Skip to content

TEL : 081-841-5075, 02-258-4050

Facebook Instagram YouTube
Privato Clinic – Innovation Of Beauty  |  Bangkok
  • หน้าหลัก
  • เกี่ยวกับพรีวาโต
  • บริการทั้งหมดExpand
    • ชะลอวัย
    • ยกกระชับผิวExpand
      • XERF
      • Potenza
      • Sofwave
      • Ulthera
      • Thermage-FLX
    • รักษาสิว
    • เลเซอร์
    • โปรแกรมฉีด
    • บำรุงผิว
  • บทความExpand
    • สิว
    • ยกกระชับ
    • ดูแลผิว
    • ทำเลเซอร์
  • ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว
  • โปรโมชั่น
  • ผลลัพธ์การรักษา
  • วิดีโอรีวิวจากเคสจริง
  • สาขาของเรา
  • ไทยExpand
    • ไทย
    • English
    • 中文 (中国)
  • ปรึกษาแพทย์
Privato Clinic – Innovation Of Beauty  |  Bangkok
Consult a Doctor
Skincare

แต่งหน้าไม่ติดแก้ยังไง? แชร์เทคนิคสำหรับคนผิวแห้ง ผิวมันและผิวผสม

Byadmin พฤศจิกายน 20, 2025
By แพทย์หญิงนัชชนก หุ่นวิจิตร Updated on พฤศจิกายน 20, 2025
✦ Medically reviewed by  นายแพทย์เลอพงษ์ กรุดเงิน
แต่งหน้าไม่ติดแก้ยังไง? แชร์เทคนิคสำหรับคนผิวแห้ง ผิวมันและผิวผสม

ปัญหาแต่งหน้าไม่ติดเกิดจากผิวที่ขาดน้ำหรือการผลัดเซลล์ผิวที่ช้ากว่าปกติ (ทุก 28 วัน) ซึ่งสามารถแก้ไขได้ด้วยการเตรียมผิวให้ชุ่มชื้นและใช้ไพรเมอร์กับรองพื้นที่เหมาะสมเพื่อเมคอัพที่เรียบเนียนติดทนนาน.

Table of Contents

Toggle
  • สาเหตุหลักที่ทำให้แต่งหน้าไม่ติด: เช็คสภาพผิวของคุณ
    • ผิวขาดความชุ่มชื้น: ปัญหาของทั้งคนผิวแห้งและผิวมัน
    • การผลัดเซลล์ผิวที่ไม่มีประสิทธิภาพ ทำให้ผิวไม่เรียบเนียน
    • การเลือกใช้สกินแคร์และเครื่องสำอางที่ไม่เหมาะกับสภาพผิว
    • เทคนิคการลงเมคอัพที่ไม่ถูกต้องและลำดับขั้นตอนที่ผิดพลาด
  • วิธีเตรียมผิวก่อนแต่งหน้าสำหรับสภาพผิวที่แตกต่างกัน
    • เทคนิคสำหรับคนผิวแห้ง: เติมความชุ่มชื้นให้ผิวอิ่มฟู
    • เทคนิคสำหรับคนผิวมัน: ควบคุมความมันแต่ไม่ทำลายเกราะป้องกันผิว
    • เทคนิคสำหรับผิวผสม: ดูแลเฉพาะจุด T-Zone และ U-Zone
    • การเลือกผลิตภัณฑ์: ส่วนผสมที่ควรมองหาและควรหลีกเลี่ยง
  • ขั้นตอนและเทคนิคการลงเมคอัพให้ติดทนนานตลอดวัน
    • การใช้ไพรเมอร์: ตัวช่วยสำคัญในการเบลอรูขุมขนและล็อคเมคอัพ
    • การเลือกรองพื้นและวิธีลงให้เรียบเนียน ไม่เป็นคราบ
    • การเซ็ตเมคอัพด้วยแป้งและสเปรย์: ขั้นตอนสุดท้ายเพื่อความติดทน
  • เมื่อการดูแลผิวเองไม่พอ: สัญญาณที่ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ
    • ปัญหาผิวเรื้อรังที่ส่งผลต่อการแต่งหน้าโดยตรง
    • ทรีตเมนต์ทางการแพทย์ที่ช่วยปรับปรุงคุณภาพผิวจากภายใน
    • การวิเคราะห์สภาพผิวเพื่อวางแผนการดูแลที่ตรงจุด
  • ข้อผิดพลาดที่ควรเลี่ยง: 5 สาเหตุที่ทำให้เมคอัพเป็นคราบและหลุดง่าย
  • คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการแต่งหน้าไม่ติด
    • ทำไมแต่งหน้าแล้วผิวไม่เรียบเนียน?
    • ควรลงสกินแคร์อะไรบ้างก่อนแต่งหน้า?
    • ผิวแห้งกับผิวขาดน้ำแตกต่างกันอย่างไร?
    • ต้องรอสกินแคร์นานแค่ไหนก่อนลงรองพื้น?
    • การใช้ไพรเมอร์จำเป็นสำหรับทุกคนหรือไม่?
    • แต่งหน้าเป็นคราบระหว่างวัน ควรแก้ไขอย่างไร?
  • References:

สาเหตุหลักที่ทำให้แต่งหน้าไม่ติด: เช็คสภาพผิวของคุณ

ผิวขาดความชุ่มชื้น: ปัญหาของทั้งคนผิวแห้งและผิวมัน

ผิวขาดน้ำ (Dehydrated skin) คือภาวะที่ผิวขาดน้ำซึ่งเป็นภาวะชั่วคราว และสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกสภาพผิว ไม่ว่าจะเป็นผิวแห้งหรือผิวมันก็ตาม ภาวะนี้แตกต่างจากผิวแห้ง (Dry skin) ซึ่งเป็นสภาพผิวประเภทหนึ่งที่ขาดน้ำมัน (ซีบัม)

