ฉีดเมโสหน้าใสช่วยอะไร? เรื่องสิว จุดด่างดำ หรือความกระจ่างใส

การฉีดเมโสหน้าใสคือการฉีดวิตามินและสารบำรุงเข้าสู่ผิวชั้นกลางโดยตรงเพื่อช่วยฟื้นฟูผิวหมองคล้ำให้กระจ่างใสและลดเลือนจุดด่างดำ โดยทั่วไปแนะนำให้ทำต่อเนื่อง 3-4 ครั้งเพื่อผลลัพธ์ที่ชัดเจนในการปรับสภาพผิวและเพิ่มความชุ่มชื้น
เมโสหน้าใสคืออะไรและมีหลักการทำงานอย่างไร
เมโสหน้าใสคือ เทคนิคการฉีดวิตามินและสารบำรุงต่างๆ เข้าสู่ผิวหนังชั้นกลาง (Dermis) โดยตรง เพื่อแก้ปัญหาผิวเฉพาะจุด เช่น ความหมองคล้ำและจุดด่างดำ
หลักการทำงานคือการนำพาสารออกฤทธิ์ที่มีความเข้มข้นสูงไปยังชั้นผิวที่ต้องการการบำรุง ซึ่งช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น ระดับสารอาหาร และการทำงานของเซลล์เพื่อฟื้นฟูผิวให้กระจ่างใสขึ้น นอกจากนี้ กระบวนการฉีดด้วยเข็มขนาดเล็กยังช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและปรับปรุงการไหลเวียนของเลือดในบริเวณดังกล่าวได้อีกด้วย
เมโสหน้าใสเหมาะกับใคร: การประเมินสภาพผิวและข้อบ่งชี้
ปัญหาผิวที่ตอบโจทย์: สิว รอยดำ และผิวหมองคล้ำ
เมโสหน้าใสสามารถรักษาปัญหาสิว รอยดำ และผิวหมองคล้ำได้โดยการฉีดสารออกฤทธิ์ที่ปรับตามสภาพผิวเข้าสู่ชั้นผิวโดยตรง เพื่อจัดการปัญหาที่ต้นเหตุ
- สิว: สำหรับสิวอักเสบ สามารถใช้ส่วนผสมที่มีคุณสมบัติต้านการอักเสบและควบคุมความมัน เช่น สารสกัดจากชะเอมเทศ (Glycyrrhizin) เพื่อช่วยให้สิวยุบลงและเสริมสร้างเกราะป้องกันผิวให้แข็งแรงขึ้น
- รอยดำและฝ้ากระ: เมโสหน้าใสจะส่งสารที่ช่วยยับยั้งการสร้างเม็ดสี เช่น Tranexamic Acid, วิตามินซี และกลูตาไธโอน เข้าไปในชั้นผิวโดยตรง ทำให้สามารถลดเลือนฝ้า กระ และรอยดำหลังการเกิดสิว (PIH) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ผิวหมองคล้ำ: การฉีดสารให้ความชุ่มชื้น เช่น ไฮยาลูรอนิกแอซิด และวิตามินต่างๆ จะช่วยฟื้นฟูผิวที่ดูโทรมและขาดน้ำให้กลับมาสดใสเปล่งปลั่ง หรือที่เรียกว่า “Skin Booster” ทำให้ผิวดูมีสุขภาพดีและกระจ่างใสขึ้น
ข้อควรระวัง: ใครที่ไม่เหมาะกับการฉีดเมโสหน้าใส
ผู้ที่ไม่เหมาะกับการฉีดเมโสหน้าใส คือผู้ที่มีการติดเชื้อบนผิวหนัง, มีประวัติเป็นแผลเป็นคีลอยด์, กำลังตั้งครรภ์, มีโรคประจำตัวบางชนิด, หรือมีประวัติแพ้ส่วนผสมในตัวยา
บุคคลในกลุ่มต่อไปนี้ควรหลีกเลี่ยงหรือปรึกษาแพทย์อย่างละเอียดก่อนทำเมโสหน้าใส:
