โรคโรซาเซีย (Rosacea) คืออะไร: อาการ สาเหตุ และวิธีรักษา

โรคโรซาเซีย (Rosacea) คือภาวะผิวหนังอักเสบเรื้อรังที่ทำให้เกิดอาการหน้าแดงเป็นพักๆ ตุ่มแดง ตุ่มหนอง และเส้นเลือดฝอยขยายตัว โดยมักเริ่มหลังอายุ 30 ปี และสามารถควบคุมอาการได้ด้วยการรักษายา เลเซอร์ และหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้นเช่นแสงแดดและความเครียด
โรคโรซาเซีย (Rosacea) คืออะไร
โรคโรซาเซียคือภาวะผิวหนังอักเสบเรื้อรัง ซึ่งมีลักษณะเด่นคืออาการแดงบริเวณกลางใบหน้า โดยอาการจะเป็นๆ หายๆ อาการที่พบบ่อย ได้แก่ อาการหน้าแดงเป็นพักๆ (flushing) ตุ่มแดง ตุ่มหนอง และเส้นเลือดฝอยขยายตัว แต่จะไม่มีสิวอุดตันเหมือนสิวทั่วไป และมักเริ่มแสดงอาการหลังอายุ 30 ปี (Updating the diagnosis, classification and assessment of rosacea: Recommendations from the global ROSacea COnsensus panel, British Journal of Dermatology, 2017)
โรคหน้าแดง (Rosacea) ต่างจากสิวอย่างไร
โรคหน้าแดง (Rosacea) แตกต่างจากสิวที่สำคัญที่สุดคือไม่มีสิวอุดตัน (comedones) ซึ่งได้แก่ สิวหัวดำและสิวหัวขาว โรคหน้าแดงมักเกิดบริเวณกลางใบหน้า เช่น แก้ม จมูก และคาง พร้อมกับอาการหน้าแดงเป็นๆ หายๆ และรอยแดงต่อเนื่อง ในขณะที่สิวมักเกิดในบริเวณที่กว้างกว่าและพบได้บ่อยในวัยรุ่น นอกจากนี้ ปัจจัยกระตุ้นยังแตกต่างกัน โดยโรคหน้าแดงมักกำเริบจากความร้อน แอลกอฮอล์ หรืออาหารรสจัด ส่วนสิวอาจเกี่ยวข้องกับฮอร์โมน (Acne or Rosacea? A Case of Mistaken Identity, National Rosacea Society, 2013)
สาเหตุของโรคโรซาเซีย หน้าแดงเกิดจากอะไร
ปัจจัยกระตุ้นที่ทำให้เกิดอาการหน้าแดง
ปัจจัยกระตุ้นที่ทำให้เกิดอาการหน้าแดงในผู้ที่เป็นโรคโรซาเชีย (Rosacea) ที่พบบ่อยที่สุดคือการสัมผัสแสงแดดและความเครียดทางอารมณ์ นอกจากนี้ยังมีปัจจัยกระตุ้นที่สำคัญอื่นๆ ซึ่งแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ได้แก่:
- สิ่งแวดล้อม: สภาพอากาศร้อนหรือหนาวจัด, ลม, ความชื้นสูง, การอาบน้ำร้อน และซาวน่า
- อาหารและเครื่องดื่ม: เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (โดยเฉพาะไวน์แดง), อาหารรสเผ็ด และเครื่องดื่มร้อนๆ
- ไลฟ์สไตล์และอารมณ์: การออกกำลังกายอย่างหนัก และการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน
- ผลิตภัณฑ์ที่ใช้กับผิวและยา: ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์, น้ำหอม, เมนทอล, วิชฮาเซล (witch hazel) หรือการใช้ยาสเตียรอยด์ทาบนใบหน้าเป็นเวลานาน (National Rosacea Society, 2016)
อาการของโรคโรซาเซียที่ควรสังเกต