ผิวที่ขาดน้ำมักจะดูหมองคล้ำ รู้สึกตึง และเห็นริ้วรอยเล็กๆ ได้ชัดเจนขึ้น ในขณะที่ผิวแห้งมักจะหยาบกร้าน เป็นขุย และมีแนวโน้มที่จะเกิดการระคายเคืองได้ง่าย แม้แต่คนผิวมันก็สามารถมีภาวะผิวขาดน้ำได้ โดยผิวอาจจะยังคงผลิตน้ำมันออกมามาก แต่กลับรู้สึกแห้งตึงอยู่ข้างใต้ เนื่องจากผิวพยายามผลิตน้ำมันเพิ่มขึ้นเพื่อชดเชยการขาดน้ำ

การผลัดเซลล์ผิวที่ไม่มีประสิทธิภาพ ทำให้ผิวไม่เรียบเนียน

ใช่ การสะสมของเซลล์ผิวที่ตายแล้ว ซึ่งเป็นผลมาจากการผลัดเซลล์ผิวที่ไม่มีประสิทธิภาพ ทำให้ผิวมีลักษณะไม่เรียบเนียน โดยปกติผิวจะผลัดเซลล์ทุกๆ 28 วัน แต่กระบวนการนี้จะช้าลงตามอายุที่เพิ่มขึ้น เมื่อเซลล์ผิวเก่าไม่ถูกผลัดออกไป จะเกิดการสะสมจนทำให้ผิวรู้สึกหยาบกร้านหรือเป็นขุย ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการแต่งหน้าให้เรียบเนียน

การเลือกใช้สกินแคร์และเครื่องสำอางที่ไม่เหมาะกับสภาพผิว

การเลือกใช้สกินแคร์และเครื่องสำอางที่ไม่เหมาะสมอาจทำให้เครื่องสำอางแยกตัว เป็นคราบ หรือจับตัวเป็นก้อน เนื่องจากสูตรผลิตภัณฑ์ที่เข้ากันไม่ได้ เนื้อผลิตภัณฑ์ที่หนักเกินไป หรือส่วนผสมที่ทำปฏิกิริยาต่อกัน

  • สูตรผลิตภัณฑ์ที่เข้ากันไม่ได้: การใช้รองพื้นสูตรน้ำ (water-based) ทับไพรเมอร์หรือสกินแคร์สูตรซิลิโคน (silicone-based) (หรือสลับกัน) จะทำให้ผลิตภัณฑ์ผลักกันและจับตัวเป็นก้อนเล็กๆ หรือที่เรียกว่า “pilling”
  • ผลิตภัณฑ์ที่เนื้อหนักเกินไป: มอยส์เจอไรเซอร์ ครีมกันแดด หรือออยล์ที่เนื้อหนาและหนักเกินไปจะสร้างชั้นฟิล์มบนผิว ทำให้รองพื้นไม่สามารถยึดเกาะได้ดีและอาจไหลเยิ้มระหว่างวัน
  • การใช้ผลิตภัณฑ์หลายชั้นเกินไป: การทาสกินแคร์หลายชั้นโดยไม่รอให้ซึมซาบ จะทำให้เกิดคราบขุยเมื่อลงเครื่องสำอางทับ นอกจากนี้ ผลิตภัณฑ์ที่หมดอายุก็อาจแยกชั้นและส่งผลต่อการแต่งหน้าได้เช่นกัน

เทคนิคการลงเมคอัพที่ไม่ถูกต้องและลำดับขั้นตอนที่ผิดพลาด

เทคนิคการลงเมคอัพที่ไม่ถูกต้องและลำดับขั้นตอนที่ผิดพลาด คือการทาผลิตภัณฑ์เร็วเกินไปโดยไม่รอให้ซึม การลงรองพื้นหนาเกินไปในครั้งเดียว การเรียงลำดับสกินแคร์ผิด และการใช้เครื่องมือหรือท่าทางที่ไม่เหมาะสม ซึ่งส่งผลให้เมคอัพไม่ติดทนและเป็นคราบ

  • การทาผลิตภัณฑ์เร็วเกินไป: การทารองพื้นทันทีหลังลงมอยส์เจอไรเซอร์หรือครีมกันแดดจะทำให้ผลิตภัณฑ์เป็นขุยหรือแยกชั้น ควรเว้นระยะให้สกินแคร์ซึมเข้าสู่ผิวประมาณ 2-5 นาทีก่อนลงเมคอัพ
  • ลำดับขั้นตอนที่ไม่ถูกต้อง: หลักการลงสกินแคร์คือ “บางที่สุดไปหาหนาที่สุด” (เช่น เซรั่ม > โลชั่น > ครีม) การทาครีมเนื้อหนักก่อนจะทำให้ผลิตภัณฑ์เนื้อบางเบาที่ทาทีหลังไม่สามารถซึมเข้าผิวได้
  • การลงรองพื้นหนาเกินไป: การลงรองพื้นหนาๆ ในครั้งเดียวมักทำให้เกิดคราบและตกร่อง ควรใช้วิธีลงทีละชั้นบางๆ แล้วค่อยๆ เพิ่มการปกปิดในบริเวณที่ต้องการ
  • เทคนิคและเครื่องมือที่ไม่เหมาะสม: การปาดหรือถูรองพื้นด้วยนิ้วหรือแปรงอาจทำให้เกิดรอยเส้นและรบกวนสกินแคร์ที่ลงไว้ก่อนหน้า ควรใช้วิธีกดหรือแท็บเบาๆ ด้วยฟองน้ำชุบน้ำหมาดๆ เพื่อให้รองพื้นเรียบเนียนและติดทนยิ่งขึ้น

วิธีเตรียมผิวก่อนแต่งหน้าสำหรับสภาพผิวที่แตกต่างกัน

การเตรียมผิวสำหรับสภาพผิวที่แตกต่างกันนั้นต้องใช้วิธีการที่ต่างกันไป โดยผิวแห้งเน้นการเติมความชุ่มชื้น ผิวมันเน้นการควบคุมความมันแต่ยังคงความชุ่มชื้น และผิวผสมต้องดูแลแต่ละโซนบนใบหน้าแยกกัน

