Skip to content

TEL : 081-841-5075, 02-258-4050

Facebook Instagram YouTube
Privato Clinic – Innovation Of Beauty  |  Bangkok
  • หน้าหลัก
  • เกี่ยวกับพรีวาโต
  • บริการทั้งหมดExpand
    • ชะลอวัย
    • ยกกระชับผิวExpand
      • XERF
      • Potenza
      • Sofwave
      • Ulthera
      • Thermage-FLX
    • รักษาสิว
    • เลเซอร์
    • โปรแกรมฉีด
    • บำรุงผิว
  • บทความExpand
    • สิว
    • ยกกระชับ
    • ดูแลผิว
    • ทำเลเซอร์
  • ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว
  • โปรโมชั่น
  • ผลลัพธ์การรักษา
  • วิดีโอรีวิวจากเคสจริง
  • สาขาของเรา
  • ไทยExpand
    • ไทย
    • English
    • 中文 (中国)
  • ปรึกษาแพทย์
Privato Clinic – Innovation Of Beauty  |  Bangkok
Consult a Doctor
Skincare

เซ็บเดิร์ม (Seborrheic Dermatitis) คืออะไร สาเหตุ อาการ และวิธีรักษา

Byadmin พฤศจิกายน 18, 2025
By แพทย์หญิงนัชชนก หุ่นวิจิตร Updated on พฤศจิกายน 18, 2025
✦ Medically reviewed by  นายแพทย์เลอพงษ์ กรุดเงิน
เซ็บเดิร์ม (Seborrheic Dermatitis) คืออะไร สาเหตุ อาการ และวิธีรักษา

เซ็บเดิร์ม คือโรคผิวหนังอักเสบเรื้อรังจากเชื้อรามาลาสซีเซียที่ทำให้เกิดผื่นแดงและมีขุยมันบริเวณใบหน้าและศีรษะ ซึ่งสามารถควบคุมอาการได้ด้วยการใช้แชมพูยาที่มีส่วนผสมของคีโตโคนาโซลสัปดาห์ละ 2-3 ครั้งเพื่อลดการอักเสบและควบคุมรังแค

Table of Contents

Toggle
  • อาการของโรคเซ็บเดิร์ม และความแตกต่างจากโรคผิวหนังอื่น
    • อาการและลักษณะเด่นของโรคเซ็บเดิร์ม
    • ตำแหน่งที่พบบ่อย: หนังศีรษะ ใบหน้า และลำตัว
    • ความแตกต่างระหว่างเซ็บเดิร์มกับโรคสะเก็ดเงินและผื่นภูมิแพ้
  • สาเหตุและปัจจัยกระตุ้นที่ทำให้เกิดเซ็บเดิร์ม
    • สาเหตุทางการแพทย์ของเซ็บเดิร์มเกิดจากอะไร
    • อะไรเป็นปัจจัยกระตุ้นให้อาการเซ็บเดิร์มกำเริบ
    • ใครบ้างที่มีความเสี่ยงเป็นโรคเซ็บเดิร์ม
  • วิธีรักษาโรคเซ็บเดิร์มมีอะไรบ้าง
    • การดูแลตัวเองและยารักษาที่หาซื้อได้เอง (OTC)
    • การรักษาโดยแพทย์ผิวหนัง
    • เปรียบเทียบข้อดีและข้อจำกัดของแต่ละวิธีรักษา
  • วิธีป้องกันเซ็บเดิร์มกำเริบและการดูแลระยะยาว
    • การปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์และอาหารเพื่อควบคุมอาการ
    • ความสำคัญของการปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อการดูแลระยะยาว
  • ข้อควรระวังและความเข้าใจผิดเกี่ยวกับโรคเซ็บเดิร์ม
    • พฤติกรรมที่ควรหลีกเลี่ยงเพื่อไม่ให้อาการแย่ลง
    • ความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับการรักษาเซ็บเดิร์มด้วยตนเอง
  • คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับโรคเซ็บเดิร์ม (FAQ)
    • โรคเซ็บเดิร์มสามารถรักษาให้หายขาดได้หรือไม่
    • เซ็บเดิร์มเป็นโรคติดต่อหรือไม่
    • ควรดูแลผิวและเลือกใช้ผลิตภัณฑ์สำหรับเซ็บเดิร์มอย่างไร
    • อาการแบบไหนที่บ่งบอกว่าควรไปพบแพทย์โดยเร็วที่สุด
  • References:

