กระเนื้อ คืออะไร เกิดจากอะไร วิธีรักษาและป้องกัน

กระเนื้อคืออะไร
กระเนื้อคือเนื้องอกของผิวหนังชนิดไม่ร้ายแรงที่พบบ่อย ซึ่งเกิดจากการเจริญเติบโตของเซลล์ผิวหนังชั้นนอก (keratinocytes) และมักมีลักษณะเป็นตุ่มนูนคล้ายหูดหรือขี้ผึ้งที่ดูเหมือน “แปะ” อยู่บนผิวหนัง กระเนื้อมักพบในผู้ที่มีอายุวัยกลางคนและผู้สูงอายุ โดยจะพบได้บ่อยขึ้นตามอายุ และไม่ใช่โรคติดต่อ
ลักษณะเด่นของกระเนื้อ ได้แก่:
- มีลักษณะคล้าย “แปะ” อยู่บนผิว
- มีพื้นผิวเป็นขุย มันวาว หรือคล้ายหูด
- มีสีตั้งแต่สีแทนอ่อนไปจนถึงสีน้ำตาลเข้มหรือสีดำ
- มักพบบริเวณใบหน้า ลำคอ หน้าอก และหลัง แต่ไม่พบบนฝ่ามือและฝ่าเท้า
แม้ว่ากระเนื้อจะมีลักษณะคล้ายกับภาวะอื่นๆ แต่โดยทั่วไปแล้วไม่เป็นอันตรายและไม่สามารถพัฒนากลายเป็นมะเร็งผิวหนังได้ (Dermnetnz.org)
ลักษณะของกระเนื้อ
กระเนื้อ (Seborrheic Keratosis) มีลักษณะเป็นตุ่มหรือแผ่นนูนที่ดูคล้ายแปะอยู่บนผิวหนัง โดยมีลักษณะเด่นอื่นๆ ดังนี้
- ลักษณะพื้นผิว: อาจมีลักษณะคล้ายหูด ขรุขระ เป็นขุย หรือมันเงา และอาจมีจุดเคราตินอุดตันเล็กๆ คล้ายสิวหัวดำ
- สี: มีได้หลายเฉดสี ตั้งแต่สีแทนอ่อน สีน้ำตาล ไปจนถึงสีน้ำตาลเข้มหรือเกือบดำ
- รูปทรง: มักมีรูปทรงกลมหรือวงรี และมีขอบเขตที่ชัดเจน
- ขนาด: มีตั้งแต่ไม่กี่มิลลิเมตรไปจนถึงหลายเซนติเมตร และมักจะขยายขนาดขึ้นอย่างช้าๆ
- บริเวณที่พบ: พบได้เกือบทุกส่วนของร่างกาย ยกเว้นฝ่ามือและฝ่าเท้า โดยพบบ่อยที่ใบหน้า ลำคอ หน้าอก และหลัง (Topical tazarotene 0.1% cream for the treatment of seborrheic keratoses, PubMed, 2004)
กระเนื้อกับติ่งเนื้อต่างกันอย่างไร
กระเนื้อมีลักษณะเป็นตุ่มนูนคล้ายหูด สีน้ำตาลหรือดำ ผิวขรุขระดูเหมือนแปะอยู่บนผิวหนัง ในขณะที่ติ่งเนื้อเป็นติ่งนุ่มๆ สีเนื้อหรือสีเข้มกว่าผิวเล็กน้อยที่ยื่นออกมาจากผิวหนังโดยมีก้านเล็กๆ ความแตกต่างที่สำคัญระหว่างกระเนื้อและติ่งเนื้อสามารถสรุปได้ดังนี้
| ลักษณะ | กระเนื้อ (Seborrheic Keratosis) | ติ่งเนื้อ (Skin Tag) |
|---|---|---|
| ลักษณะภายนอก | คล้ายหูดหรือขี้ผึ้งแปะอยู่บนผิว | เป็นติ่งเนื้อนุ่มๆ ที่ยื่นออกมาจากผิว |
| พื้นผิว | ขรุขระ เป็นขุย หรือมันวาว | เรียบหรือย่นเล็กน้อย |
| สี | น้ำตาลอ่อนไปจนถึงสีดำ | สีเนื้อหรือสีน้ำตาลอ่อน |
| บริเวณที่พบ | ใบหน้า ลำคอ หน้าอก และหลัง | บริเวณข้อพับ เช่น คอ รักแRá ขาหนีบ |
| ปัจจัยเสี่ยง | อายุที่เพิ่มขึ้นและพันธุกรรม | การเสียดสี ภาวะอ้วน และภาวะดื้อต่ออินซูลิน |
กระเนื้อเกิดจากอะไร
ปัจจัยเสี่ยงของการเกิดกระเนื้อ
ปัจจัยเสี่ยงหลักของการเกิดกระเนื้อคืออายุที่เพิ่มขึ้น โดยภาวะนี้พบได้บ่อยในผู้ที่มีอายุ 30 หรือ 40 ปีขึ้นไป และพบได้ในเกือบทุกคนที่มีอายุเกิน 60 ปี ปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ได้แก่
- พันธุกรรม: มีแนวโน้มที่จะเกิดในครอบครัวที่เคยมีประวัติเป็นกระเนื้อจำนวนมาก
- การสัมผัสรังสียูวี (UV): แม้จะไม่ใช่สาเหตุโดยตรง แต่การสัมผัสแดดเป็นเวลานานอาจเป็นปัจจัยเร่งให้เกิดกระเนื้อได้ โดยเฉพาะบริเวณศีรษะและคอ
- ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง: ผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ เช่น ผู้ป่วยปลูกถ่ายอวัยวะ อาจมีกระเนื้อจำนวนมากขึ้นหรือมีขนาดใหญ่ขึ้น (Pubmed, 2004)
กระเนื้อเกิดได้ง่ายในวัยไหน
กระเนื้อ มักเริ่มปรากฏในช่วงอายุ 30 หรือ 40 ปี และจะพบได้บ่อยขึ้นเมื่ออายุมากขึ้น โดยจำนวนของกระเนื้อมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นตามอายุ ซึ่งคนส่วนใหญ่จะมีกระเนื้ออย่างน้อย 2-3 ตุ่มในช่วงอายุ 50 และ 60 ปี
กระเนื้อเกิดขึ้นที่ใดในร่างกายได้บ้าง
กระเนื้อที่หน้า คอ และใต้ตา
กระเนื้อ (Seborrheic Keratosis) คือเนื้องอกของผิวหนังที่ไม่เป็นอันตราย ซึ่งมักมีลักษณะเป็นตุ่มหรือปื้นนูน สีน้ำตาลอ่อนถึงดำ ผิวขรุขระคล้ายหูด และดูเหมือนแปะติดอยู่บนผิวหนัง ติ่งเนื้อขนาดเล็กสีเข้มจำนวนมากที่พบบนใบหน้า ลำคอ และรอบดวงตา เป็นลักษณะเฉพาะของกระเนื้อที่เรียกว่า Dermatosis Papulosa Nigra (DPN) ซึ่งพบได้บ่อยในคนเอเชีย สาเหตุหลักเกิดจากอายุที่เพิ่มขึ้นและปัจจัยทางพันธุกรรม ไม่ใช่โรคติดต่อ
เนื่องจากเป็นเนื้องอกที่ไม่ร้ายแรง การรักษาจึงทำเพื่อความสวยงามหรือเมื่อรู้สึกรำคาญเป็นหลัก โดยมีวิธีที่นิยมดังนี้
- เลเซอร์ (CO₂ Laser) เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพสูงและแม่นยำ เหมาะสำหรับบริเวณใบหน้าและลำคอ เพราะสามารถกำจัดตุ่มกระเนื้อได้โดยทิ้งรอยแผลเป็นน้อยที่สุด
- การจี้ด้วยไฟฟ้า (Electrosurgery) ใช้ความร้อนเพื่อทำลายตุ่มกระเนื้อ เป็นวิธีที่ได้ผลดีและสามารถกำจัดกระเนื้อออกได้ทันที
- การจี้ด้วยความเย็น (Cryotherapy) ใช้ไนโตรเจนเหลวที่มีอุณหภูมิต่ำมากจี้ให้ตุ่มกระเนื้อหลุดออกไป แต่วิธีนี้อาจมีความเสี่ยงที่จะเกิดรอยด่างขาวหลังทำได้ โดยเฉพาะกับผิวบริเวณใบหน้า
กระเนื้อที่หน้าอก หลัง และหนังศีรษะ
กระเนื้อ (Seborrheic Keratosis) คือเนื้องอกของผิวหนังชนิดไม่ร้ายแรงที่พบบ่อย ซึ่งมักปรากฏในบริเวณหน้าอก หลัง และหนังศีรษะ รวมถึงใบหน้าและลำคอ
