่อฟื้นฟูผิวให้กลับมาชุ่มชื้น
เช็กสัญญาณ: ผิวแห้งแบบไหนที่อาจเกิดจากการขาดวิตามิน
ผิวแห้งที่เกิดจากการขาดวิตามินมักมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย ไม่ใช่แค่ผิวแห้งเพียงอย่างเดียว และมักมีลักษณะเป็นผื่นในตำแหน่งที่จำเพาะซึ่งแตกต่างจากผิวแห้งทั่วไป
สัญญาณที่บ่งชี้ว่าผิวแห้งอาจมาจากการขาดสารอาหาร ได้แก่:
- การขาดวิตามินเอ: นอกจากผิวแห้งสากคล้ายหนังคางคก (phrynoderma) แล้ว มักมีอาการตาบอดกลางคืนร่วมด้วย
- การขาดสังกะสี (Zinc): มักเกิดผื่นแดงลอกเป็นขุยรอบปาก จมูก หรือทวารหนัก ร่วมกับผมร่วงและท้องเสีย
- การขาดธาตุเหล็ก: อาจพบอาการผมร่วง เล็บเปราะบางมีลักษณะคล้ายช้อน (koilonychia) และอ่อนเพลียร่วมกับผิวแห้ง
- การขาดวิตามินบี (เช่น ไนอะซิน): ทำให้เกิดผิวหนังอักเสบในบริเวณที่โดนแสงแดด
5 วิตามินและแร่ธาตุสำคัญที่ช่วยแก้ปัญหาผิวแห้ง
1. วิตามิน A: ช่วยซ่อมแซมและสร้างเซลล์ผิวใหม่
วิตามินเอจำเป็นต่อการรักษาสุขภาพผิวให้เป็นปกติ โดยการขาดวิตามินเออาจทำให้ผิวแห้งเป็นขุยและมีลักษณะคล้าย “ผิวคางคก” (phrynoderma) ในทางกลับกัน การได้รับวิตามินเอมากเกินไปก็สามารถทำให้ผิวแห้งลอก ริมฝีปากแตก และผมร่วงได้เช่นกัน
2. วิตามิน C: กระตุ้นคอลลาเจนและป้องกันอนุมูลอิสระ
จากข้อมูลที่ให้มา วิตามินซี มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนเกราะป้องกันความชุ่มชื้นของผิว ลดความเสี่ยงของผิวแห้ง และจำเป็นต่อการสมานแผล
วิตามินซีช่วยเพิ่มการสังเคราะห์ไขมันที่ทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันผิวและลดการสูญเสียน้ำออกจากผิวหนัง (TEWL) การบริโภควิตามินซีในปริมาณที่สูงขึ้นมีความสัมพันธ์กับความเสี่ยงที่ลดลงของภาวะผิวแห้ง นอกจากนี้ วิตามินซียังทำงานร่วมกับวิตามินอีเพื่อช่วยปกป้องเกราะป้องกันผิวและเพิ่มความชุ่มชื้น โดยการเสริมวิตามินซีอาจช่วยปรับปรุงความชุ่มชื้นและเนื้อสัมผัสของผิวได้เล็กน้อย
3. วิตามิน E: เติมความชุ่มชื้นและเป็นเกราะป้องกันผิว
วิตามินอีช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวโดยทำหน้าที่เป็นสารหล่อลื่น (emollient) และช่วยป้องกันการสูญเสียน้ำออกจากผิว การใช้วิตามินอีในรูปแบบทาภายนอก เช่น ในน้ำมันหรือครีมบำรุงผิว เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการเพิ่มความชุ่มชื้นและทำให้ผิวนุ่มขึ้น นอกจากนี้ วิตามินอียังทำงานร่วมกับวิตามินซีได้ดีเพื่อช่วยเสริมสร้างเกราะป้องกันผิว
แพทย์ผิวหนังแนะนำให้ได้รับวิตามินอีจากอาหารหรือวิตามินรวมในปริมาณต่ำ และเน้นการใช้ผลิตภัณฑ์ทาผิวที่มีส่วนผสมของวิตามินอีเพื่อผลลัพธ์โดยตรงต่อผิวหนัง เนื่องจากการรับประทานวิตามินอีในปริมาณสูงไม่แสดงให้เห็นประโยชน์เพิ่มเติมต่อผิวและอาจมีความเสี่ยงได้
4. วิตามิน D: เสริมสร้างความแข็งแรงของเซลล์ผิว
