Skip to content

TEL : 081-841-5075, 02-258-4050

Facebook Instagram YouTube
Privato Clinic – Innovation Of Beauty  |  Bangkok
  • หน้าหลัก
  • เกี่ยวกับพรีวาโต
  • บริการทั้งหมดExpand
    • ชะลอวัย
    • ยกกระชับผิวExpand
      • XERF
      • Potenza
      • Sofwave
      • Ulthera
      • Thermage-FLX
    • รักษาสิว
    • เลเซอร์
    • โปรแกรมฉีด
    • บำรุงผิว
  • บทความExpand
    • สิว
    • ยกกระชับ
    • ดูแลผิว
    • ทำเลเซอร์
  • ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว
  • โปรโมชั่น
  • ผลลัพธ์การรักษา
  • วิดีโอรีวิวจากเคสจริง
  • สาขาของเรา
  • ไทยExpand
    • ไทย
    • English
    • 中文 (中国)
  • ปรึกษาแพทย์
Privato Clinic – Innovation Of Beauty  |  Bangkok
Consult a Doctor
Skincare

กระเนื้อ คืออะไร เกิดจากอะไร วิธีรักษาและป้องกัน

Byadmin พฤศจิกายน 30, 2025
By แพทย์หญิงนัชชนก หุ่นวิจิตร Updated on พฤศจิกายน 30, 2025
✦ Medically reviewed by  นายแพทย์เลอพงษ์ กรุดเงิน
กระเนื้อ คืออะไร เกิดจากอะไร วิธีรักษาและป้องกัน

Table of Contents

Toggle
  • กระเนื้อคืออะไร
    • ลักษณะของกระเนื้อ
    • กระเนื้อกับติ่งเนื้อต่างกันอย่างไร
  • กระเนื้อเกิดจากอะไร
    • ปัจจัยเสี่ยงของการเกิดกระเนื้อ
    • กระเนื้อเกิดได้ง่ายในวัยไหน
  • กระเนื้อเกิดขึ้นที่ใดในร่างกายได้บ้าง
    • กระเนื้อที่หน้า คอ และใต้ตา
    • กระเนื้อที่หน้าอก หลัง และหนังศีรษะ
  • อาการของกระเนื้อ
    • กระเนื้อคันได้หรือไม่
    • การเปลี่ยนแปลงของกระเนื้อตามกาลเวลา
  • กระเนื้อและมะเร็งผิวหนังต่างกันอย่างไร
    • สัญญาณเตือนที่ต้องพบแพทย์
    • กระเนื้ออันตรายไหม
  • วิธีรักษากระเนื้อบนใบหน้า คอ และใต้ตา
    • การรักษากระเนื้อด้วยเลเซอร์
    • การจี้กระเนื้อ
    • ครีมรักษากระเนื้อและยาทากระเนื้อ
    • การผ่าตัดกระเนื้อ
  • กระเนื้อรักษาแล้วหายขาดได้ไหม
    • กระเนื้อกลับมาเป็นซ้ำได้หรือไม่
    • การดูแลหลังรักษากระเนื้อ
  • วิธีป้องกันกระเนื้อ
    • การป้องกันแสงแดด
    • การดูแลผิวเพื่อลดความเสี่ยง
  • รักษากระเนื้อที่คลินิกความงาม
    • เลือกคลินิกรักษากระเนื้อที่ไหนดี
    • ราคาการรักษากระเนื้อด้วยเลเซอร์
    • การปรึกษาแพทย์ผิวหนังก่อนรักษากระเนื้อ

กระเนื้อคืออะไร

กระเนื้อคือเนื้องอกของผิวหนังชนิดไม่ร้ายแรงที่พบบ่อย ซึ่งเกิดจากการเจริญเติบโตของเซลล์ผิวหนังชั้นนอก (keratinocytes) และมักมีลักษณะเป็นตุ่มนูนคล้ายหูดหรือขี้ผึ้งที่ดูเหมือน “แปะ” อยู่บนผิวหนัง กระเนื้อมักพบในผู้ที่มีอายุวัยกลางคนและผู้สูงอายุ โดยจะพบได้บ่อยขึ้นตามอายุ และไม่ใช่โรคติดต่อ

ลักษณะเด่นของกระเนื้อ ได้แก่:

  • มีลักษณะคล้าย “แปะ” อยู่บนผิว
  • มีพื้นผิวเป็นขุย มันวาว หรือคล้ายหูด
  • มีสีตั้งแต่สีแทนอ่อนไปจนถึงสีน้ำตาลเข้มหรือสีดำ
  • มักพบบริเวณใบหน้า ลำคอ หน้าอก และหลัง แต่ไม่พบบนฝ่ามือและฝ่าเท้า

แม้ว่ากระเนื้อจะมีลักษณะคล้ายกับภาวะอื่นๆ แต่โดยทั่วไปแล้วไม่เป็นอันตรายและไม่สามารถพัฒนากลายเป็นมะเร็งผิวหนังได้ (Dermnetnz.org)