กระเนื้อมีลักษณะเป็นตุ่มหรือปื้นนูนที่มีขอบเขตชัดเจน ผิวอาจดูคล้ายขี้ผึ้งหรือหูด มีสีตั้งแต่สีน้ำตาลอ่อนไปจนถึงสีดำ และมักดูเหมือน “แปะ” อยู่บนผิวหนัง สาเหตุหลักเกิดจากอายุที่มากขึ้นและปัจจัยทางพันธุกรรม โดยไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อและไม่สามารถติดต่อได้ โดยทั่วไปแล้วกระเนื้อไม่เป็นอันตรายและไม่จำเป็นต้องรักษา เว้นแต่จะก่อให้เกิดการระคายเคืองจากการเสียดสีกับเสื้อผ้าหรือมีผลกระทบด้านความสวยงาม
อาการของกระเนื้อ
กระเนื้อคันได้หรือไม่
กระเนื้อสามารถมีอาการคันได้ แต่โดยทั่วไปแล้วมักไม่มีอาการเจ็บปวด อาการคันมักเกิดจากการเสียดสีกับเสื้อผ้าหรือเครื่องประดับ หรือเมื่อเกิดการอักเสบในบริเวณที่อับชื้น อย่างไรก็ตาม หากมีอาการคันที่เกิดขึ้นใหม่และรุนแรง โดยเฉพาะเมื่อร่วมกับการเปลี่ยนแปลงอื่นๆ เช่น ขนาดหรือสี ควรไปพบแพทย์เพื่อรับการประเมิน
การเปลี่ยนแปลงของกระเนื้อตามกาลเวลา
กระเนื้อมักจะขยายขนาดอย่างช้าๆ และมีจำนวนเพิ่มขึ้นตามอายุ โดยทั่วไปกระเนื้อมักเริ่มปรากฏในช่วงอายุ 30 หรือ 40 ปี โดยเริ่มจากตุ่มขนาดเล็ก แบน และสีน้ำตาลอ่อน จากนั้นจะค่อยๆ หนาขึ้น นูนขึ้น และมีสีเข้มขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป กระเนื้อจะไม่หายไปเองและมักจะคงอยู่หรือขยายขนาดอย่างช้าๆ นอกจากนี้ ตุ่มใหม่ๆ ก็มีแนวโน้มที่จะปรากฏขึ้นเรื่อยๆ ตลอดช่วงชีวิต
กระเนื้อและมะเร็งผิวหนังต่างกันอย่างไร
กระเนื้อเป็นเนื้องอกผิวหนังชนิดไม่ร้ายแรง ในขณะที่มะเร็งผิวหนังเป็นเนื้อร้ายที่จำเป็นต้องได้รับการรักษา โดยทั้งสองภาวะมีความแตกต่างที่สำคัญหลายประการ
- ลักษณะภายนอก:
- กระเนื้อ: มักมีลักษณะคล้าย “แปะ” อยู่บนผิว ขอบเขตชัดเจน ผิวอาจดูคล้ายขี้ผึ้งหรือเป็นขุย มีสีสม่ำเสมอตั้งแต่สีแทนอ่อนไปจนถึงสีน้ำตาลเข้มหรือดำ
- มะเร็งผิวหนัง:
- เมลาโนมา (Melanoma): มักมีลักษณะไม่สมมาตร ขอบไม่เรียบ มีหลายสีปนกันในรอยโรคเดียว และมีการเปลี่ยนแปลงขนาดหรือรูปร่างอย่างรวดเร็ว
- มะเร็งเบซัลเซลล์ (BCC): อาจมีลักษณะเป็นตุ่มนูนขอบม้วน มันวาวคล้ายไข่มุก หรือมีเส้นเลือดฝอยเล็กๆ บนผิว และอาจเป็นแผลเรื้อรัง
- มะเร็งสความัสเซลล์ (SCC): อาจปรากฏเป็นสะเก็ดหยาบหนาบนฐานสีแดง หรือเป็นแผลที่ไม่หาย
- อาการ:
- กระเนื้อ: โดยทั่วไปไม่มีอาการ แต่อาจรู้สึกคันได้หากมีการเสียดสีหรือระคายเคือง
- มะเร็งผิวหนัง: อาจมีอาการเจ็บ คัน มีเลือดออกง่าย หรือเป็นแผลที่ไม่ยอมหาย
- การเปลี่ยนแปลง:
- กระเนื้อ: เติบโตช้ามากในช่วงเวลาหลายปี และมักไม่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
- มะเร็งผิวหนัง: มักมีการเปลี่ยนแปลงหรือเติบโตอย่างเห็นได้ชัดในเวลาไม่กี่สัปดาห์หรือไม่กี่เดือน
หากไม่แน่ใจว่ารอยโรคบนผิวหนังเป็นกระเนื้อหรือมะเร็งผิวหนัง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยที่ถูกต้อง