วิตามินดีช่วยสนับสนุนสุขภาพผิวโดยรวม โดยอาจช่วยบรรเทาอาการผิวแห้งที่เกี่ยวข้องกับการขาดวิตามินดีหรือโรคผิวหนังอักเสบ (eczema)
งานวิจัยชี้ให้เห็นว่าการเสริมวิตามินดีสามารถลดความรุนแรงของโรคผิวหนังอักเสบภูมิแพ้ได้ ซึ่งอาจเป็นผลมาจากการปรับปรุงเกราะป้องกันจุลินทรีย์ของผิวหนัง (antimicrobial barrier) และเพิ่มความชุ่มชื้น ผู้ที่มีระดับวิตามินดีต่ำมากอาจมีอาการผิวแห้งและคันซึ่งไม่ตอบสนองต่อมอยส์เจอไรเซอร์ได้ดีนัก จนกว่าจะได้รับการแก้ไขภาวะขาดวิตามินดี
5. สังกะสี (Zinc): ควบคุมการผลิตน้ำมันและลดการอักเสบ
สังกะสีมีบทบาทสำคัญในการควบคุมการผลิตซีบัม (น้ำมันบนผิว) และลดการอักเสบ โดยเฉพาะในผิวที่เป็นสิวง่าย นอกจากนี้ สังกะสียังช่วยรักษาความสมบูรณ์ของเกราะป้องกันผิวและจำเป็นต่อการสมานแผล
การขาดสังกะสีอาจทำให้ผิวแห้ง หยาบ เป็นผื่นคล้ายэкзема และทำให้แผลหายช้า ปริมาณที่แนะนำต่อวัน (RDA) คือ 8 มิลลิกรัมสำหรับผู้หญิง และ 11 มิลลิกรัมสำหรับผู้ชาย โดยไม่ควรบริโภคเกิน 40 มิลลิกรัมต่อวัน เนื่องจากอาจทำให้เกิดภาวะขาดทองแดงได้
กรดไขมันจำเป็น (Omega-3): กักเก็บความชุ่มชื้นให้ผิว
กรดไขมันโอเมก้า 3 ช่วยให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวจากภายใน โดยการเสริมสร้างเกราะไขมันของผิว (lipid barrier) และต่อต้านการอักเสบ
การขาดกรดไขมันจำเป็นอาจทำให้เกิดผิวหนังอักเสบ แห้งเป็นขุยคล้ายเกล็ดงู ซึ่งไม่ตอบสนองต่อมอยส์เจอไรเซอร์ทั่วไป การศึกษาทางคลินิกพบว่าการเสริมโอเมก้า 3 (เช่น น้ำมันปลา) สามารถเพิ่มความชุ่มชื้นและความยืดหยุ่นของผิว ลดการสูญเสียน้ำผ่านผิวหนัง (TEWL) และบรรเทาอาการผิวแห้งและคันที่เกี่ยวข้องกับภาวะต่างๆ เช่น โรคผิวหนังอักเสบภูมิแพ้ (atopic dermatitis)
ผิวแห้งไม่ได้เกิดจากการขาดวิตามินเสมอไป: สาเหตุอื่นที่ควรทราบ
ผิวแห้งอาจเกิดจากปัจจัยอื่นที่ไม่ใช่การขาดวิตามินได้ ซึ่งรวมถึงปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม พฤติกรรมการใช้ชีวิต โรคประจำตัว และผลข้างเคียงจากยา
สาเหตุทั่วไปที่ทำให้ผิวแห้ง ได้แก่:
- ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมและอายุ: อากาศแห้งและเย็น (โดยเฉพาะในฤดูหนาว) การใช้เครื่องทำความร้อน การสัมผัสแสงแดดเป็นเวลานาน และอายุที่มากขึ้นซึ่งทำให้ผิวผลิตน้ำมันตามธรรมชาติน้อยลง
- พฤติกรรมการอาบน้ำ: การอาบน้ำร้อนหรืออาบน้ำนานเกินไป การใช้สบู่ที่รุนแรง และการขัดผิวบ่อยครั้ง สามารถทำลายเกราะป้องกันผิวและขจัดน้ำมันตามธรรมชาติออกไป
- โรคประจำตัว: ภาวะต่างๆ เช่น ภาวะไทรอยด์ทำงานต่ำ โรคเบาหวาน และโรคไตเรื้อรัง มักส่งผลให้ผิวแห้งอย่างรุนแรง
- ผลข้างเคียงจากยา: ยาบางชนิด เช่น ยารักษาสิวกลุ่มเรตินอยด์ ยาขับปัสสาวะ และยาเคมีบำบัด สามารถทำให้ผิวแห้งได้
- โรคผิวหนังโดยตรง: ภาวะเช่น โรคผิวหนังอักเสบ (Eczema) เป็นสาเหตุของผิวแห้ง แตก และคัน
แนวทางการดูแลผิวแห้งให้ได้ผล: จากอาหารสู่การบำรุง
การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวัน
การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวันเพื่อจัดการกับผิวแห้ง สามารถทำได้โดยการปรับเปลี่ยนวิธีการอาบน้ำ, ควบคุมสภาพแวดล้อม, ใส่ใจเรื่องอาหารการกิน, และหลีกเลี่ยงปัจจัยที่ก่อให้เกิดการระคายเคือง
พฤติกรรมที่แนะนำเพื่อช่วยบรรเทาอาการผิวแห้งมีดังนี้
- การอาบน้ำ: อาบน้ำให้สั้นลงด้วยน้ำอุ่น (ไม่ร้อนจัด) ใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่อ่อนโยนและปราศจากน้ำหอม จากนั้นซับผิวเบาๆ ให้พอหมาดแล้วทามอยส์เจอไรเซอร์ทันทีเพื่อกักเก็บความชุ่มชื้น
- สภาพแวดล้อม: ใช้เครื่องทำความชื้นในห้อง โดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาวหรือเมื่อเปิดเครื่องปรับอากาศ และหลีกเลี่ยงการสัมผัสลมหนาวหรืออากาศแห้งจัดเป็นเวลานาน
- อาหารและการดื่มน้ำ: ดื่มน้ำให้เพียงพอและรับประทานอาหารที่อุดมด้วยกรดไขมันจำเป็น เช่น ปลาที่มีไขมันสูง, เมล็ดแฟลกซ์, และวอลนัท เพื่อช่วยเสริมสร้างเกราะป้องกันผิว
- การหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้น: จัดการความเครียดและนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ สวมเสื้อผ้าที่นุ่มและระบายอากาศได้ดี เช่น ผ้าฝ้าย และสวมถุงมือเมื่อต้องสัมผัสกับสารเคมีหรือน้ำยาทำความสะอาด
การเลือกผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่เหมาะสม
ควรเลือกมอยส์เจอไรเซอร์ที่มีส่วนผสมสำคัญ 3 กลุ่ม คือ สารปิดกั้น (Occlusives) สารดูดความชื้น (Humectants) และเซราไมด์ (Ceramides) ซึ่งมอยส์เจอไรเซอร์ที่ดีมักจะผสมผสานส่วนประกอบเหล่านี้เข้าด้วยกันเพื่อประสิทธิภาพสูงสุด
ส่วนผสมที่แนะนำสำหรับผิวแห้ง ได้แก่:
- สารปิดกั้น (Occlusives): สร้างเกราะป้องกันการสูญเสียน้ำออกจากผิว เช่น ปิโตรเลียม (petrolatum), มิเนอรัลออยล์ (mineral oil), ไดเมทิโคน (dimethicone)
- สารดูดความชื้น (Humectants): ดึงน้ำเข้าสู่ผิว เช่น กลีเซอรีน (glycerin), กรดไฮยาลูโรนิก (hyaluronic acid), ยูเรีย (urea)
- เซราไมด์ (Ceramides): ช่วยเติมเต็มไขมันตามธรรมชาติและฟื้นฟูเกราะป้องกันผิว
- ส่วนผสมเพิ่มเติมสำหรับปัญหาเฉพาะ:
- อาการคัน: เลือกผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของคอลลอยดัลโอ๊ตมีล (colloidal oatmeal)
- ผิวลอกเป็นขุยหรือหยาบกร้าน: เลือกครีมที่มีส่วนผสมของยูเรีย (urea) หรือกรดแลคติก (lactic acid) ในความเข้มข้นปานกลาง (5–12%)
โดยทั่วไป ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่ปราศจากน้ำหอมและสีย้อมเพื่อหลีกเลี่ยงการระคายเคือง
อาหารเสริม: จำเป็นแค่ไหนและควรเลือกอย่างไร
โดยทั่วไปแล้วอาหารเสริมไม่จำเป็นสำหรับผิวแห้งธรรมดา และการรับประทานอาหารที่อุดมด้วยสารอาหารจะดีกว่ามาก การรับประทานวิตามินเสริมโดยไม่มีภาวะขาดสารอาหารที่ชัดเจนมีหลักฐานสนับสนุนน้อยมากว่าจะมีประโยชน์