- ผู้ที่มีการติดเชื้อที่ผิวหนัง: เช่น สิวอักเสบรุนแรง หรือมีการติดเชื้ออื่นๆ ในบริเวณที่จะฉีด เพราะการใช้เข็มอาจทำให้เชื้อแบคทีเรียแพร่กระจายได้
- ผู้ที่มีประวัติเป็นแผลเป็นนูน (คีลอยด์) หรือแผลหายช้า: การใช้เข็มอาจกระตุ้นให้เกิดแผลเป็นผิดปกติได้
- ผู้ที่กำลังตั้งครรภ์: ควรหลีกเลี่ยงการทำเมโสหน้าใส
- ผู้ที่มีโรคประจำตัวบางชนิด: เช่น โรคแพ้ภูมิตัวเอง (Autoimmune diseases) ผู้ที่รับประทานยากดภูมิคุ้มกัน หรือผู้ที่มีภาวะเลือดออกผิดปกติและรับประทานยาละลายลิ่มเลือด เพราะมีความเสี่ยงที่แผลจะหายช้า ติดเชื้อง่าย หรือเกิดรอยช้ำได้ง่ายกว่าปกติ
- ผู้ที่แพ้ส่วนผสมในตัวยา: ควรแจ้งให้แพทย์ทราบถึงประวัติการแพ้ยาหรือส่วนผสมต่างๆ ก่อนทำเสมอ
- ผู้ที่มีปัญหาสภาพผิวรุนแรง: เช่น ฝ้าลึก หรือแผลเป็นหลุมสิวลึกมาก การทำเมโสหน้าใสอาจไม่เห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนเท่าที่ควร และอาจต้องพิจารณาการรักษาด้วยวิธีอื่นแทน
ประเภทของเมโสหน้าใส: แบบฉีดและแบบสะกิดต่างกันอย่างไร
ความแตกต่างที่สำคัญคือ เมโสแบบฉีดจะใช้เข็มฉีดยาฉีดสารละลายลงไปเป็นจุดๆ ในผิวชั้นลึก ขณะที่เมโสแบบสะกิด (Microneedling) จะใช้อุปกรณ์ที่มีเข็มขนาดเล็กจำนวนมากสร้างช่องทางตื้นๆ ทั่วใบหน้าเพื่อให้เซรั่มซึมลงไป
เมโสแบบฉีด (Injection):
- เทคนิค: ใช้เข็มฉีดยาหรือปืนเมโส (Mesogun) ฉีดตัวยาลงไปเป็นจุดๆ ทำให้สามารถกำหนดตำแหน่งและความลึกได้อย่างแม่นยำ
- ความลึก: สามารถลงลึกได้ถึงชั้นหนังแท้ส่วนกลาง (Mid-dermis) เหมาะสำหรับแก้ปัญหาเฉพาะจุด เช่น รอยแผลเป็น หรือฝ้าลึก
- การออกฤทธิ์: อาศัยฤทธิ์ของตัวยาที่ฉีดเข้าไปเป็นหลัก
- เมโสแบบสะกิด (Microneedling/Tapping):
- เทคนิค: ใช้อุปกรณ์ที่มีเข็มขนาดเล็กละเอียดจำนวนมากสร้างรูขนาดเล็กๆ ทั่วใบหน้า แล้วทาเซรั่มเพื่อให้ซึมลงไปอย่างสม่ำเสมอทั่วบริเวณ
- ความลึก: ตัวยาจะซึมลงไปในชั้นหนังกำพร้าและหนังแท้ส่วนบน
- การออกฤทธิ์: นอกจากฤทธิ์ของตัวยาแล้ว การสะกิดยังช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนไปพร้อมกันด้วย
เทคนิคการฉีด (Injection) เพื่อผลลัพธ์ที่ชั้นผิวลึก
เทคนิคการฉีดเมโสแบบเป็นจุด (point-by-point) เป็นวิธีที่ใช้เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ในชั้นผิวที่ลึกขึ้น โดยแพทย์จะใช้เข็มฉีดยาหรือปืนยิงเมโส (mesogun) ฉีดสารละลายเข้าไปยังตำแหน่งที่ต้องการในชั้นหนังแท้ส่วนกลาง (mid-dermis) หรือชั้นไขมันใต้ผิวหนัง (subcutaneous fat) วิธีนี้ช่วยให้สามารถส่งตัวยาสำคัญไปยังบริเวณที่มีปัญหาได้อย่างแม่นยำ เช่น รอยแผลเป็น หรือไขมันสะสม
เทคนิคการสะกิด (Tapping) สำหรับการบำรุงผิวชั้นบน
เทคนิคการสะกิด (Tapping) คือเมโสเทอราปีแบบไมโครนีดลิง (Microneedling Mesotherapy) ซึ่งเป็นวิธีการใช้เครื่องมือที่มีเข็มขนาดเล็กจำนวนมากสร้างช่องทางขนาดจิ๋วบนผิวหนัง เพื่อนำพาสารละลายหรือเซรั่มซึมซาบลงสู่ผิวในบริเวณกว้าง
เซรั่มที่ทาลงบนผิวจะซึมผ่านช่องทางขนาดเล็กเหล่านี้เข้าไปยังชั้นหนังกำพร้า (Epidermis) และหนังแท้ส่วนบน (Upper Dermis) นอกจากนี้ การบาดเจ็บเล็กน้อยที่เกิดขึ้นยังช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนอีกด้วย ทำให้เทคนิคนี้สามารถครอบคลุมพื้นที่ผิวได้กว้างและสม่ำเสมอกว่าการฉีดทีละจุด
วิธีเลือกเทคนิคให้เหมาะกับปัญหาผิวและเป้าหมาย
การเลือกเทคนิคเมโสเทอราพี ขึ้นอยู่กับความลึกของปัญหาผิวและเป้าหมายที่ต้องการเป็นหลัก โดยแพทย์จะเป็นผู้ประเมินและเลือกวิธีที่เหมาะสมที่สุด
- การฉีดแบบจุดต่อจุด (Injection): เหมาะสำหรับปัญหาที่ต้องการความแม่นยำและรักษาในชั้นผิวลึก เช่น รอยแผลเป็น หรือการสลายไขมันเฉพาะที่ เนื่องจากสามารถส่งตัวยาลงไปในชั้นหนังแท้ส่วนกลางได้โดยตรง
- การใช้เข็มขนาดเล็กทั่วใบหน้า (Microneedling): เหมาะกับการรักษาปัญหาในวงกว้างและผิวชั้นบน เช่น ความหมองคล้ำ สีผิวไม่สม่ำเสมอ หรือต้องการความกระจ่างใสทั่วใบหน้า เทคนิคนี้ยังช่วยกระตุ้นคอลลาเจนไปพร้อมกันด้วย
- การใช้เทคนิคผสมผสาน: ในทางปฏิบัติ แพทย์มักใช้เทคนิคผสมผสานกัน เช่น ฉีดเน้นเฉพาะจุดที่มีปัญหา แล้วตามด้วยการทำ Microneedling ทั่วใบหน้าเพื่อผลลัพธ์ที่ครอบคลุม
ผลลัพธ์และระยะเวลา: ฉีดเมโสหน้าใสกี่ครั้งจึงจะเห็นผล
การเปลี่ยนแปลงที่สังเกตได้หลังการรักษาครั้งแรก
หลังการรักษาครั้งแรกประมาณหนึ่งสัปดาห์ โดยทั่วไปจะสังเกตเห็นว่า ผิวดูสดชื่นและกระจ่างใสขึ้น
การเปลี่ยนแปลงในช่วงแรกนี้มักเป็นเรื่องความสว่างโดยรวมของผิว หรือที่เรียกว่า “ผิวโกลว์” มากกว่าการลดลงของจุดด่างดำอย่างชัดเจน ซึ่งผลลัพธ์ด้านการลดเม็ดสีที่เห็นได้ชัดมักจะปรากฏหลังการรักษาครั้งที่ 2 หรือ 3 เป็นต้นไป
จำนวนครั้งที่แนะนำเพื่อผลลัพธ์ที่ชัดเจนและยั่งยืน
โดยทั่วไป แนะนำให้ทำ 3-4 ครั้งสำหรับการปรับผิวให้กระจ่างใสโดยรวม หรือ 5-6 ครั้งสำหรับปัญหาฝ้าและรอยดำที่รักษายาก