สัญญาณเตือนที่ต้องพบแพทย์
สัญญาณเตือนที่บ่งชี้ว่าควรไปพบแพทย์ คือการเปลี่ยนแปลงที่น่าสงสัยของติ่งเนื้อ เช่น โตเร็วผิดปกติ มีเลือดออก เป็นแผล หรือมีการเปลี่ยนแปลงของสีและรูปร่าง
สัญญาณเตือนที่ควรสังเกตมีดังนี้
- การเจริญเติบโตหรือเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว: ติ่งเนื้อโตขึ้นอย่างเห็นได้ชัดภายในไม่กี่สัปดาห์หรือเดือน
- เลือดออก เป็นแผล หรือมีสะเก็ด: ติ่งเนื้อมีเลือดออกเองโดยไม่มีการเสียดสี หรือเป็นแผลเรื้อรังที่ไม่หาย
- การเปลี่ยนแปลงของสี: ติ่งเนื้อมีหลายสีปนกัน (เช่น ดำ น้ำตาล แดง ขาว) หรือมีสีที่เข้มขึ้นอย่างรวดเร็ว
- รูปร่างไม่สมมาตรและขอบไม่เรียบ: ติ่งเนื้อมีรูปร่างไม่สมมาตร (สองฝั่งไม่เหมือนกัน) หรือมีขอบหยัก ไม่ชัดเจน
- อาการใหม่ๆ: มีอาการคัน แสบร้อน หรือเจ็บปวดเกิดขึ้นใหม่โดยไม่มีสาเหตุ (Seborrhoeic keratosis, DermNet NZ)
กระเนื้ออันตรายไหม
กระเนื้อไม่เป็นอันตราย เนื่องจากเป็นเนื้องอกของผิวหนังที่ไม่ใช่มะเร็ง (benign) โดยทั่วไปแล้วกระเนื้อไม่จำเป็นต้องรับการรักษาหากไม่มีผลกระทบต่อสุขภาพ กระเนื้อไม่สามารถพัฒนาไปเป็นมะเร็งผิวหนังได้และไม่จัดเป็นรอยโรคระยะก่อนเป็นมะเร็ง (premalignant)
วิธีรักษากระเนื้อบนใบหน้า คอ และใต้ตา
การรักษากระเนื้อบนใบหน้า คอ และใต้ตาสามารถทำได้หลายวิธี โดยวิธีที่นิยมและให้ผลดีในบริเวณที่บอบบางคือการใช้เลเซอร์และการจี้ด้วยไฟฟ้า เนื่องจากเป็นวิธีที่แม่นยำและให้ผลลัพธ์ทางด้านความงามที่ดี โดยแพทย์จะเป็นผู้พิจารณาเลือกวิธีที่เหมาะสมที่สุดสำหรับแต่ละบุคคล
- การใช้เลเซอร์ (CO₂ Laser): เป็นวิธีที่แม่นยำสูง สามารถกำจัดกระเนื้อออกทีละชั้นโดยมีเลือดออกน้อยและเกิดแผลเป็นน้อยที่สุด เหมาะสำหรับรอยโรคบนใบหน้าและบริเวณที่ต้องการความสวยงามเป็นพิเศษ
- การจี้ด้วยไฟฟ้า (Electrosurgery): ใช้ความร้อนจากกระแสไฟฟ้าทำลายและกำจัดกระเนื้อออกไป เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพสูงและควบคุมได้แม่นยำ มักใช้กับกระเนื้อที่มีความหนา
- การขูดออก (Curettage): แพทย์จะใช้เครื่องมือลักษณะคล้ายช้อนขูดกระเนื้อออก เป็นวิธีที่ได้ผลดีมากและมักทำร่วมกับการจี้ไฟฟ้าเพื่อหยุดเลือดและทำลายเซลล์ที่อาจหลงเหลือ
- การรักษาด้วยความเย็น (Cryotherapy): ใช้ไนโตรเจนเหลวที่มีอุณหภูมิต่ำมากจี้ทำลายกระเนื้อ ทำให้รอยโรคตกสะเก็ดและหลุดออกไปใน 1-2 สัปดาห์ แต่วิธีนี้อาจมีความเสี่ยงทำให้เกิดรอยด่างขาว จึงต้องใช้ด้วยความระมัดระวังบนใบหน้า
การรักษากระเนื้อด้วยเลเซอร์
การรักษากระเนื้อด้วยเลเซอร์เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพสูงในการกำจัดตุ่มเนื้อออกอย่างแม่นยำ โดยเฉพาะการใช้เลเซอร์คาร์บอนไดออกไซด์ (CO₂ laser) ซึ่งเป็นที่นิยมในคลินิกผิวหนังและสถานเสริมความงาม
หลักการทำงานและผลลัพธ์ของการรักษาด้วยเลเซอร์มีดังนี้
- หลักการทำงาน เลเซอร์คาร์บอนไดออกไซด์จะใช้พลังงานแสงเพื่อทำให้เนื้อเยื่อของกระเนื้อระเหยไปทีละชั้นอย่างแม่นยำ ส่งผลให้มีเลือดออกน้อยและสามารถควบคุมความลึกของการรักษาได้ดี
- ประสิทธิภาพและผลลัพธ์ เลเซอร์สามารถกำจัดกระเนื้อให้หมดไปได้ในการรักษาเพียงครั้งเดียว และมักให้ผลลัพธ์ด้านความสวยงามที่ดีเยี่ยม โดยมีโอกาสเกิดรอยแผลเป็นน้อยมากเมื่อทำโดยผู้เชี่ยวชาญ
- การฟื้นฟู หลังการรักษาจะเกิดเป็นแผลตื้นๆ ซึ่งจะตกสะเก็ดและหลุดออกไปเองภายใน 5-10 วันสำหรับบริเวณใบหน้า จากนั้นจะทิ้งรอยแดงไว้ซึ่งจะค่อยๆ จางลงในเวลาไม่กี่สัปดาห์ถึงหลายเดือน
- ผลข้างเคียง ความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น ได้แก่ การเปลี่ยนแปลงของสีผิวบริเวณที่รักษา เช่น รอยดำหรือรอยด่างขาว และความเสี่ยงในการเกิดแผลเป็นซึ่งพบได้น้อย
วิธีนี้เหมาะอย่างยิ่งสำหรับกระเนื้อในบริเวณที่ต้องการความสวยงามเป็นพิเศษ เช่น ใบหน้าและลำคอ หรือในผู้ที่มีกระเนื้อจำนวนมาก (Randomized Trial in Germany, 2025)
การจี้กระเนื้อ
การจี้กระเนื้อด้วยไฟฟ้า (Electrosurgery) เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพสูงในการกำจัดกระเนื้อ โดยใช้กระแสไฟฟ้าความถี่สูงเพื่อทำลายเนื้อเยื่อของกระเนื้อ มักทำร่วมกับการขูดออก (Curettage) และต้องใช้ยาชาเฉพาะที่ วิธีนี้มีอัตราการกำจัดสำเร็จสูงมาก เนื่องจากสามารถนำกระเนื้อออกไปได้ทั้งหมดและจี้ทำลายที่ฐานเพื่อป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ (Randomized trial in Germany, 2025)
ครีมรักษากระเนื้อและยาทากระเนื้อ
ยาที่ได้รับการอนุมัติสำหรับรักษากระเนื้อคือสารละลายไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ 40% ซึ่งเป็นยาที่ต้องใช้โดยบุคลากรทางการแพทย์เท่านั้น โดยยาจะออกฤทธิ์ทำลายรอยโรคด้วยปฏิกiriยาออกซิเดชัน อย่างไรก็ตาม ยาดังกล่าวได้ถูกยกเลิกการจำหน่ายไปแล้วเนื่องจากความต้องการในตลาดน้อย
ปัจจุบันยังมียาทาชนิดอื่นที่ใช้รักษากระเนื้อ แต่ประสิทธิภาพโดยรวมยังน้อยกว่าการรักษาโดยใช้หัตถการ เช่น
- Tazarotene: เป็นยาทาในกลุ่มเรตินอยด์ (อนุพันธ์วิตามินเอ) อาจช่วยให้กระเนื้อแบนลงได้ แต่ไม่สามารถกำจัดรอยโรคให้หมดไป และมักก่อให้เกิดการระคายเคือง
- Alpha Hydroxy Acids (AHAs): เช่น กรดไกลโคลิก สามารถช่วยผลัดเซลล์ผิว ทำให้กระเนื้อบางชนิดนุ่มและเรียบเนียนขึ้น แต่ไม่ถือเป็นการรักษาหลัก