หน้าแดง ร้อนผ่าว และอาการแสบร้อน
อาการหน้าแดง ร้อนผ่าว และแสบร้อนเป็น ลักษณะเด่นของโรคโรซาเชีย (rosacea) ซึ่งเป็นภาวะผิวหนังอักเสบเรื้อรังที่เกิดจากความผิดปกติของหลอดเลือดและระบบประสาทที่ผิวหนัง
- อาการร้อนวูบวาบ (Flushing): คืออาการหน้าแดงขึ้นมาอย่างกะทันหัน มักเกิดจากปัจจัยกระตุ้น เช่น ความร้อน แอลกอฮอล์ หรือความเครียด โดยจะรู้สึกร้อนที่ใบหน้าและเป็นอยู่หลายนาทีถึงหลายชั่วโมง
- รอยแดงต่อเนื่อง (Persistent Redness): คือรอยแดงเรื้อรังบริเวณกลางใบหน้า เช่น แก้ม จมูก และคาง ซึ่งดูคล้ายอาการผิวไหม้แดดที่ไม่หายไป เกิดจากหลอดเลือดฝอยขยายตัว
- อาการแสบร้อนหรือระคายเคือง (Burning or Stinging): เป็นความรู้สึกไม่สบายผิวที่พบบ่อย ซึ่งเกิดจากเส้นประสาทที่ผิวหนังไวต่อสิ่งกระตุ้นมากเกินไป อาจรู้สึกแสบ คัน หรือยิบๆ ได้แม้ไม่มีผื่นที่มองเห็น (Updating the diagnosis, classification and assessment of rosacea: Recommendations from the global ROSacea COnsensus panel, British Journal of Dermatology, 2017)
หน้าแดงตรงโหนกแก้มและจมูก
อาการหน้าแดงบริเวณโหนกแก้มและจมูกเป็นลักษณะสำคัญของโรคโรซาเชีย (Rosacea) ซึ่งเป็นภาวะผิวหนังอักเสบเรื้อรัง รอยแดงนี้มักจะคงอยู่ตลอดเวลาคล้ายกับอาการผิวไหม้แดดที่ไม่จางหายไป ซึ่งเกิดจากเส้นเลือดฝอยใต้ผิวหนังที่ขยายตัวอย่างถาวร
อาการอื่นที่อาจพบร่วมด้วย ได้แก่
- อาการหน้าแดงเป็นพักๆ (Flushing) เมื่อเจอสิ่งกระตุ้น เช่น ความร้อน แอลกอฮอล์ หรือความเครียด
- ตุ่มแดงและตุ่มหนองคล้ายสิว แต่ไม่มีสิวอุดตัน
- มองเห็นเส้นเลือดฝอยเล็กๆ บนผิวหนัง (Telangiectasia)
- รู้สึกแสบร้อน คัน หรือระคายเคืองผิว (Updating the diagnosis, classification and assessment of rosacea: Recommendations from the global ROSacea COnsensus panel, British Journal of Dermatology, 2017)
วิธีรักษาโรคโรซาเซียให้หายขาด
โรคโรซาเซียไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ เนื่องจากเป็นภาวะเรื้อรัง แต่สามารถควบคุมอาการได้เป็นอย่างดีจนแทบไม่มีอาการปรากฏ เป้าหมายของการรักษาคือการจัดการอาการ ลดการกำเริบ และเข้าสู่ภาวะสงบของโรคในระยะยาว ซึ่งต้องอาศัยการดูแลอย่างต่อเนื่อง (Treatment options for acne rosacea, American Family Physician, 2009)
การรักษาด้วยยาและครีมทา
การรักษาโรคโรซาเชียด้วยยาประกอบด้วยยาทาเฉพาะที่และยารับประทาน ซึ่งมุ่งเน้นไปที่การลดการอักเสบ ตุ่มหนอง และรอยแดง โดยแพทย์จะเลือกใช้ยาตามความรุนแรงและลักษณะอาการของผู้ป่วยแต่ละราย
ยาทาและยารับประทานที่ใช้บ่อย ได้แก่
- ยาทาเฉพาะที่ (Topical Medications):