  • ผิวแห้ง: ควรเน้นการเพิ่มความชุ่มชื้นเป็นชั้นๆ โดยเริ่มจากเซรั่มที่มีสารให้ความชุ่มชื้น (เช่น กรดไฮยาลูรอนิก) ตามด้วยมอยส์เจอไรเซอร์เนื้อครีมเข้มข้นที่มีส่วนผสมช่วยเสริมเกราะป้องกันผิว เช่น เซราไมด์ (Ceramides) และควรเลือกใช้ไพรเมอร์ที่ให้ความชุ่มชื้นเพื่อป้องกันไม่ให้รองพื้นเป็นคราบหรือตกร่อง
  • ผิวมัน: ควรใช้คลีนเซอร์ที่อ่อนโยนเพื่อไม่ให้ผิวแห้งจนเกินไป (ซึ่งจะกระตุ้นการผลิตน้ำมันเพิ่ม) ตามด้วยมอยส์เจอไรเซอร์เนื้อบางเบาที่ไม่มีส่วนผสมของน้ำมัน (Oil-free) เพื่อรักษาสมดุลความชุ่มชื้น จากนั้นใช้ไพรเมอร์ควบคุมความมัน (Mattifying Primer) ทาบริเวณทีโซน (T-zone) เพื่อช่วยดูดซับความมันส่วนเกินและเบลอรูขุมขน
  • ผิวผสม: ต้องดูแลผิวแต่ละส่วนแยกกัน โดยใช้ผลิตภัณฑ์ที่บางเบาและควบคุมความมันบริเวณทีโซน (หน้าผาก จมูก คาง) และใช้มอยส์เจอไรเซอร์ที่ให้ความชุ่มชื้นมากกว่าบริเวณแก้มที่แห้งกว่า นอกจากนี้ยังสามารถใช้ไพรเมอร์ 2 ชนิด คือไพรเมอร์คุมมันสำหรับทีโซนและไพรเมอร์ให้ความชุ่มชื้นสำหรับบริเวณแก้ม

เทคนิคสำหรับคนผิวแห้ง: เติมความชุ่มชื้นให้ผิวอิ่มฟู

สำหรับผิวแห้ง เทคนิคสำคัญคือ การเติมความชุ่มชื้นให้ผิวแบบเป็นชั้นๆ (Hydration layering) เพื่อเพิ่มและกักเก็บน้ำในผิวให้ได้มากที่สุด ทำให้ผิวอิ่มฟูและเรียบเนียนขึ้น

คุณสามารถทำตามขั้นตอนเหล่านี้ได้:

  • เริ่มต้นด้วยเซรั่ม: หลังล้างหน้า ให้ใช้เซรั่มที่มีส่วนผสมของสารดึงน้ำ (Humectant) เช่น กรดไฮยาลูรอนิก (Hyaluronic Acid) หรือกลีเซอรีน (Glycerin) เพื่อดึงความชุ่มชื้นเข้าสู่ผิว
  • ตามด้วยมอยส์เจอไรเซอร์: เลือกใช้มอยส์เจอไรเซอร์เนื้อครีมเข้มข้นที่มีส่วนผสมของสารเสริมเกราะป้องกันผิว (Emollient) เช่น เซราไมด์ (Ceramides) หรือสควาเลน (Squalane) เพื่อช่วยกักเก็บความชุ่มชื้นและฟื้นฟูไขมันที่จำเป็นต่อผิว
  • ใช้เทคนิคผิวหมาด: เพื่อประสิทธิภาพสูงสุด ควรทามอยส์เจอไรเซอร์ในขณะที่ผิวยังชื้นเล็กน้อย (เช่น ภายใน 5 นาทีหลังล้างหน้า) เพื่อช่วยล็อกน้ำไว้ในผิวได้ดียิ่งขึ้น
  • ใช้ไพรเมอร์เพิ่มความชุ่มชื้น: ก่อนแต่งหน้า การใช้ไพรเมอร์สูตรเติมความชุ่มชื้น (Hydrating Primer) จะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นอีกชั้นและช่วยให้รองพื้นเกาะติดผิวได้ดีขึ้นโดยไม่เป็นคราบหรือตกร่อง

เทคนิคสำหรับคนผิวมัน: ควบคุมความมันแต่ไม่ทำลายเกราะป้องกันผิว

สำหรับคนผิวมัน เทคนิคสำคัญคือการ ควบคุมความมันส่วนเกินพร้อมกับรักษาระดับความชุ่มชื้นของผิว เพื่อไม่ให้เกราะป้องกันผิวถูกทำลาย ซึ่งจะช่วยให้เมคอัพติดทนนานขึ้น

  • ทำความสะอาดอย่างอ่อนโยน: ใช้คลีนเซอร์แบบเจลหรือโฟมที่อ่อนโยนเพื่อไม่ให้ผิวแห้งตึงเกินไป เพราะการทำความสะอาดที่รุนแรงจะกระตุ้นให้ผิวผลิตน้ำมันออกมามากขึ้น
  • ห้ามข้ามมอยส์เจอไรเซอร์: แม้ผิวมันก็ต้องการความชุ่มชื้น ควรเลือกใช้มอยส์เจอไรเซอร์ที่บางเบา ไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน (Non-comedogenic) เช่น สูตรเจลหรือโลชั่น เพื่อป้องกันภาวะผิวขาดน้ำซึ่งเป็นสาเหตุของการผลิตน้ำมันเพิ่มขึ้น
  • ใช้ผลิตภัณฑ์ควบคุมความมัน: ก่อนแต่งหน้า ให้ใช้ไพรเมอร์คุมมันที่มีส่วนผสมอย่างไนอะซินาไมด์ (Niacinamide) หรือดินคาโอลิน (Kaolin clay) เพื่อช่วยดูดซับความมันและเบลอรูขุมขน
  • เซ็ตเมคอัพด้วยแป้ง: หลังจากลงรองพื้น ควรใช้แป้งฝุ่นโปร่งแสงเซ็ตบริเวณที่มันง่าย เช่น T-zone เพื่อล็อคเมคอัพและป้องกันความมันวาว
  • ใช้กระดาษซับมันระหว่างวัน: หากหน้ามันระหว่างวัน ให้ใช้กระดาษซับมันกดเบาๆ เพื่อซับความมันส่วนเกินออกไปโดยไม่ทำให้เมคอัพหลุด

