เคล็ดลับหน้าใสที่คลินิกเสริมความงาม รวมทรีตเมนต์น่าทำและราคาล่าสุด

“หน้าใส” ในทางการแพทย์คืออะไร แตกต่างจากวิธีทั่วไปอย่างไร
“หน้าใส” ในทางการแพทย์คือผิวที่ปราศจากรอยโรค เช่น สิวอักเสบ และรอยที่เกิดตามมาอย่างรอยดำรอยแดง โดยมีสีผิวสม่ำเสมอและผิวเรียบเนียน
ความแตกต่างจากวิธีดูแลผิวทั่วไปคือ การรักษาทางการแพทย์จะเน้นแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์รองรับ และใช้เครื่องมือหรือยาที่เข้มข้นกว่าเพื่อให้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนและวัดผลได้ด้วยเกณฑ์ที่เป็นรูปธรรม เช่น การนับจำนวนสิว ในขณะที่การดูแลผิวทั่วไปมักเน้นการดูแลผิวชั้นนอกและวัดผลจากความรู้สึกเป็นหลัก
ใครบ้างที่เหมาะกับการทำทรีตเมนต์หน้าใสที่คลินิก
สัญญาณผิวที่บ่งบอกว่าควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
สัญญาณผิวที่บ่งบอกว่าควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ได้แก่ สิวที่ไม่ดีขึ้นหลังการดูแลด้วยตนเอง สิวอักเสบลึกที่ทำให้เกิดรอยแผลเป็นหรือรอยดำ ผื่นที่เกิดขึ้นกะทันหัน ฝ้าหรือจุดด่างดำที่รักษายาก และตุ่มหรือก้อนที่ขึ้นบนผิวหนัง
โดยมีรายละเอียดดังนี้:
- สิวเรื้อรังที่ไม่ดีขึ้นหลังจากใช้ผลิตภัณฑ์ที่หาซื้อได้ทั่วไปเป็นเวลา 2-3 เดือน
- สิวอักเสบหัวช้าง (Deep cystic breakouts)
- สิวที่ทิ้งรอยแผลเป็นหรือรอยดำไว้
- ผดผื่นที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน
- ฝ้าหรือจุดด่างดำที่รักษายาก
- ตุ่มหรือก้อนเนื้อใดๆ ที่ปรากฏบนผิวหนัง
โดยทั่วไป หากปัญหาผิวส่งผลกระทบต่อความมั่นใจหรือไม่ตอบสนองต่อการดูแลที่บ้าน ควรเข้าพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสม
ข้อห้ามและเงื่อนไขที่ไม่ควรทำหัตถการหน้าใส
ผู้ที่มีภาวะบางอย่าง เช่น กำลังมีการติดเชื้อที่ผิวหนัง, เพิ่งใช้ยาไอโซเตรติโนอิน, กำลังตั้งครรภ์ หรือมีแนวโน้มเป็นแผลเป็นคีลอยด์ ไม่เหมาะกับการทำหัตถการหน้าใสบางประเภทและควรปรึกษาแพทย์ก่อนเสมอ
เงื่อนไขและข้อห้ามที่ไม่ควรทำหัตถการหน้าใสบางชนิด ได้แก่:
- การติดเชื้อที่ผิวหนัง: ผู้ที่มีการติดเชื้อ เช่น สิวอักเสบรุนแรง หรือเริม ควรได้รับการรักษาก่อนทำเลเซอร์หรือลอกผิวเพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อ
- การใช้ยาไอโซเตรติโนอิน (Isotretinoin): หากใช้ยานี้ในช่วง 6-12 เดือนที่ผ่านมา ควรหลีกเลี่ยงการลอกผิวระดับกลางถึงลึกและการทำเลเซอร์บางชนิด เนื่องจากอาจส่งผลต่อการสมานแผล
- แนวโน้มการเกิดแผลเป็นคีลอยด์: ผู้ที่มีประวัติเป็นแผลเป็นนูนหรือคีลอยด์ง่าย ควรเลือกทำหัตถการที่อ่อนโยนเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อน
