Skip to content

TEL : 081-841-5075, 02-258-4050

Facebook Instagram YouTube
Privato Clinic – Innovation Of Beauty  |  Bangkok
  • หน้าหลัก
  • เกี่ยวกับพรีวาโต
  • บริการทั้งหมดExpand
    • ชะลอวัย
    • ยกกระชับผิวExpand
      • XERF
      • Potenza
      • Sofwave
      • Ulthera
      • Thermage-FLX
    • รักษาสิว
    • เลเซอร์
    • โปรแกรมