Skip to content

TEL : 081-841-5075, 02-258-4050

Facebook Instagram YouTube
Privato Clinic – Innovation Of Beauty  |  Bangkok
  • หน้าหลัก
  • เกี่ยวกับพรีวาโต
  • บริการทั้งหมดExpand
    • ชะลอวัย
    • ยกกระชับผิวExpand
      • XERF
      • Potenza
      • Sofwave
      • Ulthera
      • Thermage-FLX
    • รักษาสิว
    • เลเซอร์
    • โปรแกรมฉีด
    • บำรุงผิว
  • บทความExpand
    • สิว
    • ยกกระชับ
    • ดูแลผิว
    • ทำเลเซอร์
  • ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว
  • โปรโมชั่น
  • ผลลัพธ์การรักษา
  • วิดีโอรีวิวจากเคสจริง
  • สาขาของเรา
  • ไทยExpand
    • ไทย
    • English
    • 中文 (中国)
  • ปรึกษาแพทย์
Privato Clinic – Innovation Of Beauty  |  Bangkok
Consult a Doctor
Skincare

10 วิธีแก้หน้าโทรม บอกลาผิวหมองคล้ำ-ใต้ตาดำ ครบจบในที่เดียว

Byadmin พฤศจิกายน 18, 2025พฤศจิกายน 18, 2025
By แพทย์หญิงนัชชนก หุ่นวิจิตร Updated on พฤศจิกายน 18, 2025
✦ Medically reviewed by  นายแพทย์เลอพงษ์ กรุดเงิน
10 วิธีแก้หน้าโทรม บอกลาผิวหมองคล้ำ-ใต้ตาดำ ครบจบในที่เดียว 2568

หน้าโทรม คือสภาพผิวที่หมองคล้ำอิดโรยซึ่งมีสาเหตุหลักมาจากการพักผ่อนไม่เพียงพอและความเครียด โดยสามารถฟื้นฟูให้กลับมาสดใสได้ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เช่น การนอนหลับให้มีคุณภาพ 7-9 ชั่วโมงต่อคืน ควบคู่กับการใช้สกินแคร์ที่เหมาะสม

Table of Contents

Toggle
  • หน้าโทรมเกิดจากอะไร? เช็ก 5 สาเหตุหลักที่ทำร้ายผิวไม่รู้ตัว
    • การพักผ่อนไม่เพียงพอและความเครียดสะสม
    • ขาดสารอาหารและดื่มน้ำน้อยเกินไป
    • การเผชิญมลภาวะและแสงแดดโดยไม่มีการป้องกัน
    • ละเลยการทำความสะอาดและบำรุงผิวอย่างถูกวิธี
    • การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนและปัจจัยภายในร่างกาย
  • 10 วิธีแก้หน้าโทรม ฟื้นฟูผิวให้กลับมาสดใสเปล่งปลั่ง
    • 1. ปรับเวลานอนให้มีคุณภาพ 7-9 ชั่วโมงต่อคืน
    • 2. ดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย
    • 3. เลือกรับประทานอาหารที่อุดมด้วยวิตามินและสารต้านอนุมูลอิสระ
    • 4. ปกป้องผิวจากรังสี UV ด้วยครีมกันแดดทุกวัน
    • 5. ทำความสะอาดผิวหน้าอย่างล้ำลึกและใช้สกินแคร์ที่เหมาะสม
    • 6. มาสก์หน้าเพื่อเติมความชุ่มชื้นและสารบำรุงเร่งด่วน
    • 7. ออกกำลังกายสม่ำเสมอเพื่อกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต
    • 8. จัดการความเครียดและหาเวลาผ่อนคลาย
    • 9. เสริมด้วยวิตามินและอาหารเสริมที่จำเป็นต่อผิว
    • 10. ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อทำทรีตเมนต์ฟื้นฟูผิว
  • หน้าโทรมแบบไหนที่ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ?
  • พฤติกรรมที่ควรเลี่ยง ป้องกันปัญหาหน้าโทรมซ้ำ
    • การสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ปริมาณมาก
    • การใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่เหมาะกับสภาพผิวหรือมีสารระคายเคือง
    • การขัดหรือสครับผิวหน้าบ่อยและรุนแรงเกินไป
  • เทคโนโลยีทางการแพทย์ช่วยแก้หน้าโทรมได้อย่างไรบ้าง?
    • ทรีตเมนต์และเลเซอร์ฟื้นฟูสภาพผิว
    • การเติมวิตามินผิวและสารบำรุงด้วยหัตถการ
    • การใช้เวชสำอางตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ
  • คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการดูแลปัญหาหน้าโทรม
    • หน้าโทรมขาดวิตามินอะไรเป็นพิเศษ?
    • การนอนดึกแค่คืนเดียวทำให้หน้าโทรมได้จริงหรือไม่?
    • ต้องใช้เวลานานแค่ไหนถึงจะแก้ปัญหาหน้าโทรมได้?
    • ดื่มกาแฟเยอะทำให้หน้าโทรมจริงไหม?
    • มีวิธีแก้หน้าโทรมแบบเร่งด่วนใน 1 คืนหรือไม่?
  • References:

หน้าโทรมเกิดจากอะไร? เช็ก 5 สาเหตุหลักที่ทำร้ายผิวไม่รู้ตัว

การพักผ่อนไม่เพียงพอและความเครียดสะสม

การพักผ่อนไม่เพียงพอและความเครียดสะสมทำให้ผิวขาดน้ำ เกิดภาวะเครียดที่เกิดจากออกซิเดชัน (oxidative stress) และเร่งการสลายคอลลาเจน การอดนอนแม้เพียงคืนเดียวจะทำให้ผิวสูญเสียน้ำและความยืดหยุ่น ในขณะที่ความเครียดเรื้อรังจะกระตุ้นการหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล (cortisol) ซึ่งก่อให้เกิดการอักเสบ ขัดขวางการสร้างเซลล์ผิวใหม่ และยับยั้งการผลิตคอลลาเจนกับกรดไฮยาลูรอนิก (hyaluronic acid) ส่งผลให้ผิวหมองคล้ำและเกิดริ้วรอยได้เร็วขึ้น

ขาดสารอาหารและดื่มน้ำน้อยเกินไป

การขาดสารอาหารและการดื่มน้ำไม่เพียงพอทำให้ผิวซีดเซียว แห้งกร้าน และขาดความเปล่งปลั่ง การขาดโปรตีนหรือธาตุเหล็กอาจนำไปสู่ภาวะโลหิตจางและทำให้ผิวดูซีด ในขณะที่การขาดน้ำจะลดความเต่งตึงและความยืดหยุ่นของผิว ทำให้ผิวแห้ง เป็นขุย และดูหมองคล้ำ นอกจากนี้ การขาดวิตามินซียังทำให้ผิวดูโทรมและฟื้นตัวช้าลง เนื่องจากวิตามินซีจำเป็นต่อการสร้างคอลลาเจน

การเผชิญมลภาวะและแสงแดดโดยไม่มีการป้องกัน

การเผชิญมลภาวะและแสงแดดโดยไม่มีการป้องกันจะเร่งให้ผิวแก่ก่อนวัย ทำให้ใบหน้าดูโทรมและเหนื่อยล้ากว่าที่ควรจะเป็น รังสียูวี (UV) จะสร้างอนุมูลอิสระที่ทำลายคอลลาเจนและอีลาสติน ส่งผลให้เกิดริ้วรอย สีผิวไม่สม่ำเสมอ และผิวหยาบกร้าน ในขณะที่มลภาวะในอากาศจะทำให้เกิดการอักเสบและทำให้เกราะป้องกันผิวอ่อนแอลง

ละเลยการทำความสะอาดและบำรุงผิวอย่างถูกวิธี

การละเลยการทำความสะอาดและบำรุงผิวอย่างถูกวิธีจะทำลายเกราะป้องกันผิว ซึ่งนำไปสู่การอักเสบเรื้อรังระดับต่ำ ทำให้ผิวดูเหนื่อยล้าและโทรมมากขึ้น

พฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมซึ่งส่งผลเสียต่อผิว ได้แก่:

  • การใช้ผลิตภัณฑ์ที่รุนแรงเกินไป: การใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมออกฤทธิ์ (Active ingredients) ที่รุนแรงหลายชนิดพร้อมกัน หรือผลิตภัณฑ์ที่ทำให้รู้สึกแสบหรือแดง อาจทำให้เกิดการอักเสบและโรคผิวหนังอักเสบได้
  • การขัดผิวมากเกินไป: การขัดผิวบ่อยกว่า 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์ หรือการใช้สครับที่หยาบ สามารถทำลายเกราะป้องกันผิว ทำให้เกิดรอยแดง ผิวแห้งเป็นหย่อมๆ และเกิดสิวได้
  • การทำความสะอาดที่ผิดวิธี: การใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่ทำให้ผิวรู้สึก “เอี๊ยด” หรือตึงเกินไป เป็นสัญญาณว่าน้ำมันตามธรรมชาติที่จำเป็นต่อผิวได้ถูกชะล้างออกไปแล้ว

การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนและปัจจัยภายในร่างกาย

การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนและการขาดสารอาหารเป็นปัจจัยภายในหลักที่ทำให้ใบหน้าดูโทรม

  • การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน: ในช่วงครึ่งแรกของรอบเดือน ระดับเอสโตรเจนที่สูงจะช่วยให้ผิวชุ่มชื้นและเปล่งปลั่ง แต่หลังจากไข่ตก ระดับฮอร์โมนที่ลดลงอาจทำให้ผิวมันหรือเกิดสิวได้ ในวัยหมดประจำเดือน การลดลงของเอสโตรเจนอย่างรวดเร็วทำให้ผิวบางลง แห้ง และสูญเสียความยืดหยุ่นและความกระจ่างใส นอกจากนี้ ความไม่สมดุลของฮอร์โมนอื่นๆ เช่น ไทรอยด์ ก็สามารถทำให้ผิวแห้งหรือซีดเซียวเรื้อรังได้
  • การขาดสารอาหาร: การได้รับโปรตีนหรือธาตุเหล็กไม่เพียงพออาจนำไปสู่ภาวะโลหิตจาง ทำให้ผิวพรรณดูซีดเซียวและไม่มีชีวิตชีวา

10 วิธีแก้หน้าโทรม ฟื้นฟูผิวให้กลับมาสดใสเปล่งปลั่ง

1. ปรับเวลานอนให้มีคุณภาพ 7-9 ชั่วโมงต่อคืน

การนอนหลับอย่างมีคุณภาพ 7-9 ชั่วโมงต่อคืนเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้ผิวได้ซ่อมแซม ฟื้นฟู และสร้างเกราะป้องกันให้แข็งแรง ผู้ที่นอนหลับเพียงพอจะฟื้นตัวจากปัจจัยทำร้ายผิวได้เร็วกว่า ในทางกลับกัน การนอนน้อยจะทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของผิวอ่อนแอลงและเพิ่มฮอร์โมนคอร์ติซอล ซึ่งนำไปสู่ริ้วรอย สิว และความหมองคล้ำได้ง่ายขึ้น

2. ดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย

การดื่มน้ำให้เพียงพอช่วยให้ผิวดูอิ่มฟูและเปล่งปลั่งขึ้น ในทางกลับกัน การขาดน้ำแม้เพียงเล็กน้อยก็สามารถทำให้ผิวดูแห้งเหี่ยวและเน้นให้ริ้วรอยดูชัดเจนขึ้นได้

มีการศึกษาทางคลินิกชิ้นหนึ่งระบุว่าผู้ที่ดื่มน้ำมากขึ้นมีระดับความชุ่มชื้นของผิวสูงขึ้นและมีความหยาบกร้านน้อยลงอย่างเห็นได้ชัดหลังจากผ่านไปสองสามสัปดาห์ นอกจากนี้ การใช้มอยส์เจอไรเซอร์ที่มีส่วนผสมอย่างไฮยาลูรอนิกแอซิดและเซราไมด์ยังช่วย “ล็อก” ความชุ่มชื้นไว้ในผิว ทำให้เกราะป้องกันผิวแข็งแรงขึ้นและดูฉ่ำวาว

3. เลือกรับประทานอาหารที่อุดมด้วยวิตามินและสารต้านอนุมูลอิสระ

การรับประทานอาหารที่อุดมด้วยวิตามินและสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยต่อสู้กับอนุมูลอิสระและสามารถปรับปรุงความกระจ่างใสของผิวได้อย่างเห็นได้ชัด

วิตามินและสารอาหารที่สำคัญต่อผิว ได้แก่

  • วิตามินซี จำเป็นต่อการสร้างคอลลาเจน หากขาดไปผิวจะหมองคล้ำ เปราะบาง และฟื้นตัวช้า
  • กรดไขมันโอเมก้า 3 (พบในปลาและเมล็ดแฟลกซ์) ช่วยลดการอักเสบและรักษาเกราะป้องกันไขมันของผิวให้แข็งแรง
  • สารต้านอนุมูลอิสระ จากผักและผลไม้หลากสี ช่วยปกป้องผิวจากความเสียหาย

ในทางกลับกัน ควรจำกัดอาหารที่มีน้ำตาลสูง เพราะจะส่งเสริมกระบวนการไกลเคชัน (glycation) ที่ทำลายคอลลาเจน ทำให้ผิวสูญเสียความยืดหยุ่นและดูโทรมลง

4. ปกป้องผิวจากรังสี UV ด้วยครีมกันแดดทุกวัน

การใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 ขึ้นไปทุกวันเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการป้องกันความเสียหายจากรังสี UV ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ใบหน้าดูแก่กว่าวัยและโทรม การทาครีมกันแดดเป็นประจำจะช่วยป้องกันการสลายตัวของคอลลาเจนที่เกิดจากรังสียูวี ซึ่งนำไปสู่ผิวหย่อนคล้อยและเกิดริ้วรอย นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันการเกิดจุดด่างดำ ทำให้สีผิวสม่ำเสมอและดูกระจ่างใสขึ้น