- เมโทรนิดาโซล (Metronidazole): เป็นยาต้านการอักเสบที่ช่วยลดตุ่มแดงและตุ่มหนอง เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีอาการเล็กน้อย
- กรดอะซีลาอิก (Azelaic acid): มีประสิทธิภาพในการลดตุ่มอักเสบและรอยแดง แต่อาจทำให้เกิดอาการแสบผิวหนังในช่วงแรก
- ไอเวอร์เมคติน (Ivermectin): เป็นยารุ่นใหม่ที่ออกฤทธิ์ต้านการอักเสบและกำจัดไรเดโมเด็กซ์ (Demodex) ซึ่งเป็นปัจจัยกระตุ้น มีประสิทธิภาพสูงในการลดตุ่มอักเสบ
- บริโมนิดีน (Brimonidine) และ ออกซีเมตาโซลีน (Oxymetazoline): เป็นยาที่ทำให้หลอดเลือดหดตัว ใช้สำหรับลดอาการหน้าแดงโดยเฉพาะ ออกฤทธิ์ชั่วคราวประมาณ 12 ชั่วโมง
- ยารับประทาน (Oral Medications):
- ด็อกซีไซคลิน (Doxycycline): ใช้ในขนาดต่ำ (40 มก.) เพื่อต้านการอักเสบโดยเฉพาะ เป็นยาหลักสำหรับผู้ป่วยที่มีอาการระดับปานกลางถึงรุนแรง ช่วยลดตุ่มอักเสบและอาการทางตา
- ไอโซเตรติโนอิน (Isotretinoin): ใช้ในขนาดต่ำสำหรับผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง ดื้อต่อการรักษา หรือมีผิวหนังหนาตัวขึ้น (Phymatous changes) (Treatment options for acne rosacea, American Family Physician, 2009)
การปรับพฤติกรรมเพื่อลดอาการหน้าแดง
การปรับพฤติกรรมเพื่อลดอาการหน้าแดงจากโรคโรซาเชียทำได้โดย การหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้นที่ทำให้เกิดอาการกำเริบ ซึ่งการจดบันทึกปัจจัยต่างๆ จะช่วยให้ระบุสิ่งที่กระตุ้นอาการของตนเองได้ง่ายขึ้น
ปัจจัยกระตุ้นที่พบบ่อยและควรหลีกเลี่ยงหรือจัดการ ได้แก่:
- แสงแดด เป็นปัจจัยกระตุ้นที่พบบ่อยที่สุด ควรใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 ขึ้นไปเป็นประจำ
- ความเครียดทางอารมณ์ เป็นปัจจัยกระตุ้นอันดับต้นๆ ซึ่งสามารถจัดการได้ด้วยเทคนิคการผ่อนคลาย
- สภาพอากาศและอุณหภูมิ เช่น อากาศร้อนจัดหรือเย็นจัด ลมแรง การอาบน้ำร้อน หรือการอยู่ในที่ที่มีความร้อนสูง
- อาหารและเครื่องดื่ม โดยเฉพาะเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (เช่น ไวน์แดง) อาหารรสจัด และเครื่องดื่มร้อน
- การออกกำลังกายอย่างหนัก ควรเลือกออกกำลังกายในที่เย็นและดื่มน้ำเย็นเพื่อช่วยลดอุณหภูมิร่างกาย
- ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่ระคายเคือง ควรหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์, วิชฮาเซล (witch hazel), น้ำหอม, เมนทอล หรือการขัดถูผิวแรงๆ (Coping With Common Rosacea Triggers, National Rosacea Society, 2016)
รักษาโรซาเซียเองได้ไหม หรือควรพบแพทย์