เทคนิคสำหรับผิวผสม: ดูแลเฉพาะจุด T-Zone และ U-Zone

การดูแลผิวผสมคือการดูแลผิวแต่ละโซนตามความต้องการที่แตกต่างกัน โดยเน้นที่การสร้างสมดุลระหว่าง T-Zone ที่มีความมันและ U-Zone ที่แห้งกว่า

  • T-Zone (หน้าผาก จมูก และคาง): บริเวณนี้มักจะมีความมันมากกว่า ควรใช้มอยส์เจอไรเซอร์เนื้อบางเบาที่ช่วยควบคุมความมัน และใช้ไพรเมอร์ชนิดคุมมัน (Mattifying) เพื่อลดความเงาและเบลอรูขุมขน
  • U-Zone (แก้มและแนวกราม): บริเวณนี้มักจะแห้งกว่า ควรใช้มอยส์เจอไรเซอร์ที่ให้ความชุ่มชื้นสูงกว่า และใช้ไพรเมอร์ชนิดเติมความชุ่มชื้น (Hydrating) เพื่อป้องกันไม่ให้เครื่องสำอางเป็นคราบหรือตกร่อง

การเลือกผลิตภัณฑ์: ส่วนผสมที่ควรมองหาและควรหลีกเลี่ยง

ส่วนผสมที่ควรมองหาคือกลีเซอรีนและกรดไฮยาลูรอนิกเพื่อช่วยให้เครื่องสำอางยึดเกาะได้ดีขึ้น ส่วนสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงคือการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีซิลิโคนหนักๆ ซ้อนกันหลายชั้น และการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีเบสต่างกัน (เช่น เบสน้ำกับเบสซิลิโคน) ร่วมกัน

เพื่อให้เครื่องสำอางติดทน ควรเลือกและหลีกเลี่ยงส่วนผสมดังนี้

  • ส่วนผสมที่ควรมองหา:
  • กลีเซอรีน (Glycerin): ช่วยสร้างผิวที่หนึบเล็กน้อย ทำให้รองพื้นยึดเกาะผิวได้ดีขึ้น
  • กรดไฮยาลูรอนิก (Hyaluronic Acid): ช่วยให้ผิวอิ่มฟูและชุ่มชื้น ทำให้ลงเครื่องสำอางได้เรียบเนียนและติดทนนานขึ้น
  • ซิลิโคน (Silicone): เช่น ไดเมทิโคน (Dimethicone) ในไพรเมอร์ ช่วยเบลอรูขุมขนและทำให้ผิวเรียบเนียน
  • ส่วนผสมหรือการจับคู่ที่ควรหลีกเลี่ยง:
  • การใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีซิลิโคนหลายชั้น: การใช้ไพรเมอร์ รองพื้น และแป้งที่มีซิลิโคนเป็นส่วนประกอบหลักซ้อนกันมากเกินไป อาจทำให้ผลิตภัณฑ์จับตัวเป็นก้อนหรือเป็นขุย
  • การผสมสูตรที่เข้ากันไม่ได้: การใช้รองพื้นเบสน้ำทับไพรเมอร์เบสซิลิโคน (หรือสลับกัน) มักทำให้ผลิตภัณฑ์แยกตัวและเป็นคราบ
  • การใช้น้ำมันมากเกินไป: การลงสกินแคร์ที่มีส่วนผสมของน้ำมันหลายชั้นก่อนแต่งหน้า อาจทำให้เครื่องสำอางไหลเยิ้มและหลุดง่าย

ขั้นตอนและเทคนิคการลงเมคอัพให้ติดทนนานตลอดวัน

การใช้ไพรเมอร์: ตัวช่วยสำคัญในการเบลอรูขุมขนและล็อคเมคอัพ

ไพรเมอร์คือผลิตภัณฑ์ที่ใช้เป็นขั้นตอนแรกก่อนการแต่งหน้า เพื่อสร้างชั้นผิวที่เรียบเนียน ช่วยเบลอรูขุมขน และทำให้เครื่องสำอางติดทนนานขึ้น โดยทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมระหว่างสกินแคร์และเมคอัพ

ไพรเมอร์มีหลายประเภทซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาผิวที่แตกต่างกันไป ดังนี้

  • ไพรเมอร์เบลอรูขุมขน (Pore-minimizing Primers): มักมีส่วนผสมของซิลิโคน ช่วยเติมเต็มรูขุมขนและริ้วรอยเล็กๆ ทำให้ผิวดูเรียบเนียนขึ้น รองพื้นจึงไม่ตกร่อง
  • ไพรเมอร์เพิ่มความติดทน (Gripping Primers): มีเนื้อสัมผัสที่เหนียวเล็กน้อย เพื่อช่วย “ยึด” รองพื้นให้เกาะติดกับผิวได้ดีและยาวนานตลอดวัน
  • ไพรเมอร์คุมมัน (Mattifying Primers): เหมาะสำหรับผิวมัน มีส่วนผสมที่ช่วยดูดซับความมันส่วนเกิน เช่น ซิลิกาหรือดินขาว (Kaolin Clay) ทำให้หน้าไม่มันเยิ้มระหว่างวัน
  • ไพรเมอร์ปรับสีผิว (Color-correcting Primers): มีสีต่างๆ เพื่อช่วยแก้ปัญหาสีผิว เช่น สีเขียวช่วยลดรอยแดง หรือสีม่วงช่วยปรับผิวที่ดูซีดเหลืองให้สว่างขึ้น

การเลือกรองพื้นและวิธีลงให้เรียบเนียน ไม่เป็นคราบ

การเลือกรองพื้นให้เหมาะกับสภาพผิวและลงด้วยเทคนิคที่ถูกต้อง คือหัวใจสำคัญของการแต่งหน้าให้เรียบเนียนและไม่เป็นคราบ