ในช่วงแรกควรทำต่อเนื่องทุก 2-4 สัปดาห์ หลังจากจบคอร์สแล้ว แนะนำให้กลับมาทำซ้ำทุกๆ 3-6 เดือนเพื่อคงสภาพผลลัพธ์ให้ยาวนาน
ผลลัพธ์คงอยู่นานแค่ไหนและการดูแลเพื่อรักษาผล
ผลลัพธ์ของเมโสเทอราปีไม่ได้คงอยู่ถาวร แต่สามารถอยู่ได้นานหลายเดือนหากมีการดูแลรักษาอย่างต่อเนื่อง โดยทั่วไปแล้ว ผลลัพธ์ด้านความกระจ่างใสและความฉ่ำวาวของผิวจะคงอยู่ประมาณ 2-3 เดือน ส่วนการลดเลือนเม็ดสี เช่น ฝ้า กระ อาจอยู่ได้นาน 3-6 เดือนก่อนที่จะเริ่มกลับมาอีกครั้งหากไม่ได้รับการดูแล
เพื่อรักษาผลลัพธ์ให้อยู่ได้นาน ควรปฏิบัติดังนี้:
- ทำทรีตเมนต์ต่อเนื่อง: เข้ารับการทำเมโสเทอราปีเพื่อบำรุงรักษาผลลัพธ์ทุกๆ 3-4 เดือน
- ป้องกันแสงแดด: การทาครีมกันแดดเป็นประจำทุกวันเป็นสิ่งสำคัญที่สุดเพื่อป้องกันการเกิดเม็ดสีใหม่และคงความกระจ่างใสของผิว
- ใช้สกินแคร์ที่เหมาะสม: ใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีส่วนผสมของสารต้านอนุมูลอิสระ (เช่น วิตามินซี) หรือสารที่ช่วยลดเลือนเม็ดสี (เช่น ไนอะซินาไมด์) ตามคำแนะนำของแพทย์
- ดูแลสุขภาพ: การใช้ชีวิตที่มีสุขภาพดี เช่น ไม่สูบบุหรี่ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และจัดการความเครียด จะช่วยส่งเสริมสุขภาพผิวโดยรวม
ก่อนตัดสินใจฉีดเมโส: ปัจจัยสำคัญที่ต้องพิจารณา
การเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐานและแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
ควรเลือกคลินิกที่ได้รับใบอนุญาตและแพทย์ผู้ให้บริการที่ผ่านการฝึกอบรมหรือได้รับการรับรองด้านเมโสเทอราพีโดยเฉพาะ เนื่องจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะสามารถจัดการกับภาวะแทรกซ้อนและปรับการรักษาให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคลได้
ข้อควรพิจารณาเพิ่มเติมในการเลือกคลินิก ได้แก่
- ความสะอาดและมาตรฐาน: คลินิกต้องสะอาดและปฏิบัติตามหลักการปลอดเชื้ออย่างเคร่งครัด เช่น ผู้ให้บริการสวมถุงมือ ทำความสะอาดผิวก่อนทำ และใช้อุปกรณ์ที่ผ่านการฆ่าเชื้อหรือแบบใช้แล้วทิ้ง
- ความน่าเชื่อถือ: ควรเลือกคลินิกมาตรฐานทางการแพทย์ที่มีรีวิวที่ดี แทนการเลือกสถานเสริมความงามที่เน้นราคาถูกเพียงอย่างเดียว
- ผลิตภัณฑ์ที่ใช้: คลินิกที่น่าเชื่อถือจะสามารถให้ข้อมูลเกี่ยวกับยี่ห้อของผลิตภัณฑ์ที่ใช้ และควรเป็นผลิตภัณฑ์ของแท้ที่ได้มาตรฐาน
สูตรยาเมโสที่ใช้: ความปลอดภัยและมาตรฐาน อย.
