ฝ้าลึก รักษาอย่างไร? รวมวิธีดูแลและสาเหตุที่คุณควรรู้

ฝ้าลึก (Dermal Melasma) คืออะไร? แยกให้ออกระหว่างฝ้าตื้นและฝ้าเลือด
ฝ้าลึก (Dermal Melasma) คือฝ้าที่เกิดจากการสะสมของเม็ดสีเมลานินในชั้นหนังแท้ ซึ่งเป็นผิวหนังชั้นที่ลึกกว่า ทำให้เห็นเป็นปื้นสีน้ำตาลเทาหรือสีน้ำเงินเทา ขอบเขตไม่ชัดเจน และรักษาได้ยากกว่าฝ้าชนิดอื่น
ความแตกต่างระหว่างฝ้าแต่ละชนิดมีดังนี้:
- ฝ้าตื้น (Epidermal Melasma): เกิดในชั้นหนังกำพร้า (ผิวชั้นบนสุด) เป็นแผ่นสีน้ำตาลที่มีขอบเขตชัดเจน และตอบสนองต่อการรักษาได้ดี
- ฝ้าเลือด (Vascular Melasma): มีลักษณะเป็นรอยแดงที่เกิดจากความผิดปกติของเส้นเลือดใต้ผิวหนัง ซึ่งมักพบร่วมกับฝ้าชนิดอื่น (Mesotherapy for melasma – an updated review, Jpbs, 2024)
ลักษณะทางกายภาพ: สีและขอบเขตของรอยโรคที่มองเห็น
ฝ้าลึก (Dermal melasma) มีลักษณะเป็นปื้นสีเทาอมฟ้าหรือสีน้ำตาล และมีขอบเขตที่ไม่ชัดเจน ซึ่งแตกต่างจากฝ้าตื้น (Epidermal melasma) ที่เป็นสีน้ำตาลอ่อนถึงเข้มและมีขอบเขตที่ชัดเจนกว่า
ความลึกของเม็ดสีเมลานินในชั้นหนังแท้ (Dermis)
ฝ้าลึก (Dermal melasma) คือการที่เม็ดสีเมลานินสะสมอยู่ในชั้นหนังแท้ ซึ่งเป็นผิวหนังชั้นที่ลึกลงไป ทำให้เห็นเป็นรอยปื้นสีน้ำตาลอมเทาหรืออมฟ้า และมีขอบเขตไม่ชัดเจน (Mesotherapy for melasma – an updated review, JPBS, 2024)
ตารางเปรียบเทียบความแตกต่าง: ฝ้าลึก vs ฝ้าตื้น vs ฝ้าผสม
ฝ้าแต่ละชนิดมีความแตกต่างกันที่ความลึกของเม็ดสี ลักษณะที่มองเห็น และการตอบสนองต่อการรักษา โดยสามารถเปรียบเทียบได้ดังตารางต่อไปนี้
| ลักษณะ | ฝ้าตื้น (Epidermal Melasma) | ฝ้าลึก (Dermal Melasma) | ฝ้าผสม (Mixed Melasma) |
|---|---|---|---|
| ตำแหน่งเม็ดสี | ผิวหนังชั้นนอก (หนังกำพร้า) | ผิวหนังชั้นใน (หนังแท้) | ทั้งผิวหนังชั้นนอกและชั้นใน |
| ลักษณะรอยฝ้า | แผ่นสีน้ำตาลอ่อนถึงเข้ม ขอบเขตชัดเจน | แผ่นสีเทาอมฟ้าหรือสีน้ำตาล ขอบเขตไม่ชัดเจน | มีทั้งรอยสีน้ำตาลขอบชัดและสีเทาขอบไม่ชัดปนกัน |
| การตอบสนองต่อการรักษา | ตอบสนองต่อการรักษาได้ดี | รักษายากกว่า | รักษายากที่สุด |
เจาะลึกสาเหตุ: ปัจจัยภายในและภายนอกที่กระตุ้นให้เกิดฝ้า
รังสี UVA/UVB และแสงสีฟ้าจากหน้าจอคอมพิวเตอร์
รังสี UVA/UVB และแสงสีฟ้าเป็นปัจจัยสำคัญที่กระตุ้นให้เกิดฝ้า รังสีอัลตราไวโอเลต (UVA และ UVB) จากแสงแดดเป็นตัวกระตุ้นหลักที่ทำให้เซลล์สร้างเม็ดสีผลิตเมลานินออกมามากเกินไป ส่วนแสงสีฟ้าที่มาจากทั้งแสงแดดและหน้าจออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ก็สามารถทำให้รอยดำคล้ำรุนแรงขึ้นและมีส่วนทำให้เกิดฝ้าได้เช่นกัน (NCBI Books, 2023)
ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนและการเปลี่ยนแปลงขณะตั้งครรภ์
ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรนที่สูงขึ้น โดยเฉพาะระหว่างการตั้งครรภ์หรือการใช้ยาคุมกำเนิด เป็นปัจจัยกระตุ้นที่สำคัญของการเกิดฝ้า การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนเหล่านี้จะไปกระตุ้นเซลล์สร้างเม็ดสี (melanocytes) ให้ผลิตเมลานินออกมามากเกินไป ฝ้ามักถูกเรียกว่า “หน้ากากแห่งการตั้งครรภ์” (mask of pregnancy) เนื่องจากพบได้บ่อยในหญิงตั้งครรภ์ (15–50%) และในบริเวณที่เป็นฝ้ามักพบตัวรับฮอร์โมนเอสโตรเจนมากกว่าปกติ ซึ่งบ่งชี้ถึงความเชื่อมโยงโดยตรง
ความเครียดและการพักผ่อนไม่เพียงพอส่งผลต่อเม็ดสีอย่างไร
ความเครียดเรื้อรังและการพักผ่อนไม่เพียงพออาจกระตุ้นให้ฝ้ามีสีเข้มขึ้นได้ โดยความเครียดจะเพิ่มระดับฮอร์โมนคอร์ติซอล (cortisol) ซึ่งอาจส่งเสริมการสร้างเม็ดสี ส่วนการนอนหลับไม่เพียงพอจะทำให้เกิดการอักเสบที่สามารถกระตุ้นเซลล์สร้างเม็ดสีได้ แม้ว่าหลักฐานทางวิทยาศาสตร์โดยตรงยังอยู่ในขั้นรวบรวม แต่แพทย์ผิวหนังจำนวนมากสังเกตว่าฝ้ามักกำเริบในช่วงที่มีความเครียดสูง
5 แนวทางการรักษาฝ้าลึกทางการแพทย์
1. โปรแกรมเลเซอร์ Picosecond และ Q-Switch ลดเม็ดสีเฉพาะจุด
เลเซอร์ Picosecond และ Q-switched Nd:YAG ทำงานโดยการยิงพลังงานไปที่เม็ดสีเมลานินโดยตรง ทำให้เม็ดสีแตกตัวเป็นอนุภาคเล็กๆ โดยไม่ทำลายผิวหนังโดยรอบ
เลเซอร์ชนิดนี้จะใช้ความยาวคลื่น 1064 นาโนเมตร ที่มีความเข้มข้นต่ำเพื่อเข้าไปทำลายเม็ดสีที่อยู่ในชั้นหนังแท้โดยเฉพาะ จากนั้นร่างกายจะค่อยๆ กำจัดอนุภาคเม็ดสีที่แตกตัวออกไปเอง โดยทั่วไปแล้ว การรักษาฝ้าลึก (Dermal Melasma) ด้วยวิธีนี้ต้องทำหลายครั้ง (ประมาณ 6-8 ครั้ง) โดยเว้นระยะห่างแต่ละครั้งประมาณ 4 สัปดาห์ เพื่อให้เห็นผลการรักษาที่ดีขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป (Pubmed, 2023)
2. การใช้ยาทาฝ้ากลุ่มไวท์เทนนิ่งและยับยั้งเม็ดสี (Medical Grade)