- สตรีมีครรภ์หรือให้นมบุตร: โดยทั่วไปแนะนำให้หลีกเลี่ยงการลอกผิวด้วยสารเคมี, การทำเลเซอร์ และการฉีดบางชนิดเพื่อความปลอดภัย
- ผู้ที่มีสีผิวเข้มมาก: มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดรอยดำหลังการอักเสบ (PIH) จากการทำเลเซอร์หรือลอกผิวที่รุนแรง จึงควรเลือกวิธีที่อ่อนโยนกว่า
- ภาวะอื่นๆ: เช่น โรคเบาหวานที่ควบคุมไม่ได้, โรคแพ้ภูมิตัวเอง หรือการใช้ยาที่ทำให้ผิวไวต่อแสง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินความปลอดภัยก่อนทำหัตถการ
5 หัตถการหน้าใสยอดนิยมที่แพทย์ผิวหนังแนะนำ
การฉีดเมโสหน้าใส (Mesotherapy)
เมโสหน้าใส (Mesotherapy) คือการใช้เข็มขนาดเล็กฉีดสารบำรุงผิว ซึ่งประกอบด้วยวิตามิน กรดไฮยาลูรอนิก แร่ธาตุ และสารต้านอนุมูลอิสระเข้าไปในชั้นผิวหนังโดยตรง เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและฟื้นฟูเซลล์ผิวจากภายใน
หัตถการนี้ช่วยให้ผิวเรียบเนียนขึ้น เพิ่มความยืดหยุ่น และมอบความชุ่มชื้นฉ่ำวาว (dewy glow) จึงเหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหมองคล้ำ อ่อนล้า หรือมีริ้วรอยเล็กน้อย โดยทั่วไปแนะนำให้ทำต่อเนื่อง 3-6 ครั้งเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
เลเซอร์ปรับสภาพผิว (Skin Resurfacing Lasers)
เลเซอร์ปรับสภาพผิวคือ การใช้พลังงานแสงแบบเข้มข้นเพื่อจัดการกับชั้นผิวหรือเม็ดสีที่เฉพาะเจาะจง ซึ่งเป็นหนึ่งในวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการทำให้ผิวเรียบเนียนและกระจ่างใสขึ้น
เลเซอร์ทางการแพทย์แบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก:
- Ablative Lasers: ทำลายผิวชั้นนอกเพื่อกระตุ้นให้ร่างกายสร้างผิวใหม่ที่เรียบเนียนขึ้น เหมาะสำหรับรักษารอยแผลเป็นจากสิวและริ้วรอยลึก
- Non-ablative Lasers: ส่งความร้อนไปยังผิวชั้นในโดยไม่ทำลายผิวชั้นนอก เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน เหมาะสำหรับลดเลือนเม็ดสี รอยแดง และริ้วรอยตื้นๆ
เลเซอร์สามารถปรับปรุงสภาพผิวได้อย่างชัดเจนโดยการลบเลือนจุดด่างดำ กระชับรูขุมขน และทำให้สีผิวสม่ำเสมอ
การทำทรีตเมนต์ผลัดเซลล์ผิว (Medical-Grade Peels)
การทำเคมิคอลพีล (Chemical Peel) คือการใช้สารละลายที่มีฤทธิ์เป็นกรดทาลงบนผิวหนังเพื่อผลัดเซลล์ผิวอย่างควบคุมได้ โดยแพทย์ผิวหนังจะใช้กรดหลายชนิด เช่น กรดอัลฟาไฮดรอกซี (AHA), กรดเบต้าไฮดรอกซี (BHA), กรดไตรคลอโรอะซิติก (TCA) และฟีนอล (Phenol) ในความเข้มข้นที่แตกต่างกัน
ความลึกของการลอกผิวสามารถปรับได้ 3 ระดับตามปัญหาผิว:
- ลอกผิวระดับตื้น (Light Peels): ช่วยผลัดเซลล์ผิวชั้นนอก ทำให้ผิวสว่างใสขึ้น ลดรอยดำเล็กน้อย และควบคุมสิว