อย่างไรก็ตาม อาหารเสริมบางชนิดอาจมีประโยชน์ในบางกรณี:
- น้ำมันปลา (โอเมก้า 3): เป็นอาหารเสริมที่มีหลักฐานสนับสนุนมากที่สุด โดยมีการศึกษาพบว่าการรับประทาน EPA/DHA ประมาณ 1-3 กรัมต่อวัน สามารถช่วยปรับปรุงการทำงานของเกราะป้องกันผิวและลดความแห้งได้
- คอลลาเจนเปปไทด์: งานวิจัยบางชิ้นพบว่าอาจช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวในผู้สูงอายุ แต่ผลลัพธ์ยังไม่แน่นอน
- ซิงค์ (สังกะสี) หรือไบโอติน: จะช่วยได้ก็ต่อเมื่อร่างกายมีภาวะขาดแร่ธาตุเหล่านี้จริงๆ เท่านั้น
- กรดไฮยาลูโรนิกชนิดรับประทาน: เป็นอาหารเสริมที่กำลังได้รับความสนใจ แต่ยังต้องการการศึกษาเพิ่มเติม
สิ่งสำคัญคือควรปรึกษาแพทย์ก่อนเริ่มรับประทานอาหารเสริมเสมอ เพราะการบริโภคเกินขนาดอาจส่งผลเสียได้ เช่น วิตามินเอที่มากเกินไปอาจทำให้ผิวแห้งและลอกได้ ควรเลือกผลิตภัณฑ์จากแบรนด์ที่น่าเชื่อถือและจำไว้ว่าอาหารเสริมเป็นเพียงตัวช่วยเสริม ไม่สามารถทดแทนการดูแลผิวและปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตได้
อาหารและเครื่องดื่มที่ควรหลีกเลี่ยงเพื่อลดปัญหาผิวแห้ง
เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนสูงและแอลกอฮอล์ รวมถึงการควบคุมอาหารที่เข้มงวดเกินไป เป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงเพื่อลดปัญหาผิวแห้ง เนื่องจากสิ่งเหล่านี้สามารถส่งผลเสียต่อความชุ่มชื้นของผิวได้
- เครื่องดื่มที่มีฤทธิ์ขับปัสสาวะ: เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนและแอลกอฮอล์ในปริมาณมากจะส่งเสริมให้ร่างกายขาดน้ำ ซึ่งส่งผลโดยตรงทำให้ผิวแห้งมากขึ้น
- การควบคุมอาหารที่ไม่เหมาะสม: การอดอาหาร (crash diets) หรือการงดไขมันโดยสิ้นเชิง (fat-free diets) เป็นอันตรายต่อผิว เพราะทำให้ผิวขาดแคลอรี่ โปรตีน และไขมันที่จำเป็น ซึ่งจะสะท้อนออกมาในรูปแบบของผิวที่หมองคล้ำ แห้ง และเป็นขุย
เมื่อไหร่ควรปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับปัญหาผิวแห้งรุนแรง
ควรไปพบแพทย์เมื่อผิวแห้งรุนแรงและไม่ดีขึ้นแม้จะใช้มอยส์เจอไรเซอร์อย่างสม่ำเสมอ หรือเมื่อมีสัญญาณเตือนอื่นๆ ร่วมด้วย
สัญญาณเตือนที่ควรไปพบแพทย์ ได้แก่:
- มีอาการคันหรือเจ็บปวดรุนแรงจนรบกวนการนอนหลับหรือการใช้ชีวิตประจำวัน
- มีสัญญาณของการติดเชื้อ เช่น ผิวหนังแดง บวม มีหนอง หรือรู้สึกอุ่น
- ผิวแห้งเป็นบริเวณกว้างและไม่ตอบสนองต่อผลิตภัณฑ์ที่หาซื้อได้ทั่วไป
- มีอาการทางร่างกายอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ มีไข้ อ่อนเพลีย หรือมีอาการคันทั่วร่างกาย
- สงสัยว่าอาจเกิดจากการขาดสารอาหาร เนื่องจากมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น แผลที่มุมปาก หรือผมร่วง
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับวิตามินและผิวแห้ง
ขาดสารอาหารอะไรทำให้ผิวแห้ง?