การรักษาฝ้าด้วยยาทากลุ่มไวท์เทนนิ่งเกรดการแพทย์ (Medical Grade) ถือเป็นการรักษาลำดับแรก โดยมักใช้ครีมที่มีส่วนผสมของไฮโดรควิโนน (hydroquinone) 4%, เรตินอยด์ (retinoids) และสเตียรอยด์ชนิดอ่อน ซึ่งมักใช้ร่วมกันในรูปแบบยาผสมสามชนิด ไฮโดรควิโนนจะช่วยยับยั้งการผลิตเม็ดสี และโดยทั่วไปจะเห็นผลว่าฝ้าจางลงหลังใช้อย่างสม่ำเสมอเป็นเวลา 5–7 สัปดาห์ สำหรับกรณีที่ดื้อยา อาจมีการเพิ่มส่วนผสมอื่น ๆ เช่น กรดอะซีลาอิก (azelaic acid) และกรดโคจิก (kojic acid) การรักษาฝ้าลึกอาจต้องใช้ยาต่อเนื่องเป็นเวลาหลายเดือน เนื่องจากเม็ดสีในชั้นผิวที่ลึกกว่าจะจางลงอย่างช้า ๆ (Efficacy of topical Raphanus sativus seed powder mixed with honey versus hydroquinone 4% cream in the treatment of melasma – A randomized controlled trial, ResearchGate)
3. การฉีดเมโสเทอราปี (Mesotherapy) เพื่อกระจายตัวยาลงผิวชั้นลึก
เมโสเทอราปีคือการฉีดสารลดเม็ดสีขนาดเล็กเข้าสู่ผิวหนังชั้นกลางโดยตรง เพื่อกระจายตัวยาออกฤทธิ์ เช่น กรดทรานเอกซามิก (tranexamic acid) วิตามินซี หรือกลูตาไธโอน ไปยังผิวหนังชั้นแท้ซึ่งเป็นบริเวณที่มีฝ้าลึกอยู่ การศึกษาพบว่าวิธีนี้มีประสิทธิภาพปานกลางและช่วยให้รอยฝ้าจางลงอย่างมีนัยสำคัญ จึงเป็นทางเลือกเสริมที่มีแนวโน้มดีสำหรับการรักษาฝ้าที่ดื้อต่อการรักษา (Mesotherapy for melasma – an updated review, Journal of Pharmaceutical and Bioallied Sciences, 2024)
4. การลอกผิวด้วยกรดผลไม้เข้มข้น (Chemical Peeling)
การลอกผิวด้วยกรดผลไม้ (Chemical Peeling) เป็นวิธีการรักษาฝ้าในลำดับรอง ที่สามารถช่วยให้ฝ้าจางลงได้ในระดับปานกลาง แต่ก็มีความเสี่ยงสูง โดยแพทย์ผิวหนังจะใช้กรดความเข้มข้นสูง เช่น กรดไกลโคลิก (Glycolic Acid) เพื่อเร่งการผลัดเซลล์ผิวและกำจัดเซลล์ผิวที่มีเม็ดสีส่วนเกินออกไป
อย่างไรก็ตาม วิธีนี้มีความเสี่ยงโดยเฉพาะในผู้ที่มีฝ้าลึกหรือผิวคล้ำ ซึ่งอาจให้ผลลัพธ์ที่ไม่แน่นอน, เกิดรอยดำหลังการอักเสบ (ฝ้าเข้มขึ้น), หรือเกิดแผลเป็นได้หากทำอย่างรุนแรงเกินไป ด้วยเหตุนี้ การลอกผิวจึงมักใช้เมื่อการรักษาด้วยยาทาไม่ได้ผลดีเท่าที่ควร และต้องทำโดยผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น (Mesotherapy for melasma – an updated review, Jpbs, 2024)
5. ยากินรักษาฝ้า (Tranexamic Acid): ข้อบ่งใช้และผลข้างเคียง
ยากินรักษาฝ้า Tranexamic Acid (TXA) มีข้อบ่งใช้สำหรับผู้ใหญ่ที่เป็นฝ้าชนิดดื้อยาซึ่งไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยครีมหรือเลเซอร์ โดยทั่วไปถือว่าปลอดภัย แต่ต้องใช้ภายใต้การดูแลของแพทย์เนื่องจากมีความเสี่ยงที่พบได้ยากในการเกิดลิ่มเลือด
ยา Tranexamic Acid ในรูปแบบรับประทานเป็นหนึ่งในวิธีการรักษาฝ้าที่รักษายาก โดยมีรายละเอียดดังนี้