- ลอกผิวระดับปานกลาง (Medium Peels): ลงลึกถึงชั้นหนังแท้ส่วนบน ช่วยลดริ้วรอยตื้นๆ ฝ้ากระจากแดด และรอยแผลเป็นจากสิว
- ลอกผิวระดับลึก (Deep Peels): ลงลึกถึงชั้นหนังแท้ส่วนกลาง สามารถฟื้นฟูผิวที่เสียหายจากแสงแดดอย่างรุนแรงหรือมีรอยแผลเป็นลึกได้ดีเยี่ยม
การเติมวิตามินผิว (IV Drip & Skin Boosters)
การเติมวิตามินผิวคือการให้สารอาหารแก่ผิวหนังผ่านการฉีดเข้าเส้นเลือด (IV Drip) หรือการฉีดเข้าสู่ผิวหนังโดยตรง (Skin Booster) เพื่อฟื้นฟูและบำรุงผิว โดยทั้งสองวิธีมีกลไกและวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกัน ดังนี้
- IV Drip (การดริปวิตามินเข้าเส้นเลือด): เป็นการให้วิตามินและสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น วิตามินซี หรือกลูตาไธโอน ผ่านทางสายน้ำเกลือเข้าสู่กระแสเลือดโดยตรง แม้จะช่วยให้ร่างกายสดชื่นและผิวดูเปล่งปลั่งขึ้นชั่วคราว แต่หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ยืนยันผลด้านการทำให้ผิวขาวขึ้นอย่างมีนัยสำคัญยังมีน้อย
- Skin Booster (การฉีดสารบำรุงเข้าสู่ผิว): เป็นการฉีดสารที่ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและฟื้นฟูผิว เช่น กรดอะมิโน หรือโพลีนิวคลีโอไทด์ (PDRN) เข้าไปในชั้นผิวหนังโดยตรง วิธีนี้ช่วยปรับปรุงความยืดหยุ่น คุณภาพผิว และลดเลือนริ้วรอยเล็กๆ ได้อย่างตรงจุด
ฟิลเลอร์งานผิวเพื่อความฉ่ำวาว (Skin Quality Fillers)
ฟิลเลอร์งานผิวคือฟิลเลอร์ผิวหนังชนิดพิเศษที่ไม่ได้ใช้เพื่อเพิ่มปริมาตร แต่เน้นการปรับปรุงโทนสีผิว ความชุ่มชื้น และความเรียบเนียน เพื่อให้ผิวดูฉ่ำวาว (Glassy Skin)
ฟิลเลอร์ชนิดนี้เป็นเจลกรดไฮยาลูรอนิก (Hyaluronic Acid หรือ HA) ที่มีโมเลกุลละเอียดและเชื่อมขวางกันเบาๆ ซึ่งจะถูกฉีดเป็นหยดเล็กๆ เข้าไปใต้ผิวหนัง ทำหน้าที่เหมือนมอยส์เจอไรเซอร์ที่ให้ความชุ่มชื้นจากภายใน โดยการดึงน้ำเข้าสู่ผิว ทำให้ผิวอิ่มฟู ยืดหยุ่น และสะท้อนแสงได้ดีขึ้น ผลลัพธ์ที่ได้คือผิวที่ชุ่มชื้น กระจ่างใส และริ้วรอยเล็กๆ ดูลดเลือนลง โดยผลลัพธ์จะคงอยู่ประมาณ 6–9 เดือน
เกณฑ์การเลือก: ความเจ็บ จำนวนครั้ง และผลลัพธ์ที่คาดหวัง
การเลือกหัตถการหน้าใสควรพิจารณาจากระดับความเจ็บที่รับได้ จำนวนครั้งที่ต้องทำ และผลลัพธ์ที่ต้องการ ซึ่งแต่ละวิธีมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน
ตารางเปรียบเทียบเกณฑ์การเลือกหัตถการแต่ละประเภท:
| หัตถการ | ระดับความเจ็บ | จำนวนครั้ง | ผลลัพธ์ที่คาดหวัง |
|---|---|---|---|
| เมโสหน้าใส (Mesotherapy) | เจ็บเล็กน้อย (เหมือนมดกัด) | 3–6 ครั้ง (ห่างกัน 2–4 สัปดาห์) | ผิวชุ่มชื้น อิ่มฟู ดูโกลว์ใส สุขภาพดีขึ้น |
