Skip to content

TEL : 081-841-5075, 02-258-4050

Facebook Instagram YouTube
Privato Clinic – Innovation Of Beauty  |  Bangkok
  • หน้าหลัก
  • เกี่ยวกับพรีวาโต
  • บริการทั้งหมดExpand
    • ชะลอวัย
    • ยกกระชับผิวExpand
      • XERF
      • Potenza
      • Sofwave
      • Ulthera
      • Thermage-FLX
    • รักษาสิว
    • เลเซอร์
    • โปรแกรมฉีด
    • บำรุงผิว
  • บทความExpand
    • สิว
    • ยกกระชับ
    • ดูแลผิว
    • ทำเลเซอร์
  • ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว
  • โปรโมชั่น
  • ผลลัพธ์การรักษา
  • วิดีโอรีวิวจากเคสจริง
  • สาขาของเรา
  • ไทยExpand
    • ไทย
    • English
    • 中文 (中国)
  • ปรึกษาแพทย์
Privato Clinic – Innovation Of Beauty  |  Bangkok
Consult a Doctor
Skincare

ผื่นคันที่หน้า สาเหตุ อาการ และวิธีรักษาให้หายขาด

Byadmin พฤศจิกายน 30, 2025
By แพทย์หญิงนัชชนก หุ่นวิจิตร Updated on พฤศจิกายน 30, 2025
✦ Medically reviewed by  นายแพทย์เลอพงษ์ กรุดเงิน
ผื่นคันที่หน้า สาเหตุ อาการ และวิธีรักษาให้หายขาด

Table of Contents

Toggle
  • ผื่นคันที่หน้าคืออะไร
  • สาเหตุของผื่นคันที่หน้า
    • ผื่นแพ้สัมผัสจากเครื่องสำอางและสารเคมี
    • ผื่นแพ้อากาศและฝุ่น PM 2.5
    • ผื่นผิวหนังอักเสบเซบเดิร์ม
    • ภูมิแพ้ผิวหนังจากกรรมพันธุ์
    • ผลจากความเครียดและการพักผ่อนน้อย
    • การแพ้อาหารบางชนิด
  • อาการและลักษณะของผื่นคันที่หน้า
    • ผื่นแดงเม็ดเล็กๆ คันยุบยิบ
    • ตุ่มนูนแดง คัน อาจมีน้ำใส
    • ผิวแดง แสบร้อน ระคายเคือง
    • ผื่นแดงเป็นปื้นหรือเป็นวง
  • ประเภทของผื่นคันที่หน้า 6 แบบที่พบบ่อย
    • ผื่นแพ้สัมผัส (Contact Dermatitis)
    • ผื่นผิวหนังอักเสบเซบเดิร์ม (Seborrheic Dermatitis)
    • ลมพิษที่หน้า (Urticaria)
    • ผื่นภูมิแพ้อากาศ (Atopic Dermatitis)
    • ผื่นจากปฏิกิริยาการใช้ยา
    • กลุ่มอาการหน้าแดง (Red Face Syndrome)
  • วิธีรักษาผื่นคันที่หน้าให้หายขาด
    • การรักษาด้วยยาทาและครีมแก้แพ้
    • การรักษาด้วยยากินแก้ผื่นคัน ผิวหนังอักเสบ
    • การรักษาด้วยเลเซอร์และเทคโนโลยีทางการแพทย์
    • การดูแลผิวหน้าเพื่อบรรเทาอาการคัน
  • วิธีแก้ผื่นคันที่หน้าด้วยตัวเอง
    • การประคบเย็นบริเวณที่มีผื่นคัน
    • การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่เหมาะสม
    • การหลีกเลี่ยงสารระคายเคืองและแสงแดด
  • รักษาผื่นคันที่หน้าด้วยตัวเองได้หรือไม่
    • กรณีที่สามารถรักษาเองได้
    • กรณีที่ต้องพบแพทย์ผิวหนัง
    • อาการคันบอกโรคที่ต่อเนื่อง
  • เปรียบเทียบวิธีรักษาผื่นคันที่หน้า
    • การรักษาด้วยยากับการรักษาด้วยเลเซอร์
    • การรักษาที่คลินิกกับการรักษาด้วยตัวเอง
    • ระยะเวลาและต้นทุนในการรักษาแต่ละวิธี
  • วิธีป้องกันผื่นคันที่หน้า
    • เลือกเครื่องสำอางที่ไม่ระคายเคืองและเหมาะกับผิว
    • ป้องกันผิวจากมลภาวะและฝุ่น PM 2.5
    • ดูแลผิวหน้าอย่างถูกวิธีและพักผ่อนให้เพียงพอ
    • หลีกเลี่ยงอาหารที่ทำให้เกิดอาการแพ้
  • การเลือกคลินิกเพื่อรักษาผื่นคันที่หน้า
    • สิ่งที่ควรพิจารณาเมื่อเลือกคลินิกผิวหนัง
    • เทคโนโลยีและการรักษาที่คลินิกควรมี
    • แพทย์ผู้เชี่ยวชาญและการให้คำปรึกษา

ผื่นคันที่หน้าคืออะไร

ผื่นคันที่หน้าคือภาวะผิวหนังอักเสบที่ใบหน้า ซึ่งมีอาการคันเป็นหลัก ในระยะเฉียบพลันอาจมีอาการบวมแดง มีน้ำเหลืองซึม หรือตุ่มน้ำใส ส่วนในระยะเรื้อรัง ผิวหนังอาจหนาตัวขึ้นและมีสีคล้ำจากการเกาเป็นเวลานาน ผื่นคันที่หน้ามีหลายชนิด ที่พบบ่อย ได้แก่

  • ผื่นแพ้สัมผัส (Allergic Contact Dermatitis): เกิดจากปฏิกิริยาภูมิแพ้ต่อสารที่สัมผัสผิวโดยตรง เช่น ส่วนผสมในเครื่องสำอาง โลหะ หรือยาย้อมผม
  • ผื่นระคายเคือง (Irritant Contact Dermatitis): เกิดจากการที่ผิวหนังสัมผัสกับสารที่ก่อให้เกิดการระคายเคืองโดยตรง เช่น สบู่ที่รุนแรง หรือผลิตภัณฑ์ผลัดเซลล์ผิวที่ใช้บ่อยเกินไป
  • ผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง (Atopic Dermatitis): เป็นโรคผิวหนังอักเสบเรื้อรังที่เกี่ยวข้องกับพันธุกรรมและระบบภูมิคุ้มกัน มักเริ่มเป็นในวัยเด็กและมีผิวแห้งเป็นลักษณะเด่น
  • โรคผิวหนังอักเสบจากต่อมไขมัน (Seborrheic Dermatitis): เกิดขึ้นในบริเวณที่มีต่อมไขมันมาก เช่น ข้างจมูกและคิ้ว มีลักษณะเป็นผื่นแดงและมีขุยสีเหลืองมัน (Atopic dermatitis: Diagnosis and treatment, American Family Physician, 2020)

สาเหตุของผื่นคันที่หน้า

ผื่นแพ้สัมผัสจากเครื่องสำอางและสารเคมี

ผื่นแพ้สัมผัสจากเครื่องสำอางและสารเคมี (Allergic Contact Dermatitis – ACD) คือ ปฏิกิริยาภูมิแพ้ของผิวหนังชนิดแสดงอาการช้า ซึ่งเกิดจากการสัมผัสสารก่อภูมิแพ้โดยตรง โดยอาการผื่นแดง บวม และอาจมีตุ่มน้ำใส จะปรากฏขึ้นภายใน 24-72 ชั่วโมงหลังสัมผัสสาร

สารก่อภูมิแพ้ที่พบบ่อยในเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์ดูแลผิว ได้แก่

  • น้ำหอม
  • สารกันเสีย เช่น พาราเบน และสารที่ปลดปล่อยฟอร์มาลดีไฮด์
  • สีย้อมผม เช่น พาราฟีนิลีนไดอะมีน (PPD)
  • โลหะ เช่น นิกเกิล

การวินิจฉัยทำได้โดยการทดสอบภูมิแพ้ทางผิวหนังด้วยวิธีปิดแผ่นทดสอบ (Patch Test) เพื่อระบุสารก่อภูมิแพ้ที่แน่ชัด ส่วนการรักษาหลักคือการหลีกเลี่ยงสารที่แพ้โดยเด็ดขาด ร่วมกับการใช้ยาทาคอร์ติโคสเตียรอยด์ชนิดอ่อนเพื่อลดการอักเสบในระยะสั้น (Allergic contact dermatitis to cosmetics: 13-year retrospective study in a patch test clinic, Anais Brasileiros de Dermatologia, 2020)