โดยสรุป การรักษาด้วยหัตถการ เช่น การจี้เย็น (cryotherapy) การจี้ไฟฟ้า หรือเลเซอร์ ยังคงเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในการกำจัดกระเนื้อ
การผ่าตัดกระเนื้อ
การผ่าตัดกระเนื้อมักไม่จำเป็นสำหรับกรณีส่วนใหญ่ แต่วิธีการกำจัดที่จัดเป็นการผ่าตัดเล็กและได้ผลดีมีหลายวิธี เนื่องจากกระเนื้อเป็นเนื้องอกที่ไม่ร้ายแรงและอยู่ตื้นๆ
วิธีการผ่าตัดเล็กที่นิยมใช้ ได้แก่
- การขูดออก (Curettage) และการผ่าตัดด้วยใบมีด (Shave Excision): เป็นวิธีที่นิยมและมีประสิทธิภาพสูง แพทย์จะฉีดยาชาและใช้เครื่องมือขูด (Curette) หรือใบมีดปาดกระเนื้อออก ซึ่งชิ้นเนื้อที่ได้สามารถส่งตรวจทางพยาธิวิทยาเพื่อยืนยันการวินิจฉัยได้
- การจี้ด้วยไฟฟ้า (Electrosurgery): เป็นการใช้กระแสไฟฟ้าสร้างความร้อนเพื่อทำลายเนื้อเยื่อกระเนื้อ มักทำร่วมกับการขูดออก เป็นวิธีที่แม่นยำและสามารถกำจัดติ่งเนื้อได้หมดจดในครั้งเดียว
- การรักษาด้วยเลเซอร์ (Laser Treatment): แพทย์จะใช้เลเซอร์ เช่น CO₂ laser เพื่อยิงทำลายเนื้อเยื่อกระเนื้อทีละชั้น เป็นวิธีที่แม่นยำสูง เลือดออกน้อย และให้ผลลัพธ์ด้านความงามที่ดี โดยเฉพาะบริเวณใบหน้า
- การผ่าตัดออก (Surgical Excision): เป็นการผ่าตัดเอากระเนื้อออกแล้วเย็บแผล ซึ่งมักจะสงวนไว้สำหรับตุ่มเนื้อที่มีขนาดใหญ่มาก หรือในกรณีที่ไม่สามารถวินิจฉัยแยกจากมะเร็งผิวหนังได้ชัดเจน เนื่องจากเป็นวิธีที่ทิ้งรอยแผลเป็นมากกว่าวิธีอื่น
กระเนื้อรักษาแล้วหายขาดได้ไหม
กระเนื้อกลับมาเป็นซ้ำได้หรือไม่
กระเนื้อที่ถูกกำจัดออกไปอย่างสมบูรณ์แล้วจะไม่กลับมาเป็นซ้ำที่จุดเดิม แต่ตุ่มใหม่อาจเกิดขึ้นในบริเวณอื่นได้เมื่อเวลาผ่านไป เนื่องจากปัจจัยทางพันธุกรรมและอายุที่เพิ่มขึ้นซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดกระเนื้อยังคงอยู่ การเกิดตุ่มใหม่นี้จึงไม่ใช่การกลับมาของตุ่มเดิม แต่เป็นการเกิดตุ่มใหม่ขึ้นมา (German Randomized Trial, 2025)
การดูแลหลังรักษากระเนื้อ
การดูแลแผลให้สะอาด ชุ่มชื้น และป้องกันการติดเชื้อ คือหลักการสำคัญที่สุดหลังการรักษากระเนื้อ โดยแผลจะค่อยๆ ตกสะเก็ดและหลุดออกไปเองภายใน 1-3 สัปดาห์
ข้อควรปฏิบัติเพิ่มเติมมีดังนี้
- ทำความสะอาดแผลเบาๆ ด้วยสบู่และน้ำสะอาด
- ทาปิโตรเลียมเจลลี่ (เช่น วาสลีน) หรือยาปฏิชีวนะชนิดขี้ผึ้งตามคำแนะนำของแพทย์ เพื่อให้แผลชุ่มชื้น
- หลีกเลี่ยงการแกะหรือเกาสะเก็ดแผล เพื่อป้องกันการเกิดแผลเป็นหรือรอยดำ
- ปกป้องผิวจากแสงแดดโดยการทาครีมกันแดดบริเวณที่ทำการรักษา เพื่อป้องกันรอยดำหลังการอักเสบ