5. ทำความสะอาดผิวหน้าอย่างล้ำลึกและใช้สกินแคร์ที่เหมาะสม

ควรทำความสะอาดผิวหน้าอย่างอ่อนโยนและใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมออกฤทธิ์ที่ได้รับการพิสูจน์แล้ว เช่น เรตินอยด์ วิตามินซี และกรดไฮยาลูรอนิก เพื่อฟื้นฟูผิวที่ดูโทรม

ควรหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่ทำให้ผิวรู้สึก “เอี๊ยด” หรือแห้งตึงเกินไป เพราะเป็นสัญญาณว่าน้ำมันตามธรรมชาติของผิวถูกทำลายไป หลังจากทำความสะอาดแล้ว ควรใช้ผลิตภัณฑ์เฉพาะที่ออกฤทธิ์ ดังนี้

  • เรตินอยด์ (Retinoids): ช่วยให้ผิวเรียบเนียน ลดเลือนริ้วรอย และปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ ควรเริ่มใช้อย่างช้าๆ (เช่น สัปดาห์ละ 2 ครั้งในตอนกลางคืน) เพื่อลดการระคายเคือง
  • วิตามินซี (Vitamin C): ช่วยลดเลือนจุดด่างดำและทำให้สีผิวกระจ่างใสสม่ำเสมอขึ้น การใช้เซรั่มวิตามินซีในตอนเช้าก่อนทาครีมกันแดดจะช่วยปกป้องผิวและเพิ่มความสดใส
  • กรดไฮยาลูรอนิก (Hyaluronic Acid): ช่วยเติมความชุ่มชื้นให้ผิวอย่างล้ำลึก ทำให้ผิวดูอิ่มฟูและสดชื่นขึ้น

การดูแลผิวตามขั้นตอนเหล่านี้อย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้ผิวได้รับการฟื้นฟู และโดยทั่วไปจะเริ่มเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนขึ้นใน 4-12 สัปดาห์

6. มาสก์หน้าเพื่อเติมความชุ่มชื้นและสารบำรุงเร่งด่วน

การมาสก์หน้าสามารถช่วยเติมความชุ่มชื้นและสารบำรุงเข้มข้นให้แก่ผิวได้อย่างรวดเร็ว โดยมาสก์ที่อุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระหรือเปปไทด์สามารถ “ฟื้นฟู” ผิวที่หมองคล้ำได้ชั่วคราวก่อนมีงานสำคัญ จากผลการทดสอบทางคลินิกพบว่าการใช้มาสก์เพียงครั้งเดียวสามารถเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวได้มากกว่า 50% อย่างไรก็ตาม แพทย์ผิวหนังชี้ว่าผลลัพธ์นี้เป็นเพียงชั่วคราว และควรใช้มาสก์เป็นตัวเสริมควบคู่ไปกับการดูแลผิวประจำวันเพื่อผลลัพธ์ที่ยั่งยืน

7. ออกกำลังกายสม่ำเสมอเพื่อกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต

การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอช่วยกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต ซึ่งนำออกซิเจนและสารอาหารไปเลี้ยงผิวได้ดีขึ้น ทำให้ผิวดูสดใสและสุขภาพดีขึ้น การออกกำลังกายยังช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในระยะยาว ทำให้ผิวเต่งตึงขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยลดฮอร์โมนความเครียดและส่งเสริมการนอนหลับ ซึ่งส่งผลดีต่อผิวโดยรวม

8. จัดการความเครียดและหาเวลาผ่อนคลาย

การจัดการความเครียดและหาเวลาผ่อนคลายช่วยลดระดับฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) ซึ่งเป็นฮอร์โมนความเครียดที่ขัดขวางการสร้างคอลลาเจนและกรดไฮยาลูรอนิกในผิว ทำให้ผิวสูญเสียความกระชับและความชุ่มชื้น

เทคนิคที่ช่วยลดความเครียดและส่งผลดีต่อผิว ได้แก่

  • การทำสมาธิแบบเจริญสติ (Mindfulness meditation)
  • โยคะ
  • การฝึกหายใจลึกๆ
  • การทำกิจกรรมผ่อนคลาย เช่น เดินเล่น หรือพักจากการใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์

มีงานวิจัยพบว่าโปรแกรมการทำสมาธิสามารถลดระดับคอร์ติซอลได้อย่างมีนัยสำคัญในเวลาเพียง 8 สัปดาห์ ซึ่งช่วยลดการอักเสบของผิวและทำให้ผิวกลับมาสดใสขึ้น

9. เสริมด้วยวิตามินและอาหารเสริมที่จำเป็นต่อผิว

การแก้ไขภาวะขาดวิตามินที่ได้รับการยืนยันแล้ว เช่น วิตามินดี วิตามินบี และธาตุเหล็ก เป็นสิ่งสำคัญที่สุด เนื่องจากภาวะขาดสารอาหารเหล่านี้อาจทำให้ผิวดูซีดเซียวและไม่แข็งแรง