ลักษณะของกระเนื้อ

กระเนื้อ (Seborrheic Keratosis) มีลักษณะเป็นตุ่มหรือแผ่นนูนที่ดูคล้ายแปะอยู่บนผิวหนัง โดยมีลักษณะเด่นอื่นๆ ดังนี้

  • ลักษณะพื้นผิว: อาจมีลักษณะคล้ายหูด ขรุขระ เป็นขุย หรือมันเงา และอาจมีจุดเคราตินอุดตันเล็กๆ คล้ายสิวหัวดำ
  • สี: มีได้หลายเฉดสี ตั้งแต่สีแทนอ่อน สีน้ำตาล ไปจนถึงสีน้ำตาลเข้มหรือเกือบดำ
  • รูปทรง: มักมีรูปทรงกลมหรือวงรี และมีขอบเขตที่ชัดเจน
  • ขนาด: มีตั้งแต่ไม่กี่มิลลิเมตรไปจนถึงหลายเซนติเมตร และมักจะขยายขนาดขึ้นอย่างช้าๆ
  • บริเวณที่พบ: พบได้เกือบทุกส่วนของร่างกาย ยกเว้นฝ่ามือและฝ่าเท้า โดยพบบ่อยที่ใบหน้า ลำคอ หน้าอก และหลัง (Topical tazarotene 0.1% cream for the treatment of seborrheic keratoses, PubMed, 2004)

กระเนื้อกับติ่งเนื้อต่างกันอย่างไร

กระเนื้อมีลักษณะเป็นตุ่มนูนคล้ายหูด สีน้ำตาลหรือดำ ผิวขรุขระดูเหมือนแปะอยู่บนผิวหนัง ในขณะที่ติ่งเนื้อเป็นติ่งนุ่มๆ สีเนื้อหรือสีเข้มกว่าผิวเล็กน้อยที่ยื่นออกมาจากผิวหนังโดยมีก้านเล็กๆ ความแตกต่างที่สำคัญระหว่างกระเนื้อและติ่งเนื้อสามารถสรุปได้ดังนี้

ลักษณะ กระเนื้อ (Seborrheic Keratosis) ติ่งเนื้อ (Skin Tag)
ลักษณะภายนอก คล้ายหูดหรือขี้ผึ้งแปะอยู่บนผิว เป็นติ่งเนื้อนุ่มๆ ที่ยื่นออกมาจากผิว
พื้นผิว ขรุขระ เป็นขุย หรือมันวาว เรียบหรือย่นเล็กน้อย
สี น้ำตาลอ่อนไปจนถึงสีดำ สีเนื้อหรือสีน้ำตาลอ่อน
บริเวณที่พบ ใบหน้า ลำคอ หน้าอก และหลัง บริเวณข้อพับ เช่น คอ รักแRá ขาหนีบ
ปัจจัยเสี่ยง อายุที่เพิ่มขึ้นและพันธุกรรม การเสียดสี ภาวะอ้วน และภาวะดื้อต่ออินซูลิน

กระเนื้อเกิดจากอะไร

ปัจจัยเสี่ยงของการเกิดกระเนื้อ

ปัจจัยเสี่ยงหลักของการเกิดกระเนื้อคืออายุที่เพิ่มขึ้น โดยภาวะนี้พบได้บ่อยในผู้ที่มีอายุ 30 หรือ 40 ปีขึ้นไป และพบได้ในเกือบทุกคนที่มีอายุเกิน 60 ปี ปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ได้แก่

  • พันธุกรรม: มีแนวโน้มที่จะเกิดในครอบครัวที่เคยมีประวัติเป็นกระเนื้อจำนวนมาก
  • การสัมผัสรังสียูวี (UV): แม้จะไม่ใช่สาเหตุโดยตรง แต่การสัมผัสแดดเป็นเวลานานอาจเป็นปัจจัยเร่งให้เกิดกระเนื้อได้ โดยเฉพาะบริเวณศีรษะและคอ
  • ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง: ผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ เช่น ผู้ป่วยปลูกถ่ายอวัยวะ อาจมีกระเนื้อจำนวนมากขึ้นหรือมีขนาดใหญ่ขึ้น (Pubmed, 2004)

กระเนื้อเกิดได้ง่ายในวัยไหน

กระเนื้อ มักเริ่มปรากฏในช่วงอายุ 30 หรือ 40 ปี และจะพบได้บ่อยขึ้นเมื่ออายุมากขึ้น โดยจำนวนของกระเนื้อมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นตามอายุ ซึ่งคนส่วนใหญ่จะมีกระเนื้ออย่างน้อย 2-3 ตุ่มในช่วงอายุ 50 และ 60 ปี

กระเนื้อเกิดขึ้นที่ใดในร่างกายได้บ้าง

กระเนื้อที่หน้า คอ และใต้ตา

กระเนื้อ (Seborrheic Keratosis) คือเนื้องอกของผิวหนังที่ไม่เป็นอันตราย ซึ่งมักมีลักษณะเป็นตุ่มหรือปื้นนูน สีน้ำตาลอ่อนถึงดำ ผิวขรุขระคล้ายหูด และดูเหมือนแปะติดอยู่บนผิวหนัง ติ่งเนื้อขนาดเล็กสีเข้มจำนวนมากที่พบบนใบหน้า ลำคอ และรอบดวงตา เป็นลักษณะเฉพาะของกระเนื้อที่เรียกว่า Dermatosis Papulosa Nigra (DPN) ซึ่งพบได้บ่อยในคนเอเชีย สาเหตุหลักเกิดจากอายุที่เพิ่มขึ้นและปัจจัยทางพันธุกรรม ไม่ใช่โรคติดต่อ