- ข้อบ่งใช้:
- ใช้สำหรับฝ้าที่รักษายาก (Recalcitrant melasma) หรือฝ้าที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษามาตรฐาน เช่น ครีมทาฝ้า หรือเลเซอร์
- มักใช้เป็นยาเสริมร่วมกับการรักษาอื่น ๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ
- ขนาดยาที่ใช้โดยทั่วไปคือ 250 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง ติดต่อกันเป็นเวลา 3-6 เดือน
- ผลข้างเคียงและความปลอดภัย:
- ผลข้างเคียงที่อาจพบได้: โดยทั่วไปยาค่อนข้างปลอดภัย แต่อาจพบอาการไม่สบายท้อง หรือการเปลี่ยนแปลงของประจำเดือนได้
- ความเสี่ยงที่สำคัญ: แม้จะพบได้ยาก แต่มีความเสี่ยงทางทฤษฎีในการเกิดลิ่มเลือดอุดตัน (Thromboembolism)
- ข้อควรระวัง: จำเป็นต้องใช้ยาภายใต้การดูแลของแพทย์ เพื่อทำการคัดกรองปัจจัยเสี่ยงและติดตามผลข้างเคียงอย่างใกล้ชิด (Mesotherapy for melasma – an updated review, Journal of Pharmacy and Bioallied Sciences, 2024)
การดูแลตัวเองและสูตรธรรมชาติบำบัดสำหรับผู้ที่มีผิวบอบบาง
สูตรพอกหน้าลดฝ้าด้วยหัวไชเท้าและน้ำผึ้งอย่างถูกวิธี
การใช้มาสก์หัวไชเท้าและน้ำผึ้งอย่างถูกวิธีคือการนำหัวไชเท้าบดละเอียดมาผสมกับน้ำผึ้งบริสุทธิ์ แล้วพอกทิ้งไว้บนใบหน้าประมาณ 10-15 นาที จากนั้นล้างออกเบาๆ เพื่อหลีกเลี่ยงการระคายเคือง
มาสก์นี้อาจช่วยยับยั้งการสร้างเม็ดสีและให้ความชุ่มชื้น แต่ผลลัพธ์ที่ได้จะค่อยเป็นค่อยไปและควรใช้เพื่อเสริมการรักษาหลักเท่านั้น ไม่ใช่การทดแทน (Efficacy of topical Raphanus sativus seed powder mixed with honey versus hydroquinone 4% cream in the treatment of melasma – a randomized controlled trial, ResearchGate, 2024)
การเลือกครีมกันแดด Physical Sunscreen สำหรับคนเป็นฝ้า
ควรเลือก Physical Sunscreen ที่มีส่วนผสมของซิงค์ออกไซด์ (zinc oxide) หรือไทเทเนียมไดออกไซด์ (titanium dioxide) ซึ่งเป็นกันแดดแบบมิเนอรัล (mineral-based) โดยควรเป็นสูตร broad-spectrum ที่มีค่า SPF 50+
ครีมกันแดดชนิดนี้จะทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันบนผิว ช่วยสะท้อนรังสียูวีโดยไม่ก่อให้เกิดการระคายเคือง จึงเหมาะสำหรับผิวที่เป็นฝ้าและแพ้ง่าย การเลือกสูตรที่มีส่วนผสมของไอรอนออกไซด์ (iron oxide) จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันแสงสีฟ้า (visible blue light) ซึ่งเป็นอีกหนึ่งตัวกระตุ้นที่ทำให้ฝ้าเข้มขึ้นได้ (Mesotherapy for melasma – an updated review, Journals Lww, 2024)