อาการของโรคเซ็บเดิร์ม และความแตกต่างจากโรคผิวหนังอื่น

อาการและลักษณะเด่นของโรคเซ็บเดิร์ม

อาการเด่นของโรคเซ็บเดิร์มคือมีผื่นแดง มีขุยมันเยิ้ม และอาการคัน ซึ่งมักเกิดขึ้นในบริเวณที่มีต่อมไขมันหนาแน่น

บริเวณที่พบบ่อย ได้แก่:

  • หนังศีรษะ (ทำให้เกิดรังแค)
  • ใบหน้า (เช่น ร่องแก้ม คิ้ว ระหว่างคิ้ว และหลังหู)
  • กลางหน้าอก
  • ข้อพับต่างๆ (เช่น รักแร้ ขาหนีบ)

ตำแหน่งที่พบบ่อย: หนังศีรษะ ใบหน้า และลำตัว

โรคผิวหนังอักเสบจากไขมัน (Seborrheic Dermatitis) มักพบบริเวณหนังศีรษะ ใบหน้า หน้าอก และตามข้อพับของร่างกาย ซึ่งเป็นบริเวณที่มีต่อมไขมันหนาแน่น

ตำแหน่งที่พบบ่อยที่สุด ได้แก่

  • หนังศีรษะ: มักแสดงอาการในรูปแบบของรังแค
  • ใบหน้า: บริเวณที่พบบ่อย ได้แก่ ร่องแก้ม คิ้ว หว่างคิ้ว เปลือกตา และหลังหู
  • ลำตัว: สามารถพบได้บริเวณกลางหน้าอก
  • ข้อพับและซอกผิวหนัง: เช่น รักแร้ ขาหนีบ ใต้ราวนม และบริเวณหนวดเคราในผู้ชาย

ความแตกต่างระหว่างเซ็บเดิร์มกับโรคสะเก็ดเงินและผื่นภูมิแพ้

ความแตกต่างที่สำคัญระหว่างเซ็บเดิร์ม โรคสะเก็ดเงิน และผื่นภูมิแพ้คือลักษณะของสะเก็ด ตำแหน่งที่เกิดผื่น และความเกี่ยวข้องกับโรคภูมิแพ้

  • โรคสะเก็ดเงิน (Psoriasis): มีสะเก็ดที่หนากว่า เป็นแผ่นสีเงิน และมักเกิดบริเวณอื่น ๆ ของร่างกาย เช่น ข้อศอกและหัวเข่า ในขณะที่เซ็บเดิร์มมีสะเก็ดบาง มัน และเป็นสีเหลืองซึ่งจำกัดอยู่เฉพาะบริเวณที่มีต่อมไขมันมาก
  • ผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง (Atopic Dermatitis): ผื่นจะแห้งมากและคันรุนแรง มักเกิดในบริเวณข้อพับแขนและขา และมีความเชื่อมโยงกับประวัติภูมิแพ้อย่างชัดเจน แต่เซ็บเดิร์มจะมีสะเก็ดเป็นมันและไม่เกี่ยวข้องกับโรคภูมิแพ้ในผู้ใหญ่

สาเหตุและปัจจัยกระตุ้นที่ทำให้เกิดเซ็บเดิร์ม

สาเหตุทางการแพทย์ของเซ็บเดิร์มเกิดจากอะไร

สาเหตุทางการแพทย์หลักของโรคเซ็บเดิร์มคือ ปฏิกิริยาการอักเสบของร่างกายต่อเชื้อรามาลาสซีเซีย (Malassezia) ที่เจริญเติบโตมากเกินไปในบริเวณที่มีต่อมไขมันทำงานสูง

สาเหตุนี้เกิดจาก 3 ปัจจัยหลักทำงานร่วมกัน ได้แก่

  • เชื้อรามาลาสซีเซีย (Malassezia): เป็นเชื้อราที่อาศัยอยู่บนผิวหนังตามปกติ แต่เมื่อมีจำนวนมากเกินไปในบริเวณที่ผิวมัน จะสร้างสารที่ก่อให้เกิดการระคายเคืองและการอักเสบ
  • การผลิตไขมัน (Sebum) ที่มากเกินไป: ต่อมไขมันที่ทำงานมากเกินไปจะสร้างสภาวะแวดล้อมที่อุดมด้วยไขมัน ซึ่งเอื้อให้เชื้อรามาลาสซีเซียเจริญเติบโตได้ดี
  • การตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกัน: อาการผื่นแดง คัน และตกสะเก็ดไม่ได้เกิดจากเชื้อราโดยตรง แต่เกิดจากระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายที่ตอบสนองต่อเชื้อรามากผิดปกติ

อะไรเป็นปัจจัยกระตุ้นให้อาการเซ็บเดิร์มกำเริบ

ปัจจัยหลักที่กระตุ้นให้อาการเซ็บเดิร์มกำเริบ ได้แก่ ความเครียด การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน สภาพอากาศ และการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ก่อให้เกิดการระคายเคือง

ปัจจัยกระตุ้นอื่นๆ ที่พบได้บ่อย มีดังนี้:

  • ความเครียด: ความเครียดทางร่างกายและจิตใจ เช่น จากการทำงาน การสอบ หรือเรื่องส่วนตัว
  • การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน: หรือการเจ็บป่วยเฉียบพลัน
  • สภาพอากาศ: อากาศที่เย็นและแห้งมักทำให้อาการแย่ลง ในขณะที่ความร้อนและความชื้นจากการมีเหงื่อออกก็สามารถกระตุ้นอาการในบางคนได้เช่นกัน
  • ผลิตภัณฑ์ที่ก่อให้เกิดการระคายเคือง: เช่น แชมพูที่รุนแรง เครื่องสำอางที่มีน้ำหอม หรือผลิตภัณฑ์ที่มีแอลกอฮอล์เป็นส่วนประกอบ
  • การเสียดสีหรืออับชื้น: เช่น การสวมหมวกเป็นเวลานาน หรือการเกาผิวหนังแรงๆ

ใครบ้างที่มีความเสี่ยงเป็นโรคเซ็บเดิร์ม

กลุ่มผู้มีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นโรคเซ็บเดิร์ม ได้แก่ ทารก, ผู้ใหญ่ช่วงอายุ 30-60 ปี และผู้ที่มีภาวะสุขภาพบางอย่าง โรคนี้พบได้บ่อยและอาจรุนแรงขึ้นในกลุ่มคนเหล่านี้

กลุ่มเสี่ยงเฉพาะเจาะจง ได้แก่:

  • ผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง เช่น ผู้ติดเชื้อเอชไอวี (HIV) หรือผู้ที่ใช้ยากดภูมิคุ้มกัน
  • ผู้ป่วยโรคทางระบบประสาท โดยเฉพาะโรคพาร์กินสัน รวมถึงโรคหลอดเลือดสมอง โรคลมชัก และภาวะซึมเศร้า
  • ผู้ป่วยโรคผิวหนังอื่น ๆ เช่น โรคสะเก็ดเงิน (Psoriasis) โรคโรซาเชีย (Rosacea) หรือสิว
  • เพศชาย มีแนวโน้มที่จะเป็นโรคนี้มากกว่าเพศหญิงเล็กน้อย

วิธีรักษาโรคเซ็บเดิร์มมีอะไรบ้าง

วิธีรักษาโรคเซ็บเดิร์มที่สำคัญคือการใช้แชมพูยา ครีมทาเฉพาะที่ และในบางกรณีอาจใช้ยารับประทาน เพื่อควบคุมการอักเสบและลดปริมาณเชื้อรา

วิธีการรักษาโดยทั่วไปแบ่งตามความรุนแรงของอาการได้ดังนี้:

  • ผลิตภัณฑ์ที่หาซื้อได้เอง (OTC): สำหรับอาการไม่รุนแรง สามารถใช้แชมพูที่มีส่วนผสมของคีโตโคนาโซล (ketoconazole), ซีลีเนียมซัลไฟด์ (selenium sulfide), หรือซิงค์ไพริไธโอน (zinc pyrithione) สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง เพื่อควบคุมรังแคและลดการอักเสบ
  • ยาใช้ภายนอกตามใบสั่งแพทย์: สำหรับอาการที่รุนแรงขึ้น แพทย์อาจสั่งยาต้านเชื้อราที่แรงขึ้น (เช่น คีโตโคนาโซล 2%), ยาสเตียรอยด์ชนิดทาเพื่อลดการอักเสบอย่างรวดเร็ว (ใช้ในระยะสั้น) หรือยากลุ่มแคลซินูรินอินฮิบิเตอร์ (calcineurin inhibitors) ซึ่งเป็นทางเลือกที่ไม่มีสเตียรอยด์และเหมาะกับผิวบอบบาง เช่น ใบหน้า
  • ยารับประทาน: ในกรณีที่อาการรุนแรงมากหรือไม่ตอบสนองต่อยาใช้ภายนอก แพทย์อาจพิจารณาให้ยาต้านเชื้อราชนิดรับประทาน เช่น ไอทราโคนาโซล (itraconazole) เพื่อควบคุมอาการจากภายใน