| เลเซอร์ (Laser) | ปานกลางถึงเจ็บมาก (ขึ้นอยู่กับชนิด) | 1–6 ครั้ง (ขึ้นอยู่กับชนิด) | ลดรอยสิว หลุมสิว จุดด่างดำ และกระชับรูขุมขน |
| ผลัดเซลล์ผิว (Chemical Peel) | แสบเล็กน้อยถึงเจ็บมาก (ขึ้นอยู่กับความลึก) | 1–6 ครั้ง (ขึ้นอยู่กับความลึก) | ผิวเรียบเนียนขึ้น ลดสิวอุดตัน รอยดำ และริ้วรอยตื้นๆ |
| ดริปวิตามินผิว (IV Drip) | เจ็บเล็กน้อย (แค่ตอนเจาะสายน้ำเกลือ) | 4–6 ครั้งขึ้นไป (ทำสัปดาห์ละครั้ง) | ผิวสดใสขึ้นชั่วคราวจากการเติมน้ำและสารอาหาร (ผลลัพธ์ไม่ชัดเจน) |
| ฟิลเลอร์งานผิว (Skin Booster) | เจ็บเล็กน้อย (มีการใช้ยาชา) | 1–3 ครั้ง (ผลลัพธ์อยู่ได้ 6–12 เดือน) | ผิวฉ่ำวาวแบบ Glass Skin เพิ่มความชุ่มชื้นและความยืดหยุ่น |
อัตราค่าบริการและราคาคอร์สหน้าใสโดยประมาณ
ปัจจัยที่ส่งผลต่อราคาของแต่ละโปรแกรม
ปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อราคาโปรแกรมหน้าใส ได้แก่ ประเภทของเทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์ ความเชี่ยวชาญของผู้ให้บริการ และที่ตั้งของคลินิก
ปัจจัยอื่นๆ ที่มีผลต่อราคา ได้แก่
- เทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์: คุณภาพและยี่ห้อของเครื่องมือ (เช่น เลเซอร์รุ่นใหม่กับเครื่อง IPL รุ่นเก่า) หรือผลิตภัณฑ์ที่ใช้ (เช่น ฟิลเลอร์นำเข้าเกรดพรีเมียม)
- ปริมาณและพื้นที่: ปริมาณยาที่ใช้หรือขนาดของพื้นที่ผิวที่ทำการรักษา
- ผู้ให้บริการและคลินิก: ประสบการณ์ของแพทย์ ความน่าเชื่อถือของคลินิก และทำเลที่ตั้ง
- โปรโมชันและแพ็กเกจ: คลินิกมักมีแพ็กเกจแบบคอร์สที่ให้ราคาต่อครั้งถูกลงเมื่อซื้อหลายครั้ง
ตารางเปรียบเทียบราคาเริ่มต้นต่อครั้งและต่อคอร์ส
ราคาเริ่มต้นสำหรับหัตถการหน้าใสแตกต่างกันไปตามประเภทของทรีตเมนต์ โดยการผลัดเซลล์ผิว (Chemical Peel) มีราคาต่อครั้งที่เข้าถึงง่ายที่สุด ในขณะที่กลุ่มฟิลเลอร์งานผิว (Skin Booster) จะมีราคาสูงที่สุด
ตารางเปรียบเทียบราคาโดยประมาณในประเทศไทย:
| หัตถการ (Treatment) | ราคาเริ่มต้นต่อครั้ง (Per Session) | ราคาเริ่มต้นต่อคอร์ส (Per Course/Package) |
|---|---|---|
| เมโสหน้าใส (Mesotherapy) | 2,500 บาท | คอร์ส 5 ครั้ง เริ่มต้น 12,000 บาท |
| เลเซอร์ (Laser) | 5,000 บาท | คอร์ส 5 ครั้ง เริ่มต้น 9,000 บาท (สำหรับบางชนิด) |
| ผลัดเซลล์ผิว (Chemical Peel) | 800 บาท | คอร์ส 3-5 ครั้ง เริ่มต้น 2,300 – 3,800 บาท |
| ดริปวิตามินผิว (IV Drip) | 1,500 บาท | คอร์ส 5 ครั้ง เริ่มต้น 10,000 บาท |
| ฟิลเลอร์งานผิว (Skin Booster) | 8,000 บาท (ต่อ 1 cc) | โปรโมชันหลายซีซี เช่น 5 ซีซี เริ่มต้น 42,500 บาท |
ทั้งนี้ ราคาอาจแตกต่างกันไปตามคลินิก โปรโมชัน คุณภาพของอุปกรณ์ และยี่ห้อของผลิตภัณฑ์ที่ใช้
