ฝ้าผสม คืออะไร? สาเหตุ อาการ และวิธีรักษาให้หน้ากลับมาใส

ฝ้าผสม คือฝ้าที่มีเม็ดสีสะสมอยู่ทั้งในชั้นหนังกำพร้าและชั้นหนังแท้ทำให้รอยฝ้ามีสีไม่สม่ำเสมอ และบทความนี้จะอธิบายถึงสาเหตุ อาการ พร้อมวิธีรักษาแบบผสมผสานเพื่อให้ฝ้าจางลงและหน้ากลับมาใสอีกครั้ง
ฝ้าผสม (Mixed Melasma) คืออะไร?
ฝ้าผสมคือฝ้าที่มีเม็ดสีสะสมอยู่ทั้งในชั้นหนังกำพร้าและชั้นหนังแท้ ทำให้รอยฝ้ามีสีไม่สม่ำเสมอ โดยมีทั้งสีน้ำตาลซึ่งเกิดจากเม็ดสีในชั้นหนังกำพร้า และสีเทาอมฟ้าซึ่งเกิดจากเม็ดสีในชั้นหนังแท้ปะปนกัน (Melasma (facial pigmentation), DermNet New Zealand, 2020)
ลักษณะของฝ้าผสม และวิธีสังเกต
ฝ้าผสมคือฝ้าที่มีเม็ดสีสะสมอยู่ทั้งในชั้นหนังกำพร้า (ชั้นตื้น) และชั้นหนังแท้ (ชั้นลึก) ทำให้รอยฝ้ามีทั้งสีน้ำตาลและสีเทาอมฟ้าปนกัน ซึ่งเป็นชนิดที่พบได้บ่อยที่สุดและรักษาได้ยากกว่าฝ้าชนิดตื้น
เราสามารถสังเกตลักษณะของฝ้าผสมได้ดังนี้:
- สีของฝ้า: มีลักษณะเป็นปื้นสีไม่สม่ำเสมอ โดยจะเห็นสีน้ำตาล (จากเม็ดสีในชั้นหนังกำพร้า) ปนกับสีเทาหรือสีเทาอมฟ้า (จากเม็ดสีในชั้นหนังแท้)
- การตรวจด้วย Wood’s Lamp: เมื่อส่องด้วยแสงแบล็กไลท์ในที่มืด ฝ้าจะเข้มขึ้นเป็นบางส่วนหรือไม่สม่ำเสมอ เนื่องจากแสงสามารถส่องถึงแค่เม็ดสีในชั้นตื้นเท่านั้น
- ตำแหน่งที่พบบ่อย: มักเกิดแบบสมมาตรกันทั้งสองข้างของใบหน้า บริเวณที่โดนแดดบ่อย เช่น โหนกแก้ม หน้าผาก และเหนือริมฝีปาก (Melasma (facial pigmentation), DermNet New Zealand, 2020)
ฝ้าผสม ต่างจากฝ้าชนิดอื่นอย่างไร?
ฝ้าผสม (Mixed melasma) คือฝ้าที่มีเม็ดสีสะสมอยู่ทั้งในชั้นหนังกำพร้า (ชั้นตื้น) และชั้นหนังแท้ (ชั้นลึก) ซึ่งแตกต่างจากฝ้าชนิดอื่นที่มีเม็ดสีอยู่เพียงชั้นเดียว ลักษณะของฝ้าแต่ละชนิดมีความแตกต่างกันดังนี้
- ฝ้าตื้น (Epidermal melasma): มีเม็ดสีอยู่ในชั้นหนังกำพร้าเท่านั้น ทำให้เห็นเป็นรอยสีน้ำตาล ขอบเขตชัดเจน และจะเห็นความเข้มของฝ้าชัดขึ้นเมื่อส่องด้วยไฟ Wood’s lamp
- ฝ้าลึก (Dermal melasma): มีเม็ดสีอยู่ในชั้นหนังแท้ ทำให้เห็นเป็นรอยสีน้ำตาลเทาหรือสีเทาอมฟ้า ขอบเขตไม่ชัดเจน และความเข้มของฝ้าจะไม่เปลี่ยนแปลงเมื่อส่องด้วยไฟ Wood’s lamp
- ฝ้าผสม (Mixed melasma): มีลักษณะผสมกัน คือเห็นเป็นรอยสีน้ำตาลปนกับสีเทาอมฟ้า และเมื่อส่องด้วยไฟ Wood’s lamp จะเห็นฝ้าบางส่วนเข้มขึ้นชัดเจน ในขณะที่บางส่วนไม่เปลี่ยนแปลง (DermNet New Zealand, 2020)
ฝ้าผสม เกิดจากสาเหตุอะไร?