นอกจากนี้ งานวิจัยหลายชิ้นยังชี้ให้เห็นว่าการรับประทานคอลลาเจนเปปไทด์ 2.5–5 กรัมต่อวัน สามารถช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น ความยืดหยุ่น และลดเลือนริ้วรอยตื้นๆ ได้ภายใน 8–12 สัปดาห์ อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญเน้นย้ำว่าอาหารเสริมไม่ใช่ยาวิเศษ และควรปรึกษาแพทย์ก่อนเริ่มรับประทานเสมอ

10. ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อทำทรีตเมนต์ฟื้นฟูผิว

การปรึกษาผู้เชี่ยวชาญจะช่วยให้เข้าถึง ทรีตเมนต์ฟื้นฟูผิวขั้นสูง เช่น เลเซอร์ การฉีดสารบำรุงผิว และยาที่สั่งโดยแพทย์ ซึ่งให้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนกว่าการดูแลผิวด้วยตนเอง

ผู้เชี่ยวชาญอาจแนะนำทรีตเมนต์ต่างๆ ตามสภาพผิว ได้แก่

  • เลเซอร์และทรีตเมนต์ผลัดผิว: เทคโนโลยีอย่างเลเซอร์ (Laser Resurfacing), IPL (Intense Pulsed Light) และการผลัดผิวด้วยสารเคมี (Chemical Peels) สามารถช่วยปรับปรุงพื้นผิว ลดเลือนริ้วรอย และทำให้สีผิวสม่ำเสมอขึ้น
  • ทรีตเมนต์ชนิดฉีด: การฉีดสารบำรุงผิว (Skin Boosters) หรือเมโสเทอราพี (Mesotherapy) เป็นการเติมความชุ่มชื้นและสารอาหารเข้าสู่ผิวโดยตรง เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวดูอิ่มฟูและเรียบเนียนขึ้น
  • ผลิตภัณฑ์ที่สั่งโดยแพทย์: แพทย์ผิวหนังอาจสั่งยาที่มีความเข้มข้นสูง เช่น Tretinoin (อนุพันธ์วิตามินเอ) หรือ Hydroquinone เพื่อจัดการกับปัญหาริ้วรอยและจุดด่างดำที่รุนแรง ซึ่งให้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนกว่าผลิตภัณฑ์ที่หาซื้อได้ทั่วไป

หน้าโทรมแบบไหนที่ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ?

ควรปรึกษาแพทย์เมื่อใบหน้าดูโทรมอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาหลายเดือนแม้จะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตแล้ว หรือเมื่อมีอาการอื่นร่วมด้วย

โดยทั่วไป หากใบหน้ายังคงดูหมองคล้ำหรือเหนื่อยล้าเป็นเวลานาน หรือมีอาการเหล่านี้ร่วมด้วย ควรไปพบแพทย์เพื่อประเมินสาเหตุที่แท้จริง

  • ผิวหมองคล้ำหรือซีดเซียวไม่หาย ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของภาวะไทรอยด์ต่ำ
  • ใต้ตาคล้ำตลอดเวลา อาจเกี่ยวข้องกับภูมิแพ้หรือโพรงจมูกอักเสบ
  • ผิวแห้งกร้านต่อเนื่องแม้จะใช้มอยส์เจอไรเซอร์เป็นประจำ อาจเป็นโรคผิวหนังอักเสบ
  • มีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น ผมร่วง น้ำหนักเปลี่ยนแปลง หรือเหนื่อยล้าผิดปกติ
  • ผิวมีโทนสีออกเหลือง ซึ่งอาจบ่งชี้ถึงปัญหาเกี่ยวกับตับหรือภาวะโลหิตจาง

พฤติกรรมที่ควรเลี่ยง ป้องกันปัญหาหน้าโทรมซ้ำ

การสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ปริมาณมาก

การสูบบุหรี่และการดื่มแอลกอฮอล์ปริมาณมากทำให้ผิวแก่ก่อนวัยและดูหมองคล้ำ โดยการสูบบุหรี่จะทำให้ผิวขาดวิตามินซีและออกซิเจน ส่งผลให้ผิวแห้งกร้านและฟื้นตัวช้า ส่วนแอลกอฮอล์จะขับน้ำออกจากร่างกาย ทำให้ผิวแห้ง ขาดความยืดหยุ่น และดวงตาดูโหล ในระยะยาว การดื่มหนักยังทำลายเกราะป้องกันผิว ทำให้รอยแดงแย่ลง และเร่งการเกิดริ้วรอยกับจุดด่างดำ

การใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่เหมาะกับสภาพผิวหรือมีสารระคายเคือง

การใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่เหมาะกับสภาพผิวหรือมีสารระคายเคืองรุนแรงอาจทำให้เกิดการอักเสบเรื้อรังระดับต่ำหรือโรคผิวหนังอักเสบ (dermatitis) ซึ่งส่งผลเสียต่อผิวพรรณโดยรวม แพทย์ผิวหนังแนะนำให้หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่ทำให้รู้สึกแสบหรือเกิดรอยแดง และควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยน มีค่า pH ที่สมดุล และปราศจากน้ำหอม (ถ้าเป็นไปได้) เพื่อรักษาสุขภาพผิวให้ดูเปล่งปลั่งสดใส

การขัดหรือสครับผิวหน้าบ่อยและรุนแรงเกินไป

การขัดหรือสครับผิวหน้าบ่อยและรุนแรงเกินไปจะทำลายเกราะป้องกันผิว ซึ่งทำให้ใบหน้าดูโทรมและเหนื่อยล้ามากขึ้น

การกระทำดังกล่าวสามารถส่งผลให้เกิดรอยแดง ผิวแห้งเป็นหย่อมๆ และสิวเห่อได้ ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้จำกัดการขัดผิวไว้ที่ 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์โดยใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยน สัญญาณที่บ่งบอกว่าเกราะป้องกันผิวถูกทำลายคือผิวที่ยังคงระคายเคืองหรือลอกเป็นขุยแม้จะทามอยส์เจอไรเซอร์แล้วก็ตาม

เทคโนโลยีทางการแพทย์ช่วยแก้หน้าโทรมได้อย่างไรบ้าง?

เทคโนโลยีทางการแพทย์สามารถช่วยแก้ปัญหาหน้าโทรมได้โดยใช้เลเซอร์ การฉีดสารบำรุงผิว และการใช้ยาที่สั่งโดยแพทย์ เพื่อฟื้นฟูสภาพผิวให้กลับมาสดใสและเรียบเนียนขึ้น

เทคโนโลยีที่นิยมใช้มีดังนี้:

  • การรักษาเพื่อฟื้นฟูผิวและเลเซอร์: เทคโนโลยีอย่าง Fractional laser และ IPL (Intense Pulsed Light) ช่วยลดเลือนริ้วรอย จุดด่างดำ และรอยแดง ทำให้ผิวเรียบเนียนและสีผิวสม่ำเสมอขึ้น นอกจากนี้ การผลัดเซลล์ผิวด้วยสารเคมี (Chemical Peels) ยังช่วยขจัดเซลล์ผิวที่หมองคล้ำออกไป เผยผิวใหม่ที่กระจ่างใสกว่า
  • การรักษาด้วยการฉีด: การฉีดสกินบูสเตอร์ (Skin Boosters) ที่มีส่วนผสมของไฮยาลูรอนิก แอซิด ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวจากภายใน ทำให้ผิวดูอิ่มฟูและเรียบเนียน ส่วนเมโสเทอราพี (Mesotherapy) เป็นการฉีดวิตามินและสารต้านอนุมูลอิสระเพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นและปรับปรุงคุณภาพผิว
  • เวชสำอางที่สั่งโดยแพทย์: แพทย์อาจสั่งยาที่มีความเข้มข้นสูง เช่น Tretinoin (อนุพันธ์วิตามินเอ) เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน หรือยาที่ช่วยลดเม็ดสี เช่น Hydroquinone เพื่อรักษาฝ้าและจุดด่างดำที่รักษายาก

ทรีตเมนต์และเลเซอร์ฟื้นฟูสภาพผิว

เทคโนโลยีฟื้นฟูสภาพผิวที่สำคัญ ได้แก่ เลเซอร์, IPL (Intense Pulsed Light) และการผลัดเซลล์ผิวด้วยสารเคมี (chemical peels) ซึ่งช่วยปรับปรุงผิวที่หมองคล้ำและดูเหนื่อยล้าให้ดีขึ้น

  • เลเซอร์ (Laser resurfacing): ช่วยให้ริ้วรอยตื้นๆ เรียบเนียนขึ้น ปรับปรุงผิวที่หยาบกร้าน และลดเลือนเม็ดสีที่ไม่สม่ำเสมอ
  • IPL (Intense Pulsed Light): มุ่งเป้าไปที่ความผิดปกติของสีผิว เช่น จุดด่างดำและเส้นเลือดฝอยสีแดง เพื่อให้สีผิวสม่ำเสมอและดูกระจ่างใสขึ้น
  • การผลัดเซลล์ผิวด้วยสารเคมี (Chemical peels): ใช้สารเคมี เช่น กรดไกลโคลิกหรือกรดแลคติก เพื่อขจัดเซลล์ผิวชั้นบนที่หมองคล้ำออกไป เผยผิวใหม่ที่กระจ่างใสกว่า
  • ทรีตเมนต์อื่นๆ: การกรอผิว (microdermabrasion) และการขจัดเซลล์ผิวและขนอ่อน (dermaplaning) ก็สามารถช่วยให้ผิวดูสดใสขึ้นได้เช่นกัน