ปัจจัยสำคัญก่อนตัดสินใจเลือกโปรแกรมหน้าใส
การเตรียมตัวก่อนรับบริการทรีตเมนต์
การเตรียมตัวก่อนทำทรีตเมนต์หน้าใสที่สำคัญที่สุดคือการหลีกเลี่ยงแสงแดดและหยุดใช้ผลิตภัณฑ์ที่อาจระคายเคืองผิว เพื่อให้ผิวพร้อมรับการรักษาและลดความเสี่ยงของผลข้างเคียง
ข้อควรปฏิบัติอื่นๆ ก่อนเข้ารับบริการ ได้แก่
- หลีกเลี่ยงแสงแดดจัด และการอาบแดดอย่างน้อย 2-4 สัปดาห์ และทาครีมกันแดด SPF 30 ขึ้นไปทุกวัน
- หยุดใช้ผลิตภัณฑ์ที่อาจระคายเคือง เช่น เรตินอยด์, กรดไกลโคลิก/ซาลิไซลิก ประมาณ 3-7 วันก่อนทำ
- งดยาหรืออาหารเสริมที่ทำให้เลือดบาง เช่น แอสไพริน, วิตามินอี, น้ำมันปลา เป็นเวลา 1 สัปดาห์ก่อนการฉีด เพื่อลดรอยช้ำ
- ดื่มน้ำให้เพียงพอ เพื่อให้ผิวชุ่มชื้นและฟื้นฟูได้ดี
- แจ้งแพทย์หากมีประวัติเป็นโรคเริม เพื่อรับยาป้องกันการกำเริบของโรค
- มาด้วยใบหน้าที่สะอาด ปราศจากเครื่องสำอางในวันนัด
การดูแลผิวหลังทำเพื่อรักษาผลลัพธ์
การดูแลผิวหลังทำทรีตเมนต์เพื่อรักษาผลลัพธ์ให้ยาวนานที่สุดคือ การปกป้องผิวจากแสงแดดอย่างเคร่งครัด การให้ความชุ่มชื้น และการดูแลไลฟ์สไตล์ที่ดีอย่างต่อเนื่อง
การดูแลผิวแบ่งออกเป็น 2 ระยะหลัก ดังนี้
- การดูแลทันทีหลังทำ
- ป้องกันแสงแดด: ใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30-50 ทุกวัน และหลีกเลี่ยงการโดนแดดโดยตรง
- ให้ความชุ่มชื้น: ใช้มอยส์เจอไรเซอร์สูตรอ่อนโยนและปราศจากน้ำหอมเพื่อช่วยฟื้นฟูเกราะป้องกันผิว
- ห้ามแกะหรือลอกผิว: ปล่อยให้สะเก็ดหรือผิวที่ลอกหลุดออกเองตามธรรมชาติเพื่อป้องกันการเกิดแผลเป็นและรอยดำ
- หลีกเลี่ยงความร้อน: งดการออกกำลังกายหนัก ซาวน่า หรืออาบน้ำร้อนจัดเป็นเวลา 24-48 ชั่วโมง
- การดูแลรักษาระยะยาว
- ใช้สกินแคร์ที่เหมาะสม: ใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่อ่อนโยน มอยส์เจอไรเซอร์ และอาจเพิ่มสารต้านอนุมูลอิสระ (เช่น วิตามินซี) และเรตินอยด์ (หลังจากผิวหายดีแล้ว) เพื่อส่งเสริมการสร้างคอลลาเจน
- ปรับไลฟ์สไตล์: รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ดื่มน้ำให้เพียงพอ พักผ่อนให้เต็มที่ และหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่
- ทำทรีตเมนต์เพื่อคงสภาพ: อาจพิจารณาทำทรีตเมนต์เบาๆ เป็นครั้งคราว เช่น การทำเลเซอร์โทนนิ่งหรือเมโสเทอราปีทุก 6-12 เดือนเพื่อรักษาผลลัพธ์
ความเข้าใจผิดและข้อควรระวังเกี่ยวกับการทำหน้าใส
ความเข้าใจผิดที่สำคัญเกี่ยวกับการทำหน้าใสคือ การเชื่อว่าผลิตภัณฑ์ที่ใช้เองที่บ้านให้ผลลัพธ์เทียบเท่าคลินิก หรือการรักษาที่รุนแรงกว่าจะดีกว่าเสมอ ส่วนข้อควรระวังหลักคือการตระหนักถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น เช่น การเปลี่ยนแปลงของเม็ดสี และการมีคาดหวังที่เป็นจริงต่อผลลัพธ์