ฝ้าผสมเกิดจากปัจจัยหลักร่วมกัน ได้แก่ รังสีอัลตราไวโอเลต (UV) การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน และพันธุกรรม ปัจจัยเหล่านี้ส่งผลให้เกิดการผลิตเม็ดสีเมลานินที่ผิดปกติทั้งในชั้นหนังกำพร้าและชั้นหนังแท้
- รังสี UV และแสงที่มองเห็นได้ (Visible Light): เป็นปัจจัยกระตุ้นที่สำคัญที่สุด โดยแสงแดดจะกระตุ้นให้เซลล์สร้างเม็ดสีผลิตเมลานินออกมามากเกินไป และยังทำลายโครงสร้างผิว ทำให้เม็ดสีตกไปอยู่ในชั้นหนังแท้
- ฮอร์โมน: การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน เช่น การตั้งครรภ์ การใช้ยาคุมกำเนิด หรือความผิดปกติของต่อมไทรอยด์ สามารถกระตุ้นการผลิตเม็ดสีให้เพิ่มขึ้นได้
- พันธุกรรมและเชื้อชาติ: ผู้ที่มีประวัติคนในครอบครัวเป็นฝ้า หรือมีสีผิวคล้ำ (Fitzpatrick III–V) เช่น คนเอเชียหรือละตินอเมริกา มีแนวโน้มที่จะเป็นฝ้าได้ง่ายกว่าเมื่อถูกกระตุ้นจากปัจจัยอื่น (New mechanistic insights of melasma, Dove Medical Press – Clinical, Cosmetic and Investigational Dermatology, 2023)
แสงแดดและรังสี UV
การได้รับแสงแดดเป็นเวลานานเป็นปัจจัยกระตุ้นจากสิ่งแวดล้อมที่สำคัญที่สุดของการเกิดฝ้า โดยรังสี UVB จะกระตุ้นเซลล์ผิวหนังให้ผลิตสารที่ไปเร่งการสร้างเม็ดสี ในขณะที่รังสี UVA และแสงที่มองเห็นได้ (Visible Light) จะทำให้เกิดรอยดำที่เข้มและติดทนนานขึ้น นอกจากนี้ รังสียูวียังกระตุ้นการอักเสบและทำลายโครงสร้างผิว ทำให้เม็ดสีสามารถตกลงไปในชั้นหนังแท้ได้ ซึ่งเป็นสาเหตุของฝ้าชนิดผสม การไม่ป้องกันแสงแดดอย่างสม่ำเสมอจึงเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ทำให้ฝ้ากลับมาเป็นซ้ำ (Melasma: an up-to-date comprehensive review, Dermatology and Therapy, 2017)
ปัจจัยทางฮอร์โมนและพันธุกรรม
ปัจจัยทางฮอร์โมนและพันธุกรรมเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดฝ้าชนิดผสม โดยปัจจัยเหล่านี้มีบทบาทดังนี้
- ปัจจัยทางฮอร์โมน: ฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรนเป็นตัวกระตุ้นที่สำคัญ โดยมักพบฝ้ากำเริบในช่วงตั้งครรภ์ (เรียกว่า “หน้ากากแห่งการตั้งครรภ์”) การใช้ยาคุมกำเนิด หรือการบำบัดด้วยฮอร์โมนทดแทน ผู้หญิงจึงเป็นฝ้ามากกว่าผู้ชายอย่างมีนัยสำคัญ
- ปัจจัยทางพันธุกรรม: ผู้ป่วยฝ้าจำนวนมาก (ประมาณ 48–55%) มีประวัติคนในครอบครัวเป็นฝ้า ซึ่งบ่งชี้ถึงการถ่ายทอดทางพันธุกรรม นอกจากนี้ ฝ้ามักพบได้บ่อยในกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีสีผิวเข้ม (Fitzpatrick III–V) เช่น ชาวละตินอเมริกา เอเชีย และตะวันออกกลาง ซึ่งสะท้อนถึงความอ่อนไหวทางพันธุกรรมต่อการเกิดฝ้าเมื่อเจอกับปัจจัยกระตุ้น (New mechanistic insights of melasma, Dove Medical Press – Clinical, Cosmetic and Investigational Dermatology, 2023)