- หากแผลมีอาการบวมแดงมากขึ้น ปวด หรือมีหนองไหลออกมา ควรปรึกษาแพทย์ทันที (Dermnetnz.org)
วิธีป้องกันกระเนื้อ
ปัจจุบันยังไม่มีวิธีที่สามารถป้องกันการเกิดกระเนื้อได้อย่างสมบูรณ์ เนื่องจากสาเหตุหลักเกี่ยวข้องกับปัจจัยทางพันธุกรรมและอายุที่เพิ่มขึ้นซึ่งไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้
อย่างไรก็ตาม มีข้อแนะนำที่อาจช่วยลดความเสี่ยงได้บ้าง คือการปกป้องผิวจากแสงแดดเป็นประจำด้วยการทาครีมกันแดดและสวมหมวก ซึ่งอาจช่วยลดจำนวนกระเนื้อที่เกิดขึ้นใหม่ในบริเวณที่โดนแดดจัดได้ แม้ว่าจะยังไม่มีหลักฐานยืนยันแน่ชัดก็ตาม (DermNet NZ)
การป้องกันแสงแดด
หลักฐานที่เชื่อมโยงระหว่างแสงแดดกับการเกิดโรคติ่งเนื้อขน (Seborrheic Keratosis) นั้นยังไม่ชัดเจน แต่เชื่อว่าเป็นปัจจัยเร่งที่เป็นไปได้ แม้ว่าติ่งเนื้อชนิดนี้มักพบบนผิวหนังบริเวณที่โดนแดด แต่ก็สามารถเกิดขึ้นในบริเวณที่ไม่ได้โดนแดดเช่นกัน ดังนั้น การได้รับรังสียูวีจึงไม่ถือเป็นสาเหตุหลัก แต่เป็นปัจจัยเสี่ยงที่อาจกระตุ้นให้เกิดติ่งเนื้อได้ การป้องกันแสงแดดจึงเป็นข้อแนะนำเพื่อสุขภาพผิวโดยรวม แม้ว่าหลักฐานในการป้องกันการเกิดติ่งเนื้อโดยตรงจะยังอยู่ในระดับเบื้องต้นก็ตาม (DermNet NZ)
การดูแลผิวเพื่อลดความเสี่ยง
ยังไม่มีวิธีที่สามารถป้องกันการเกิดติ่งเนื้อและกระเนื้อได้อย่างสมบูรณ์ แต่การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตบางอย่างอาจช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดรอยโรคใหม่ๆ ได้
- ติ่งเนื้อ (Skin Tags): ความเสี่ยงอาจลดลงได้โดย
- การควบคุมน้ำหนัก เนื่องจากโรคอ้วนเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ
- การควบคุมภาวะเมแทบอลิก เช่น ภาวะดื้ออินซูลินและโรคเบาหวาน
- การลดการเสียดสีจากเสื้อผ้าหรือผิวหนังในบริเวณที่เป็นรอยพับ
- กระเนื้อ (Seborrheic Keratosis): ปัจจัยเสี่ยงหลักคืออายุและพันธุกรรมซึ่งไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ อย่างไรก็ตาม การป้องกันแสงแดดอาจช่วยลดจำนวนกระเนื้อในบริเวณที่โดนแดดได้ แต่ยังไม่มีการพิสูจน์ที่แน่ชัด
รักษากระเนื้อที่คลินิกความงาม
เลือกคลินิกรักษากระเนื้อที่ไหนดี
การเลือกรักษากระเนื้อ ควรเลือกคลินิกที่มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านผิวหนังที่ผ่านการรับรอง เนื่องจากมีความสามารถในการวินิจฉัยแยกโรคและเลือกรักษาได้อย่างแม่นยำและปลอดภัย
ปัจจัยสำคัญอื่นๆ ที่ควรพิจารณาในการเลือกคลินิก ได้แก่
- คุณสมบัติและประสบการณ์ของแพทย์: ควรเป็นแพทย์เฉพาะทางผิวหนัง (Board-Certified Dermatologist) หรือศัลยแพทย์ตกแต่งที่มีประสบการณ์ในการรักษา เพื่อลดความเสี่ยงของผลข้างเคียง เช่น รอยด่างขาวหรือรอยแผลเป็น