เนื่องจากเป็นเนื้องอกที่ไม่ร้ายแรง การรักษาจึงทำเพื่อความสวยงามหรือเมื่อรู้สึกรำคาญเป็นหลัก โดยมีวิธีที่นิยมดังนี้

  • เลเซอร์ (CO₂ Laser) เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพสูงและแม่นยำ เหมาะสำหรับบริเวณใบหน้าและลำคอ เพราะสามารถกำจัดตุ่มกระเนื้อได้โดยทิ้งรอยแผลเป็นน้อยที่สุด
  • การจี้ด้วยไฟฟ้า (Electrosurgery) ใช้ความร้อนเพื่อทำลายตุ่มกระเนื้อ เป็นวิธีที่ได้ผลดีและสามารถกำจัดกระเนื้อออกได้ทันที
  • การจี้ด้วยความเย็น (Cryotherapy) ใช้ไนโตรเจนเหลวที่มีอุณหภูมิต่ำมากจี้ให้ตุ่มกระเนื้อหลุดออกไป แต่วิธีนี้อาจมีความเสี่ยงที่จะเกิดรอยด่างขาวหลังทำได้ โดยเฉพาะกับผิวบริเวณใบหน้า

กระเนื้อที่หน้าอก หลัง และหนังศีรษะ

กระเนื้อ (Seborrheic Keratosis) คือเนื้องอกของผิวหนังชนิดไม่ร้ายแรงที่พบบ่อย ซึ่งมักปรากฏในบริเวณหน้าอก หลัง และหนังศีรษะ รวมถึงใบหน้าและลำคอ

กระเนื้อมีลักษณะเป็นตุ่มหรือปื้นนูนที่มีขอบเขตชัดเจน ผิวอาจดูคล้ายขี้ผึ้งหรือหูด มีสีตั้งแต่สีน้ำตาลอ่อนไปจนถึงสีดำ และมักดูเหมือน “แปะ” อยู่บนผิวหนัง สาเหตุหลักเกิดจากอายุที่มากขึ้นและปัจจัยทางพันธุกรรม โดยไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อและไม่สามารถติดต่อได้ โดยทั่วไปแล้วกระเนื้อไม่เป็นอันตรายและไม่จำเป็นต้องรักษา เว้นแต่จะก่อให้เกิดการระคายเคืองจากการเสียดสีกับเสื้อผ้าหรือมีผลกระทบด้านความสวยงาม

อาการของกระเนื้อ

กระเนื้อคันได้หรือไม่

กระเนื้อสามารถมีอาการคันได้ แต่โดยทั่วไปแล้วมักไม่มีอาการเจ็บปวด อาการคันมักเกิดจากการเสียดสีกับเสื้อผ้าหรือเครื่องประดับ หรือเมื่อเกิดการอักเสบในบริเวณที่อับชื้น อย่างไรก็ตาม หากมีอาการคันที่เกิดขึ้นใหม่และรุนแรง โดยเฉพาะเมื่อร่วมกับการเปลี่ยนแปลงอื่นๆ เช่น ขนาดหรือสี ควรไปพบแพทย์เพื่อรับการประเมิน

การเปลี่ยนแปลงของกระเนื้อตามกาลเวลา

กระเนื้อมักจะขยายขนาดอย่างช้าๆ และมีจำนวนเพิ่มขึ้นตามอายุ โดยทั่วไปกระเนื้อมักเริ่มปรากฏในช่วงอายุ 30 หรือ 40 ปี โดยเริ่มจากตุ่มขนาดเล็ก แบน และสีน้ำตาลอ่อน จากนั้นจะค่อยๆ หนาขึ้น นูนขึ้น และมีสีเข้มขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป กระเนื้อจะไม่หายไปเองและมักจะคงอยู่หรือขยายขนาดอย่างช้าๆ นอกจากนี้ ตุ่มใหม่ๆ ก็มีแนวโน้มที่จะปรากฏขึ้นเรื่อยๆ ตลอดช่วงชีวิต

กระเนื้อและมะเร็งผิวหนังต่างกันอย่างไร

กระเนื้อเป็นเนื้องอกผิวหนังชนิดไม่ร้ายแรง ในขณะที่มะเร็งผิวหนังเป็นเนื้อร้ายที่จำเป็นต้องได้รับการรักษา โดยทั้งสองภาวะมีความแตกต่างที่สำคัญหลายประการ