ผื่นแพ้อากาศและฝุ่น PM 2.5

มลพิษทางอากาศ โดยเฉพาะฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) สามารถกระตุ้นหรือทำให้อาการของโรคผิวหนังอักเสบ เช่น ผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง (Eczema) และโรคโรซาเชีย (Rosacea) แย่ลงได้ อนุภาคฝุ่นเหล่านี้สามารถแทรกซึมเข้าสู่เกราะป้องกันผิวหนังและก่อให้เกิดอนุมูลอิสระ (Oxidative Stress) ซึ่งไปกระตุ้นกระบวนการอักเสบของผิว มีงานวิจัยที่พบความเชื่อมโยงระหว่างการสัมผัส PM2.5 ในระยะยาวกับอุบัติการณ์ของโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนังที่เพิ่มขึ้น การป้องกันเบื้องต้นทำได้โดยการใช้เครื่องฟอกอากาศภายในอาคาร ทำความสะอาดใบหน้าอย่างอ่อนโยนเพื่อกำจัดฝุ่นละออง และการใช้ผลิตภัณฑ์ต้านอนุมูลอิสระ เช่น เซรั่มวิตามินซีหรืออี (Air pollution and atopic dermatitis: The role of oxidative stress, International Journal of Dermatology, 2024)

ผื่นผิวหนังอักเสบเซบเดิร์ม

โรคผิวหนังอักเสบเซบเดิร์ม (Seborrheic Dermatitis) คือโรคผิวหนังอักเสบเรื้อรังที่พบบ่อยในบริเวณที่มีต่อมไขมันมาก เช่น หนังศีรษะ ใบหน้า และลำตัวส่วนบน โดยเชื่อว่ามีเชื้อรามาลาสซีเซีย (Malassezia) ซึ่งเป็นเชื้อราที่อาศัยอยู่บนผิวหนังตามปกติ เป็นปัจจัยกระตุ้นสำคัญ

ลักษณะสำคัญของโรคผิวหนังอักเสบเซบเดิร์ม ได้แก่:

  • ลักษณะผื่น: เป็นผื่นแดงมีขุยสีเหลืองและมีความมัน
  • บริเวณที่พบ: มักเกิดในบริเวณที่มีต่อมไขมันมาก เช่น ร่องแก้ม คิ้ว เปลือกตา และรอบจมูก
  • อาการ: อาการคันอาจไม่รุนแรง แต่มักมีอาการแสบหรือระคายเคืองร่วมด้วย
  • ปัจจัยกระตุ้น: อาการมักกำเริบในช่วงอากาศเย็นและแห้ง หรือเมื่อมีความเครียด (Seborrheic dermatitis: Diagnosis and management, American Family Physician, 2015)

ภูมิแพ้ผิวหนังจากกรรมพันธุ์

โรคภูมิแพ้ผิวหนังจากกรรมพันธุ์ (Atopic Dermatitis) คือ โรคผิวหนังอักเสบเรื้อรังที่เป็นๆ หายๆ ซึ่งเกี่ยวข้องกับความผิดปกติของเกราะป้องกันผิวหนังทางพันธุกรรม และการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันที่ผิดปกติ โรคนี้มักเริ่มแสดงอาการในวัยเด็ก โดย 60% ของผู้ป่วยเริ่มมีอาการก่อนอายุ 1 ขวบ และมักมีประวัติส่วนตัวหรือประวัติครอบครัวเป็นโรคภูมิแพ้อื่นๆ ร่วมด้วย เช่น โรคหอบหืด อาการหลักคือผิวแห้ง มีผื่นแดง คัน และตกสะเก็ด ซึ่งอาการอาจแย่ลงได้จากสารก่อภูมิแพ้หรือสารระคายเคืองต่างๆ (Atopic dermatitis: Diagnosis and treatment, American Family Physician, 2020)

ผลจากความเครียดและการพักผ่อนน้อย

ความเครียดและการพักผ่อนไม่เพียงพอทำให้อาการผื่นคันรุนแรงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากส่งผลกระทบต่อร่างกายในหลายด้าน

  • ความเครียด จะเพิ่มระดับฮอร์โมนคอร์ติซอลและสาร Substance P ซึ่งทำลายเกราะป้องกันผิวและกระตุ้นการตอบสนองของภูมิคุ้มกันให้รุนแรงขึ้น นอกจากนี้ยังกระตุ้นให้เกิดพฤติกรรมการเกามากขึ้น ทำให้เกิดวงจรคัน-เกาที่เลวร้ายลง
  • การพักผ่อนน้อย เป็นทั้งสาเหตุและผลของผื่นผิวหนังอักเสบ โดยอาการคันจะรบกวนการนอนหลับ และการอดนอนจะไปเพิ่มสารก่อการอักเสบ (ไซโตไคน์) และลดความสามารถในการฟื้นตัวของผิวหนัง ทำให้อาการผื่นแย่ลง (Pruritus: A sensory symptom generated in cutaneous immuno-neuronal crosstalk, Frontiers in Pharmacology, 2022)

การแพ้อาหารบางชนิด

การแพ้อาหารแบบ IgE-mediated ที่แท้จริงมักทำให้เกิดผื่นลมพิษเฉียบพลันหรืออาการบวมบนใบหน้า แต่ไม่ค่อยเป็นสาเหตุหลักของผื่นผิวหนังอักเสบเรื้อรังบนใบหน้าโดยตรง ในเด็กที่มีภาวะผื่นผิวหนังอักเสบภูมิแพ้ (Atopic Dermatitis) การแพ้อาหาร (โดยเฉพาะไข่และนม) อาจทำให้อาการกำเริบได้ แต่โดยทั่วไปมักเป็นส่วนหนึ่งของผื่นที่กระจายทั่วร่างกาย ไม่ได้จำกัดอยู่แค่บนใบหน้า ทั้งนี้ ไม่แนะนำให้งดอาหารกลุ่มใหญ่ๆ ด้วยตนเองหากไม่มีการยืนยันการแพ้ที่ชัดเจน เนื่องจากอาจนำไปสู่ภาวะขาดสารอาหารและยังไม่มีหลักฐานว่ามีประโยชน์ในระยะยาว (A look at the food elimination diet trend for atopic dermatitis, National Eczema Association, 2023)

อาการและลักษณะของผื่นคันที่หน้า

ผื่นแดงเม็ดเล็กๆ คันยุบยิบ

อาการผื่นแดงเม็ดเล็กๆ และคันยุบยิบมักเป็นสัญญาณของโรคผื่นผิวหนังอักเสบ (Dermatitis) ซึ่งอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ โดยสาเหตุที่พบบ่อย ได้แก่

  • ผื่นแพ้สัมผัส (Allergic Contact Dermatitis): เกิดจากการแพ้สารที่สัมผัสผิวโดยตรง เช่น เครื่องสำอาง โลหะ หรือน้ำหอม
  • ผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง (Atopic Dermatitis): เป็นโรคเรื้อรังที่มักเริ่มในวัยเด็ก มีลักษณะเป็นผื่นแดง คัน และแห้งเป็นขุย
  • ผื่นระคายเคือง (Irritant Contact Dermatitis): เกิดจากผิวหนังสัมผัสสารที่ก่อให้เกิดการระคายเคือง เช่น สบู่ที่รุนแรง หรือผลิตภัณฑ์ผลัดเซลล์ผิว
  • ผื่นผิวหนังอักเสบจากไขมัน (Seborrheic Dermatitis): มักเกิดในบริเวณที่มีต่อมไขมันมาก เช่น ข้างจมูก หรือคิ้ว มีขุยสีเหลืองและมัน
  • ผื่นแพ้ยา (Drug Eruptions): ผื่นอาจเกิดขึ้นหลังจากการเริ่มใช้ยาชนิดใหม่ (Atopic dermatitis: Diagnosis and treatment, American Family Physician, 2020)

ตุ่มนูนแดง คัน อาจมีน้ำใส

อาการตุ่มนูนแดง คัน และอาจมีตุ่มน้ำใสเป็นลักษณะของโรคผิวหนังอักเสบเฉียบพลัน (acute dermatitis) โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคผื่นแพ้สัมผัส (allergic contact dermatitis) อาการเหล่านี้เป็นรอยโรคปฐมภูมิที่บ่งชี้ถึงกระบวนการของโรค ซึ่งประกอบด้วยตุ่มนูนแดง (papules) และตุ่มน้ำพองเล็กๆ ที่มีของเหลวใสอยู่ข้างใน (vesicles) โดยมักเกิดร่วมกับอาการคันอย่างชัดเจน ในกรณีของโรคผื่นแพ้สัมผัส อาการเหล่านี้จะปรากฏขึ้นภายใน 24-72 ชั่วโมงหลังสัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้ (American Academy of Allergy, Asthma & Immunology, 2018)

ผิวแดง แสบร้อน ระคายเคือง

อาการผิวแดง แสบร้อน และระคายเคือง อาจเป็นสัญญาณของโรคโรซาเชีย (Rosacea) ซึ่งเป็นภาวะการอักเสบของผิวหนังเรื้อรัง โรคนี้มีลักษณะเด่นคือมีรอยแดงอย่างต่อเนื่องบริเวณกลางใบหน้า มีอาการหน้าแดงเป็นพักๆ อาจมองเห็นเส้นเลือดฝอยแตก และบางครั้งมีตุ่มคล้ายสิว ผู้ป่วยมักจะรู้สึกแสบร้อนหรือระคายเคืองมากกว่าอาการคัน อาการอาจกำเริบได้จากปัจจัยกระตุ้น เช่น เครื่องดื่มร้อน แอลกอฮอล์ อาหารรสจัด ความร้อน และความเครียด (Rosacea, StatPearls, 2023)