- ชื่อเสียงและความปลอดภัยของคลินิก: ตรวจสอบรีวิวจากผู้ใช้บริการจริง และเลือกคลินิกที่สะอาด ใช้เครื่องมือที่ผ่านการฆ่าเชื้อ และมีมาตรฐานความปลอดภัย
- ความชัดเจนในการรักษาและค่าใช้จ่าย: แพทย์ควรให้คำปรึกษา ประเมินรอยโรค และแนะนำวิธีรักษาที่เหมาะสม พร้อมทั้งแจ้งค่าใช้จ่ายทั้งหมดให้ชัดเจนก่อนตัดสินใจ
- ข้อควรระวัง: หลีกเลี่ยงคลินิกที่ผู้ให้บริการไม่ใช่บุคลากรทางการแพทย์, ราคาถูกเกินจริง, ไม่มีการตรวจประเมินอย่างละเอียด หรือกดดันให้ซื้อบริการอื่นๆ เพิ่มเติม
ราคาการรักษากระเนื้อด้วยเลเซอร์
ราคาการรักษากระเนื้อด้วยเลเซอร์จะแตกต่างกันไปตามแต่ละประเทศและคลินิก โดยมีราคาประเมินในแต่ละภูมิภาคดังนี้
- สหรัฐอเมริกา: ประมาณ 300–500 ดอลลาร์สหรัฐต่อครั้ง สำหรับการรักษาหลายจุด
- สหราชอาณาจักร: ประมาณ 350–395 ปอนด์สำหรับการรักษา และอาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมสำหรับจุดต่อไป
- เกาหลีใต้: ประมาณ 30,000–100,000 วอน (ประมาณ 22–75 ดอลลาร์สหรัฐ) ต่อจุด
- ญี่ปุ่น: ประมาณ 10,000 เยน (ประมาณ 90 ดอลลาร์สหรัฐ) ต่อจุด
การปรึกษาแพทย์ผิวหนังก่อนรักษากระเนื้อ
การปรึกษาแพทย์ผิวหนังจะเริ่มต้นด้วยการตรวจวินิจฉัยเพื่อยืนยันว่าติ่งเนื้อนั้นเป็นกระเนื้อที่ไม่เป็นอันตราย (Benign) และไม่ใช่มะเร็งผิวหนัง แพทย์จะทำการตรวจร่างกายและอาจใช้เครื่องมือพิเศษเพื่อยืนยันการวินิจฉัยก่อนจะอธิบายทางเลือกในการรักษา
ขั้นตอนการให้คำปรึกษาโดยทั่วไปมีดังนี้:
- การตรวจรอยโรค: แพทย์จะตรวจดูรอยโรคด้วยสายตา และอาจใช้เครื่องมือเดอร์มาโทสโคป (Dermatoscope) ซึ่งเป็นแว่นขยายกำลังสูงติดไฟเพื่อส่องดูรายละเอียดของรอยโรค และช่วยแยกโรคจากภาวะร้ายแรงอื่นๆ เช่น มะเร็งผิวหนัง
- การซักประวัติ: แพทย์จะสอบถามเกี่ยวกับระยะเวลาที่เป็น, การเปลี่ยนแปลงของรอยโรค, และอาการที่เกี่ยวข้อง
- การอธิบายทางเลือกการรักษา: แพทย์จะอธิบายวิธีต่างๆ ในการกำจัดกระเนื้อ เช่น การจี้เย็น (Cryotherapy), เลเซอร์ (Laser), หรือการผ่าตัดออก (Shave excision) พร้อมทั้งข้อดีข้อเสียของแต่ละวิธี
- การวางแผนการรักษาและแจ้งค่าใช้จ่าย: แพทย์จะร่วมวางแผนการรักษากับผู้ป่วยตามความต้องการและแจ้งค่าใช้จ่าย เนื่องจากการรักษากระเนื้อเพื่อความสวยงามมักไม่สามารถใช้สิทธิ์ประกันได้
- การให้ข้อมูลและขอความยินยอม: แพทย์จะอธิบายความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น เช่น รอยแผลเป็น หรือการเปลี่ยนแปลงของสีผิว และให้ผู้ป่วยลงนามในเอกสารยินยอมก่อนทำการรักษา (DermNet NZ)