การเลือกรองพื้น

  • ผิวมัน: เลือกรองพื้นที่ระบุว่า “Matte” (เนื้อแมตต์), “Oil-free” (ปราศจากน้ำมัน) หรือ “Long-wear” (ติดทนนาน) เพื่อช่วยควบคุมความมันและป้องกันไม่ให้เครื่องสำอางไหลเยิ้ม
  • ผิวแห้ง: เลือกรองพื้นที่ระบุว่า “Hydrating” (ให้ความชุ่มชื้น) หรือ “Illuminating” (ให้ความฉ่ำวาว) ซึ่งมักมีส่วนผสมบำรุงผิวและไม่ทำให้ผิวแห้งเป็นขุยหรือตกร่อง
  • ผิวผสม: อาจใช้รองพื้น 2 สูตร (สูตรแมตต์บริเวณ T-zone และสูตรชุ่มชื้นบริเวณแก้ม) หรือเลือกรองพื้นสูตรกลางๆ ที่ไม่แมตต์หรือฉ่ำวาวจนเกินไป แล้วใช้แป้งควบคุมความมันเฉพาะจุด

วิธีการลงรองพื้น

  1. เตรียมผิวให้พร้อม: บำรุงผิวด้วยมอยส์เจอไรเซอร์และรอให้ซึมเข้าสู่ผิวอย่างน้อย 2-5 นาทีก่อนลงรองพื้น เพื่อให้ผิวชุ่มชื้นและรองพื้นเกลี่ยง่ายขึ้น
  2. ใช้อุปกรณ์ที่เหมาะสม:
  • แปรง: ให้การปกปิดที่ดีและรวดเร็ว เหมาะกับการใช้เทคนิควนเบาๆ (Buffing) เพื่อให้รองพื้นเนียนไปกับผิว
  • ฟองน้ำชุบน้ำหมาดๆ: ช่วยให้ได้ลุคที่เป็นธรรมชาติ เรียบเนียน และไม่เป็นคราบหนา เพราะฟองน้ำจะช่วยซับรองพื้นส่วนเกินออกไป เหมาะสำหรับคนที่มักจะแต่งหน้าแล้วดูหนาเกินไป
  • ลงทีละชั้นบางๆ: แต้มรองพื้น 5 จุด (หน้าผาก จมูก คาง และแก้มสองข้าง) แล้วเกลี่ยออกไปด้านนอก การลงรองพื้นทีละชั้นบางๆ และค่อยๆ เพิ่มการปกปิดเฉพาะจุดที่ต้องการ จะช่วยให้ผิวดูเป็นธรรมชาติและไม่เป็นคราบหนา
  • กดเบาๆ แทนการปาด: ใช้ฟองน้ำหรือแปรงกดหรือแท็ป (Stipple) รองพื้นลงบนผิว จะช่วยให้รองพื้นติดทนและเรียบเนียนกว่าการปาดหรือถู ซึ่งอาจไปรบกวนสกินแคร์ที่ลงไว้ก่อนหน้า

การเซ็ตเมคอัพด้วยแป้งและสเปรย์: ขั้นตอนสุดท้ายเพื่อความติดทน

การเซ็ตเมคอัพให้ติดทนนานที่สุดคือการใช้ทั้งแป้งและสเปรย์ร่วมกัน โดยเริ่มจากการลงแป้งเพื่อควบคุมความมันและลดการตกร่อง จากนั้นจึงฉีดเซ็ตติ้งสเปรย์เป็นขั้นตอนสุดท้ายเพื่อล็อคเครื่องสำอางทั้งหมด

การใช้สองผลิตภัณฑ์นี้ร่วมกันจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้เมคอัพติดทนได้ดีที่สุด โดยแต่ละอย่างมีหน้าที่แตกต่างกันไป

  • การเซ็ตด้วยแป้ง (Powder Setting): หลังจากลงรองพื้นและคอนซีลเลอร์ ให้ใช้แป้งฝุ่นเนื้อละเอียดเซ็ตในบริเวณที่ต้องการควบคุมความมันหรือป้องกันการตกร่อง เช่น T-zone และใต้ตา การใช้แปรงปัดเบาๆ จะให้ลุคที่เป็นธรรมชาติ ส่วนเทคนิค “baking” (การกดแป้งหนาๆ ทิ้งไว้ 2-3 นาทีแล้วปัดออก) จะช่วยล็อคเมคอัพให้ติดทนสูงสุด เหมาะสำหรับวันที่ต้องการความทนทานเป็นพิเศษ
  • การเซ็ตด้วยสเปรย์ (Setting Spray): หลังจากแต่งหน้าเสร็จทุกขั้นตอน ให้ฉีดเซ็ตติ้งสเปรย์ให้ทั่วใบหน้า สเปรย์จะสร้างฟิล์มโพลีเมอร์บางๆ ที่มองไม่เห็นขึ้นมาเคลือบผิว ซึ่งช่วยล็อคเครื่องสำอางทั้งหมดไม่ให้เลื่อนหลุด ทั้งยังช่วยลดความแห้งของแป้ง ทำให้เมคอัพดูเรียบเนียนและเป็นธรรมชาติมากขึ้น

เมื่อการดูแลผิวเองไม่พอ: สัญญาณที่ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ

ปัญหาผิวเรื้อรังที่ส่งผลต่อการแต่งหน้าโดยตรง

ปัญหาผิวเรื้อรังที่ส่งผลต่อการแต่งหน้าโดยตรง ได้แก่ โรคผิวหนังอักเสบ (Eczema), โรคสะเก็ดเงิน (Psoriasis), โรคผิวหนังอักเสบชนิดไขมัน (Seborrheic Dermatitis), โรคโรซาเชีย (Rosacea) และสิว (Acne)

ปัญหาเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อการแต่งหน้า เนื่องจากทำให้ผิวไม่เรียบเนียนและเกราะป้องกันผิวอ่อนแอ

  • โรคผิวหนังอักเสบ (Eczema) และโรคสะเก็ดเงิน (Psoriasis): ทำให้ผิวแห้งและลอกเป็นขุย เครื่องสำอางจึงเกาะเป็นหย่อมๆ หรือเป็นคราบ
  • โรคผิวหนังอักเสบชนิดไขมัน (Seborrheic Dermatitis): ทำให้ผิวมีความมันแต่ก็ลอกเป็นขุยไปพร้อมกัน ส่งผลให้รองพื้นแยกตัวและไม่ติดทน
  • โรคโรซาเชีย (Rosacea) และสิว (Acne): ทำให้เกิดรอยแดง ตุ่ม และผิวไม่เรียบเนียน ซึ่งทำให้การลงเครื่องสำอางไม่สม่ำเสมอและอาจตกร่องได้