การเติมวิตามินผิวและสารบำรุงด้วยหัตถการ

หัตถการที่ใช้ในการเติมวิตามินและสารบำรุงผิวโดยตรง ได้แก่ การฉีดสกินบูสเตอร์ (skin boosters), เมโสเทอราพี (mesotherapy), และการให้สารอาหารทางหลอดเลือด (IV nutrient drips)

  • สกินบูสเตอร์: เช่น Profhilo® หรือ Restylane Vital เป็นการฉีดสารบำรุงเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นจากภายใน ทำให้ผิวเรียบเนียนและกระจ่างใสขึ้น
  • เมโสเทอราพี: เป็นการฉีดค็อกเทลวิตามิน สารต้านอนุมูลอิสระ หรือเกล็ดเลือดเข้มข้น (PRP) ผ่านการเจาะเล็กๆ จำนวนมาก ซึ่งมีงานวิจัยบางชิ้นแสดงให้เห็นว่าสามารถเพิ่มความยืดหยุ่นของผิวและปรับปรุงเม็ดสีได้
  • IV Drips: เป็นการให้วิตามิน เช่น วิตามินซีหรือกลูตาไธโอนทางหลอดเลือดเพื่อช่วยให้ผิวกระจ่างใส แต่หลักฐานส่วนใหญ่ยังเป็นเพียงคำบอกเล่า และประโยชน์อาจมาจากการแก้ไขภาวะขาดสารอาหารหรือการเติมน้ำให้ร่างกาย

การใช้เวชสำอางตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ

การใช้เวชสำอางตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ เป็นการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีความเข้มข้นสูงหรือมีตัวยาออกฤทธิ์เฉพาะที่ไม่สามารถหาซื้อได้ทั่วไป เพื่อแก้ไขปัญหาผิวที่ซับซ้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าผลิตภัณฑ์ที่วางขายทั่วไป

แพทย์ผิวหนังอาจสั่งจ่ายเวชสำอางเพื่อจัดการกับปัญหาผิวโทรมโดยเฉพาะ เช่น

  • เตรทิโนอิน (Tretinoin): อนุพันธ์วิตามินเอที่ช่วยฟื้นฟูผิว ลดเลือนริ้วรอย และปรับผิวให้เรียบเนียนได้ดีกว่าผลิตภัณฑ์ทั่วไป โดยมักเห็นผลใน 3-6 เดือน
  • ไฮโดรควิโนน (Hydroquinone) หรือกรดทรานเอกซามิก (Tranexamic acid): ใช้รักษาฝ้า กระ หรือรอยดำที่ดื้อต่อการรักษา ทำให้สีผิวสม่ำเสมอและสว่างขึ้น
  • การบำบัดด้วยฮอร์โมน: สำหรับผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน แพทย์อาจพิจารณาให้ฮอร์โมนหรือเอสโตรเจนชนิดทาเพื่อเพิ่มความหนาและความชุ่มชื้นให้ผิว
  • กรดอะซีลาอิก (Azelaic acid): ช่วยลดการอักเสบในผู้ที่มีแนวโน้มเป็นสิวง่าย ซึ่งช่วยให้ผิวดูสดใสขึ้น

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการดูแลปัญหาหน้าโทรม

หน้าโทรมขาดวิตามินอะไรเป็นพิเศษ?

การขาดวิตามินซีและวิตามินบี (โดยเฉพาะ B12 และ B3) เป็นสาเหตุที่ทำให้ใบหน้าดูโทรมและผิวพรรณไม่สดใสได้ การขาดวิตามินซีทำให้ผิวหมองคล้ำ เปราะบาง และฟื้นตัวช้า เนื่องจากวิตามินซีจำเป็นต่อการสร้างคอลลาเจน ส่วนการขาดวิตามินบีและธาตุเหล็กอาจทำให้ผิวดูซีดเซียวและไม่แข็งแรง

การนอนดึกแค่คืนเดียวทำให้หน้าโทรมได้จริงหรือไม่?

ใช่ การนอนดึกเพียงคืนเดียวสามารถทำให้ใบหน้าดูโทรมได้จริง เนื่องจากการอดนอนจะเพิ่มภาวะเครียดออกซิเดชัน (oxidative stress) และทำให้ผิวสูญเสียความชุ่มชื้น ส่งผลให้ผิวขาดน้ำและความยืดหยุ่นลดลงอย่างเห็นได้ชัด อย่างไรก็ตาม ผลกระทบเหล่านี้สามารถฟื้นฟูได้เมื่อกลับมานอนหลับอย่างเพียงพอ

ต้องใช้เวลานานแค่ไหนถึงจะแก้ปัญหาหน้าโทรมได้?