ผื่นแดงเป็นปื้นหรือเป็นวง

ผื่นแดงลักษณะเป็นปื้นหรือเป็นวงบนใบหน้าอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ ซึ่งแต่ละโรคจะมีลักษณะที่แตกต่างกันไป เช่น การติดเชื้อรา โรคสะเก็ดเงิน โรคผิวหนังอักเสบจากไขมัน และโรคผิวหนังอักเสบภูมิแพ้

ลักษณะของผื่นที่แตกต่างกันไปในแต่ละโรค มีดังนี้

  • การติดเชื้อรา (Tinea Faciei) มักมีลักษณะเป็นวงแดง ขอบนูนชัด ตรงกลางอาจดูจางลง และมักเป็นเพียงข้างเดียวของใบหน้า
  • โรคสะเก็ดเงิน (Psoriasis) เป็นปื้นแดงหนา ขอบเขตชัดเจน และมีขุยสีขาวเงินปกคลุม
  • โรคผิวหนังอักเสบจากไขมัน (Seborrheic Dermatitis) เป็นปื้นแดง มีขุยสีเหลืองและมัน มักพบบริเวณร่องจมูก คิ้ว และเปลือกตา
  • โรคผิวหนังอักเสบภูมิแพ้ (Atopic Dermatitis) เป็นปื้นแดง แห้ง คัน และเป็นขุย มักพบร่วมกับภาวะผิวแห้งโดยรวม
  • โรคแพ้ภูมิตัวเอง (Lupus) อาจมีลักษณะเป็นผื่นรูปผีเสื้อบริเวณโหนกแก้มและสันจมูก หรือเป็นผื่นวงแหวนที่ไวต่อแสง (Atopic dermatitis: Diagnosis and treatment, American Family Physician, 2020)

ประเภทของผื่นคันที่หน้า 6 แบบที่พบบ่อย

ผื่นแพ้สัมผัส (Contact Dermatitis)

ผื่นแพ้สัมผัส (Contact Dermatitis) คือภาวะผิวหนังอักเสบที่เกิดจากการสัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้หรือสารระคายเคืองโดยตรง ซึ่งส่งผลให้ผิวหนังเกิดอาการคันและอักเสบ โดยสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ได้แก่

  • ผื่นแพ้สัมผัสจากภูมิแพ้ (Allergic Contact Dermatitis – ACD): เป็นปฏิกิริยาภูมิไวเกินชนิดที่ 4 ซึ่งอาการจะปรากฏขึ้น 24-72 ชั่วโมงหลังสัมผัสสารก่อภูมิแพ้ เช่น ส่วนผสมในเครื่องสำอาง (น้ำหอม, สารกันเสีย), สีย้อมผม หรือนิกเกิล
  • ผื่นแพ้สัมผัสจากการระคายเคือง (Irritant Contact Dermatitis – ICD): เกิดจากความเสียหายโดยตรงต่อผิวหนังจากสารระคายเคือง และไม่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกัน อาการอาจเกิดขึ้นภายในไม่กี่นาทีถึงชั่วโมงหลังสัมผัส เช่น จากผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่รุนแรง หรือกรดต่างๆ และเป็นชนิดที่พบได้บ่อยที่สุด (Contact dermatitis – symptoms & causes, Mayo Clinic, 2022)

ผื่นผิวหนังอักเสบเซบเดิร์ม (Seborrheic Dermatitis)

ผื่นผิวหนังอักเสบเซบเดิร์ม (Seborrheic Dermatitis) คือภาวะผิวหนังอักเสบเรื้อรังที่พบบ่อยในบริเวณที่มีต่อมไขมันมาก โดยมีลักษณะเป็นผื่นแดงร่วมกับขุยสีเหลืองและมีความมัน เชื่อว่าเกิดจากปฏิกิริยาของผิวหนังต่อเชื้อรามาลาสซีเซีย (Malassezia) ที่เจริญเติบโตบนไขมันผิวหนัง

  • บริเวณที่พบบ่อย: หนังศีรษะ (รังแค), ร่องจมูก, คิ้ว, เปลือกตา และลำตัวส่วนบน
  • อาการ: อาจมีอาการคันเล็กน้อย แต่ผู้ป่วยมักรู้สึกแสบหรือระคายเคืองมากกว่า
  • ปัจจัยกระตุ้น: ความเครียด, อากาศเย็นและแห้ง, ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง (เช่น ในผู้ติดเชื้อ HIV) และโรคทางระบบประสาท (เช่น โรคพาร์กินสัน) สามารถทำให้อาการกำเริบได้ (Seborrheic Dermatitis: Diagnosis and Management, American Family Physician, 2015)

ลมพิษที่หน้า (Urticaria)

ลมพิษที่หน้าคือปฏิกิริยาของหลอดเลือดที่ทำให้เกิดผื่นนูนแดง คัน ซึ่งจะเกิดขึ้นและหายไปอย่างรวดเร็ว ลักษณะเด่นคือเป็นปื้นนูนแดง (wheals) ที่เมื่อกดแล้วจะจางลง โดยแต่ละปื้นจะคงอยู่ไม่เกิน 24 ชั่วโมง และมักจะหายไปภายในไม่กี่ชั่วโมงโดยไม่ทิ้งร่องรอยหรือขุย ซึ่งแตกต่างจากผื่นผิวหนังอักเสบชนิดอื่น

ลมพิษมักเกิดจากการหลั่งสารฮิสตามีนเพื่อตอบสนองต่อสารก่อภูมิแพ้ เช่น อาหาร ยา หรือแมลงสัตว์กัดต่อย ในบางกรณีอาจเกิดร่วมกับภาวะแอนจิโออีดีมา (angioedema) ซึ่งเป็นการบวมลึกบริเวณเปลือกตาหรือริมฝีปาก การรักษาลมพิษจะตอบสนองดีต่อยาแก้แพ้ (antihistamines) (Acute and chronic urticaria: Evaluation and treatment, American Family Physician, 2017)

ผื่นภูมิแพ้อากาศ (Atopic Dermatitis)

ผื่นภูมิแพ้อากาศ (Atopic Dermatitis) คือโรคผิวหนังอักเสบเรื้อรังที่เป็นๆ หายๆ ซึ่งเกี่ยวข้องกับความผิดปกติของเกราะป้องกันผิวทางพันธุกรรมและการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันที่ไวต่อสิ่งกระตุ้นมากกว่าปกติ โรคนี้มักเริ่มแสดงอาการในวัยเด็ก โดย 60% ของผู้ป่วยเริ่มมีอาการก่อนอายุ 1 ขวบ

ในทารกมักพบบริเวณแก้ม มีลักษณะเป็นผื่นแดง คัน และเป็นขุย ส่วนในผู้ใหญ่อาจพบได้บนใบหน้า เช่น เปลือกตา รอบปาก หรือหน้าผาก โดยมีลักษณะเด่นคือผิวแห้ง แดง และลอกเป็นขุยละเอียด ผู้ป่วยมักมีประวัติส่วนตัวหรือคนในครอบครัวเป็นโรคภูมิแพ้อื่นๆ ร่วมด้วย เช่น โรคหอบหืด หรือโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ (Atopic dermatitis: Diagnosis and treatment, American Family Physician, 2020)

ผื่นจากปฏิกิริยาการใช้ยา

ผื่นจากปฏิกิริยาการใช้ยา คือผื่นบนใบหน้าที่เกิดจากการใช้ยารับประทาน ซึ่งมีได้หลายรูปแบบ เช่น ผื่นคล้ายหัด ผื่นลมพิษ หรือผื่นแพ้ยาชนิดเกิดซ้ำที่เดิม โดยมักเกิดขึ้น 1-3 สัปดาห์หลังเริ่มยาใหม่ ยาที่มีความเสี่ยงสูง ได้แก่ ยาปฏิชีวนะ ยากันชัก และยาแก้อักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) หากมีอาการรุนแรง เช่น มีแผลในปากหรือตา ควรรีบพบแพทย์ทันที (Acute and chronic urticaria: Evaluation and treatment, American Family Physician, 2017)

กลุ่มอาการหน้าแดง (Red Face Syndrome)

กลุ่มอาการหน้าแดงไม่ใช่โรคจำเพาะ แต่เป็นอาการที่เกิดได้จากหลายภาวะ โดยสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดคือโรคโรซาเชีย (Rosacea) รวมถึงโรคผิวหนังอักเสบชนิดอื่น ๆ เช่น โรคผิวหนังอักเสบเซบเดิร์ม (Seborrheic Dermatitis) และโรคผิวหนังอักเสบจากการสัมผัส (Contact Dermatitis)