ความปลอดภัยของเมโสหน้าใสขึ้นอยู่กับการใช้ผลิตภัณฑ์ของแท้ที่มีคุณภาพและได้มาตรฐาน โดยผู้ใช้บริการควรสอบถามคลินิกว่าผลิตภัณฑ์ที่ใช้เป็นแบรนด์ใด และผ่านการรับรองจากองค์การอาหารและยา (อย.) หรือมีเครื่องหมาย CE หรือไม่
คลินิกที่ได้มาตรฐานจะสามารถให้ข้อมูลเกี่ยวกับส่วนผสมและแสดงบรรจุภัณฑ์ของผลิตภัณฑ์ที่ปิดสนิทและมีฉลากชัดเจนได้ ควรระวังคลินิกที่เสนอราคาต่ำกว่าตลาดอย่างมากแต่ไม่สามารถระบุชื่อผลิตภัณฑ์ได้ เนื่องจากอาจเป็นผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้คุณภาพหรือเป็นของปลอมซึ่งอาจก่อให้เกิดอันตรายได้
กรอบราคาและปัจจัยที่ส่งผลต่อค่าใช้จ่ายทั้งหมด
โดยทั่วไป ค่าใช้จ่ายสำหรับการทำเมโสหน้าใสในประเทศไทยอยู่ที่ประมาณ 2,500 ถึง 10,000 บาทต่อครั้ง โดยราคาอาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง
ปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อราคา ได้แก่:
- ยี่ห้อและคุณภาพของตัวยา: ผลิตภัณฑ์ที่นำเข้าจากต่างประเทศมักมีราคาสูงกว่า
- ความเชี่ยวชาญของแพทย์: แพทย์ที่มีประสบการณ์สูงอาจมีค่าบริการที่สูงกว่า
- ระดับการบริการและชื่อเสียงของคลินิก: คลินิกขนาดใหญ่หรือมีชื่อเสียงมักมีราคาสูงกว่า
- โปรโมชั่นและแพ็กเกจ: การซื้อเป็นคอร์สหรือใช้โปรโมชั่นจะช่วยให้ราคาต่อครั้งถูกลง
การเตรียมตัวก่อนเข้ารับการรักษาเมโสหน้าใส
โดยทั่วไปแล้ว การเตรียมตัวที่สำคัญที่สุดก่อนทำเมโสหน้าใสคือ การหยุดยาที่อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดรอยช้ำ
นอกจากนี้ ควรปฏิบัติตามคำแนะนำต่อไปนี้:
- ผู้ที่รับประทานยาละลายลิ่มเลือด เช่น แอสไพริน หรือวาร์ฟาริน ควรปรึกษาแพทย์เพื่อหยุดยาก่อนเข้ารับการรักษา
- หากมีสิวอักเสบเป็นหนองหรือมีการติดเชื้อบนผิวหนังในบริเวณที่จะทำ ควรทำการรักษาให้หายดีก่อน
- แจ้งแพทย์เกี่ยวกับประวัติการแพ้ยาหรือส่วนผสมต่างๆ เพื่อที่แพทย์อาจพิจารณาทำการทดสอบการแพ้ (patch test) 24 ชั่วโมงก่อนทำ
- หากใช้ยาทาในกลุ่มเรตินอยด์หรือไฮโดรควิโนน แพทย์อาจแนะนำให้หยุดใช้ชั่วคราวก่อนทำเมโสเพื่อลดการระคายเคือง
ความเสี่ยงและผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากการฉีดเมโส
อาการทั่วไปหลังฉีด: รอยแดง บวม และรอยช้ำ