ความเข้าใจผิดที่พบบ่อย:
- ผลิตภัณฑ์ที่บ้านให้ผลเหมือนคลินิก: ในความเป็นจริง การรักษาโดยผู้เชี่ยวชาญสามารถเข้าถึงผิวชั้นที่ลึกกว่าและให้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพมากกว่าผลิตภัณฑ์ที่หาซื้อได้ทั่วไป
- ยิ่งรุนแรงยิ่งดี: การรักษาที่รุนแรงเกินไปอาจส่งผลเสีย เช่น ทำให้เกิดรอยดำในคนผิวคล้ำ การรักษาที่เหมาะสมควรปรับให้เข้ากับสภาพผิวของแต่ละบุคคล
- ทำให้ผิวบางลง: การรักษาที่ถูกต้อง เช่น เลเซอร์หรือการผลัดเซลล์ผิว จะกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและทำให้ผิวชั้นหนังแท้หนาและแข็งแรงขึ้นในระยะยาว ไม่ได้ทำให้ผิวบางลง
- ไม่เหมาะกับผิวแพ้ง่าย: ผู้ที่มีผิวแพ้ง่ายสามารถรับการรักษาได้ แต่แพทย์จะปรับวิธีการให้มีความอ่อนโยนเป็นพิเศษ เช่น ใช้เลเซอร์พลังงานต่ำหรือกรดผลไม้ความเข้มข้นต่ำ
ข้อควรระวังและคำแนะนำ:
- ตระหนักถึงความเสี่ยง: แม้จะปลอดภัย แต่การรักษาก็มีความเสี่ยงอยู่บ้าง เช่น รอยดำหลังการอักเสบ (PIH) รอยแผลเป็น (พบได้น้อยมาก) หรือการติดเชื้อ ซึ่งสามารถลดความเสี่ยงได้โดยการเลือกคลินิกที่น่าเชื่อถือและปฏิบัติตามคำแนะนำหลังการรักษาอย่างเคร่งครัด
- จัดการความคาดหวัง: ผลลัพธ์อาจไม่เกิดขึ้นทันทีและไม่ใช่การรักษาที่ถาวร ผิวหนังยังคงเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาและปัจจัยภายนอก ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีการดูแลอย่างต่อเนื่องและอาจต้องกลับมารับการรักษาเพื่อคงสภาพผิวที่ดีไว้
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการทำหน้าใส (FAQ)
ทำทรีตเมนต์หน้าใสเจ็บไหม?
ความเจ็บปวดของการทำทรีตเมนต์หน้าใสจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับประเภทของหัตถการ โดยมีระดับความเจ็บตั้งแต่เล็กน้อยไปจนถึงรุนแรง ซึ่งมักมีการใช้ยาชาเฉพาะที่หรือการให้ยาระงับความรู้สึกเพื่อช่วยบรรเทา
- เมโสหน้าใส, IV Drip และ Skin Booster: ความเจ็บปวดอยู่ในระดับเล็กน้อยถึงปานกลาง โดยส่วนใหญ่จะรู้สึกเจ็บแค่ตอนแทงเข็ม และมักมีการทายาชาก่อนทำ
- เลเซอร์: ความเจ็บปวดมีตั้งแต่ระดับปานกลาง (รู้สึกเหมือนโดนยางดีด) สำหรับเลเซอร์แบบ Non-ablative ไปจนถึงระดับรุนแรง (รู้สึกแสบร้อน) สำหรับเลเซอร์แบบ Ablative ซึ่งอาจต้องใช้ยาชาหรือยาระงับความรู้สึก
- เคมีคอลพีลลิ่ง (Chemical Peels): ความเจ็บปวดขึ้นอยู่กับความลึกของการลอกผิว ตั้งแต่รู้สึกยิบๆ เล็กน้อยสำหรับการลอกผิวแบบตื้น ไปจนถึงรู้สึกแสบร้อนอย่างรุนแรงสำหรับการลอกผิวแบบลึก ซึ่งอาจต้องใช้ยาระงับความรู้สึกช่วย
ต้องทำหัตถการหน้าใสกี่ครั้งถึงจะเห็นผล?