ภาวะเหล่านี้มีลักษณะที่แตกต่างกันไป ดังนี้

  • โรคโรซาเชีย (Rosacea): เป็นภาวะอักเสบเรื้อรัง ทำให้หน้าแดงเป็นพักๆ มีอาการแดงค้าง เส้นเลือดฝอยขยาย และอาจมีตุ่มคล้ายสิวแต่ไม่มีหัวสิว มักมีอาการแสบร้อนมากกว่าคัน และถูกกระตุ้นได้จากความร้อน แอลกอฮอล์ หรืออาหารรสจัด
  • โรคผิวหนังอักเสบเซบเดิร์ม (Seborrheic Dermatitis): มีลักษณะเป็นผื่นแดงพร้อมขุยสีเหลืองและมีความมัน มักพบบริเวณร่องจมูก คิ้ว และไรผม ซึ่งเกี่ยวข้องกับเชื้อรา Malassezia
  • โรคผิวหนังอักเสบจากการสัมผัส (Contact Dermatitis): เกิดจากการแพ้หรือระคายเคืองสารที่สัมผัสผิวหน้า เช่น เครื่องสำอางหรือผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่รุนแรง ทำให้เกิดผื่นแดง คัน และมักมีขอบเขตชัดเจนในบริเวณที่สัมผัส
  • โรคแพ้ภูมิตัวเอง (Lupus): อาจทำให้เกิดผื่นแดงรูปผีเสื้อ (malar rash) บริเวณโหนกแก้มและสันจมูก โดยมักเว้นร่องแก้ม และไวต่อแสง (Rosacea, StatPearls [Internet], 2023)

วิธีรักษาผื่นคันที่หน้าให้หายขาด

โดยทั่วไปแล้ว ผื่นคันเรื้อรังที่ใบหน้าไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่เป้าหมายหลักของการรักษาคือการควบคุมอาการให้อยู่ในระยะสงบให้นานที่สุด และลดความถี่และความรุนแรงของการกำเริบ

แนวทางการจัดการระยะยาวประกอบด้วย:

  • การหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้น: ระบุและหลีกเลี่ยงสิ่งที่ทำให้เกิดผื่น เช่น สารก่อภูมิแพ้ในเครื่องสำอาง สารระคายเคือง ความเครียด หรือสภาพอากาศ
  • การดูแลผิวอย่างอ่อนโยน: ใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่ไม่มีสบู่และน้ำหอม ร่วมกับการทามอยส์เจอไรเซอร์เป็นประจำเพื่อเสริมสร้างเกราะป้องกันผิว
  • การใช้ยาเฉพาะที่: ในช่วงที่ผื่นกำเริบ แพทย์อาจสั่งยาเพื่อลดการอักเสบและอาการคัน เช่น ครีมสเตียรอยด์ชนิดอ่อน หรือยากลุ่ม Calcineurin inhibitors (Tacrolimus, Pimecrolimus) ซึ่งปลอดภัยกว่าสำหรับการใช้บนใบหน้าในระยะยาว
  • การรักษาต่อเนื่องเพื่อควบคุมโรค: สำหรับผู้ที่เป็นผื่นเรื้อรัง แพทย์อาจแนะนำให้ใช้ยาบางชนิดอย่างต่อเนื่องแม้ในช่วงที่ไม่มีอาการ (เช่น ทายา Tacrolimus สัปดาห์ละ 2 ครั้ง) เพื่อป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ
  • การรักษาขั้นสูง: ในกรณีที่อาการรุนแรงและไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยาเฉพาะที่ อาจพิจารณาการรักษาด้วยวิธีอื่น เช่น การฉายแสง (Phototherapy) หรือการใช้ยาชีวภาพ (Biologics) ซึ่งเป็นการรักษาที่มุ่งเป้าไปที่ระบบภูมิคุ้มกัน (Atopic dermatitis: Diagnosis and treatment, American Family Physician, 2020)

การรักษาด้วยยาทาและครีมแก้แพ้

การรักษาผื่นแพ้บนใบหน้าด้วยยาทาโดยทั่วไป ประกอบด้วยยาทากลุ่มสเตียรอยด์ ยาทากลุ่มที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ และยาทาสำหรับภาวะเฉพาะทาง การเลือกใช้ยาขึ้นอยู่กับชนิดและความรุนแรงของผื่น

  • ยาทากลุ่มคอร์ติโคสเตียรอยด์ (Topical Corticosteroids): เป็นยาหลักในการลดการอักเสบ รอยแดง และอาการคัน สำหรับผิวหน้าจะใช้ชนิดที่มีความแรงต่ำ เช่น ไฮโดรคอร์ติโซน (Hydrocortisone) หรือเดโซไนด์ (Desonide) และควรใช้ในระยะเวลาสั้นๆ เพื่อลดผลข้างเคียง
  • ยาทากลุ่มแคลซินูริน อินฮิบิเตอร์ (Topical Calcineurin Inhibitors – TCIs): เป็นยาทางเลือกที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ เช่น ทาโครลิมัส (Tacrolimus) และพิเมโครลิมัส (Pimecrolimus) เหมาะสำหรับผิวบอบบาง เช่น เปลือกตา และสามารถใช้เพื่อควบคุมอาการในระยะยาวได้
  • ยาต้านจุลชีพและยาต้านเชื้อรา (Topical Antimicrobials and Antifungals): ใช้เมื่อมีสาเหตุจากการติดเชื้อร่วมด้วย เช่น คีโตโคนาโซล (Ketoconazole) สำหรับโรคผิวหนังอักเสบจากไขมัน (Seborrheic Dermatitis) หรือเมโทรนิดาโซล (Metronidazole) สำหรับโรคโรซาเชีย (Rosacea)
  • ผลิตภัณฑ์ให้ความชุ่มชื้นและซ่อมแซมเกราะป้องกันผิว (Moisturizers): เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการรักษาและป้องกัน ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ปราศจากน้ำหอมและมีส่วนผสมของเซราไมด์ (Ceramide) เพื่อช่วยฟื้นฟูเกราะป้องกันผิว (Atopic dermatitis: Diagnosis and treatment, American Family Physician, 2020)

การรักษาด้วยยากินแก้ผื่นคัน ผิวหนังอักเสบ

การรักษาผื่นคันและผิวหนังอักเสบด้วยยากินมีหลายกลุ่มหลัก ซึ่งแพทย์จะเลือกใช้ตามความรุนแรงและสาเหตุของโรค

โดยทั่วไปยาที่ใช้ในการรักษามีดังนี้

  • ยาต้านฮิสตามีน (Antihistamines) ใช้เพื่อบรรเทาอาการคันที่เกิดจากฮิสตามีน เช่น ในลมพิษ หรือใช้ยาชนิดที่ทำให้ง่วง (รุ่นที่ 1) เพื่อช่วยลดการเกาตอนกลางคืนในผู้ป่วยผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง
  • ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ชนิดรับประทาน (Oral Corticosteroids) เช่น เพรดนิโซโลน (Prednisolone) ใช้สำหรับผื่นอักเสบรุนแรงและเฉียบพลัน โดยใช้ในระยะสั้นและต้องค่อยๆ ลดขนาดยาลงเพื่อป้องกันการกำเริบของโรค
  • ยากดภูมิคุ้มกัน (Systemic Immunosuppressants) สำหรับผู้ป่วยโรคเรื้อรังและรุนแรงที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาอื่น เช่น ไซโคลสปอริน (Cyclosporine), เมโธเทรกเซท (Methotrexate) และยากลุ่มใหม่ เช่น JAK inhibitors ซึ่งต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด (Atopic dermatitis: Diagnosis and treatment, American Family Physician, 2020)

การรักษาด้วยเลเซอร์และเทคโนโลยีทางการแพทย์

การรักษาด้วยเลเซอร์และแสงบำบัดใช้สำหรับรักษารอยแดงและเส้นเลือดฝอยที่ยังคงอยู่ในโรคโรซาเชียเป็นหลัก ในขณะที่การฉายแสง (Phototherapy) เป็นวิธีการรักษาสำหรับโรคผิวหนังอักเสบภูมิแพ้เรื้อรัง

เทคโนโลยีทางการแพทย์ขั้นสูงที่ใช้ในการรักษาผื่นผิวหนังอักเสบบนใบหน้า ได้แก่

  • เลเซอร์สำหรับเส้นเลือด (Vascular Lasers): เช่น Pulsed Dye Laser (PDL) และ Intense Pulsed Light (IPL) มีประสิทธิภาพในการลดรอยแดงและเส้นเลือดฝอยที่มองเห็นได้ในผู้ป่วยโรคโรซาเชีย (Rosacea) โดยการกำหนดเป้าหมายไปที่หลอดเลือดโดยตรง
  • การฉายแสง (Phototherapy): การฉายแสงอัลตราไวโอเลตบีชนิดคลื่นแคบ (Narrow-band UVB) เป็นการรักษาที่เป็นที่ยอมรับสำหรับโรคผิวหนังอักเสบภูมิแพ้ (Atopic Dermatitis) และโรคสะเก็ดเงิน (Psoriasis) โดยจะช่วยปรับการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันที่ผิวหนัง
  • ยาชีววัตถุ (Biologics): สำหรับผู้ป่วยโรคผิวหนังอักเสบภูมิแพ้ระดับปานกลางถึงรุนแรงที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยวิธีอื่น ยาอย่าง Dupilumab จะช่วยยับยั้งการอักเสบที่ต้นเหตุและสามารถควบคุมอาการผื่นบริเวณใบหน้าได้ดี
  • การรักษาแบบใหม่ (Emerging Therapies): รวมถึงยาในกลุ่ม JAK inhibitors ทั้งในรูปแบบรับประทานและยาทา ซึ่งออกฤทธิ์ยับยั้งการอักเสบได้อย่างรวดเร็ว และการบำบัดด้วยแสง LED ซึ่งกำลังมีการศึกษาเพื่อช่วยลดการอักเสบ (Efficacy comparison of pulsed dye laser vs. microsecond 1064-nm nd:yag laser in rosacea: a prospective trial, Frontiers in Medicine, 2022)