  • ลักษณะภายนอก:
    • กระเนื้อ: มักมีลักษณะคล้าย “แปะ” อยู่บนผิว ขอบเขตชัดเจน ผิวอาจดูคล้ายขี้ผึ้งหรือเป็นขุย มีสีสม่ำเสมอตั้งแต่สีแทนอ่อนไปจนถึงสีน้ำตาลเข้มหรือดำ
    • มะเร็งผิวหนัง:
      • เมลาโนมา (Melanoma): มักมีลักษณะไม่สมมาตร ขอบไม่เรียบ มีหลายสีปนกันในรอยโรคเดียว และมีการเปลี่ยนแปลงขนาดหรือรูปร่างอย่างรวดเร็ว
      • มะเร็งเบซัลเซลล์ (BCC): อาจมีลักษณะเป็นตุ่มนูนขอบม้วน มันวาวคล้ายไข่มุก หรือมีเส้นเลือดฝอยเล็กๆ บนผิว และอาจเป็นแผลเรื้อรัง
      • มะเร็งสความัสเซลล์ (SCC): อาจปรากฏเป็นสะเก็ดหยาบหนาบนฐานสีแดง หรือเป็นแผลที่ไม่หาย
  • อาการ:
    • กระเนื้อ: โดยทั่วไปไม่มีอาการ แต่อาจรู้สึกคันได้หากมีการเสียดสีหรือระคายเคือง
    • มะเร็งผิวหนัง: อาจมีอาการเจ็บ คัน มีเลือดออกง่าย หรือเป็นแผลที่ไม่ยอมหาย
  • การเปลี่ยนแปลง:
    • กระเนื้อ: เติบโตช้ามากในช่วงเวลาหลายปี และมักไม่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
    • มะเร็งผิวหนัง: มักมีการเปลี่ยนแปลงหรือเติบโตอย่างเห็นได้ชัดในเวลาไม่กี่สัปดาห์หรือไม่กี่เดือน

หากไม่แน่ใจว่ารอยโรคบนผิวหนังเป็นกระเนื้อหรือมะเร็งผิวหนัง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยที่ถูกต้อง

สัญญาณเตือนที่ต้องพบแพทย์

สัญญาณเตือนที่บ่งชี้ว่าควรไปพบแพทย์ คือการเปลี่ยนแปลงที่น่าสงสัยของติ่งเนื้อ เช่น โตเร็วผิดปกติ มีเลือดออก เป็นแผล หรือมีการเปลี่ยนแปลงของสีและรูปร่าง

สัญญาณเตือนที่ควรสังเกตมีดังนี้

  • การเจริญเติบโตหรือเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว: ติ่งเนื้อโตขึ้นอย่างเห็นได้ชัดภายในไม่กี่สัปดาห์หรือเดือน
  • เลือดออก เป็นแผล หรือมีสะเก็ด: ติ่งเนื้อมีเลือดออกเองโดยไม่มีการเสียดสี หรือเป็นแผลเรื้อรังที่ไม่หาย
  • การเปลี่ยนแปลงของสี: ติ่งเนื้อมีหลายสีปนกัน (เช่น ดำ น้ำตาล แดง ขาว) หรือมีสีที่เข้มขึ้นอย่างรวดเร็ว
  • รูปร่างไม่สมมาตรและขอบไม่เรียบ: ติ่งเนื้อมีรูปร่างไม่สมมาตร (สองฝั่งไม่เหมือนกัน) หรือมีขอบหยัก ไม่ชัดเจน
  • อาการใหม่ๆ: มีอาการคัน แสบร้อน หรือเจ็บปวดเกิดขึ้นใหม่โดยไม่มีสาเหตุ (Seborrhoeic keratosis, DermNet NZ)

กระเนื้ออันตรายไหม

กระเนื้อไม่เป็นอันตราย เนื่องจากเป็นเนื้องอกของผิวหนังที่ไม่ใช่มะเร็ง (benign) โดยทั่วไปแล้วกระเนื้อไม่จำเป็นต้องรับการรักษาหากไม่มีผลกระทบต่อสุขภาพ กระเนื้อไม่สามารถพัฒนาไปเป็นมะเร็งผิวหนังได้และไม่จัดเป็นรอยโรคระยะก่อนเป็นมะเร็ง (premalignant)

วิธีรักษากระเนื้อบนใบหน้า คอ และใต้ตา

การรักษากระเนื้อบนใบหน้า คอ และใต้ตาสามารถทำได้หลายวิธี โดยวิธีที่นิยมและให้ผลดีในบริเวณที่บอบบางคือการใช้เลเซอร์และการจี้ด้วยไฟฟ้า เนื่องจากเป็นวิธีที่แม่นยำและให้ผลลัพธ์ทางด้านความงามที่ดี โดยแพทย์จะเป็นผู้พิจารณาเลือกวิธีที่เหมาะสมที่สุดสำหรับแต่ละบุคคล