ทรีตเมนต์ทางการแพทย์ที่ช่วยปรับปรุงคุณภาพผิวจากภายใน

ทรีตเมนต์ทางการแพทย์ที่ช่วยปรับปรุงคุณภาพผิวจากภายใน ได้แก่ เคมิคอล พีล (chemical peels), ไมโครเดอร์มาเบรชั่น (microdermabrasion), เลเซอร์ รีเซอร์เฟซซิ่ง (laser resurfacing), ไฮดราเฟเชียล (HydraFacial) และการบำบัดด้วยแสง LED (LED light therapy) ซึ่งทรีตเมนต์เหล่านี้ช่วยให้การแต่งหน้าเรียบเนียนและติดทนนานขึ้น

ทรีตเมนต์แต่ละชนิดมีจุดเด่นดังนี้:

  • เคมิคอล พีล, ไมโครเดอร์มาเบรชั่น และเลเซอร์ รีเซอร์เฟซซิ่ง: ช่วยผลัดเซลล์ผิวชั้นบนออกไป ทำให้ผิวเรียบเนียนขึ้น เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหารูขุมขนกว้างหรือรอยแผลเป็นจากสิว
  • ไฮดราเฟเชียล: เป็นทรีตเมนต์ที่เน้นการเติมความชุ่มชื้น ทำให้ผิวอิ่มฟูและดูสุขภาพดี
  • การบำบัดด้วยแสง LED: ช่วยลดการอักเสบและปรับสมดุลผิว เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาสิวหรือรอยแดง

การวิเคราะห์สภาพผิวเพื่อวางแผนการดูแลที่ตรงจุด

การวิเคราะห์สภาพผิวเพื่อวางแผนการดูแลที่ตรงจุด คือการสังเกตลักษณะผิวเพื่อระบุว่าเป็นผิวแห้ง ผิวมัน ผิวผสม หรือมีภาวะขาดน้ำ ซึ่งแต่ละแบบต้องการการดูแลที่แตกต่างกัน

  • ผิวแห้ง (Dry Skin): เป็นสภาพผิวที่ขาดน้ำมัน ทำให้ผิวรู้สึกหยาบกร้าน เป็นขุย หรือระคายเคืองง่าย ควรเน้นการดูแลด้วยการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยเติมไขมันให้ผิว เช่น มอยส์เจอไรเซอร์ที่มีส่วนผสมของเซราไมด์ (ceramides) หรือสควาเลน (squalane) เพื่อเสริมสร้างเกราะป้องกันผิว
  • ผิวมัน (Oily Skin): เป็นผิวที่ผลิตน้ำมันออกมามากเกินไป ควรดูแลด้วยการควบคุมความมันควบคู่กับการให้ความชุ่มชื้นที่สมดุล โดยเลือกใช้ผลิตภัณฑ์เนื้อบางเบา เช่น เจลหรือโลชั่นที่ไม่มีส่วนผสมของน้ำมัน (oil-free) และไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน (non-comedogenic)
  • ผิวผสม (Combination Skin): มีลักษณะผิวมันบริเวณทีโซน (หน้าผาก จมูก และคาง) และผิวแห้งบริเวณแก้ม การดูแลจึงต้องเป็นการดูแลเฉพาะจุด โดยใช้ผลิตภัณฑ์ควบคุมความมันในบริเวณทีโซน และใช้ผลิตภัณฑ์ที่ให้ความชุ่มชื้นสูงในบริเวณที่แห้ง
  • ผิวขาดน้ำ (Dehydrated Skin): เป็นภาวะที่ผิวขาดน้ำ ซึ่งสามารถเกิดได้กับทุกสภาพผิวแม้แต่ผิวมัน ลักษณะคือผิวจะดูหมองคล้ำ รู้สึกตึง และเห็นริ้วรอยเล็กๆ ได้ชัดขึ้น ควรดูแลด้วยการเติมน้ำให้ผิวโดยใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารที่ช่วยดึงน้ำเข้าสู่ผิว เช่น กรดไฮยาลูรอนิก (hyaluronic acid)

ข้อผิดพลาดที่ควรเลี่ยง: 5 สาเหตุที่ทำให้เมคอัพเป็นคราบและหลุดง่าย

5 ข้อผิดพลาดที่ทำให้เมคอัพเป็นคราบและหลุดง่ายคือ การลงสกินแคร์มากเกินไป, ไม่รอให้ผลิตภัณฑ์ซึม, ใช้ไพรเมอร์กับรองพื้นที่ไม่เข้ากัน, ใช้แป้งหรือสเปรย์เซ็ตติ้งมากเกินไป และการเตรียมผิวที่ไม่ดีพอ

  1. ลงสกินแคร์มากเกินไป: การทาผลิตภัณฑ์หลายชั้นเกินไปในตอนเช้า เช่น เซรั่ม มอยส์เจอไรเซอร์ และครีมกันแดด โดยไม่รอให้ซึม จะทำให้เกิดชั้นฟิล์มบนผิว ทำให้รองพื้นที่ทาทับลงไปเกาะผิวไม่อยู่และหลุดลอกเป็นขุยได้
  2. ไม่รอให้ผลิตภัณฑ์ซึม: การรีบทารองพื้นทันทีหลังลงมอยส์เจอไรเซอร์หรือครีมกันแดด เป็นข้อผิดพลาดที่พบบ่อยที่สุด เพราะจะทำให้รองพื้นผสมกับสกินแคร์ที่ยังเปียกอยู่ ส่งผลให้เนื้อรองพื้นเปลี่ยนไปและแยกชั้นได้ง่าย ควรเว้นระยะเวลาประมาณ 2-5 นาที เพื่อให้สกินแคร์ซึมเข้าสู่ผิวอย่างเต็มที่
  3. ใช้ไพรเมอร์กับรองพื้นที่ไม่เข้ากัน: การใช้ไพรเมอร์ที่มีเบสเป็นซิลิโคนร่วมกับรองพื้นที่มีเบสเป็นน้ำ (หรือกลับกัน) จะทำให้ผลิตภัณฑ์ทั้งสองชนิดผลักกัน ส่งผลให้รองพื้นแยกตัว เป็นคราบ หรือเกลี่ยไม่เรียบเนียน
  4. ลงแป้งหรือฉีดสเปรย์มากเกินไป: การลงแป้งฝุ่นหนาเกินไปอาจทำให้เมคอัพดูหนาเตอะ (cakey) และแตกเป็นร่องระหว่างวันได้ ในทำนองเดียวกัน การฉีดเซ็ตติ้งสเปรย์จนชุ่มเกินไปก็อาจทำให้เมคอัพเป็นรอยด่างได้
  5. ละเลยการเตรียมผิว: การไม่ทามอยส์เจอไรเซอร์ก่อนแต่งหน้า (แม้แต่ในคนผิวมัน) จะทำให้รองพื้นเกาะผิวได้ไม่ดีและอาจตกร่องได้ง่าย นอกจากนี้ การไม่สครับเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกไป จะทำให้ผิวไม่เรียบเนียน เมื่อลงรองพื้นจึงดูเป็นขุยและไม่สม่ำเสมอ

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการแต่งหน้าไม่ติด

ทำไมแต่งหน้าแล้วผิวไม่เรียบเนียน?

การแต่งหน้าแล้วผิวดูไม่เรียบเนียนมักเกิดจาก สภาพผิวที่ไม่พร้อม เช่น ผิวขาดน้ำหรือมีเซลล์ผิวเก่าสะสม รวมถึงการใช้ผลิตภัณฑ์และเทคนิคการแต่งหน้าที่ไม่ถูกต้อง สาเหตุหลักที่ทำให้ผิวดูเป็นคราบหรือหนาเตอะ (cakey) ได้แก่

  • สภาพผิว: ผิวที่ขาดน้ำจะทำให้รองพื้นดูเป็นคราบและตกร่องได้ง่าย ส่วนการสะสมของเซลล์ผิวที่ตายแล้วจะสร้างพื้นผิวที่ไม่เรียบ ทำให้รองพื้นเกาะบนผิวแทนที่จะกลืนไปกับผิว
  • การใช้ผลิตภัณฑ์: การลงรองพื้นหรือแป้งที่หนาเกินไปจะทำให้เมคอัพดูหนาเตอะ และการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีเบสต่างกัน (เช่น ไพรเมอร์ซิลิโคนกับรองพื้นสูตรน้ำ) อาจทำให้เครื่องสำอางแยกตัวหรือเป็นขุยได้
  • เทคนิคการลง: การทารองพื้นหนาๆ ในครั้งเดียว หรือการใช้แปรงลากบนผิวแทนการกดเบาๆ ด้วยฟองน้ำชุบน้ำหมาดๆ อาจทำให้เมคอัพดูไม่สม่ำเสมอและเป็นคราบได้

ควรลงสกินแคร์อะไรบ้างก่อนแต่งหน้า?

ขั้นตอนการลงสกินแคร์ที่จำเป็นก่อนแต่งหน้าคือ การทำความสะอาด การให้ความชุ่มชื้น และการปกป้องผิว

  1. ทำความสะอาด (Cleanse): เริ่มต้นด้วยคลีนเซอร์ที่อ่อนโยนเพื่อกำจัดความมันและสิ่งสกปรก ทำให้ผิวเป็นเหมือนผืนผ้าใบที่สะอาด
  2. ให้ความชุ่มชื้น (Hydrate): ทามอยส์เจอไรเซอร์ที่เหมาะกับสภาพผิวของคุณ เพื่อให้ผิวอิ่มน้ำและป้องกันไม่ให้เครื่องสำอางเป็นคราบหรือตกร่อง
  3. ปกป้องผิว (Protect): ในตอนกลางวัน ให้ทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 ขึ้นไป และรอประมาณ 2-5 นาทีเพื่อให้ครีมกันแดดเซตตัวเต็มที่ก่อนลงรองพื้น

หลังจากขั้นตอนเหล่านี้ คุณสามารถลงไพรเมอร์เพิ่มเติมได้หากต้องการ เพื่อช่วยให้เครื่องสำอางติดทนนานขึ้น

ผิวแห้งกับผิวขาดน้ำแตกต่างกันอย่างไร?

ผิวแห้งคือสภาพผิวที่ขาดน้ำมันตามธรรมชาติ ในขณะที่ผิวขาดน้ำคือภาวะชั่วคราวที่ผิวขาดน้ำซึ่งสามารถเกิดได้กับทุกสภาพผิว

ผิวแห้งเป็น *ประเภทผิว* ที่มักจะรู้สึกหยาบ เป็นขุย และมีแนวโน้มที่จะเกิดการระคายเคืองได้ง่าย ในทางกลับกัน ผิวขาดน้ำเป็น *ภาวะของผิว* ที่จะดูหมองคล้ำ รู้สึกตึง และปรากฏริ้วรอยเล็กๆ จากการขาดความยืดหยุ่น โดยจุดสังเกตที่สำคัญคือ แม้แต่คนผิวมันก็สามารถมีภาวะผิวขาดน้ำได้ ซึ่งผิวจะยังคงผลิตน้ำมันออกมาแต่กลับรู้สึกแห้งตึงอยู่ภายใน

ต้องรอสกินแคร์นานแค่ไหนก่อนลงรองพื้น?

โดยทั่วไปควรรอ ประมาณ 1-5 นาที หลังจากทาสกินแคร์ก่อนลงรองพื้น

ควรรอจนกว่าผลิตภัณฑ์จะซึมเข้าสู่ผิวจนหมดและไม่รู้สึกเหนียวเหนอะหนะ การทารองพื้นในขณะที่สกินแคร์ยังเปียกอยู่จะทำให้รองพื้นเจือจาง เป็นคราบ หรือจับตัวเป็นก้อนได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังทาครีมกันแดด ผู้เชี่ยวชาญหลายคนแนะนำให้รอประมาณ 3-5 นาที เพื่อให้ครีมกันแดดเซ็ตตัวและสร้างชั้นป้องกันผิวก่อน

การใช้ไพรเมอร์จำเป็นสำหรับทุกคนหรือไม่?