จำนวนครั้งในการทำหัตถการหน้าใสเพื่อให้เห็นผลนั้น ขึ้นอยู่กับประเภทและความเข้มข้นของหัตถการ โดยบางชนิดอาจเห็นผลตั้งแต่ครั้งแรก ในขณะที่บางชนิดต้องทำต่อเนื่อง 3-6 ครั้ง
- หัตถการที่เห็นผลใน 1-2 ครั้ง: การทำเลเซอร์ชนิดรุนแรง (Ablative Laser), การลอกผิวด้วยเคมีระดับลึก (Deep Peel) และการฉีดฟิลเลอร์งานผิว (Skin Booster) มักให้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนได้ในครั้งเดียว
- หัตถการที่ต้องทำต่อเนื่อง 3-6 ครั้ง: การทำเมโสหน้าใส (Mesotherapy), เลเซอร์ชนิดอ่อนโยน (Non-ablative Laser), การลอกผิวแบบตื้น (Light Peel) และการให้วิตามินทางหลอดเลือด (IV Drip) มักจะต้องทำต่อเนื่องเป็นคอร์ส โดยจะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนขึ้นหลังทำครั้งที่ 2-3 เป็นต้นไป
ผลลัพธ์จากการทำหน้าใสอยู่ได้นานแค่ไหน?
ระยะเวลาของผลลัพธ์จากการทำหน้าใสจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับประเภทของการรักษาและไลฟ์สไตล์ของแต่ละบุคคล โดยผลลัพธ์ของแต่ละหัตถการมีความคงทนไม่เท่ากัน ดังนี้
- การรักษาหลุมสิวและริ้วรอยลึกด้วยเลเซอร์: ผลลัพธ์สามารถคงอยู่ได้นานหลายปี
- การรักษาฝ้า กระ และจุดด่างดำ: ปัญหาอาจกลับมาเป็นซ้ำได้หากถูกกระตุ้นด้วยแสงแดดหรือฮอร์โมน จึงจำเป็นต้องดูแลผิวอย่างต่อเนื่อง
- การฉีดฟิลเลอร์งานผิว (Skin Booster): ผลลัพธ์มักจะอยู่ได้ประมาณ 6-12 เดือน
- การฉีดเมโสหน้าใส: ผลลัพธ์จะค่อยๆ จางลงในเวลาประมาณ 4-6 เดือน และจำเป็นต้องทำซ้ำเพื่อคงสภาพผิว
การทำหน้าใสที่คลินิกเหมาะกับคนผิวแพ้ง่ายหรือไม่?
โดยทั่วไปแล้ว การทำหน้าใสที่คลินิกเหมาะกับคนผิวแพ้ง่าย แต่ต้องมีการปรับเปลี่ยนวิธีการรักษาให้เหมาะสม แพทย์ผิวหนังจะเลือกใช้วิธีการที่อ่อนโยนกว่า เช่น การใช้เลเซอร์ชนิด non-ablative ที่ใช้พลังงานต่ำ หรือการลอกผิวด้วยกรดที่มีความเข้มข้นต่ำ เพื่อหลีกเลี่ยงการระคายเคืองและค่อยๆ ปรับปรุงสภาพผิวอย่างปลอดภัย
หลังทำทรีตเมนต์หน้าใสต้องดูแลตัวเองอย่างไร?
การดูแลตัวเองหลังทำทรีตเมนต์หน้าใสที่สำคัญที่สุดคือ การปกป้องผิวจากแสงแดดอย่างเคร่งครัดและดูแลผิวให้ชุ่มชื้นอยู่เสมอ เพื่อช่วยให้ผิวฟื้นตัวได้ดีและลดความเสี่ยงของผลข้างเคียง
ข้อควรปฏิบัติหลังการทำทรีตเมนต์ มีดังนี้:
- ทาครีมกันแดด: ใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30-50 เป็นประจำทุกวัน และพยายามหลีกเลี่ยงการเผชิญแสงแดดโดยตรง
- ให้ความชุ่มชื้น: ใช้มอยส์เจอไรเซอร์สูตรอ่อนโยน ปราศจากน้ำหอมและกรดต่างๆ เพื่อช่วยฟื้นฟูเกราะป้องกันผิว
- ห้ามแกะหรือลอกผิว: ปล่อยให้สะเก็ดหรือผิวที่ลอกหลุดออกไปเองตามธรรมชาติ เพื่อป้องกันการเกิดรอยแผลเป็นและรอยดำ
- หลีกเลี่ยงความร้อนและการออกกำลังกาย: งดกิจกรรมที่ทำให้เหงื่อออกมาก ซาวน่า หรืออาบน้ำร้อนจัดเป็นเวลา 24-48 ชั่วโมง
- ใช้ยาตามแพทย์สั่ง: หากแพทย์สั่งยาหรือครีม เช่น ยาฆ่าเชื้อหรือยาลดการอักเสบ ควรใช้ตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด
ทำหน้าใสด้วยเลเซอร์กับเมโสต่างกันอย่างไร?