อาการของฝ้าผสม ที่ควรรู้
อาการของฝ้าผสมคือ มีรอยปื้นสีน้ำตาลและสีเทาอมฟ้าปะปนกัน ซึ่งมักปรากฏขึ้นอย่างสมมาตรบนใบหน้า บริเวณที่พบบ่อยที่สุดคือช่วงกลางใบหน้า เช่น หน้าผาก แก้ม จมูก และคาง โดยผิวบริเวณที่เป็นฝ้ามักมีลักษณะเรียบปกติและไม่มีอาการคัน รอยฝ้ามักจะเข้มขึ้นเมื่อโดนแดดหรือในช่วงฤดูร้อน (Melasma: an up-to-date comprehensive review, Dermatology and Therapy, 2017)
วิธีรักษาฝ้าผสม ให้จางลงอย่างมีประสิทธิภาพ
การรักษาฝ้าผสมให้จางลงอย่างมีประสิทธิภาพที่สุดคือการใช้หลายวิธีรักษาร่วมกัน ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างการใช้ยา การป้องกันแสงแดด และอาจรวมถึงการทำหัตถการทางการแพทย์ โดยมีแนวทางหลักดังนี้
- ยาทาเฉพาะที่: การใช้ยาสูตรผสม 3 ชนิด (Triple Combination Cream) ซึ่งประกอบด้วยไฮโดรควิโนน (Hydroquinone) 4%, วิตามินเอ (Tretinoin) และสเตียรอยด์ชนิดอ่อน ถือเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในการลดเม็ดสีชั้นหนังกำพร้า หากไม่สามารถใช้สูตรนี้ได้ อาจใช้ยาทางเลือกอื่น เช่น กรดอะซีลาอิก (Azelaic Acid) หรือ ซิสเตอามีน (Cysteamine)
- ยารับประทาน: กรดทรานเอกซามิก (Tranexamic Acid) ในขนาด 250 มก. วันละ 2 ครั้ง เป็นยาที่ช่วยลดการสร้างเม็ดสีและลดการอักเสบใต้ผิวหนังได้ดี โดยเฉพาะในกรณีฝ้าที่ดื้อต่อการรักษาด้วยยาทา
- การป้องกันแสงแดด: เป็นหัวใจสำคัญที่สุดในการรักษาและป้องกันฝ้า ควรใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF 50+ ขึ้นไป สามารถป้องกันได้ทั้งรังสี UVA, UVB และแสงสีฟ้า (Visible Light) โดยแนะนำให้เลือกใช้ครีมกันแดดชนิดที่มีสี (Tinted Sunscreen) ซึ่งมีส่วนผสมของ Iron Oxides
- หัตถการทางการแพทย์: ใช้เป็นทางเลือกเสริมเพื่อเร่งผลการรักษาในกรณีที่ฝ้าดื้อยา ได้แก่
- การลอกผิวด้วยสารเคมี (Chemical Peels): เช่น กรดไกลโคลิก (Glycolic Acid) เพื่อช่วยผลัดเซลล์ผิวชั้นบน
- เลเซอร์พลังงานต่ำ: เช่น เลเซอร์ Q-switched Nd:YAG เพื่อค่อยๆ ทำลายเม็ดสี
- เมโสเทอราพี (Mesotherapy): การฉีดกรดทรานเอกซามิกเข้าสู่ผิวหนังโดยตรงเพื่อลดเม็ดสี (Combination therapy (oral tranexamic + triple cream) cuts melasma recurrence, Family Practice News (Medscape), 2024)
การใช้ยาทาฝ้า
ยาทาสูตรผสม 3 ชนิด (Triple Combination Cream) เป็นยาทาฝ้าที่ได้รับการยอมรับว่ามีประสิทธิภาพสูงสุด โดยประกอบด้วยไฮโดรควิโนน (Hydroquinone) 4%, กรดวิตามินเอ (Tretinoin) และสเตียรอยด์ชนิดอ่อน ซึ่งทำงานร่วมกันเพื่อยับยั้งการสร้างเม็ดสีและเร่งการผลัดเซลล์ผิว
ยาทาชนิดอื่น ๆ ที่มีประสิทธิภาพในการรักษาฝ้า ได้แก่
- Cysteamine (ซิสเตอามีน): เป็นยาทางเลือกใหม่ที่มีประสิทธิภาพเทียบเท่าหรือดีกว่าสูตรไฮโดรควิโนน และมีความปลอดภัยในการใช้ระยะยาว