  • การใช้เลเซอร์ (CO₂ Laser): เป็นวิธีที่แม่นยำสูง สามารถกำจัดกระเนื้อออกทีละชั้นโดยมีเลือดออกน้อยและเกิดแผลเป็นน้อยที่สุด เหมาะสำหรับรอยโรคบนใบหน้าและบริเวณที่ต้องการความสวยงามเป็นพิเศษ
  • การจี้ด้วยไฟฟ้า (Electrosurgery): ใช้ความร้อนจากกระแสไฟฟ้าทำลายและกำจัดกระเนื้อออกไป เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพสูงและควบคุมได้แม่นยำ มักใช้กับกระเนื้อที่มีความหนา
  • การขูดออก (Curettage): แพทย์จะใช้เครื่องมือลักษณะคล้ายช้อนขูดกระเนื้อออก เป็นวิธีที่ได้ผลดีมากและมักทำร่วมกับการจี้ไฟฟ้าเพื่อหยุดเลือดและทำลายเซลล์ที่อาจหลงเหลือ
  • การรักษาด้วยความเย็น (Cryotherapy): ใช้ไนโตรเจนเหลวที่มีอุณหภูมิต่ำมากจี้ทำลายกระเนื้อ ทำให้รอยโรคตกสะเก็ดและหลุดออกไปใน 1-2 สัปดาห์ แต่วิธีนี้อาจมีความเสี่ยงทำให้เกิดรอยด่างขาว จึงต้องใช้ด้วยความระมัดระวังบนใบหน้า

การรักษากระเนื้อด้วยเลเซอร์

การรักษากระเนื้อด้วยเลเซอร์เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพสูงในการกำจัดตุ่มเนื้อออกอย่างแม่นยำ โดยเฉพาะการใช้เลเซอร์คาร์บอนไดออกไซด์ (CO₂ laser) ซึ่งเป็นที่นิยมในคลินิกผิวหนังและสถานเสริมความงาม

หลักการทำงานและผลลัพธ์ของการรักษาด้วยเลเซอร์มีดังนี้

  • หลักการทำงาน เลเซอร์คาร์บอนไดออกไซด์จะใช้พลังงานแสงเพื่อทำให้เนื้อเยื่อของกระเนื้อระเหยไปทีละชั้นอย่างแม่นยำ ส่งผลให้มีเลือดออกน้อยและสามารถควบคุมความลึกของการรักษาได้ดี
  • ประสิทธิภาพและผลลัพธ์ เลเซอร์สามารถกำจัดกระเนื้อให้หมดไปได้ในการรักษาเพียงครั้งเดียว และมักให้ผลลัพธ์ด้านความสวยงามที่ดีเยี่ยม โดยมีโอกาสเกิดรอยแผลเป็นน้อยมากเมื่อทำโดยผู้เชี่ยวชาญ
  • การฟื้นฟู หลังการรักษาจะเกิดเป็นแผลตื้นๆ ซึ่งจะตกสะเก็ดและหลุดออกไปเองภายใน 5-10 วันสำหรับบริเวณใบหน้า จากนั้นจะทิ้งรอยแดงไว้ซึ่งจะค่อยๆ จางลงในเวลาไม่กี่สัปดาห์ถึงหลายเดือน
  • ผลข้างเคียง ความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น ได้แก่ การเปลี่ยนแปลงของสีผิวบริเวณที่รักษา เช่น รอยดำหรือรอยด่างขาว และความเสี่ยงในการเกิดแผลเป็นซึ่งพบได้น้อย

วิธีนี้เหมาะอย่างยิ่งสำหรับกระเนื้อในบริเวณที่ต้องการความสวยงามเป็นพิเศษ เช่น ใบหน้าและลำคอ หรือในผู้ที่มีกระเนื้อจำนวนมาก (Randomized Trial in Germany, 2025)

การจี้กระเนื้อ

การจี้กระเนื้อด้วยไฟฟ้า (Electrosurgery) เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพสูงในการกำจัดกระเนื้อ โดยใช้กระแสไฟฟ้าความถี่สูงเพื่อทำลายเนื้อเยื่อของกระเนื้อ มักทำร่วมกับการขูดออก (Curettage) และต้องใช้ยาชาเฉพาะที่ วิธีนี้มีอัตราการกำจัดสำเร็จสูงมาก เนื่องจากสามารถนำกระเนื้อออกไปได้ทั้งหมดและจี้ทำลายที่ฐานเพื่อป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ (Randomized trial in Germany, 2025)

ครีมรักษากระเนื้อและยาทากระเนื้อ

ยาที่ได้รับการอนุมัติสำหรับรักษากระเนื้อคือสารละลายไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ 40% ซึ่งเป็นยาที่ต้องใช้โดยบุคลากรทางการแพทย์เท่านั้น โดยยาจะออกฤทธิ์ทำลายรอยโรคด้วยปฏิกiriยาออกซิเดชัน อย่างไรก็ตาม ยาดังกล่าวได้ถูกยกเลิกการจำหน่ายไปแล้วเนื่องจากความต้องการในตลาดน้อย

ปัจจุบันยังมียาทาชนิดอื่นที่ใช้รักษากระเนื้อ แต่ประสิทธิภาพโดยรวมยังน้อยกว่าการรักษาโดยใช้หัตถการ เช่น