การดูแลผิวหน้าเพื่อบรรเทาอาการคัน

การบรรเทาอาการคันบนใบหน้าสามารถทำได้โดย การประคบเย็น ใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่อ่อนโยน และทามอยส์เจอไรเซอร์อย่างสม่ำเสมอ วิธีการดูแลผิวเบื้องต้นเพื่อลดอาการคัน ได้แก่:

  • ประคบเย็น: ใช้ผ้าสะอาดชุบน้ำเย็นประคบบริเวณที่มีอาการคัน 5-10 นาทีเพื่อช่วยลดอาการคันและการอักเสบ
  • ทำความสะอาดอย่างอ่อนโยน: ใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่ปราศจากสบู่ น้ำหอม และสารที่ก่อให้เกิดการระคายเคืองร่วมกับน้ำอุณหภูมิปกติ และซับหน้าเบาๆ ให้แห้ง
  • ทามอยส์เจอไรเซอร์ทันที: หลังล้างหน้าควรทามอยส์เจอไรเซอร์ภายใน 3 นาทีเพื่อกักเก็บความชุ่มชื้นไว้ในผิว ควรเลือกสูตรที่ปราศจากน้ำหอมและเหมาะสำหรับผิวแพ้ง่าย
  • ใช้ผลิตภัณฑ์ลดอาการคันที่หาซื้อได้เอง: สำหรับอาการคันเล็กน้อย สามารถใช้ครีมไฮโดรคอร์ติโซน 1% ในระยะสั้นๆ (ไม่เกิน 1 สัปดาห์) หรือโลชั่นที่มีส่วนผสมของคาลาไมน์หรือพรานอกซีน
  • หลีกเลี่ยงการเกาและสารระคายเคือง: ตัดเล็บให้สั้นเพื่อลดความเสียหายต่อผิวหนัง และหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีแอลกอฮอล์หรือน้ำหอม (American Academy of Dermatology, n.d.)

วิธีแก้ผื่นคันที่หน้าด้วยตัวเอง

การดูแลตัวเองเบื้องต้นสำหรับผื่นคันที่หน้าคือการใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยน ประคบเย็นเพื่อลดอาการคัน และใช้ยาที่หาซื้อได้เอง โดยสามารถปฏิบัติตามคำแนะนำต่างๆ เพื่อบรรเทาอาการได้ดังนี้

  • ประคบเย็น ใช้ผ้าสะอาดชุบน้ำเย็นประคบบริเวณที่มีอาการประมาณ 5-10 นาที เพื่อช่วยลดอาการคันและแสบร้อน
  • ทายาที่หาซื้อได้เอง
    • ครีมไฮโดรคอร์ติโซน 1% ใช้ทาบางๆ บริเวณผื่น วันละ 1-2 ครั้ง เพื่อลดการอักเสบและอาการคัน แต่ไม่ควรใช้ติดต่อกันนานเกิน 1 สัปดาห์
    • โลชั่นแก้คัน เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของคาลาไมน์ (Calamine) หรือพรานอกซีน (Pramoxine) เพื่อบรรเทาอาการคัน
  • ให้ความชุ่มชื้น ทามอยส์เจอไรเซอร์ที่อ่อนโยนและปราศจากน้ำหอมอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง โดยเฉพาะหลังล้างหน้าภายใน 3 นาทีเพื่อกักเก็บความชุ่มชื้น
  • ทำความสะอาดอย่างอ่อนโยน ใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่อ่อนโยน มีค่า pH สมดุล และปราศจากน้ำหอม ล้างด้วยน้ำอุณหภูมิปกติและซับหน้าเบาๆ แทนการถู
  • รับประทานยาแก้แพ้ หากมีอาการคันจากภูมิแพ้ สามารถรับประทานยาแก้แพ้ชนิดไม่ง่วงในตอนกลางวัน หรือยาแก้แพ้ชนิดง่วงในตอนกลางคืนเพื่อช่วยให้นอนหลับได้ดีขึ้น
  • หลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้น งดใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีน้ำหอมหรือแอลกอฮอล์ และปกป้องผิวจากแสงแดดด้วยครีมกันแดดชนิดมิเนอรัล (Mineral sunscreen)

ควรไปพบแพทย์หากผื่นรุนแรงขึ้น ลุกลาม ไม่ดีขึ้นหลังใช้ยาไฮโดรคอร์ติโซน 1 สัปดาห์ หรือมีอาการน่ากังวลอื่นๆ เช่น มีไข้ หรือมีตุ่มน้ำพอง (Home remedies: What can relieve itchy eczema, American Academy of Dermatology, n.d.)

การประคบเย็นบริเวณที่มีผื่นคัน

การประคบเย็นเป็นวิธีที่แพทย์ผิวหนังแนะนำอย่างยิ่งเพื่อบรรเทาอาการคัน การใช้ผ้าสะอาดนุ่มๆ ชุบน้ำเย็น (ไม่ใช่น้ำแข็ง) ประคบบริเวณผื่นจะช่วยให้หลอดเลือดหดตัวและทำให้รู้สึกชา ซึ่งช่วยลดอาการคันและแสบร้อนได้ภายในไม่กี่นาที ควรประคบไว้ประมาณ 5-10 นาที และหลังจากนั้นควรทามอยส์เจอไรเซอร์ทันทีเพื่อป้องกันผิวแห้ง วิธีนี้ปลอดภัยและสามารถทำซ้ำได้ตามต้องการ (American Academy of Allergy, Asthma & Immunology, 2024)

การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่เหมาะสม

การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่เหมาะสมสำหรับผู้ที่มีภาวะผิวหนังอักเสบบนใบหน้าคือการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยน ปราศจากสารก่อภูมิแพ้ และมีส่วนผสมน้อยที่สุด เพื่อลดความเสี่ยงในการสัมผัสกับสารที่ก่อให้เกิดการระคายเคืองหรืออาการแพ้

คำแนะนำที่สำคัญในการเลือกผลิตภัณฑ์ ได้แก่

  • ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด: เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยน ไม่มีส่วนผสมของสบู่ (non-soap) มีค่า pH ที่สมดุล และปราศจากน้ำหอมและสารซัลเฟตที่รุนแรง
  • มอยส์เจอไรเซอร์: ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ปราศจากน้ำหอมและสารก่อภูมิแพ้ (hypoallergenic) อย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง โดยเฉพาะหลังล้างหน้าเพื่อกักเก็บความชุ่มชื้น
  • ครีมกันแดด: เลือกใช้ครีมกันแดดชนิดกายภาพ (Physical/Mineral Sunscreen) ที่มีส่วนผสมของซิงค์ออกไซด์หรือไทเทเนียมไดออกไซด์ ซึ่งมีโอกาสระคายเคืองน้อยกว่า
  • หลีกเลี่ยงส่วนผสมที่ระคายเคือง: ควรหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของน้ำหอม แอลกอฮอล์ พาราเบน และกรดผลัดเซลล์ผิวที่รุนแรง
  • ทดสอบผลิตภัณฑ์ใหม่: ก่อนใช้ผลิตภัณฑ์ใหม่กับใบหน้า ควรทดลองทาบริเวณเล็กๆ เช่น หลังหูหรือท้องแขน เป็นเวลาสองสามวันเพื่อดูว่ามีอาการแพ้หรือไม่ (Mayo Clinic, 2022)

การหลีกเลี่ยงสารระคายเคืองและแสงแดด

การหลีกเลี่ยงสารระคายเคืองทำได้โดยใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยนและปราศจากน้ำหอม ส่วนการป้องกันแสงแดดควรใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30+ และเป็นชนิด Physical การป้องกันการกำเริบของผื่นผิวหนังอักเสบที่ใบหน้าสามารถทำได้โดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม

  • การหลีกเลี่ยงสารระคายเคือง:
    • เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดและให้ความชุ่มชื้นที่อ่อนโยน มีค่า pH ที่สมดุล ปราศจากน้ำหอม และสารซักฟอกที่รุนแรง เช่น โซเดียม ลอริล ซัลเฟต (SLS)
    • หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ สารขัดผิวที่หยาบกร้าน และกรดผลัดเซลล์ผิวที่เข้มข้น
    • ทดสอบผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ กับบริเวณผิวหนังเล็กๆ เช่น หลังใบหู ก่อนใช้กับใบหน้า
  • การป้องกันแสงแดด:
    • ใช้ครีมกันแดดในวงกว้าง (Broad-spectrum) ที่มีค่า SPF 30 ขึ้นไปเป็นประจำทุกวัน
    • เลือกใช้ครีมกันแดดชนิด Physical (Mineral-based) ที่มีส่วนผสมของซิงค์ออกไซด์ (Zinc Oxide) หรือไทเทเนียมไดออกไซด์ (Titanium Dioxide) ซึ่งมักก่อให้เกิดการระคายเคืองน้อยกว่าชนิด Chemical (Mayo Clinic, 2022)