โดยทั่วไปแล้ว การแก้ปัญหาหน้าโทรมให้เห็นผลลัพธ์ที่แท้จริงต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์ถึงหลายเดือน ไม่ใช่แค่เพียงไม่กี่วัน

การปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ เช่น การนอนหลับ การกิน และการดูแลผิว จะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนในเวลาประมาณ 4 สัปดาห์ และจะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนยิ่งขึ้นใน 3 เดือนเมื่อคอลลาเจนเริ่มสร้างขึ้นใหม่ ส่วนการรักษาโดยผู้เชี่ยวชาญ เช่น เลเซอร์ อาจใช้เวลา 2-3 เดือนหลังการรักษาครั้งสุดท้ายจึงจะเห็นผลเต็มที่

ดื่มกาแฟเยอะทำให้หน้าโทรมจริงไหม?

การดื่มกาแฟในปริมาณที่มากเกินไปอาจทำให้หน้าโทรมได้จริง เนื่องจากคาเฟอีนสามารถรบกวนคุณภาพการนอนหลับ ซึ่งขัดขวางกระบวนการซ่อมแซมผิวในตอนกลางคืน นอกจากนี้ หากดื่มน้ำไม่เพียงพอ คาเฟอีนอาจทำให้ผิวขาดน้ำ ส่งผลให้ริ้วรอยและผิวที่หมองคล้ำดูชัดเจนขึ้นได้

มีวิธีแก้หน้าโทรมแบบเร่งด่วนใน 1 คืนหรือไม่?

ไม่มีวิธีแก้หน้าโทรมให้หายขาดได้อย่างสมบูรณ์ภายในคืนเดียว เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงทางชีวภาพของผิว เช่น การสร้างคอลลาเจน หรือการลดเลือนจุดด่างดำ ล้วนต้องใช้เวลา

อย่างไรก็ตาม มีวิธีที่ช่วยให้ผิวดูสดใสและเปล่งปลั่งขึ้นได้ชั่วคราว ซึ่งผลลัพธ์จะอยู่ได้ประมาณ 1-2 วัน ได้แก่

  • ใช้แผ่นมาสก์หน้าเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นเร่งด่วน
  • ประคบเย็นหรือใช้ครีมทาใต้ตาที่มีคาเฟอีนเพื่อลดอาการบวม
  • ขัดผิวอย่างอ่อนโยนเพื่อผลัดเซลล์ผิวที่หมองคล้ำออกไป
  • ดื่มน้ำให้เพียงพอและนอนหลับให้เต็มที่
  • ใช้มอยส์เจอไรเซอร์หรือไพรเมอร์ที่ช่วยกระจายแสงเพื่อให้ผิวดูสว่างขึ้น

References:

  1. PubMed Central, 2025, pmc.ncbi.nlm.nih.gov
  2. National Institutes of Health, 2025, nih.gov
  3. Rsc, 2025, pubs.rsc.org
  4. Sleepfoundation, 2025, sleepfoundation.org
  5. Cleveland Clinic, 2025, my.clevelandclinic.org
  6. American Academy of Dermatology, 2025, jaad.org

แนะแนวเรื่อง

Previous Previous
7 วิธีแก้ผิวไหม้แดดเร่งด่วน ลดอาการแสบแดง-ผิวลอก อัปเดต 2568

สาขาพรีวาโต คลินิก

    สาขาอโศก ตั้งอยู่ที่ ชั้น 2 อาคารมิดทาวน์
    Phone: 02-258-4050 , 081-841-5075
    สาขาสีลม ตั้งอยู่ที่ ชั้น 1 อาคารซี.พี.ทาวเวอร์
    Phone: 02-780-2011 , 098-272-5244
    สาขาราชพฤกษ์ ตั้งอยู่ที่ ชั้น 2 ศูนย์การค้า เดอะคริสตัล เอสบี (ด้านบนร้านสตาร์บัคส์)
    Phone: 02-102-2778 , 098-272-5244

ติดต่อเรา

    Facebook: Privato Clinic
    Messenger: Privato Clinic
    Instagram: privatoclinic
    Email: privatoclinic@gmail.com
    Line: @privatoclinic

Copyright© 2022-2024. All Rights Reserved

Scroll to top
  • หน้าหลัก
  • เกี่ยวกับพรีวาโต
  • บริการทั้งหมด
    • ชะลอวัย
    • ยกกระชับผิว
      • XERF
      • Potenza
      • Sofwave
      • Ulthera
      • Thermage-FLX
    • รักษาสิว
    • เลเซอร์
    • โปรแกรมฉีด
    • บำรุงผิว
  • บทความ
    • สิว
    • ยกกระชับ
    • ดูแลผิว
    • ทำเลเซอร์
  • ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว
  • โปรโมชั่น
  • ผลลัพธ์การรักษา
  • วิดีโอรีวิวจากเคสจริง
  • สาขาของเรา
  • ไทย
    • ไทย
    • English
    • 中文 (中国)
  • ปรึกษาแพทย์
Facebook Instagram YouTube