- Azelaic Acid (กรดอะซีลาอิก): มีประสิทธิภาพดีในการลดเม็ดสีและมีความปลอดภัยสูง สามารถใช้ในหญิงตั้งครรภ์ได้
- Retinoids (กลุ่มกรดวิตามินเอ): ช่วยเร่งการผลัดเซลล์ผิวและเพิ่มการดูดซึมของยาทาตัวอื่น
- Niacinamide (ไนอะซินาไมด์): ช่วยยับยั้งการส่งต่อเม็ดสีไปยังเซลล์ผิวและเสริมสร้างเกราะป้องกันผิว
โดยทั่วไป การใช้ยาทาหลายชนิดร่วมกันจะให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าการใช้ยาเพียงชนิดเดียว และสิ่งสำคัญที่สุดคือต้องใช้ครีมกันแดดที่มีประสิทธิภาพสูงและครอบคลุมทุกช่วงแสง (Broad-spectrum) ควบคู่ไปกับการรักษาเสมอ (Best cream for melasma? dermatologist explains prescription vs otc, Miiskin.com, 2023)
การรับประทานยา
ยาที่ใช้รับประทานในการรักษาฝ้าที่สำคัญคือ กรดทรานเอกซามิก (Tranexamic Acid หรือ TXA) ซึ่งมักใช้ในกรณีฝ้าปานกลางถึงรุนแรง หรือฝ้าที่ดื้อต่อการรักษาด้วยยาทาเพียงอย่างเดียว ยานี้ออกฤทธิ์โดยการยับยั้งการสร้างสารกระตุ้นการผลิตเม็ดสีที่เกิดจากการอักเสบและรังสียูวี โดยทั่วไปจะใช้ในขนาด 250-500 มิลลิกรัมต่อวัน
การศึกษาพบว่า TXA สามารถลดความรุนแรงของฝ้าได้ 30-50% และมีประสิทธิภาพสูงเมื่อใช้ร่วมกับยาทา โดยช่วยลดความเสี่ยงในการกลับมาเป็นซ้ำได้ นอกจากนี้ ยังมียาเสริมอื่น ๆ เช่น สารสกัดจากเฟิร์น Polypodium leucotomos (PL) ที่ช่วยต้านอนุมูลอิสระ และกลูตาไธโอน (Glutathione) ซึ่งยังมีข้อมูลสนับสนุนไม่แน่ชัด (Combination therapy (oral tranexamic + triple cream) cuts melasma recurrence, Family Practice News, 2024)
รักษาฝ้าผสมเองได้ไหม หรือควรปรึกษาแพทย์?
โดยทั่วไป ฝ้าผสมซึ่งมีความซับซ้อนควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อรับการรักษาที่เหมาะสม เนื่องจากผลิตภัณฑ์ที่หาซื้อได้เอง (OTC) มักไม่สามารถจัดการกับเม็ดสีที่อยู่ในชั้นหนังแท้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
แพทย์สามารถวินิจฉัยและวางแผนการรักษาที่ตรงจุดได้ดีกว่า ซึ่งอาจรวมถึง:
- ยาทาตามใบสั่งแพทย์: เช่น ครีมสูตรผสม (Triple Combination Cream) ที่มีส่วนผสมของไฮโดรควิโนน, กรดวิตามินเอ และสเตียรอยด์ ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงกว่าผลิตภัณฑ์ OTC
- ยารับประทาน: เช่น Tranexamic Acid สำหรับฝ้าที่ดื้อต่อการรักษา
- หัตถการทางการแพทย์: เช่น การทำเลเซอร์ หรือการผลัดเซลล์ผิว ซึ่งช่วยเร่งการกำจัดเม็ดสี
แนะนำให้พบแพทย์หากลองรักษาด้วยตัวเองแล้วไม่ดีขึ้นภายใน 2-3 เดือน หรือฝ้ามีความรุนแรงและส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต
เทคนิคการรักษาฝ้าผสมด้วยเลเซอร์และหัตถการทางการแพทย์
Pico Laser นวัตกรรมรักษาฝ้า