ความแตกต่างที่สำคัญคือ เลเซอร์ใช้พลังงานแสงเพื่อแก้ปัญหาผิวเฉพาะจุด ส่วนเมโสใช้การฉีดสารอาหารเพื่อบำรุงและฟื้นฟูคุณภาพผิวโดยรวม
- หลักการทำงาน:
- เลเซอร์: ใช้พลังงานแสงที่มีความเข้มข้นสูงเพื่อเป้าหมายที่เฉพาะเจาะจง เช่น ทำลายเม็ดสีส่วนเกิน (จุดด่างดำ) หรือกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิวลึกเพื่อซ่อมแซมหลุมสิวและริ้วรอย
- เมโส: ใช้เข็มขนาดเล็กฉีดวิตามิน แร่ธาตุ และสารบำรุงต่างๆ เข้าไปในชั้นผิวโดยตรง เพื่อกระตุ้นเซลล์ผิว เพิ่มความชุ่มชื้น และฟื้นฟูผิวให้แข็งแรงและกระจ่างใสจากภายใน
- ปัญหาที่เหมาะสม:
- เลเซอร์: เหมาะสำหรับปัญหาที่มองเห็นได้ชัดเจน เช่น หลุมสิว, จุดด่างดำฝังลึก, รอยแผลเป็น, ริ้วรอย และสีผิวที่ไม่สม่ำเสมอ
- เมโส: เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวที่หมองคล้ำ, ขาดน้ำ, แห้งกร้าน หรือต้องการให้ผิวโดยรวมดูสดใส เปล่งปลั่ง และมีสุขภาพดีขึ้น
- ผลลัพธ์:
- เลเซอร์: ให้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนและตรงจุด สามารถเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผิวได้อย่างเห็นได้ชัด เช่น ทำให้รอยดำจางลงหรือหลุมสิวตื้นขึ้น
- เมโส: ให้ผลลัพธ์ในด้านคุณภาพผิวที่ดีขึ้นโดยรวม ผิวจะดูโกลว์ ชุ่มชื้น และเรียบเนียนขึ้น แต่ไม่ได้เน้นการแก้ปัญหาเฉพาะจุดที่รุนแรง
References:
- Cleveland Clinic. (n.d.). Laser Skin Resurfacing – Overview & Candidate Criteria. Cleveland Clinic Health Library. clevelandclinic.org
- Mayo Clinic. (n.d.). Laser Resurfacing – About, Types, and Risks. Mayo Clinic. mayoclinic.org
- Samargandy, S., & Raggio, B. (n.d.). Chemical Peels for Skin Resurfacing. StatPearls (NIH/NLM). ncbi.nlm.nih.gov
- Laboratoires Filorga. (n.d.). Mesotherapy Explained – Rejuvenation Technique Guide. Filorga. filorga.com
- Monheit, G.D., & Prather, C.D. (n.d.). The Effectiveness of Injectable Hyaluronic Acid in Improving Facial Skin Quality. Journal of Drugs in Dermatology (via NIH PMC). ncbi.nlm.nih.gov
- Dermstore. (n.d.). How to Get Clear Skin: 13 Dermatologist-Approved Tips. Dermstore. dermstore.com
- Charleston Dermatology. (n.d.). Simple Lifestyle Changes to Promote Healthy Skin. Charleston Dermatology. charlestondermatology.com
- Medical News Today. (n.d.). CO2 Laser: Uses, Benefits, Side Effects. Medical News Today. medicalnewstoday.com