สารอาหารและวิตามินที่ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้ผิวจากภายใน
สารอาหารและวิตามินที่ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้ผิวจากภายใน ได้แก่ วิตามินซี วิตามินอี และสารสกัดจากเฟิร์น Polypodium leucotomos สารอาหารเหล่านี้ทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องผิวจากการทำร้ายของรังสียูวีและลดความเครียดในเซลล์สร้างเม็ดสี นอกจากนี้ ไนอะซินาไมด์ (วิตามินบี 3) ยังอาจช่วยลดการส่งต่อเม็ดสีเมลานินในผิวหนังได้อีกด้วย การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เช่น ผักและผลไม้ ก็เป็นสิ่งสำคัญในการสนับสนุนสุขภาพผิวโดยรวม (Mesotherapy for melasma – An updated review, Journal of Pharmaceutical and Bioallied Sciences, 2024)
วงจรการผลัดเซลล์ผิว: ทำไมการรักษาฝ้าลึกจึงต้องใช้ความอดทน
ระยะเวลาการเห็นผลของการรักษาแต่ละประเภท (Timeline)
โดยทั่วไปแล้ว การรักษาฝ้าต้องใช้เวลาหลายเดือนจึงจะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน โดยมักจะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในช่วง 6-8 สัปดาห์แรก และจะเห็นผลดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในเวลาประมาณ 4-6 เดือน
ระยะเวลาการเห็นผลของการรักษาแต่ละประเภทมีดังนี้
- ยาทา: การใช้ครีมรักษาฝ้า เช่น ไฮโดรควิโนน จะเริ่มเห็นผลว่าฝ้าจางลงใน 5-7 สัปดาห์
- เลเซอร์: การรักษาด้วยเลเซอร์จะเห็นผลดีขึ้นเรื่อยๆ หลังทำต่อเนื่องหลายครั้ง โดยจะเริ่มสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนหลังทำไปแล้วประมาณ 3-4 ครั้ง (ประมาณ 3 เดือน)
- ยารับประทาน (Tranexamic Acid): อาจช่วยให้ฝ้าลดลงอย่างมีนัยสำคัญหลังจากผ่านไปประมาณ 3 เดือน
ทั้งนี้ ฝ้าลึก (Dermal melasma) จะใช้เวลานานกว่าในการรักษา โดยอาจต้องใช้เวลาหลายเดือนถึงหนึ่งปีจึงจะจางลงอย่างเห็นได้ชัด
ความสำคัญของ Skin Barrier ในการป้องกันฝ้ากลับมาเป็นซ้ำ
Skin barrier ที่แข็งแรงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการป้องกันฝ้ากลับมาเป็นซ้ำ เนื่องจากทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันผิวจากการอักเสบ ซึ่งเป็นหนึ่งในตัวกระตุ้นหลักของการผลิตเม็ดสี
ผิวที่มี Skin barrier อ่อนแอจะไวต่อปัจจัยกระตุ้นภายนอก เช่น รังสียูวีและความร้อน ทำให้ฝ้ากลับมาได้ง่าย การดูแลให้ Skin barrier แข็งแรงด้วยการใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยนและให้ความชุ่มชื้น จะช่วยรักษาผลลัพธ์จากการรักษาและทำให้ผิวทนทานต่อการเกิดฝ้าใหม่ได้ดีขึ้น (Lorenadeluxe.com)