โรคโรซาเซียระดับไม่รุนแรงสามารถดูแลเองได้ แต่กรณีที่มีอาการปานกลางถึงรุนแรงหรือมีอาการแทรกซ้อนควรไปพบแพทย์ การดูแลตนเองเหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการเล็กน้อยและสามารถทำได้โดยการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต ในขณะที่การดูแลโดยผู้เชี่ยวชาญจำเป็นสำหรับอาการที่รุนแรงขึ้น
- การดูแลตนเอง (สำหรับอาการไม่รุนแรง): สามารถทำได้โดยใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่อ่อนโยน ทาครีมกันแดดเป็นประจำ และหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้นที่ทราบ เช่น แสงแดด ความร้อน และอาหารรสจัด
- เมื่อใดที่ควรพบแพทย์: ควรไปพบแพทย์เมื่อมีอาการปานกลางถึงรุนแรง เช่น มีรอยแดงถาวร มีตุ่มหนองจำนวนมาก มีอาการทางตา (ระคายเคืองตา) มีการหนาตัวของผิวหนัง หรือเมื่อดูแลตนเองแล้วอาการไม่ดีขึ้นภายใน 2-3 เดือน (Treatment options for acne rosacea, American Family Physician, 2009)
การรักษาโรซาเซียด้วยเลเซอร์ (Laser)
เลเซอร์ลดรอยแดงและเส้นเลือดฝอย
เลเซอร์และแสงบำบัด (IPL) มีประสิทธิภาพสูงในการรักษารอยแดงและเส้นเลือดฝอยที่มองเห็นได้จากโรคโรซาเชีย (Rosacea) โดยการทำลายหลอดเลือดที่ขยายตัวผิดปกติอย่างจำเพาะเจาะจง
เลเซอร์และแสงบำบัดเป็นวิธีการรักษาหลักสำหรับรอยแดงและเส้นเลือดฝอยที่การใช้ยาเพียงอย่างเดียวอาจไม่ได้ผลเต็มที่ โดยมีรายละเอียดดังนี้
- Pulsed Dye Laser (PDL): ถือเป็นมาตรฐานสูงสุด (gold standard) สำหรับการรักษารอยแดงและเส้นเลือดฝอย สามารถลดรอยแดงได้ 50–75% หลังทำครบคอร์ส
- Intense Pulsed Light (IPL): เป็นอีกทางเลือกที่นิยม สามารถครอบคลุมพื้นที่ขนาดใหญ่ได้ดี และยังช่วยปรับสีผิวที่ไม่สม่ำเสมอได้ด้วย
- การรักษา: โดยทั่วไปต้องทำต่อเนื่อง 1–5 ครั้ง ห่างกันทุก 4–6 สัปดาห์ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
- ผลลัพธ์: ผลลัพธ์จะอยู่ได้นาน แต่เนื่องจากโรคโรซาเชียเป็นภาวะเรื้อรัง รอยแดงและเส้นเลือดฝอยอาจกลับมาใหม่ได้เมื่อเวลาผ่านไป จึงอาจต้องมีการทำเลเซอร์ซ้ำเพื่อคงสภาพผิว (Frontiers in Medicine, 2021)
การดูแลผิวและป้องกันอาการกำเริบ
คนเป็นโรซาเซียควรใช้ครีมแบบไหน
ผู้ที่เป็นโรคโรซาเซียควรใช้ ครีมบำรุงผิวที่อ่อนโยน ไม่มีสารก่อความระคายเคือง และช่วยเสริมสร้างเกราะป้องกันผิว โดยควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสม เช่น เซราไมด์ (ceramides) และไนอะซินาไมด์ (niacinamide) เพื่อช่วยลดการอักเสบและเพิ่มความชุ่มชื้น นอกจากนี้ ควรหลีกเลี่ยงครีมที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ น้ำหอม เมนทอล และสารผลัดเซลล์ผิวที่รุนแรง (Treatment options for acne rosacea, American Family Physician, 2009)