การดูแลตัวเองและยารักษาที่หาซื้อได้เอง (OTC)

การดูแลตัวเองสำหรับโรคเซ็บเดิร์มเบื้องต้นคือ การใช้แชมพูยาที่หาซื้อได้เองร่วมกับการดูแลผิวอย่างอ่อนโยน เพื่อควบคุมอาการและป้องกันการกำเริบ

ยารักษาที่หาซื้อได้เอง (OTC)

โดยทั่วไปจะอยู่ในรูปแบบแชมพูยาสำหรับสระผมสัปดาห์ละ 2-3 ครั้งในช่วงที่มีอาการ และลดเหลือสัปดาห์ละ 1 ครั้งเพื่อควบคุมอาการ ส่วนผสมหลักที่ออกฤทธิ์ ได้แก่

  • คีโตโคนาโซล (Ketoconazole)
  • ซิงค์ ไพริไธโอน (Zinc pyrithione)
  • ซีลีเนียม ซัลไฟด์ (Selenium sulfide)
  • กรดซาลิไซลิก (Salicylic acid)
  • โคลทาร์ (Coal tar)

วิธีดูแลตัวเอง

  • ทำความสะอาดอย่างสม่ำเสมอ: ใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยนและน้ำอุ่น (ไม่ร้อน) เพื่อขจัดความมันและสะเก็ดส่วนเกิน
  • ให้ความชุ่มชื้น: ทามอยส์เจอไรเซอร์ที่ปราศจากน้ำมันและน้ำหอมหลังล้างหน้า เพื่อช่วยเสริมสร้างเกราะป้องกันผิว
  • หลีกเลี่ยงการระคายเคือง: งดใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ สบู่ที่รุนแรง หรือน้ำหอม และห้ามแกะหรือเกาบริเวณที่เป็นผื่น
  • จัดการความเครียด: ความเครียดเป็นปัจจัยกระตุ้นที่สำคัญ การพักผ่อนให้เพียงพอและออกกำลังกายสามารถช่วยลดความถี่ในการกำเริบของโรคได้

การรักษาโดยแพทย์ผิวหนัง

การรักษาโรคเซ็บเดิร์มโดยแพทย์ผิวหนังประกอบด้วยยาต้านเชื้อราที่ต้องสั่งโดยแพทย์ ยาสเตียรอยด์ชนิดทา ยากลุ่มแคลซินูรินอินฮิบิเตอร์ และในกรณีที่รุนแรงอาจใช้ยารับประทานหรือการฉายแสง แพทย์มักจะเลือกใช้วิธีการรักษาเหล่านี้เพื่อควบคุมการอักเสบที่รุนแรงหรือเมื่อการรักษาเบื้องต้นไม่ได้ผล

วิธีการรักษาโดยแพทย์ผิวหนัง ได้แก่:

  • ยาต้านเชื้อราชนิดทา (Prescription Antifungals): ยาที่มีความเข้มข้นสูงกว่าที่จำหน่ายทั่วไป เช่น คีโตโคนาโซล (Ketoconazole) 2% หรือ ไซโคลพิรอกซ์ (Ciclopirox) เพื่อยับยั้งเชื้อรามาลาสซีเซีย (Malassezia)
  • ยาสเตียรอยด์ชนิดทา (Topical Corticosteroids): ใช้เพื่อลดการอักเสบ บวมแดง และอาการคันอย่างรวดเร็วในช่วงที่มีอาการกำเริบ โดยมักใช้ในระยะสั้นๆ (1-3 สัปดาห์) และใช้ชนิดที่มีความแรงต่ำโดยเฉพาะบริเวณใบหน้า เพื่อหลีกเลี่ยงผลข้างเคียง เช่น ผิวบาง
  • ยากลุ่มแคลซินูรินอินฮิบิเตอร์ (Topical Calcineurin Inhibitors – TCIs): เช่น พิเมโครลิมัส (Pimecrolimus) และ ทาโครลิมัส (Tacrolimus) เป็นทางเลือกที่ใช้แทนสเตียรอยด์ เหมาะสำหรับบริเวณที่ผิวบอบบางอย่างใบหน้า เพราะไม่ทำให้ผิวบาง
  • ยารับประทาน (Oral Medications): ในกรณีที่อาการรุนแรงมากหรือไม่ตอบสนองต่อยาทา แพทย์อาจพิจารณาให้ยาต้านเชื้อราชนิดรับประทาน เช่น อิทราโคนาโซล (Itraconazole) หรือ ฟลูโคนาโซล (Fluconazole)
  • การรักษาอื่นๆ: สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการเป็นวงกว้างและดื้อต่อการรักษา อาจมีการใช้การฉายแสงอาทิตย์เทียม (Phototherapy) เพื่อช่วยลดการอักเสบของผิวหนัง