ภาวะผิวแห้งอาจเกิดจากการขาดวิตามิน A, วิตามิน C, วิตามิน D, วิตามิน E, สังกะสี (Zinc) และกรดไขมันจำเป็น (โอเมก้า 3) ซึ่งสารอาหารแต่ละชนิดมีบทบาทสำคัญต่อสุขภาพผิว
- วิตามิน A: การขาดวิตามินเอทำให้ผิวหนังแห้งเป็นขุยและอาจมีลักษณะคล้าย “หนังคางคก” (phrynoderma)
- สังกะสี (Zinc): การขาดสังกะสีมักทำให้เกิดผื่นผิวหนังอักเสบ แห้ง และหยาบกร้าน โดยเฉพาะบริเวณรอบปากและทวารหนัก
- กรดไขมันจำเป็น (โอเมก้า 3): การขาดกรดไขมันจำเป็นจะทำลายเกราะป้องกันไขมันของผิวหนัง ทำให้ผิวสูญเสียความชุ่มชื้นและเกิดผื่นแห้งเป็นขุย
- วิตามิน C: การขาดวิตามินซีส่งผลต่อการสร้างคอลลาเจนและไขมันที่จำเป็นต่อเกราะป้องกันความชุ่มชื้นของผิว
- วิตามิน D: การขาดวิตามินดีมีความสัมพันธ์กับอาการผิวแห้งและคัน โดยเฉพาะในผู้ที่เป็นโรคผิวหนังอักเสบ (eczema)
- วิตามิน E: แม้จะพบได้ไม่บ่อย แต่การขาดวิตามินอีอาจทำให้ผิวหยาบกร้านและทำให้การสมานแผลแย่ลง
กินวิตามินอะไรช่วยให้ผิวชุ่มชื้น?
สารอาหารที่ช่วยให้ผิวชุ่มชื้นและเสริมสร้างเกราะป้องกันผิว ได้แก่ โอเมก้า 3, วิตามินซี, วิตามินอี และซิงค์ (สังกะสี) โดยสารอาหารแต่ละชนิดมีบทบาทสำคัญแตกต่างกันไป
- โอเมก้า 3: ช่วยเสริมสร้างเกราะไขมันของผิว ลดการสูญเสียน้ำ และเพิ่มความชุ่มชื้นและความยืดหยุ่นของผิว
- วิตามินซี: ช่วยกระตุ้นการสร้างไขมันที่จำเป็นสำหรับเกราะป้องกันผิวและลดการสูญเสียน้ำ
- วิตามินอี: ทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระและช่วยป้องกันการสูญเสียความชุ่มชื้นของผิว
- ซิงค์ (สังกะสี): มีความสำคัญต่อการรักษาความแข็งแรงของเกราะป้องกันผิว ซึ่งการขาดซิงค์อาจทำให้ผิวแห้งและหยาบกร้านได้
- วิตามินเอ และ วิตามินดี: มีส่วนช่วยให้ผิวแข็งแรง แต่จะเห็นผลชัดเจนในการปรับปรุงผิวแห้งเมื่อร่างกายมีภาวะขาดวิตามินเหล่านี้ อย่างไรก็ตาม การได้รับวิตามินเอมากเกินไปอาจทำให้ผิวแห้งได้เช่นกัน
ผิวแห้งมากเกิดจากสาเหตุอื่นได้หรือไม่?
ใช่ ผิวแห้งมากอาจเกิดจากสาเหตุอื่นได้หลายอย่าง นอกเหนือจากการขาดสารอาหาร
สาเหตุเหล่านี้รวมถึง:
- โรคประจำตัว เช่น ภาวะไทรอยด์ต่ำ เบาหวาน และโรคไตเรื้อรัง
- ผลข้างเคียงของยา เช่น ยารักษาสิวกลุ่มเรตินอยด์ ยาขับปัสสาวะ และยาเคมีบำบัด
- ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมและพฤติกรรม เช่น อายุที่มากขึ้น อากาศแห้งและเย็น การอาบน้ำร้อนบ่อยๆ และการใช้สบู่ที่รุนแรง
- โรคผิวหนังโดยตรง เช่น โรคผิวหนังอักเสบ (Eczema)
อาหารชนิดใดที่คนผิวแห้งควรหลีกเลี่ยง?