  • Tazarotene: เป็นยาทาในกลุ่มเรตินอยด์ (อนุพันธ์วิตามินเอ) อาจช่วยให้กระเนื้อแบนลงได้ แต่ไม่สามารถกำจัดรอยโรคให้หมดไป และมักก่อให้เกิดการระคายเคือง
  • Alpha Hydroxy Acids (AHAs): เช่น กรดไกลโคลิก สามารถช่วยผลัดเซลล์ผิว ทำให้กระเนื้อบางชนิดนุ่มและเรียบเนียนขึ้น แต่ไม่ถือเป็นการรักษาหลัก

โดยสรุป การรักษาด้วยหัตถการ เช่น การจี้เย็น (cryotherapy) การจี้ไฟฟ้า หรือเลเซอร์ ยังคงเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในการกำจัดกระเนื้อ

การผ่าตัดกระเนื้อ

การผ่าตัดกระเนื้อมักไม่จำเป็นสำหรับกรณีส่วนใหญ่ แต่วิธีการกำจัดที่จัดเป็นการผ่าตัดเล็กและได้ผลดีมีหลายวิธี เนื่องจากกระเนื้อเป็นเนื้องอกที่ไม่ร้ายแรงและอยู่ตื้นๆ

วิธีการผ่าตัดเล็กที่นิยมใช้ ได้แก่

  • การขูดออก (Curettage) และการผ่าตัดด้วยใบมีด (Shave Excision): เป็นวิธีที่นิยมและมีประสิทธิภาพสูง แพทย์จะฉีดยาชาและใช้เครื่องมือขูด (Curette) หรือใบมีดปาดกระเนื้อออก ซึ่งชิ้นเนื้อที่ได้สามารถส่งตรวจทางพยาธิวิทยาเพื่อยืนยันการวินิจฉัยได้
  • การจี้ด้วยไฟฟ้า (Electrosurgery): เป็นการใช้กระแสไฟฟ้าสร้างความร้อนเพื่อทำลายเนื้อเยื่อกระเนื้อ มักทำร่วมกับการขูดออก เป็นวิธีที่แม่นยำและสามารถกำจัดติ่งเนื้อได้หมดจดในครั้งเดียว
  • การรักษาด้วยเลเซอร์ (Laser Treatment): แพทย์จะใช้เลเซอร์ เช่น CO₂ laser เพื่อยิงทำลายเนื้อเยื่อกระเนื้อทีละชั้น เป็นวิธีที่แม่นยำสูง เลือดออกน้อย และให้ผลลัพธ์ด้านความงามที่ดี โดยเฉพาะบริเวณใบหน้า
  • การผ่าตัดออก (Surgical Excision): เป็นการผ่าตัดเอากระเนื้อออกแล้วเย็บแผล ซึ่งมักจะสงวนไว้สำหรับตุ่มเนื้อที่มีขนาดใหญ่มาก หรือในกรณีที่ไม่สามารถวินิจฉัยแยกจากมะเร็งผิวหนังได้ชัดเจน เนื่องจากเป็นวิธีที่ทิ้งรอยแผลเป็นมากกว่าวิธีอื่น

กระเนื้อรักษาแล้วหายขาดได้ไหม

กระเนื้อกลับมาเป็นซ้ำได้หรือไม่

กระเนื้อที่ถูกกำจัดออกไปอย่างสมบูรณ์แล้วจะไม่กลับมาเป็นซ้ำที่จุดเดิม แต่ตุ่มใหม่อาจเกิดขึ้นในบริเวณอื่นได้เมื่อเวลาผ่านไป เนื่องจากปัจจัยทางพันธุกรรมและอายุที่เพิ่มขึ้นซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดกระเนื้อยังคงอยู่ การเกิดตุ่มใหม่นี้จึงไม่ใช่การกลับมาของตุ่มเดิม แต่เป็นการเกิดตุ่มใหม่ขึ้นมา (German Randomized Trial, 2025)

การดูแลหลังรักษากระเนื้อ

การดูแลแผลให้สะอาด ชุ่มชื้น และป้องกันการติดเชื้อ คือหลักการสำคัญที่สุดหลังการรักษากระเนื้อ โดยแผลจะค่อยๆ ตกสะเก็ดและหลุดออกไปเองภายใน 1-3 สัปดาห์

ข้อควรปฏิบัติเพิ่มเติมมีดังนี้

  • ทำความสะอาดแผลเบาๆ ด้วยสบู่และน้ำสะอาด
  • ทาปิโตรเลียมเจลลี่ (เช่น วาสลีน) หรือยาปฏิชีวนะชนิดขี้ผึ้งตามคำแนะนำของแพทย์ เพื่อให้แผลชุ่มชื้น
  • หลีกเลี่ยงการแกะหรือเกาสะเก็ดแผล เพื่อป้องกันการเกิดแผลเป็นหรือรอยดำ
  • ปกป้องผิวจากแสงแดดโดยการทาครีมกันแดดบริเวณที่ทำการรักษา เพื่อป้องกันรอยดำหลังการอักเสบ
  • หากแผลมีอาการบวมแดงมากขึ้น ปวด หรือมีหนองไหลออกมา ควรปรึกษาแพทย์ทันที (Dermnetnz.org)