ไพรเมอร์ไม่จำเป็นสำหรับทุกคน แต่จะมีประโยชน์อย่างมากหากคุณมีปัญหาผิวที่ต้องการแก้ไขเฉพาะจุด เช่น ต้องการควบคุมความมันส่วนเกิน, เบลอรูขุมขน, หรือเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว

ไพรเมอร์ทำหน้าที่เป็นตัวกลางระหว่างสกินแคร์และเครื่องสำอาง ช่วยให้รองพื้นเกลี่ยง่ายขึ้นและติดทนนานตลอดวัน อย่างไรก็ตาม หากคุณพอใจกับผลลัพธ์ของรองพื้นที่ใช้เป็นประจำโดยไม่มีไพรเมอร์ ก็ไม่จำเป็นต้องใช้ แต่หากคุณมีปัญหาเหล่านี้ ไพรเมอร์อาจช่วยได้:

  • ผิวมัน: ไพรเมอร์ควบคุมความมัน (Mattifying Primer) ช่วยลดความเงาและทำให้เมคอัพติดทนนานขึ้น
  • ผิวแห้ง: ไพรเมอร์เพิ่มความชุ่มชื้น (Hydrating Primer) ช่วยป้องกันไม่ให้รองพื้นเป็นคราบหรือตกร่องตามผิวที่แห้งลอก
  • รูขุมขนกว้างหรือผิวไม่เรียบเนียน: ไพรเมอร์เบลอรูขุมขน (Smoothing Primer) ที่มีส่วนผสมของซิลิโคนจะช่วยเติมเต็มผิวให้เรียบเนียนขึ้น

แต่งหน้าเป็นคราบระหว่างวัน ควรแก้ไขอย่างไร?

หากแต่งหน้าเป็นคราบระหว่างวัน ให้แก้ไขตามสาเหตุ โดยซับความมันออกหากเกิดจากผิวมัน หรือใช้สเปรย์เพิ่มความชุ่มชื้นหากเกิดจากผิวแห้ง แล้วเกลี่ยให้เรียบเนียน

คุณสามารถแก้ไขเครื่องสำอางที่เป็นคราบระหว่างวันได้ตามสภาพผิว ดังนี้

  • สำหรับผิวมัน: ใช้กระดาษซับมันกดเบาๆ เพื่อซับความมันส่วนเกินออกก่อน จากนั้นจึงใช้แป้งฝุ่นหรือแป้งอัดแข็งเติมทับเล็กน้อยเพื่อควบคุมความมันและทำให้ผิวกลับมาเรียบเนียน
  • สำหรับผิวแห้งหรือเป็นคราบเค้ก: ฉีดสเปรย์น้ำแร่หรือเซ็ตติ้งสเปรย์ลงบนบริเวณที่เป็นคราบ แล้วใช้ฟองน้ำชุบน้ำหมาดๆ หรือนิ้วมือกดเบาๆ เพื่อเกลี่ยเครื่องสำอางที่ตกร่องหรือจับตัวเป็นก้อนให้กลืนไปกับผิวอีกครั้ง

References:

  1. London Dermatology Centre. (2025). Why does my makeup always look patchy or flaky? London Dermatology Centre Blog. london-dermatology-centre.co.uk
  2. Cleveland Clinic. (2023). Tips for Getting Rid of Dry Skin on Your Face. Cleveland Clinic – Health Essentials. clevelandclinic.org
  3. Debara, D. (2025). Dry Skin vs. Dehydrated: How to Tell the Difference — And Why It Matters. Healthline. healthline.com
  4. Lua, B.L., Ruan, L., Lyu, Y., & Liu, S. (2024). Understanding the causes of skincare product pilling. Skin Research and Technology, 30(8), e13828. nih.gov
  5. Hardman, D. (2025). 8 Reasons Your Makeup Is Pilling—And What You Can Do About It. Byrdie. byrdie.com
  6. Curology. (n.d.). How to Treat Combination Skin, According to Experts. Curology Blog. curology.com

แนะแนวเรื่อง

Previous Previous
Niacinamide (ไนอะซินาไมด์) ห้ามใช้คู่กับอะไร? ข้อควรรู้เพื่อผิวสวย
NextContinue
ผิวดำแดดกี่วันหาย? รวมวิธีฟื้นฟูรอยคล้ำจากแดดให้กลับมาขาวใส

สาขาพรีวาโต คลินิก

    สาขาอโศก ตั้งอยู่ที่ ชั้น 2 อาคารมิดทาวน์
    Phone: 02-258-4050 , 081-841-5075
    สาขาสีลม ตั้งอยู่ที่ ชั้น 1 อาคารซี.พี.ทาวเวอร์
    Phone: 02-780-2011 , 098-272-5244
    สาขาราชพฤกษ์ ตั้งอยู่ที่ ชั้น 2 ศูนย์การค้า เดอะคริสตัล เอสบี (ด้านบนร้านสตาร์บัคส์)
    Phone: 02-102-2778 , 098-272-5244

ติดต่อเรา

    Facebook: Privato Clinic
    Messenger: Privato Clinic
    Instagram: privatoclinic
    Email: privatoclinic@gmail.com
    Line: @privatoclinic

Copyright© 2022-2024. All Rights Reserved

Scroll to top
  • หน้าหลัก
  • เกี่ยวกับพรีวาโต
  • บริการทั้งหมด
    • ชะลอวัย
    • ยกกระชับผิว
      • XERF
      • Potenza
      • Sofwave
      • Ulthera
      • Thermage-FLX
    • รักษาสิว
    • เลเซอร์
    • โปรแกรมฉีด
    • บำรุงผิว
  • บทความ
    • สิว
    • ยกกระชับ
    • ดูแลผิว
    • ทำเลเซอร์
  • ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว
  • โปรโมชั่น
  • ผลลัพธ์การรักษา
  • วิดีโอรีวิวจากเคสจริง
  • สาขาของเรา
  • ไทย
    • ไทย
    • English
    • 中文 (中国)
  • ปรึกษาแพทย์
Facebook Instagram YouTube