อาการทั่วไปหลังฉีดเมโสหน้าใสคือ รอยแดง บวม และรอยช้ำเล็กน้อย ซึ่งเป็นอาการที่ไม่รุนแรงและสามารถหายได้เอง โดยปกติแล้ว อาการหน้าแดงหรือชมพูคล้ายโดนแดดจะหายไปภายใน 1-2 วัน ส่วนรอยช้ำมักเป็นเพียงจุดเล็กๆ และจะจางลงในเวลาไม่กี่วัน นอกจากนี้อาจมีอาการคันหรือเจ็บเล็กน้อยร่วมด้วยได้
สัญญาณผิดปกติที่ควรปรึกษาแพทย์ทันที
สัญญาณผิดปกติที่ควรปรึกษาแพทย์ทันทีหลังทำเมโสเทอราพี ได้แก่ อาการติดเชื้อ ปฏิกิริยาภูมิแพ้ หรือการเกิดก้อนนูนแข็งที่ไม่หายไป
- การติดเชื้อ: สังเกตได้จากอาการบวม แดง ร้อน หรือมีหนองบริเวณที่ฉีด ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ
- ปฏิกิริยาภูมิแพ้: อาจมีอาการผื่นคันรุนแรง ซึ่งแพทย์จะรักษาด้วยยาแก้แพ้หรือสเตียรอยด์
- ก้อนนูนแข็ง (Granulomas): หากเกิดตุ่มหรือก้อนเล็กๆ ที่คงอยู่นานไม่ยุบไปเอง อาจเป็นปฏิกิริยาต่อสิ่งแปลกปลอมและต้องให้แพทย์รักษา
การดูแลตัวเองหลังฉีดเมโสหน้าใสเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
หลังฉีดเมโสหน้าใส ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสใบหน้า งดแต่งหน้า ทาครีมกันแดดสม่ำเสมอ และหลีกเลี่ยงความร้อนหรือกิจกรรมที่ทำให้เหงื่อออก เพื่อให้ผิวฟื้นตัวเต็มที่และลดความเสี่ยงของผลข้างเคียง
ข้อควรปฏิบัติและข้อห้ามที่สำคัญในช่วง 1-2 วันแรก มีดังนี้:
- ห้ามสัมผัสผิว: ไม่ควรสัมผัส แกะ เกา หรือนวดบริเวณที่ฉีด เพื่อป้องกันการติดเชื้อ
- งดล้างหน้าและแต่งหน้า: ควรงดล้างหน้าอย่างน้อย 4-6 ชั่วโมง และงดแต่งหน้าเป็นเวลา 24 ชั่วโมง เพื่อให้รอยเข็มปิดสนิท
- หลีกเลี่ยงแสงแดด: ควรหลีกเลี่ยงแสงแดดโดยตรงและทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 ขึ้นไปทุกวัน โดยเริ่มทาได้ในวันรุ่งขึ้น
- งดสกินแคร์ที่มีฤทธิ์รุนแรง: หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของกรดผลไม้ (AHA), เรตินอล หรือวิตามินซี เป็นเวลา 1-2 วัน
- หลีกเลี่ยงความร้อนและกิจกรรมหนัก: งดการออกกำลังกาย ซาวน่า หรืออาบน้ำร้อนจัดเป็นเวลา 2 วัน เพื่อลดอาการบวมและป้องกันการติดเชื้อ
- งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์: ควรงดดื่มแอลกอฮอล์และยาบางชนิด เช่น แอสไพรินหรือไอบูโพรเฟน เป็นเวลา 1-2 วัน เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดรอยช้ำ
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการฉีดเมโสหน้าใส
การฉีดเมโสกับไมโครนีดลิ่งต่างกันอย่างไร