วิธีป้องกันกระเนื้อ

ปัจจุบันยังไม่มีวิธีที่สามารถป้องกันการเกิดกระเนื้อได้อย่างสมบูรณ์ เนื่องจากสาเหตุหลักเกี่ยวข้องกับปัจจัยทางพันธุกรรมและอายุที่เพิ่มขึ้นซึ่งไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้

อย่างไรก็ตาม มีข้อแนะนำที่อาจช่วยลดความเสี่ยงได้บ้าง คือการปกป้องผิวจากแสงแดดเป็นประจำด้วยการทาครีมกันแดดและสวมหมวก ซึ่งอาจช่วยลดจำนวนกระเนื้อที่เกิดขึ้นใหม่ในบริเวณที่โดนแดดจัดได้ แม้ว่าจะยังไม่มีหลักฐานยืนยันแน่ชัดก็ตาม (DermNet NZ)

การป้องกันแสงแดด

หลักฐานที่เชื่อมโยงระหว่างแสงแดดกับการเกิดโรคติ่งเนื้อขน (Seborrheic Keratosis) นั้นยังไม่ชัดเจน แต่เชื่อว่าเป็นปัจจัยเร่งที่เป็นไปได้ แม้ว่าติ่งเนื้อชนิดนี้มักพบบนผิวหนังบริเวณที่โดนแดด แต่ก็สามารถเกิดขึ้นในบริเวณที่ไม่ได้โดนแดดเช่นกัน ดังนั้น การได้รับรังสียูวีจึงไม่ถือเป็นสาเหตุหลัก แต่เป็นปัจจัยเสี่ยงที่อาจกระตุ้นให้เกิดติ่งเนื้อได้ การป้องกันแสงแดดจึงเป็นข้อแนะนำเพื่อสุขภาพผิวโดยรวม แม้ว่าหลักฐานในการป้องกันการเกิดติ่งเนื้อโดยตรงจะยังอยู่ในระดับเบื้องต้นก็ตาม (DermNet NZ)

การดูแลผิวเพื่อลดความเสี่ยง

ยังไม่มีวิธีที่สามารถป้องกันการเกิดติ่งเนื้อและกระเนื้อได้อย่างสมบูรณ์ แต่การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตบางอย่างอาจช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดรอยโรคใหม่ๆ ได้

  • ติ่งเนื้อ (Skin Tags): ความเสี่ยงอาจลดลงได้โดย
    • การควบคุมน้ำหนัก เนื่องจากโรคอ้วนเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ
    • การควบคุมภาวะเมแทบอลิก เช่น ภาวะดื้ออินซูลินและโรคเบาหวาน
    • การลดการเสียดสีจากเสื้อผ้าหรือผิวหนังในบริเวณที่เป็นรอยพับ
  • กระเนื้อ (Seborrheic Keratosis): ปัจจัยเสี่ยงหลักคืออายุและพันธุกรรมซึ่งไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ อย่างไรก็ตาม การป้องกันแสงแดดอาจช่วยลดจำนวนกระเนื้อในบริเวณที่โดนแดดได้ แต่ยังไม่มีการพิสูจน์ที่แน่ชัด

รักษากระเนื้อที่คลินิกความงาม

เลือกคลินิกรักษากระเนื้อที่ไหนดี

การเลือกรักษากระเนื้อ ควรเลือกคลินิกที่มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านผิวหนังที่ผ่านการรับรอง เนื่องจากมีความสามารถในการวินิจฉัยแยกโรคและเลือกรักษาได้อย่างแม่นยำและปลอดภัย

ปัจจัยสำคัญอื่นๆ ที่ควรพิจารณาในการเลือกคลินิก ได้แก่

  • คุณสมบัติและประสบการณ์ของแพทย์: ควรเป็นแพทย์เฉพาะทางผิวหนัง (Board-Certified Dermatologist) หรือศัลยแพทย์ตกแต่งที่มีประสบการณ์ในการรักษา เพื่อลดความเสี่ยงของผลข้างเคียง เช่น รอยด่างขาวหรือรอยแผลเป็น
  • ชื่อเสียงและความปลอดภัยของคลินิก: ตรวจสอบรีวิวจากผู้ใช้บริการจริง และเลือกคลินิกที่สะอาด ใช้เครื่องมือที่ผ่านการฆ่าเชื้อ และมีมาตรฐานความปลอดภัย
  • ความชัดเจนในการรักษาและค่าใช้จ่าย: แพทย์ควรให้คำปรึกษา ประเมินรอยโรค และแนะนำวิธีรักษาที่เหมาะสม พร้อมทั้งแจ้งค่าใช้จ่ายทั้งหมดให้ชัดเจนก่อนตัดสินใจ
  • ข้อควรระวัง: หลีกเลี่ยงคลินิกที่ผู้ให้บริการไม่ใช่บุคลากรทางการแพทย์, ราคาถูกเกินจริง, ไม่มีการตรวจประเมินอย่างละเอียด หรือกดดันให้ซื้อบริการอื่นๆ เพิ่มเติม

ราคาการรักษากระเนื้อด้วยเลเซอร์

ราคาการรักษากระเนื้อด้วยเลเซอร์จะแตกต่างกันไปตามแต่ละประเทศและคลินิก โดยมีราคาประเมินในแต่ละภูมิภาคดังนี้