ข้อควรระวังและความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับการกำจัดฝ้า
อันตรายจากการซื้อยาทาฝ้าผสมสเตียรอยด์และปรอทใช้เอง
การซื้อยาทาฝ้าที่ผสมสเตียรอยด์และปรอทมาใช้เองนั้นเป็นอันตราย เนื่องจากอาจทำให้ผิวบางลง, เกิดภาวะติดสเตียรอยด์, ฝ้ากลับมาเข้มกว่าเดิม, ผิวหนังเสียหายถาวร, และอาจเกิดพิษต่อไตและระบบประสาทได้
- สเตียรอยด์: ครีมที่มีสเตียรอยด์ความเข้มข้นสูงอาจให้ผลเร็วในตอนแรก แต่การใช้ในระยะยาวจะทำให้ผิวบางลงและอาจทำให้ฝ้ากลับมามีสีเข้มกว่าเดิมเมื่อหยุดใช้
- ปรอท: ส่วนผสมของปรอทเป็นโลหะหนักที่เป็นพิษ ซึ่งสามารถสะสมในร่างกายและก่อให้เกิดความเสียหายต่อไตและระบบประสาทได้
การขัดผิวหน้าแรงเกินไปอาจกระตุ้นให้ฝ้าเข้มขึ้น
เป็นความจริงที่การขัดผิวหน้าแรงเกินไปอาจกระตุ้นให้ฝ้าเข้มขึ้นได้ การขัดผิวที่รุนแรงจะทำลายเกราะป้องกันผิวและทำให้เกิดการอักเสบ ซึ่งจะไปกระตุ้นให้เซลล์ผลิตเม็ดสี (เมลานิน) มากขึ้นเพื่อป้องกันตัวเอง และอาจนำไปสู่ภาวะรอยดำหลังการอักเสบ (post-inflammatory hyperpigmentation) ทำให้ฝ้าดูเข้มขึ้นในที่สุด
ความจริงเรื่องการรักษาฝ้าลึกให้หายขาด 100% เป็นไปได้หรือไม่
ปัจจุบันยังไม่มีวิธีการรักษาฝ้าลึกให้หายขาด 100% เนื่องจากฝ้าเป็นภาวะความผิดปกติของเม็ดสีที่เรื้อรังและสามารถกลับมาเป็นซ้ำได้ เป้าหมายที่แท้จริงของการรักษาจึงเป็นการควบคุมให้รอยฝ้าจางลงและป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ ไม่ใช่การกำจัดให้หายไปอย่างถาวร (Mesotherapy for melasma – an updated review, JPBS, 2024)
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับปัญหาฝ้าลึก
ฝ้าลึกกับกระลึกมีความแตกต่างกันอย่างไร?
ฝ้าลึกเป็นปื้นขนาดใหญ่และไม่สม่ำเสมอซึ่งมักเกิดจากฮอร์โมน ส่วนกระลึกเป็นจุดเล็กๆ ที่เกิดจากแสงแดดเป็นหลัก โดยทั้งสองมีความแตกต่างที่สำคัญหลายประการ ดังนี้
- ลักษณะ: ฝ้าลึกมีลักษณะเป็นปื้นสีน้ำตาลเทาหรืออมฟ้า ขอบเขตไม่ชัดเจน และมักขึ้นแบบสมมาตร เช่น ที่โหนกแก้มสองข้าง ส่วนกระลึกเป็นจุดสีน้ำตาลขนาดเล็ก (1-5 มม.) ที่แยกจากกันและกระจายตัวแบบสุ่ม
- สาเหตุ: ฝ้าเกิดจากฮอร์โมนและแสงแดดร่วมกัน ในขณะที่กระเกิดจากพันธุกรรมและแสงแดดเป็นหลัก
- ช่วงวัย: ฝ้ามักเริ่มปรากฏในวัยผู้ใหญ่ แต่กระมักเกิดขึ้นได้ตั้งแต่ในวัยเด็ก
คนเป็นฝ้าลึกควรทานวิตามินหรืออาหารเสริมตัวไหน?