การฉีดเมโสคือการใช้เข็มฉีดยาลงไปในผิวหนังชั้นลึกเป็นจุดๆ ในขณะที่ไมโครนีดลิ่ง (Microneedling) คือการใช้เข็มขนาดเล็กจำนวนมากสร้างช่องทางตื้นๆ ทั่วบริเวณกว้างเพื่อให้เซรั่มซึมลงไป ซึ่งทั้งสองวิธีมีความแตกต่างกันในด้านเทคนิค ความลึก และกลไกการทำงาน
| คุณสมบัติ | การฉีดเมโส (Injection) | การสะกิดเมโส (Microneedling) |
|---|---|---|
| วิธีการ | ใช้กระบอกฉีดยาหรือปืนยิงเมโสฉีดเป็นจุด | ใช้อุปกรณ์ที่มีเข็มละเอียดจำนวนมากสร้างช่องทางบนผิว |
| ความลึก | ฉีดลึกถึงชั้นหนังแท้ส่วนกลาง | สร้างช่องทางในชั้นหนังกำพร้าและหนังแท้ส่วนบน |
| กลไกหลัก | เน้นการออกฤทธิ์ของตัวยาโดยตรง | ตัวยาซึมผ่านช่องเล็กๆ และกระตุ้นคอลลาเจนจากการบาดเจ็บ |
| พื้นที่ | เหมาะกับการรักษาเฉพาะจุดที่ต้องการความแม่นยำ | ครอบคลุมพื้นที่กว้างอย่างสม่ำเสมอ |
หลังฉีดเมโสหน้าใสมีข้อห้ามอะไรบ้าง
ข้อห้ามหลักหลังฉีดเมโสหน้าใสคือ การหลีกเลี่ยงการสัมผัสใบหน้า งดแต่งหน้า งดกิจกรรมที่ทำให้เกิดความร้อน และหลีกเลี่ยงแสงแดดจัด เพื่อป้องกันการติดเชื้อและลดผลข้างเคียง
เพื่อการฟื้นฟูผิวที่ดีที่สุด ควรปฏิบัติตามคำแนะนำต่อไปนี้:
- ห้ามสัมผัสใบหน้า: ไม่ควรจับ ลูบ หรือเกาบริเวณที่ฉีด เพื่อป้องกันการติดเชื้อ
- งดแต่งหน้า: ควรเว้นการแต่งหน้าอย่างน้อย 24 ชั่วโมง
- งดล้างหน้า: ไม่ควรล้างหน้าอย่างน้อย 4-6 ชั่วโมงหลังทำ เพื่อให้รอยเข็มปิดสนิท
- งดสกินแคร์ที่มีฤทธิ์รุนแรง: หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของเรตินอล, AHA, หรือวิตามินซีเข้มข้น ประมาณ 1-2 วัน
- งดกิจกรรมที่ทำให้เกิดความร้อน: ควรงดออกกำลังกายหนัก ซาวน่า หรืออาบน้ำร้อนจัด ประมาณ 2 วัน
- หลีกเลี่ยงแสงแดด: ควรทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 ขึ้นไปทุกวัน และพยายามหลีกเลี่ยงการโดนแดดโดยตรง
- งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์: ควรงดดื่มแอลกอฮอล์และยาที่ทำให้เลือดแข็งตัวช้า เช่น แอสไพริน ประมาณ 2 วัน เพื่อลดความเสี่ยงของรอยช้ำ
ฉีดเมโสหน้าใสกี่ครั้งถึงจะเห็นผล
โดยทั่วไป จะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนในการฉีดครั้งที่ 2 หรือ 3 ซึ่งมักจะสังเกตได้ว่ารอยดำจางลงและสีผิวโดยรวมดูสม่ำเสมอและกระจ่างใสขึ้น อย่างไรก็ตาม บางคนอาจรู้สึกว่าผิวดูสดชื่นหรือฉ่ำวาวขึ้นเล็กน้อยตั้งแต่หลังการฉีดครั้งแรก
สำหรับปัญหาผิวที่แตกต่างกัน จำนวนครั้งที่แนะนำอาจแตกต่างกันไป