รักษาผื่นคันที่หน้าด้วยตัวเองได้หรือไม่

สามารถรักษาผื่นคันที่ไม่รุนแรงบนใบหน้าได้ด้วยตนเอง โดยใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่อ่อนโยนและยาที่หาซื้อได้เอง เช่น ครีมไฮโดรคอร์ติโซน 1% ทาบางๆ บริเวณที่เป็นผื่นได้ไม่เกิน 7 วัน ควบคู่กับการใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดและมอยส์เจอไรเซอร์ที่ปราศจากน้ำหอม

หากอาการไม่ดีขึ้นภายในหนึ่งสัปดาห์ แย่ลง หรือเป็นผื่นเรื้อรัง ควรไปพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยที่ถูกต้อง อย่างไรก็ตาม ควรรีบไปพบแพทย์ทันทีหากมีสัญญาณอันตรายดังต่อไปนี้

  • มีอาการบวมที่ใบหน้า ริมฝีปาก หรือลิ้น
  • มีไข้สูงหรือรู้สึกไม่สบาย
  • ผื่นลามอย่างรวดเร็วหรือมีแผลพุพอง
  • มีแผลในปากหรือเยื่อบุตา (Scratching the Surface on Skin Allergies, American Academy of Allergy, Asthma & Immunology, 2024)

กรณีที่สามารถรักษาเองได้

สามารถรักษาผื่นผิวหนังอักเสบบนใบหน้าด้วยตนเองได้ในกรณีที่มีอาการไม่รุนแรง โดยผื่นจะขึ้นเฉพาะที่ ไม่ลุกลามอย่างรวดเร็ว และผู้ป่วยพอจะทราบสาเหตุที่ไม่เป็นอันตราย เช่น การระคายเคืองจากผลิตภัณฑ์ล้างหน้าตัวใหม่

การดูแลตนเองเบื้องต้นสามารถทำได้โดยการใช้ครีมไฮโดรคอร์ติโซน 1% ที่หาซื้อได้เอง ร่วมกับการทามอยส์เจอไรเซอร์เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้น อย่างไรก็ตาม หากอาการไม่ดีขึ้นภายใน 7 วัน หรือผื่นแย่ลง ควรไปพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสม (Contact dermatitis overview: Symptoms, treatment & management, American Academy of Allergy, Asthma & Immunology, 2018)

กรณีที่ต้องพบแพทย์ผิวหนัง

ควรไปพบแพทย์ผิวหนังเมื่อผื่นบนใบหน้ามีอาการรุนแรง ไม่ดีขึ้นหลังการดูแลตนเอง เป็นซ้ำๆ หรือมีสัญญาณอันตราย โดยเฉพาะในกรณีต่อไปนี้

  • ผื่นไม่ดีขึ้นภายใน 7 วันหลังจากใช้ยาที่หาซื้อได้เอง หรือมีอาการแย่ลง
  • ผื่นมีอาการรุนแรง เช่น คันมาก บวมมาก หรือลุกลามเป็นบริเวณกว้าง
  • ผื่นเกิดขึ้นซ้ำๆ หรือเป็นเรื้อรัง
  • ไม่แน่ใจสาเหตุของผื่น ซึ่งอาจนำไปสู่การรักษาที่ผิดวิธี
  • ผื่นเกิดขึ้นในบริเวณที่บอบบาง เช่น รอบดวงตา
  • มีอาการที่เป็นสัญญาณอันตรายร่วมด้วย เช่น มีไข้สูง หน้าบวม ลิ้นบวม มีแผลในปาก หรือผื่นลุกลามอย่างรวดเร็ว (American Academy of Allergy, Asthma & Immunology, 2018)

อาการคันบอกโรคที่ต่อเนื่อง

อาการคันที่ต่อเนื่องหรือเรื้อรัง (นานกว่า 6 สัปดาห์) เป็นลักษณะสำคัญของโรคผิวหนังอักเสบเรื้อรัง ภาวะนี้มักนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงของผิวหนัง เช่น ผิวหนาขึ้นและมีลายเส้นชัดเจน (lichenification) จากการเกาซ้ำๆ ซึ่งเป็นผลมาจาก “วงจรคัน-เกา” ที่การเกายิ่งกระตุ้นให้เกิดการอักเสบและอาการคันมากขึ้น โรคที่มักแสดงอาการคันเรื้อรังคือโรคผิวหนังอักเสบภูมิแพ้ (atopic dermatitis) (Pruritus: A sensory symptom generated in cutaneous immuno-neuronal crosstalk, Frontiers in Pharmacology, 2022)

เปรียบเทียบวิธีรักษาผื่นคันที่หน้า

การรักษาด้วยยากับการรักษาด้วยเลเซอร์

การรักษาด้วยยาเป็นการรักษาหลักเพื่อควบคุมการอักเสบและอาการคันของโรคผิวหนังอักเสบ ในขณะที่การรักษาด้วยเลเซอร์และแสงบำบัดมักใช้เพื่อจัดการกับรอยแดง เส้นเลือดฝอย หรือเป็นการรักษาเสริมในกรณีเรื้อรัง โดยยาจะออกฤทธิ์ต้านการอักเสบ กดภูมิคุ้มกัน หรือต้านจุลชีพ ในขณะที่เลเซอร์จะมุ่งเป้าไปที่โครงสร้างเฉพาะของผิวหนัง เช่น เส้นเลือด

ตารางเปรียบเทียบการรักษาทั้งสองวิธี:

ลักษณะ การรักษาด้วยยา (Drug Treatments) การรักษาด้วยเลเซอร์และแสงบำบัด (Laser and Light Treatments)
เป้าหมายหลัก ควบคุมการอักเสบ อาการคัน และกระบวนการพื้นฐานของโรค ลดรอยแดงที่คงอยู่ เส้นเลือดฝอยที่มองเห็น และการเปลี่ยนแปลงของผิว
ภาวะที่รักษา ผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง (Atopic dermatitis), ผื่นแพ้สัมผัส (Contact dermatitis), ผื่นผิวหนังอักเสบจากไขมัน (Seborrheic dermatitis), โรคโรซาเซียชนิดตุ่มนูนและตุ่มหนอง โรคโรซาเซีย (รอยแดง อาการหน้าแดง เส้นเลือดฝอย), รอยแดงหลังการอักเสบ, รอยแผลเป็นบางชนิด และการฉายแสง (Phototherapy) สำหรับผื่นภูมิแพ้ผิวหนังเรื้อรัง
กลไกการออกฤทธิ์ ต้านการอักเสบ กดภูมิคุ้มกัน หรือต้านจุลชีพ มุ่งเป้าไปที่โครงสร้างเฉพาะ (เช่น เส้นเลือด) ด้วยความร้อน หรือปรับการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันด้วยแสงยูวี
ตัวอย่าง ยาสเตียรอยด์ชนิดทา, ทาโครลิมัส (Tacrolimus), ยาแก้แพ้ชนิดรับประทาน, ดูพลิแมบ (Dupilumab) Pulsed Dye Laser (PDL), Intense Pulsed Light (IPL), การบำบัดด้วยแสง UVB ชนิดคลื่นแคบ (NB-UVB)
บทบาทในการรักษา เป็นการรักษาหลักและต่อเนื่องสำหรับผื่นผิวหนังอักเสบส่วนใหญ่ เป็นการรักษาร่วมหรือการรักษาเฉพาะทาง มักใช้เพื่อความสวยงามหรือสำหรับกรณีที่ไม่ตอบสนองต่อยา (Efficacy comparison of pulsed dye laser vs. microsecond 1064-nm Nd:YAG laser in rosacea: a prospective trial, Frontiers in Medicine, 2022)

การรักษาที่คลินิกกับการรักษาด้วยตัวเอง

การรักษาด้วยตัวเองเหมาะสำหรับผื่นที่ไม่รุนแรงและทราบสาเหตุ ในขณะที่การรักษาที่คลินิกจำเป็นสำหรับผื่นระดับปานกลางถึงรุนแรง เรื้อรัง หรือผื่นที่ไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด การดูแลตัวเองและการรักษาที่คลินิกมีความแตกต่างกันดังนี้