เปรียบเทียบข้อดีและข้อจำกัดของแต่ละวิธีรักษา

แต่ละวิธีรักษามีข้อดีและข้อจำกัดที่แตกต่างกันไป ซึ่งแพทย์จะเลือกใช้ตามความรุนแรงของอาการและบริเวณที่เป็น

วิธีรักษา ข้อดี ข้อจำกัด
ยาใช้ภายนอกที่หาซื้อได้เอง (OTC) ปลอดภัยสำหรับการใช้ระยะยาว ผลข้างเคียงน้อย และราคาไม่แพง อาจมีประสิทธิภาพไม่เพียงพอสำหรับอาการที่รุนแรง
ยาสเตียรอยด์ชนิดทา บรรเทาอาการคันและรอยแดงได้อย่างรวดเร็ว ไม่สามารถใช้ต่อเนื่องระยะยาวได้ เพราะอาจทำให้ผิวบาง
ยาในกลุ่ม Calcineurin Inhibitors (TCIs) มีประสิทธิภาพในการควบคุมอาการระยะยาวและปลอดภัยสำหรับผิวบอบบาง อาจมีราคาสูงกว่า และอาจทำให้รู้สึกแสบร้อนผิวในช่วงแรก
ยาต้านเชื้อราชนิดรับประทาน เหมาะสำหรับอาการรุนแรงหรือเป็นวงกว้างที่ไม่ตอบสนองต่อยาทา อาจมีผลข้างเคียงต่อระบบต่างๆ ของร่างกาย เช่น ตับ

วิธีป้องกันเซ็บเดิร์มกำเริบและการดูแลระยะยาว

การป้องกันเซ็บเดิร์มกำเริบและการดูแลในระยะยาวทำได้โดย การใช้ยาอย่างสม่ำเสมอเพื่อควบคุมอาการควบคู่ไปกับการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต และการดูแลผิวในชีวิตประจำวันอย่างเหมาะสม

เพื่อให้สามารถควบคุมอาการได้ในระยะยาว ควรปฏิบัติตามแนวทางต่อไปนี้:

  • การบำรุงรักษา (Maintenance Therapy): ใช้แชมพูหรือครีมยาต้านเชื้อรา เช่น คีโตโคนาโซล (ketoconazole) สัปดาห์ละ 1-2 ครั้งอย่างต่อเนื่อง แม้ในช่วงที่ไม่มีอาการ เพื่อควบคุมเชื้อราและป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ
  • การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต:
  • จัดการความเครียด: ความเครียดเป็นตัวกระตุ้นสำคัญ ควรพักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกาย หรือทำสมาธิเพื่อลดความเครียด
  • หลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้น: สังเกตและหลีกเลี่ยงปัจจัยเฉพาะบุคคล เช่น อากาศที่แห้งและเย็น (อาจใช้เครื่องทำความชื้นช่วย) หรือการเหงื่อออกมากเกินไป
  • การดูแลผิวและหนังศีรษะ:
  • ใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดและมอยส์เจอไรเซอร์ที่อ่อนโยน ปราศจากแอลกอฮอล์และน้ำหอม
  • สระผมอย่างสม่ำเสมอเพื่อลดความมันและสะเก็ดบนหนังศีรษะ
  • อาหาร: แม้จะยังไม่มีข้อสรุปทางการแพทย์ที่ชัดเจน แต่การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เช่น ผัก ผลไม้ และอาหารที่มีโอเมก้า 3 อาจช่วยส่งเสริมสุขภาพผิวโดยรวมได้

การปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์และอาหารเพื่อควบคุมอาการ

การปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์และอาหารสามารถช่วยควบคุมอาการของโรคเซ็บเดิร์มได้ โดยเน้นที่การจัดการความเครียด การหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้น และการรับประทานอาหารที่สมดุลเพื่อลดการอักเสบ

การปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์:

  • จัดการความเครียด: ความเครียดเป็นตัวกระตุ้นที่สำคัญ การออกกำลังกาย การนอนหลับให้เพียงพอ และการทำสมาธิสามารถช่วยลดความถี่และความรุนแรงของอาการได้
  • หลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้น: สังเกตและหลีกเลี่ยงปัจจัยที่ทำให้อาการแย่ลง เช่น อากาศที่แห้งและเย็นในฤดูหนาว หรือเหงื่อออกมากในฤดูร้อน
  • ปรับการดูแลตามฤดูกาล: ในฤดูหนาวอาจใช้เครื่องทำความชื้นและมอยส์เจอไรเซอร์ ส่วนในฤดูร้อนควรรีบอาบน้ำหลังจากเหงื่อออก

การปรับเปลี่ยนอาหาร:

  • รับประทานอาหารต้านการอักเสบ: เน้นอาหารที่อุดมด้วยโอเมก้า 3 (เช่น ปลาที่มีไขมัน) ผักใบเขียว และผลไม้ ซึ่งอาจช่วยลดการอักเสบของผิวหนัง
  • หลีกเลี่ยงอาหารที่อาจกระตุ้นอาการ: แม้จะไม่มีหลักฐานชัดเจน แต่ผู้ป่วยบางรายพบว่าอาการแย่ลงเมื่อบริโภคน้ำตาล ผลิตภัณฑ์จากนม แอลกอฮอล์ หรืออาหารรสจัดมากเกินไป
  • ไม่มี “อาหารสำหรับโรคเซ็บเดิร์ม” โดยเฉพาะ: การปรับเปลี่ยนอาหารเป็นเพียงปัจจัยเสริม ไม่สามารถรักษาโรคให้หายขาดได้ แต่การรับประทานอาหารที่สมดุลจะช่วยส่งเสริมสุขภาพผิวโดยรวม

ความสำคัญของการปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อการดูแลระยะยาว

การปรึกษาแพทย์ผิวหนังมีความสำคัญเพื่อปรับแผนการดูแลรักษาให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคล ทำให้สามารถควบคุมอาการในระยะยาวและป้องกันการกำเริบของโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ

แพทย์ผิวหนังจะช่วยวางแผนการดูแลต่อเนื่อง (Maintenance Plan) เช่น แนะนำความถี่ในการใช้แชมพูยาหรือครีมทาเพื่อป้องกันอาการ แม้ในช่วงที่โรคสงบ การติดตามผลกับแพทย์เป็นประจำยังช่วยให้สามารถปรับเปลี่ยนการรักษาได้ทันท่วงทีเมื่ออาการไม่ตอบสนองหรือมีปัจจัยกระตุ้นใหม่ๆ เกิดขึ้น นอกจากนี้ แพทย์ยังสามารถวินิจฉัยแยกโรคอื่นที่คล้ายกันและสั่งยาที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้นสำหรับผู้ที่มีอาการรุนแรงได้

ข้อควรระวังและความเข้าใจผิดเกี่ยวกับโรคเซ็บเดิร์ม

พฤติกรรมที่ควรหลีกเลี่ยงเพื่อไม่ให้อาการแย่ลง

พฤติกรรมที่ควรหลีกเลี่ยงเพื่อไม่ให้อาการแย่ลงคือ การกระทำที่ก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวหนัง เช่น การเกา การใช้ผลิตภัณฑ์ที่รุนแรง และการสัมผัสกับสภาพอากาศที่รุนแรง

เพื่อช่วยควบคุมอาการ ควรหลีกเลี่ยงพฤติกรรมต่อไปนี้:

  • การเกาหรือแกะสะเก็ด: การเกาอาจทำลายเกราะป้องกันผิวหนังและนำไปสู่การติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อนได้
  • การใช้ผลิตภัณฑ์ที่รุนแรง: ควรหลีกเลี่ยงสบู่ที่มีฤทธิ์รุนแรง ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์หรือน้ำหอม และสครับขัดผิว
  • การใช้น้ำร้อน: การล้างหน้าหรือสระผมด้วยน้ำร้อนจัดสามารถเพิ่มการอักเสบและความแห้งของผิวได้ ควรใช้น้ำอุ่นแทน
  • สุขอนามัยที่ไม่เหมาะสม: การไม่สระผมนานเกินไปอาจทำให้เกิดการสะสมของรังแคและน้ำมันมากขึ้น
  • สภาพแวดล้อมที่รุนแรง: การสัมผัสกับอากาศที่เย็นและแห้งจัด หรือการขับเหงื่อมากเกินไปภายใต้หมวก อาจทำให้อาการกำเริบได้

ความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับการรักษาเซ็บเดิร์มด้วยตนเอง

ความเชื่อผิดๆ ที่พบบ่อยเกี่ยวกับการรักษาเซ็บเดิร์มด้วยตนเองคือ การใช้วิธีการรักษาตามธรรมชาติที่ไม่ผ่านการพิสูจน์ซึ่งอาจทำให้อาการแย่ลง และความเข้าใจผิดว่าโรคนี้เกิดจากสุขอนามัยที่ไม่ดีหรือสามารถรักษาให้หายขาดได้ด้วยอาหารเสริม

ความเชื่อที่ไม่ถูกต้องซึ่งควรหลีกเลี่ยง ได้แก่

  • การใช้น้ำส้มสายชูหมักแอปเปิ้ล: การนำน้ำส้มสายชูมาใช้กับผิวที่อักเสบอาจทำให้เกิดการระคายเคืองหรือแสบร้อน และไม่ได้ช่วยฟื้นฟูเกราะป้องกันผิว
  • การขัดผิวอย่างรุนแรง: ความเชื่อที่ว่าเซ็บเดิร์มเกิดจากความสกปรกและสามารถขัดให้ออกไปได้นั้นไม่เป็นความจริง การทำความสะอาดหรือขัดผิวมากเกินไปจะยิ่งทำให้อาการกำเริบ
  • การรักษาด้วยอาหารเสริมหรือการดีท็อกซ์: แม้ว่าอาหารเพื่อสุขภาพจะช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน แต่ไม่มีวิตามินหรืออาหารเสริมชนิดใดที่สามารถรักษาเซ็บเดิร์มให้หายขาดได้เพียงอย่างเดียว เนื่องจากโรคนี้มีหลายปัจจัยเข้ามาเกี่ยวข้อง

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับโรคเซ็บเดิร์ม (FAQ)

โรคเซ็บเดิร์มสามารถรักษาให้หายขาดได้หรือไม่

โรคเซ็บเดิร์มไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่เป็นภาวะเรื้อรังที่สามารถควบคุมอาการได้อย่างมีประสิทธิภาพ

แม้ว่าจะไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่ผู้ป่วยสามารถควบคุมอาการให้อยู่ในภาวะสงบได้เป็นระยะเวลานานด้วยการรักษาที่เหมาะสมและการดูแลตนเองอย่างสม่ำเสมอ เช่น การใช้แชมพูหรือครีมยาเป็นครั้งคราวเพื่อป้องกันการกลับมาของโรค

เซ็บเดิร์มเป็นโรคติดต่อหรือไม่

เซ็บเดิร์มไม่เป็นโรคติดต่อ คุณไม่สามารถรับหรือแพร่ภาวะนี้ให้ผู้อื่นได้ผ่านการสัมผัส เนื่องจากเป็นภาวะของผิวหนังที่เกิดจากปัจจัยภายในของแต่ละบุคคล เช่น ปริมาณน้ำมันบนผิวหนัง จุลินทรีย์ และการตอบสนองของร่างกาย ไม่ใช่การติดเชื้อจากภายนอก

ควรดูแลผิวและเลือกใช้ผลิตภัณฑ์สำหรับเซ็บเดิร์มอย่างไร

การดูแลผิวสำหรับเซ็บเดิร์มคือการทำความสะอาดอย่างสม่ำเสมอเพื่อขจัดความมันและสะเก็ดส่วนเกิน ควบคู่ไปกับการใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยนเพื่อเสริมสร้างเกราะป้องกันผิว การดูแลผิวและหนังศีรษะอย่างถูกวิธีเป็นสิ่งสำคัญในการควบคุมอาการและป้องกันการกำเริบ

แนวทางการดูแลและเลือกใช้ผลิตภัณฑ์มีดังนี้:

  • การทำความสะอาด: ใช้น้ำอุ่น (ไม่ร้อนจัด) และผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่อ่อนโยน สำหรับหนังศีรษะ การสระผมบ่อยๆ ด้วยแชมพูสูตรอ่อนโยนสลับกับแชมพูยาจะช่วยควบคุมรังแคได้
  • การให้ความชุ่มชื้น: ทามอยส์เจอไรเซอร์สูตรอ่อนโยนและปราศจากน้ำมัน (oil-free) หลังล้างหน้า เพื่อช่วยฟื้นฟูและเสริมสร้างเกราะป้องกันผิว
  • การเลือกผลิตภัณฑ์: ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่ระบุว่า “non-comedogenic” (ไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน), “hypoallergenic” (สำหรับผิวแพ้ง่าย) และหลีกเลี่ยงส่วนผสมที่อาจก่อให้เกิดการระคายเคือง เช่น แอลกอฮอล์และน้ำหอม
  • การป้องกันแสงแดด: ใช้ครีมกันแดดชนิดมิเนอรัล (mineral sunscreen) ซึ่งมักจะระคายเคืองน้อยกว่าสำหรับผิวที่เป็นเซ็บเดิร์ม

อาการแบบไหนที่บ่งบอกว่าควรไปพบแพทย์โดยเร็วที่สุด

คุณควรไปพบแพทย์โดยเร็วที่สุดหากมีสัญญาณของการติดเชื้อ เช่น ผิวหนังบริเวณที่เป็นผื่นมีอาการอุ่น แดง หรือเจ็บมากขึ้น รวมถึงเมื่อผื่นลุกลามไปยังบริเวณอื่น ๆ ของร่างกาย หรืออาการไม่ดีขึ้นหลังจากการรักษาเบื้องต้น

อาการอื่น ๆ ที่เป็นสัญญาณเตือนว่าควรปรึกษาแพทย์ ได้แก่:

  • ผื่นลุกลาม: ผื่นขยายวงกว้างเกินกว่าบริเวณปกติ หรือกระจายไปทั่วร่างกาย
  • ไม่ตอบสนองต่อการรักษา: อาการไม่ดีขึ้นเลยหลังจากใช้ยาหรือแชมพูที่หาซื้อได้เองอย่างถูกวิธีเป็นเวลา 2-4 สัปดาห์
  • อาการรุนแรงผิดปกติ: ผื่นมีลักษณะแฉะหรือมีน้ำเหลืองไหลออกมามาก
  • มีไข้หรือต่อมน้ำเหลืองบวม: ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของการติดเชื้อที่รุนแรงขึ้น

References:

  1. Nationaleczema, 2025, nationaleczema.org
  2. Mayo Clinic, 2025, mayoclinic.org
  3. American Academy of Dermatology, 2025, aad.org
  4. Medical News Today, 2025, medicalnewstoday.com
  5. Healthline, 2025, healthline.com
  6. MDPI, 2025, mdpi.com

แนะแนวเรื่อง

Previous Previous
10 วิธีแก้หน้าโทรม บอกลาผิวหมองคล้ำ-ใต้ตาดำ ครบจบในที่เดียว
NextContinue
ผิวหน้าบาง ฟื้นฟูได้ไหม? รวมวิธีแก้และดูแลให้ผิวกลับมาแข็งแรง

สาขาพรีวาโต คลินิก

    สาขาอโศก ตั้งอยู่ที่ ชั้น 2 อาคารมิดทาวน์
    Phone: 02-258-4050 , 081-841-5075
    สาขาสีลม ตั้งอยู่ที่ ชั้น 1 อาคารซี.พี.ทาวเวอร์
    Phone: 02-780-2011 , 098-272-5244
    สาขาราชพฤกษ์ ตั้งอยู่ที่ ชั้น 2 ศูนย์การค้า เดอะคริสตัล เอสบี (ด้านบนร้านสตาร์บัคส์)
    Phone: 02-102-2778 , 098-272-5244

ติดต่อเรา

    Facebook: Privato Clinic
    Messenger: Privato Clinic
    Instagram: privatoclinic
    Email: privatoclinic@gmail.com
    Line: @privatoclinic

Copyright© 2022-2024. All Rights Reserved

Scroll to top
  • หน้าหลัก
  • เกี่ยวกับพรีวาโต
  • บริการทั้งหมด
    • ชะลอวัย
    • ยกกระชับผิว
      • XERF
      • Potenza
      • Sofwave
      • Ulthera
      • Thermage-FLX
    • รักษาสิว
    • เลเซอร์
    • โปรแกรมฉีด
    • บำรุงผิว
  • บทความ
    • สิว
    • ยกกระชับ
    • ดูแลผิว
    • ทำเลเซอร์
  • ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว
  • โปรโมชั่น
  • ผลลัพธ์การรักษา
  • วิดีโอรีวิวจากเคสจริง
  • สาขาของเรา
  • ไทย
    • ไทย
    • English
    • 中文 (中国)
  • ปรึกษาแพทย์
Facebook Instagram YouTube