Pico Laser เป็นเทคโนโลยีเลเซอร์ที่ใช้ในการรักษาฝ้า โดยใช้พลังงานคลื่นแสงความเร็วสูงระดับ Picosecond (หนึ่งในล้านล้านวินาที) เพื่อทำลายเม็ดสีให้แตกตัวเป็นอนุภาคเล็กๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพและเกิดความร้อนต่อผิวข้างเคียงน้อยกว่าเลเซอร์รุ่นเก่า
การศึกษาเบื้องต้นพบว่า Pico Laser ให้ผลลัพธ์ที่ดีในการลดเลือนฝ้าโดยมีผลข้างเคียงน้อย และอาจได้ผลในผู้ที่ไม่ตอบสนองต่อเลเซอร์ชนิดอื่น อย่างไรก็ตาม ฝ้ามักกลับมาเป็นซ้ำได้หลังหยุดการรักษาเช่นเดียวกับเลเซอร์ชนิดอื่นๆ และจำเป็นต้องทำโดยผู้เชี่ยวชาญเพื่อลดความเสี่ยงของผลข้างเคียง เช่น รอยดำหลังการอักเสบ (Post-Inflammatory Hyperpigmentation หรือ PIH) (Laser and light therapy in melasma: an updated review, International Journal of Women’s Dermatology, 2017)
Mesotherapy การฉีดวิตามินผิว
เมโสเทอราปี (Mesotherapy) คือการฉีดสารออกฤทธิ์ปริมาณเล็กน้อยเข้าสู่ผิวหนังโดยตรง เพื่อรักษาปัญหาผิวต่างๆ สำหรับการรักษาฝ้า วิธีนี้ได้รับความนิยมอย่างมากโดยเฉพาะการฉีดกรดทรานเอกซามิก (Tranexamic Acid หรือ TXA) ซึ่งมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่แข็งแกร่งรองรับว่าช่วยให้ฝ้าดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
- วิธีการ: แพทย์จะฉีด TXA (โดยทั่วไปใช้ความเข้มข้น 4 มก./มล.) ปริมาณเล็กน้อยในรูปแบบตารางทั่วบริเวณที่เป็นฝ้า
- ความถี่: โดยทั่วไปจะทำทุกๆ 2-4 สัปดาห์ ติดต่อกัน 3-4 ครั้ง
- กลไก: การฉีด TXA เฉพาะที่จะช่วยยับยั้งกระบวนการสร้างเม็ดสีและอาจช่วยลดการสร้างเส้นเลือดใหม่ในบริเวณที่เป็นฝ้า
- สูตรอื่นๆ: บางครั้งมีการใช้สูตรผสมหรือ “ค็อกเทล” ที่มีส่วนผสมของวิตามินซี กลูตาไธโอน หรือสารอื่นๆ แต่หลักฐานสำหรับสูตรเหล่านี้ยังมีจำกัดเมื่อเทียบกับการใช้ TXA เพียงอย่างเดียว (A scoping review on melasma treatments and their histopathologic correlates, Dermatopathology (Basel), 2025)
วิธีดูแลผิวหลังรักษาและป้องกันฝ้ากลับมาเป็นซ้ำ
การดูแลผิวหลังการรักษาฝ้าและการป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ คือการดูแลผิวอย่างอ่อนโยนหลังทำหัตถการ ใช้ครีมกันแดดอย่างเคร่งครัด และใช้ยาทาเพื่อควบคุมฝ้าอย่างต่อเนื่องในระยะยาว
- การดูแลผิวหลังทำหัตถการ (เช่น เลเซอร์, ลอกผิว):
- ทำความสะอาดและให้ความชุ่มชื้น: ใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดและมอยส์เจอไรเซอร์ที่อ่อนโยน ปราศจากสารระคายเคือง เพื่อฟื้นฟูเกราะป้องกันผิว
- ลดการอักเสบ: แพทย์อาจสั่งยาทากลุ่มสเตียรอยด์ชนิดอ่อนให้ทาเป็นเวลาสั้นๆ (3-7 วัน) เพื่อลดการอักเสบและป้องกันรอยดำหลังการรักษา (PIH)
- หลีกเลี่ยงการระคายเคือง: งดใช้ยารักษาฝ้ากลุ่มที่อาจระคายเคือง (เช่น เรตินอยด์, กรดผลไม้) ประมาณ 5-7 วัน หรือจนกว่าผิวจะหายเป็นปกติ และห้ามแกะหรือเกาสะเก็ดแผลเด็ดขาด
- การป้องกันฝ้ากลับมาเป็นซ้ำในระยะยาว:
- การป้องกันแสงแดด: เป็นหัวใจสำคัญที่สุด ควรใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF 50+ สามารถป้องกันได้ทั้งรังสี UVA, UVB และแสงสีฟ้า (Visible Light) โดยแนะนำให้ใช้ครีมกันแดดชนิดที่มีสี (Tinted Sunscreen) ซึ่งมีส่วนผสมของ Iron Oxides และต้องทาซ้ำทุกๆ 2 ชั่วโมงเมื่ออยู่กลางแจ้ง
- การใช้ยาทาเพื่อควบคุม (Maintenance Therapy): หลังจากฝ้าจางลงแล้ว จำเป็นต้องใช้ยาทาเพื่อควบคุมฝ้าอย่างต่อเนื่อง เช่น การใช้ยาทากลุ่มที่ไม่ใช่ไฮโดรควิโนน (เช่น Azelaic acid, Niacinamide) หรือใช้ยาทาที่มีส่วนผสมของเรตินอยด์ เพื่อยับยั้งการสร้างเม็ดสีใหม่และป้องกันการกลับมาของฝ้า
ฝ้าเป็นภาวะเรื้อรังที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่สามารถควบคุมให้อยู่ในระดับที่จางมากและไม่รบกวนการใช้ชีวิตได้ด้วยการดูแลผิวและป้องกันอย่างสม่ำเสมอ (Visible light protection with iron oxide in melasma care, Journal of Drugs in Dermatology, 2025)
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับฝ้าผสม
ฝ้าผสมรักษาหายขาดหรือไม่?
ฝ้าผสมไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ เนื่องจากเป็นภาวะผิวหนังเรื้อรังที่มีแนวโน้มกลับมาเป็นซ้ำได้ง่าย อย่างไรก็ตาม การรักษาที่เหมาะสมสามารถควบคุมและทำให้รอยฝ้าจางลงได้อย่างมีนัยสำคัญ แต่จำเป็นต้องมีการดูแลและป้องกันอย่างต่อเนื่องเพื่อไม่ให้กลับมาเป็นซ้ำ
เป็นฝ้าผสมควรใช้อะไรทาหน้า?
สำหรับฝ้าผสม การรักษาเฉพาะที่ที่ได้ผลดีที่สุดคือ การใช้ยาทาสูตรผสม 3 ชนิด (Triple Combination Cream) ซึ่งเป็นยาที่ต้องสั่งโดยแพทย์ โดยทั่วไปจะประกอบด้วยส่วนผสมหลัก 3 อย่างที่ทำงานร่วมกันเพื่อลดเลือนฝ้า
ตัวเลือกยาทาสำหรับฝ้าผสม ได้แก่:
- ยาสูตรผสม 3 ชนิด (Triple Combination Cream): ถือเป็นมาตรฐานการรักษา ประกอบด้วย
- ไฮโดรควิโนน (Hydroquinone): ช่วยยับยั้งการสร้างเม็ดสี
- เตรทิโนอิน (Tretinoin): เป็นอนุพันธ์ของวิตามินเอ ช่วยเร่งการผลัดเซลล์ผิวและทำให้ยาอื่นซึมได้ดีขึ้น
- สเตียรอยด์ชนิดอ่อน (Low-potency steroid): ช่วยลดการอักเสบและระคายเคืองจากยาสองตัวแรก
- กรดอะซีลาอิก (Azelaic Acid): เป็นอีกทางเลือกที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัยสูง สามารถใช้ในหญิงตั้งครรภ์ได้
- ซิสเตอามีน (Cysteamine): เป็นยาทาตัวใหม่ที่ให้ผลลัพธ์เทียบเคียงกับไฮโดรควิโนน และเหมาะสำหรับการใช้ในระยะยาว
สิ่งสำคัญที่สุดคือต้องทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF 50+ และป้องกันได้ทั้งรังสี UVA, UVB และแสงที่มองเห็นได้ (Visible Light) เป็นประจำทุกวัน เนื่องจากการป้องกันแสงแดดเป็นหัวใจหลักของการรักษาฝ้าทุกชนิด (Combination therapy (oral tranexamic + triple cream) cuts melasma recurrence, Family Practice News, 2024)