อาหารและพฤติกรรมที่ควรหลีกเลี่ยง
ปัจจัยกระตุ้นโรคโรซาเชียที่พบบ่อยที่สุดคือการสัมผัสแสงแดด ความเครียดทางอารมณ์ อากาศร้อนจัด เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และอาหารรสเผ็ด การหลีกเลี่ยงปัจจัยเหล่านี้เป็นส่วนสำคัญในการควบคุมอาการของโรค
พฤติกรรมและอาหารอื่นๆ ที่ควรหลีกเลี่ยงหรือระมัดระวัง ได้แก่:
- สิ่งกระตุ้นด้านสิ่งแวดล้อม:
- อากาศร้อนหรือหนาวจัด และการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิอย่างรวดเร็ว
- ลมแรงและความชื้นสูง
- การอาบน้ำร้อนหรือเข้าซาวน่า
- อาหารและเครื่องดื่ม:
- เครื่องดื่มร้อน เช่น กาแฟหรือชา (เนื่องจากความร้อน)
- อาหารที่มีฮีสตามีนสูง เช่น ชีสที่ผ่านการบ่มและเนื้อสัตว์รมควัน
- อาหารที่อุดมด้วยไนอะซิน (Niacin)
- ไลฟ์สไตล์และอารมณ์:
- การออกกำลังกายอย่างหนัก
- การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน เช่น ในช่วงวัยหมดประจำเดือน
- ยาบางชนิดที่ทำให้หลอดเลือดขยายตัว เช่น ไนอะซินในปริมาณสูง (National Rosacea Society, 2016)
คำถามที่พบบ่อย (FAQ)
โรซาเซียกับเซ็บเดิร์ม ต่างกันอย่างไร
ข้อแตกต่างที่สำคัญคือ โรซาเซียไม่มีขุยมันสีเหลือง ในขณะที่เซ็บเดิร์ม (โรคผิวหนังอักเสบจากไขมัน) มีลักษณะเป็นขุยมันเยิ้ม โดยทั้งสองภาวะมีความแตกต่างกันในด้านลักษณะอาการและบริเวณที่เกิด ดังนี้
- ลักษณะอาการ: โรซาเซียจะทำให้เกิดผื่นแดงกระจายทั่วใบหน้าและมีเส้นเลือดฝอยขยายตัว (telangiectasia) ซึ่งอาจมีตุ่มคล้ายสิวร่วมด้วย แต่เซ็บเดิร์มจะเป็นผื่นแดงเป็นปื้นๆ พร้อมกับขุยมันสีเหลือง
- บริเวณที่เกิด: โรซาเซียมักเกิดบริเวณกลางใบหน้า เช่น แก้มและจมูก ส่วนเซ็บเดิร์มมักพบบริเวณที่มีต่อมไขมันมาก เช่น ข้างจมูก คิ้ว และหนังศีรษะ
- อาการคัน: โดยทั่วไปเซ็บเดิร์มจะมีอาการคันมากกว่าโรซาเซีย (Recognizing rosacea: Tips on differential diagnosis, Journal of Drugs in Dermatology, 2019)
โรคโรซาเซียรักษาหายขาดไหม
โรคโรซาเซียไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่สามารถควบคุมอาการได้เป็นอย่างดี โรคนี้เป็นภาวะเรื้อรังที่อาการอาจกำเริบและสงบสลับกันไป การรักษาสามารถช่วยควบคุมอาการให้อยู่ในระยะสงบได้ แต่หากหยุดการรักษาและกลับไปเผชิญปัจจัยกระตุ้น อาการก็มีแนวโน้มที่จะกลับมาเป็นซ้ำได้ (Updating the diagnosis, classification and assessment of rosacea: Recommendations from the global ROSacea COnsensus panel, British Journal of Dermatology, 2017)