สำหรับผู้ที่เป็นฝ้าลึก วิตามินและอาหารเสริมที่แนะนำเพื่อช่วยสนับสนุนการรักษา ได้แก่ วิตามินซี, วิตามินอี, สารสกัดจากเฟิร์น (Polypodium leucotomos) และไนอะซินาไมด์ (วิตามินบี 3)
อาหารเสริมเหล่านี้มีส่วนช่วยในการดูแลผิวจากภายใน แต่ไม่สามารถรักษาฝ้าให้หายขาดได้
- วิตามินซี: ช่วยให้ผิวกระจ่างใสและลดความเครียดจากอนุมูลอิสระ
- วิตามินอี: เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยป้องกันรังสียูวี
- Polypodium leucotomos: เป็นสารสกัดจากเฟิร์นที่ช่วยลดการสร้างเม็ดสีที่เกิดจากรังสียูวี
- ไนอะซินาไมด์ (วิตามินบี 3): ช่วยลดการส่งต่อเมลานินในผิวหนัง
อาหารเสริมเหล่านี้จะทำงานได้ดีที่สุดเมื่อใช้ร่วมกับการรักษาหลัก เช่น การทาครีมกันแดดและครีมทาฝ้าภายใต้คำแนะนำของแพทย์ (Utility of oral polypodium leucotomos extract dermatologic diseases systematic review, Journal of Drugs in Dermatology)
การทำเลเซอร์รักษาฝ้าบ่อยๆ ทำให้หน้าบางลงจริงไหม?
ไม่จริง เพราะเลเซอร์ที่ใช้รักษาฝ้าในปัจจุบันส่วนใหญ่ไม่ได้ทำให้ผิวบางลง
เลเซอร์สำหรับรักษาฝ้า เช่น Picosecond หรือ Q-switched laser เป็นเลเซอร์ชนิดที่ไม่ทำลายผิวชั้นบน (non-ablative) โดยจะส่งพลังงานลงไปเป้าหมายที่เม็ดสีโดยตรงโดยไม่ทำให้ชั้นผิวหนังบางลง ในทางกลับกัน เลเซอร์บางชนิดยังสามารถกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ซึ่งอาจช่วยให้ผิวมีความแข็งแรงและดูดีขึ้น ความรู้สึกว่าผิวไวต่อแสงหรือแห้งลงหลังทำเลเซอร์เป็นเพียงอาการชั่วคราว ไม่ได้เกิดจากชั้นผิวที่บางลงจริงๆ (Pubmed, 2023)
ต้องใช้เวลารักษานานเท่าไหร่กว่าฝ้าลึกจะเริ่มจางลง?
โดยทั่วไปแล้ว ฝ้าลึกจะเริ่มจางลงหลังจากรักษาอย่างสม่ำเสมอประมาณ 6–8 สัปดาห์ ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในช่วงแรก แต่การจางลงอย่างเห็นได้ชัดอาจต้องใช้เวลาประมาณ 4–6 เดือน เนื่องจากเม็ดสีอยู่ในชั้นผิวที่ลึกและต้องใช้เวลาในกระบวนการผลัดเซลล์ผิวเพื่อให้ค่อยๆ จางลง (Efficacy of topical Raphanus sativus seed powder mixed with honey versus hydroquinone 4% cream in the treatment of melasma – A randomized controlled trial, ResearchGate, 2024)
ครีมทาฝ้าทั่วไปสามารถรักษาฝ้าลึกได้ผลหรือไม่?
โดยทั่วไปแล้วครีมทาฝ้าที่หาซื้อได้เอง มักไม่สามารถรักษาฝ้าลึกได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ เนื่องจากฝ้าลึกมีเม็ดสีสะสมอยู่ในชั้นหนังแท้ซึ่งอยู่ลึกกว่าผิวชั้นบน ครีมทั่วไปจึงอาจช่วยให้ฝ้าชั้นตื้นจางลงได้บ้าง แต่ไม่สามารถจัดการกับเม็ดสีในชั้นลึกได้ดีพอ การรักษาฝ้าลึกให้ได้ผลอย่างมีนัยสำคัญมักต้องใช้ผลิตภัณฑ์เกรดทางการแพทย์ที่มีความเข้มข้นของสารออกฤทธิ์สูงกว่า เช่น ไฮโดรควิโนน 4% หรือเรตินอยด์ หรือทำหัตถการอื่น ๆ ภายใต้การดูแลของแพทย์ (Ncbi Books)