  • การรักษาด้วยตัวเอง: เหมาะสำหรับผื่นอักเสบเล็กน้อยที่ทราบสาเหตุและไม่ลุกลามอย่างรวดเร็ว โดยใช้ผลิตภัณฑ์ที่หาซื้อได้เอง เช่น ครีมไฮโดรคอร์ติโซน 1%, โลชั่นแก้คัน, การให้ความชุ่มชื้น และการหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้น หากอาการไม่ดีขึ้นภายใน 7 วัน ควรไปพบแพทย์
  • การรักษาที่คลินิก: จำเป็นสำหรับผื่นระดับปานกลางถึงรุนแรง, ผื่นเรื้อรัง, ผื่นที่ลุกลามรวดเร็ว หรือเมื่อมีอาการที่เป็นสัญญาณอันตราย เช่น มีไข้ หรือมีแผลในปาก แพทย์ผิวหนังจะวินิจฉัยสาเหตุที่แท้จริงผ่านการทดสอบต่างๆ และให้การรักษาด้วยยาที่สั่งโดยแพทย์ เช่น สเตียรอยด์ที่แรงขึ้น, ยาทากลุ่ม Calcineurin Inhibitors (TCIs) ไปจนถึงการรักษาขั้นสูง เช่น การฉายแสงเลเซอร์ และยาชีวภาพ (Contact Dermatitis Overview: Symptoms, Treatment & Management, American Academy of Allergy, Asthma & Immunology, 2018)

ระยะเวลาและต้นทุนในการรักษาแต่ละวิธี

ระยะเวลาและต้นทุนในการรักษาผื่นผิวหนังอักเสบบนใบหน้าจะแตกต่างกันอย่างมาก ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรคและวิธีการรักษาที่เลือกใช้ โดยสรุปได้ดังนี้

วิธีการรักษา ระยะเวลา ต้นทุนและประกัน
ยาทาเฉพาะที่ สเตียรอยด์: ใช้ระยะสั้น 1-2 สัปดาห์<br>ยากลุ่ม Calcineurin Inhibitors: ใช้ได้ในระยะยาว อาจใช้สัปดาห์ละ 2 ครั้งเพื่อควบคุมโรค สเตียรอยด์: มีทั้งแบบหาซื้อเองได้และตามใบสั่งแพทย์ มีราคาสามัญ (Generic) ที่ไม่แพง<br>ยากลุ่ม Calcineurin Inhibitors: ราคาสูงกว่า แต่มียาสามัญจำหน่ายแล้ว
ยารับประทาน ยาแก้แพ้: ใช้ตามความจำเป็น ออกฤทธิ์นาน 24 ชั่วโมง<br>ยากดภูมิคุ้มกัน/ยาชีวภาพ: ใช้ระยะยาว เช่น ฉีดทุก 2 สัปดาห์ หรือรับประทานต่อเนื่อง ยาแก้แพ้: ส่วนใหญ่หาซื้อเองได้ ราคาไม่แพง<br>ยากดภูมิคุ้มกัน/ยาชีวภาพ: มีราคาสูงถึงสูงมาก แต่ประกันสุขภาพมักครอบคลุมสำหรับกรณีรุนแรง
การฉายแสง (Phototherapy) 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ เป็นเวลาหลายเดือน (เช่น 3 เดือน) ประกันสุขภาพมักครอบคลุมหากมีข้อบ่งชี้ทางการแพทย์
เลเซอร์และแสง (Laser/IPL) ทำเป็นชุด 2-5 ครั้ง ห่างกัน 4-6 สัปดาห์ต่อครั้ง อาจต้องมีระยะเวลาพักฟื้น 1-2 สัปดาห์ มีราคาสูงและโดยทั่วไปถือเป็นการรักษาเพื่อความงาม ประกันจึงมักไม่ครอบคลุม (Rosacea, StatPearls Publishing, 2023)

วิธีป้องกันผื่นคันที่หน้า

การป้องกันผื่นคันที่หน้าสามารถทำได้โดยการดูแลผิวอย่างอ่อนโยน หลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้น และปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต การป้องกันการเกิดผื่นซ้ำเป็นสิ่งสำคัญในการจัดการระยะยาว ซึ่งทำได้หลายวิธีดังนี้

  • การดูแลผิวประจำวัน: ใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่อ่อนโยน ปราศจากสบู่และน้ำหอม และทามอยส์เจอไรเซอร์อย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง เพื่อให้เกราะป้องกันผิวแข็งแรง นอกจากนี้ควรทาครีมกันแดดที่มีส่วนผสมจากแร่ธาตุ (mineral-based) เป็นประจำ
  • การหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้น: หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีสารก่อภูมิแพ้ที่พบบ่อย เช่น น้ำหอม พาราเบน หรือโลหะบางชนิด หากอยู่ในสภาพอากาศแห้งหรือเย็น ควรใช้เครื่องทำความชื้นและปกป้องผิวจากลม
  • การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตและอาหาร: รับประทานอาหารที่ช่วยต้านการอักเสบ เช่น ผัก ผลไม้ และปลาที่มีไขมันโอเมก้า 3 สูง พร้อมทั้งหลีกเลี่ยงอาหารที่กระตุ้นอาการเฉพาะบุคคล เช่น อาหารรสจัดหรือแอลกอฮอล์ การจัดการความเครียด การนอนหลับให้เพียงพอ และการงดสูบบุหรี่ก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน (Mayo Clinic, 2022)

เลือกเครื่องสำอางที่ไม่ระคายเคืองและเหมาะกับผิว

ควรเลือกเครื่องสำอางที่ระบุว่า “hypoallergenic” (สำหรับผิวแพ้ง่าย) และ “fragrance-free” (ปราศจากน้ำหอม) เพื่อลดความเสี่ยงในการระคายเคือง นอกจากนี้ ควรพิจารณาคำแนะนำต่อไปนี้

  • มองหาฉลาก: เลือกผลิตภัณฑ์ที่มีฉลาก “for sensitive skin” (สำหรับผิวบอบบาง) หรือ “dermatologist tested” (ผ่านการทดสอบโดยแพทย์ผิวหนัง)
  • เลือกเครื่องสำอางมิเนอรัล: เครื่องสำอางประเภทมิเนอรัล (mineral-based) เช่น รองพื้นที่มีส่วนผสมของซิงค์หรือไทเทเนียม มักจะอ่อนโยนกว่า
  • เลือกครีมกันแดด Physical: ครีมกันแดดที่มีส่วนผสมของซิงค์ออกไซด์ (zinc oxide) และไทเทเนียมไดออกไซด์ (titanium dioxide) มีโอกาสระคายเคืองน้อยกว่าแบบ Chemical
  • ทดสอบก่อนใช้: ก่อนใช้ผลิตภัณฑ์ใหม่กับใบหน้า ควรทดสอบกับผิวบริเวณเล็กๆ เช่น ท้องแขนหรือหลังหู เป็นเวลาสองสามวัน เพื่อดูว่ามีอาการแพ้หรือไม่ (Mayo Clinic, 2022)

ป้องกันผิวจากมลภาวะและฝุ่น PM 2.5

การป้องกันผิวจากมลภาวะและฝุ่น PM 2.5 สามารถทำได้โดยการทำความสะอาดผิวหน้าอย่างอ่อนโยน ใช้ผลิตภัณฑ์ต้านอนุมูลอิสระ และสร้างเกราะป้องกันผิว แนวทางปฏิบัติเพื่อลดผลกระทบจากมลภาวะ ได้แก่

  • ทำความสะอาดผิว: ล้างหน้าอย่างอ่อนโยนเมื่อสิ้นสุดวัน เพื่อกำจัดอนุภาคของมลพิษ
  • ใช้สารต้านอนุมูลอิสระ: ทาเซรั่มที่มีส่วนผสมของวิตามินซีหรือวิตามินอี เพื่อช่วยต่อต้านความเสียหายจากอนุมูลอิสระ
  • สร้างเกราะป้องกัน: ทาครีมที่เป็นเกราะป้องกันผิว (Barrier cream) เพื่อป้องกันไม่ให้มลพิษสัมผัสกับผิวโดยตรง
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัส: จำกัดเวลาอยู่นอกอาคารในวันที่มีมลพิษสูง และใช้เครื่องฟอกอากาศภายในอาคาร (Air pollution and atopic dermatitis: The role of oxidative stress, International Journal of Dermatology, 2024)

ดูแลผิวหน้าอย่างถูกวิธีและพักผ่อนให้เพียงพอ

การดูแลผิวหน้าอย่างถูกวิธีและการพักผ่อนให้เพียงพอเป็นพื้นฐานสำคัญในการป้องกันและจัดการผื่นผิวหนังอักเสบที่ใบหน้า ซึ่งสามารถทำได้โดยปฏิบัติตามคำแนะนำต่อไปนี้

  • การดูแลผิว:
    • เลือกผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยน: ใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดและมอยส์เจอไรเซอร์ที่ปราศจากน้ำหอมและสารก่อภูมิแพ้
    • ทำความสะอาดอย่างถูกวิธี: ล้างหน้าด้วยน้ำอุ่น (ไม่ร้อน) และซับให้แห้งเบาๆ จากนั้นทามอยส์เจอไรเซอร์ภายใน 3 นาทีเพื่อกักเก็บความชุ่มชื้น
    • ปกป้องผิว: ใช้ครีมกันแดดชนิด mineral-based ที่มีค่า SPF 30+ ทุกวันเพื่อป้องกันการระคายเคืองจากแสงแดด
  • การพักผ่อน:
    • การอดนอนจะกระตุ้นการอักเสบและขัดขวางกระบวนการซ่อมแซมของผิวหนัง
    • ควรนอนหลับให้มีคุณภาพ 7-9 ชั่วโมงต่อคืน เพื่อให้ผิวได้ฟื้นฟูและซ่อมแซมตัวเอง (Atopic dermatitis: Diagnosis and treatment, American Family Physician, 2020)