- เพื่อความกระจ่างใสทั่วไป: แนะนำให้ทำ 3-4 ครั้ง ห่างกัน 2-4 สัปดาห์
- สำหรับฝ้าหรือรอยดำที่รักษายาก: อาจต้องทำ 5-6 ครั้งขึ้นไปเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
ผลลัพธ์จากการฉีดเมโสหน้าใสอยู่ได้นานแค่ไหน
ผลลัพธ์จากการฉีดเมโสหน้าใส อยู่ได้นานหลายเดือน แต่ไม่ใช่ผลลัพธ์ที่ถาวร
โดยทั่วไปแล้ว ผิวที่ดูกระจ่างใสฉ่ำวาวจะคงอยู่ประมาณ 2-3 เดือน ส่วนการลดเลือนเม็ดสี เช่น ฝ้า กระ และจุดด่างดำ สามารถคงอยู่ได้ประมาณ 3-6 เดือน ก่อนที่เม็ดสีบางส่วนจะเริ่มกลับมา ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีการฉีดซ้ำเพื่อคงสภาพผลลัพธ์ไว้ โดยแนะนำให้ฉีดเพื่อบำรุงผิวทุกๆ 3-6 เดือน หากไม่ได้รับการฉีดอย่างต่อเนื่อง ผิวจะค่อยๆ กลับคืนสู่สภาพเดิมก่อนการรักษา
การฉีดเมโสหน้าใสเจ็บหรือไม่?
การฉีดเมโสหน้าใส จัดว่าเจ็บน้อยและทนได้ เนื่องจากโดยทั่วไปจะมีการทายาชาเพื่อช่วยลดความรู้สึกเจ็บก่อนทำหัตถการ ความรู้สึกระหว่างทำมักจะเหมือนโดนเข็มเล็กๆ จิ้มเบาๆ หรือรู้สึกแสบเล็กน้อย ซึ่งผู้เข้ารับบริการส่วนใหญ่ให้คะแนนความเจ็บอยู่ที่ประมาณ 2-3 จาก 10 คะแนนเท่านั้น
ฉีดเมโสหน้าใสอันตรายหรือไม่?
การฉีดเมโสหน้าใสถือว่ามีความปลอดภัยสูง เมื่อทำโดยผู้เชี่ยวชาญที่ผ่านการรับรอง ใช้อุปกรณ์ที่สะอาดปลอดเชื้อ และใช้ผลิตภัณฑ์ของแท้ที่มีคุณภาพ
ผลข้างเคียงที่พบได้ส่วนใหญ่มักไม่รุนแรง เช่น รอยแดงหรือรอยช้ำเล็กน้อย ซึ่งจะหายไปเองในเวลาไม่กี่วัน ส่วนความเสี่ยงรุนแรงอย่างการติดเชื้อหรืออาการแพ้เกิดขึ้นได้น้อยมาก การเลือกรักษาในคลินิกที่ได้มาตรฐานและสะอาดจะช่วยลดความเสี่ยงเหล่านี้ได้อย่างมาก
References:
- National Institute of Health. (n.d.). Mesotherapy for Skin Rejuvenation: Evidence and Practice. NIH. nih.gov
- Lippincott Williams & Wilkins (LWW). (n.d.). Mesotherapy in Dermatology: A Review. LWW Journals. lww.com
- Wiley Online Library. (n.d.). Clinical Applications of Mesotherapy. Wiley. wiley.com
- MDPI. (n.d.). Mesotherapy for Skin Brightening and Rejuvenation. MDPI Journals. mdpi.com
- Springer. (n.d.). Advances in Mesotherapy Techniques. Springer. springer.com
- ScienceDirect. (n.d.). Mesotherapy: Principles and Applications. ScienceDirect. sciencedirect.com