คนผิวแห้งควรหลีกเลี่ยง เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนสูงและแอลกอฮอล์ในปริมาณมาก รวมถึงการอดอาหารหรือทานอาหารที่ปราศจากไขมันโดยสิ้นเชิง
เนื่องจากเครื่องดื่มเหล่านี้มีฤทธิ์ขับปัสสาวะซึ่งส่งเสริมให้ร่างกายขาดน้ำและทำให้ผิวแห้งยิ่งขึ้น ส่วนการอดอาหารอย่างหนักหรือการงดไขมันทั้งหมดจะทำให้ผิวขาดกรดไขมันที่จำเป็นและสารอาหารที่สำคัญในการสร้างเกราะป้องกันผิว ส่งผลให้ผิวหมองคล้ำ แห้ง และลอกเป็นขุยได้
จำเป็นต้องทานวิตามินเสริมเพื่อแก้ผิวแห้งหรือไม่?
โดยทั่วไปแล้วไม่จำเป็นต้องทานวิตามินเสริมเพื่อแก้ปัญหาผิวแห้ง เว้นแต่จะได้รับการวินิจฉัยว่ามีภาวะขาดสารอาหารนั้นๆ
การทานวิตามินเสริมจะช่วยได้ก็ต่อเมื่อผิวแห้งนั้นเกิดจากการขาดวิตามินหรือแร่ธาตุบางชนิด เช่น วิตามินเอ หรือซิงค์ สำหรับคนส่วนใหญ่ที่มีผิวแห้งทั่วไป การเน้นทานอาหารที่มีประโยชน์ครบถ้วนและใช้มอยส์เจอไรเซอร์บำรุงผิวจากภายนอกนั้นเพียงพอและมีประสิทธิภาพมากกว่า
การทานวิตามินเสริมเกินความจำเป็นอาจไม่ช่วยให้ผิวชุ่มชื้นขึ้น และในบางกรณีอาจส่งผลเสียได้ เช่น การได้รับวิตามินเอมากเกินไปอาจทำให้ผิวแห้งและลอกได้ ดังนั้น ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเริ่มทานอาหารเสริมใดๆ เพื่อประเมินว่ามีความจำเป็นจริงหรือไม่
การทาครีมอย่างเดียวเพียงพอสำหรับแก้ผิวแห้งหรือไม่?
โดยทั่วไปแล้ว การทาครีมอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอสำหรับแก้ปัญหาผิวแห้งเสมอไป
สำหรับผิวแห้งทั่วไปที่ไม่ได้เกิดจากโรคประจำตัว การใช้มอยส์เจอไรเซอร์ร่วมกับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เช่น การอาบน้ำที่ไม่ร้อนจัดและใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยน มักจะเพียงพอ แต่หากผิวแห้งเป็นอาการของภาวะอื่น การทาครีมเพียงอย่างเดียวจะไม่สามารถแก้ที่ต้นเหตุได้ เช่น
- การขาดสารอาหาร: ผิวแห้งที่เกิดจากการขาดวิตามิน (เช่น วิตามินเอ) หรือแร่ธาตุ (เช่น สังกะสี) จำเป็นต้องแก้ไขด้วยการรับประทานอาหารหรืออาหารเสริม
- โรคประจำตัว: หากผิวแห้งเป็นอาการของโรคบางชนิด เช่น โรคไทรอยด์ เบาหวาน หรือโรคไต จำเป็นต้องรักษาโรคที่เป็นต้นเหตุควบคู่กันไป
References:
- American Academy of Dermatology (AAD). (n.d.). Dry Skin: Causes and Treatment. AAD. aad.org
- Mayo Clinic. (n.d.). Dry Skin: Symptoms and Causes. Mayo Clinic. mayoclinic.org
- Cleveland Clinic. (n.d.). Vitamin Deficiency and Skin Health. Cleveland Clinic. clevelandclinic.org
- National Institute of Health. (n.d.). Vitamins and Minerals for Skin Health. NIH. nih.gov
- MDPI. (n.d.). Vitamin D Supplementation for Treating Atopic Dermatitis. MDPI Nutrients. mdpi.com
- Wiley. (n.d.). Omega-3 Supplementation and Skin Hydration. Journal of Cosmetic Dermatology. wiley.com