หลีกเลี่ยงอาหารที่ทำให้เกิดอาการแพ้

ไม่แนะนำให้งดอาหารกลุ่มใหญ่ ๆ เพื่อรักษาผื่นผิวหนังอักเสบหากไม่ได้รับการยืนยันการแพ้ที่ชัดเจน การแพ้อาหารที่แท้จริงมักทำให้เกิดลมพิษหรืออาการบวมเฉียบพลันมากกว่าผื่นผิวหนังอักเสบเรื้อรัง แม้ว่าอาจทำให้อาการแย่ลงในเด็กบางคนได้ หากสงสัยว่าอาหารชนิดใดเป็นตัวกระตุ้น ควรปรึกษาแพทย์เพื่อทำการทดสอบที่เหมาะสม เนื่องจากการงดอาหารโดยไม่มีข้อบ่งชี้ที่ชัดเจนอาจนำไปสู่ภาวะขาดสารอาหารและไม่พบว่ามีประโยชน์ในระยะยาวสำหรับผู้ป่วยส่วนใหญ่ (A look at the food elimination diet trend for atopic dermatitis, National Eczema Association, 2023)

การเลือกคลินิกเพื่อรักษาผื่นคันที่หน้า

สิ่งที่ควรพิจารณาเมื่อเลือกคลินิกผิวหนัง

สิ่งสำคัญที่สุดคือการเลือกคลินิกที่มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังที่ได้รับการรับรอง (board-certified dermatologist) เพื่อให้มั่นใจว่าแพทย์มีความรู้ความชำนาญและได้รับการฝึกฝนมาอย่างเหมาะสม นอกจากนี้ ควรพิจารณาปัจจัยอื่นๆ ประกอบด้วย:

  • ความเชี่ยวชาญเฉพาะทางของคลินิก เช่น การทดสอบภูมิแพ้ผิวหนัง (patch testing) หรือการรักษาขั้นสูงอย่างการฉายแสง (phototherapy) และเลเซอร์
  • การเข้าถึงบริการ เช่น ที่ตั้ง ความสะดวกในการนัดหมาย และทางเลือกในการปรึกษาทางไกล (teledermatology)
  • สิทธิ์ประกันสุขภาพและค่าใช้จ่าย โดยเฉพาะการรักษาเพื่อความงามซึ่งมักไม่ครอบคลุมในประกัน
  • ความต้องการเฉพาะทาง เช่น การเลือกแพทย์ผิวหนังสำหรับเด็ก (pediatric dermatologist) หรือแพทย์ที่มีประสบการณ์ในการดูแลผิวของคนที่มีสีผิวแตกต่างกัน (Atopic dermatitis: Diagnosis and treatment, American Family Physician, 2020)

เทคโนโลยีและการรักษาที่คลินิกควรมี

คลินิกผิวหนังควรมีเครื่องมือวินิจฉัย เช่น การทดสอบภูมิแพ้ผิวหนัง (Patch Test) การรักษาด้วยการฉายแสง (Phototherapy) เลเซอร์ และการเข้าถึงยาที่ออกฤทธิ์จำเพาะ เพื่อให้สามารถดูแลผู้ป่วยโรคผื่นผิวหนังบนใบหน้าได้อย่างครอบคลุม

เทคโนโลยีและการรักษาที่สำคัญซึ่งคลินิกผิวหนังควรมี ได้แก่

  • การทดสอบภูมิแพ้ผิวหนัง (Patch Testing): เป็นวิธีมาตรฐานในการวินิจฉัยโรคผื่นแพ้สัมผัส (Allergic Contact Dermatitis) ซึ่งเป็นสาเหตุที่พบบ่อยของผื่นเรื้อรังบนใบหน้า
  • การฉายแสงอาทิตย์เทียม (Phototherapy): ใช้แสงอัลตราไวโอเลต (UV) ที่ควบคุมปริมาณได้ เช่น แสง UVB ชนิดคลื่นความถี่แคบ (Narrow-band UVB) เพื่อรักษาโรคเรื้อรังอย่างโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง (Atopic Dermatitis) โดยเป็นการรักษาลำดับที่สองสำหรับผู้ป่วยที่มีอาการปานกลางถึงรุนแรง
  • เลเซอร์และแสงบำบัด (Laser and Light Therapy): จำเป็นสำหรับการรักษารอยแดงและเส้นเลือดฝอยที่เกิดจากโรคโรซาเชีย (Rosacea) เทคโนโลยีหลัก ได้แก่ Pulsed Dye Laser (PDL) และ Intense Pulsed Light (IPL)
  • ยาที่ออกฤทธิ์จำเพาะและยากดภูมิคุ้มกัน (Biologics and Immunosuppressants): คลินิกควรมีความสามารถในการสั่งจ่ายและจัดการยาขั้นสูง เช่น กลุ่มยาชีวภาพ (Biologics) อย่าง Dupilumab สำหรับผู้ป่วยโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนังที่รุนแรง หรือยากดภูมิคุ้มกันอื่น ๆ สำหรับกรณีที่ไม่ตอบสนองต่อยาทา (Efficacy comparison of pulsed dye laser vs. microsecond 1064-nm Nd:YAG laser in rosacea: A prospective trial, Frontiers in Medicine, 2022)

แพทย์ผู้เชี่ยวชาญและการให้คำปรึกษา

ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนัง เมื่อผื่นบนใบหน้ามีความรุนแรง, ไม่ดีขึ้นหลังการดูแลตนเอง, เกิดขึ้นซ้ำๆ หรือเมื่อไม่แน่ใจในการวินิจฉัย

การพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและการเตรียมตัวมีแนวทางดังนี้:

  • ผู้เชี่ยวชาญที่ควรพบ คือแพทย์ผิวหนัง (dermatologist) โดยเฉพาะอย่างยิ่งแพทย์ที่เชี่ยวชาญด้านการทดสอบภูมิแพ้ผิวหนัง (patch testing) หากสงสัยว่าเกิดจากการแพ้สัมผัส สำหรับเด็กควรพบกุมารแพทย์ผิวหนัง
  • ช่วงเวลาที่ควรไปพบแพทย์ คือเมื่อผื่นไม่ดีขึ้นหลังใช้ยาที่หาซื้อได้เองภายใน 1 สัปดาห์, มีอาการคันรุนแรง, บวม, หรือมีอาการทางระบบอื่นๆ เช่น มีไข้
  • การเตรียมตัวก่อนพบแพทย์ ควรเตรียมข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ดูแลผิวและยาทั้งหมดที่ใช้ (อาจนำผลิตภัณฑ์หรือรูปถ่ายส่วนผสมไปด้วย), ประวัติการเกิดผื่น, และคำถามที่ต้องการสอบถาม เพื่อช่วยให้แพทย์วินิจฉัยได้แม่นยำขึ้น (American Academy of Allergy, Asthma & Immunology, 2018)

แนะแนวเรื่อง

Previous Previous
ฝ้าเลือดคืออะไร สาเหตุและวิธีรักษา

สาขาพรีวาโต คลินิก

    สาขาอโศก ตั้งอยู่ที่ ชั้น 2 อาคารมิดทาวน์
    Phone: 02-258-4050 , 081-841-5075
    สาขาสีลม ตั้งอยู่ที่ ชั้น 1 อาคารซี.พี.ทาวเวอร์
    Phone: 02-780-2011 , 098-272-5244
    สาขาราชพฤกษ์ ตั้งอยู่ที่ ชั้น 2 ศูนย์การค้า เดอะคริสตัล เอสบี (ด้านบนร้านสตาร์บัคส์)
    Phone: 02-102-2778 , 098-272-5244

ติดต่อเรา

    Facebook: Privato Clinic
    Messenger: Privato Clinic
    Instagram: privatoclinic
    Email: privatoclinic@gmail.com
    Line: @privatoclinic

Copyright© 2022-2024. All Rights Reserved

Scroll to top
  • หน้าหลัก
  • เกี่ยวกับพรีวาโต
  • บริการทั้งหมด
    • ชะลอวัย
    • ยกกระชับผิว
      • XERF
      • Potenza
      • Sofwave
      • Ulthera
      • Thermage-FLX
    • รักษาสิว
    • เลเซอร์
    • โปรแกรมฉีด
    • บำรุงผิว
  • บทความ
    • สิว
    • ยกกระชับ
    • ดูแลผิว
    • ทำเลเซอร์
  • ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว
  • โปรโมชั่น
  • ผลลัพธ์การรักษา
  • วิดีโอรีวิวจากเคสจริง
  • สาขาของเรา
  • ไทย
    • ไทย
    • English
    • 中文 (中国)
  • ปรึกษาแพทย์
Facebook Instagram YouTube