  • สหรัฐอเมริกา: ประมาณ 300–500 ดอลลาร์สหรัฐต่อครั้ง สำหรับการรักษาหลายจุด
  • สหราชอาณาจักร: ประมาณ 350–395 ปอนด์สำหรับการรักษา และอาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมสำหรับจุดต่อไป
  • เกาหลีใต้: ประมาณ 30,000–100,000 วอน (ประมาณ 22–75 ดอลลาร์สหรัฐ) ต่อจุด
  • ญี่ปุ่น: ประมาณ 10,000 เยน (ประมาณ 90 ดอลลาร์สหรัฐ) ต่อจุด

การปรึกษาแพทย์ผิวหนังก่อนรักษากระเนื้อ

การปรึกษาแพทย์ผิวหนังจะเริ่มต้นด้วยการตรวจวินิจฉัยเพื่อยืนยันว่าติ่งเนื้อนั้นเป็นกระเนื้อที่ไม่เป็นอันตราย (Benign) และไม่ใช่มะเร็งผิวหนัง แพทย์จะทำการตรวจร่างกายและอาจใช้เครื่องมือพิเศษเพื่อยืนยันการวินิจฉัยก่อนจะอธิบายทางเลือกในการรักษา

ขั้นตอนการให้คำปรึกษาโดยทั่วไปมีดังนี้:

  • การตรวจรอยโรค: แพทย์จะตรวจดูรอยโรคด้วยสายตา และอาจใช้เครื่องมือเดอร์มาโทสโคป (Dermatoscope) ซึ่งเป็นแว่นขยายกำลังสูงติดไฟเพื่อส่องดูรายละเอียดของรอยโรค และช่วยแยกโรคจากภาวะร้ายแรงอื่นๆ เช่น มะเร็งผิวหนัง
  • การซักประวัติ: แพทย์จะสอบถามเกี่ยวกับระยะเวลาที่เป็น, การเปลี่ยนแปลงของรอยโรค, และอาการที่เกี่ยวข้อง
  • การอธิบายทางเลือกการรักษา: แพทย์จะอธิบายวิธีต่างๆ ในการกำจัดกระเนื้อ เช่น การจี้เย็น (Cryotherapy), เลเซอร์ (Laser), หรือการผ่าตัดออก (Shave excision) พร้อมทั้งข้อดีข้อเสียของแต่ละวิธี
  • การวางแผนการรักษาและแจ้งค่าใช้จ่าย: แพทย์จะร่วมวางแผนการรักษากับผู้ป่วยตามความต้องการและแจ้งค่าใช้จ่าย เนื่องจากการรักษากระเนื้อเพื่อความสวยงามมักไม่สามารถใช้สิทธิ์ประกันได้
  • การให้ข้อมูลและขอความยินยอม: แพทย์จะอธิบายความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น เช่น รอยแผลเป็น หรือการเปลี่ยนแปลงของสีผิว และให้ผู้ป่วยลงนามในเอกสารยินยอมก่อนทำการรักษา (DermNet NZ)

แนะแนวเรื่อง

Previous Previous
ผื่นคันที่หน้า สาเหตุ อาการ และวิธีรักษาให้หายขาด
NextContinue
ขี้แมลงวัน เกิดจากอะไร สาเหตุและวิธีกำจัด

สาขาพรีวาโต คลินิก

    สาขาอโศก ตั้งอยู่ที่ ชั้น 2 อาคารมิดทาวน์
    Phone: 02-258-4050 , 081-841-5075
    สาขาสีลม ตั้งอยู่ที่ ชั้น 1 อาคารซี.พี.ทาวเวอร์
    Phone: 02-780-2011 , 098-272-5244
    สาขาราชพฤกษ์ ตั้งอยู่ที่ ชั้น 2 ศูนย์การค้า เดอะคริสตัล เอสบี (ด้านบนร้านสตาร์บัคส์)
    Phone: 02-102-2778 , 098-272-5244

ติดต่อเรา

    Facebook: Privato Clinic
    Messenger: Privato Clinic
    Instagram: privatoclinic
    Email: privatoclinic@gmail.com
    Line: @privatoclinic

Copyright© 2022-2024. All Rights Reserved

Scroll to top
  • หน้าหลัก
  • เกี่ยวกับพรีวาโต
  • บริการทั้งหมด
    • ชะลอวัย
    • ยกกระชับผิว
      • XERF
      • Potenza
      • Sofwave
      • Ulthera
      • Thermage-FLX
    • รักษาสิว
    • เลเซอร์
    • โปรแกรมฉีด
    • บำรุงผิว
  • บทความ
    • สิว
    • ยกกระชับ
    • ดูแลผิว
    • ทำเลเซอร์
  • ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว
  • โปรโมชั่น
  • ผลลัพธ์การรักษา
  • วิดีโอรีวิวจากเคสจริง
  • สาขาของเรา
  • ไทย
    • ไทย
    • English
    • 中文 (中国)
  • ปรึกษาแพทย์
Facebook Instagram YouTube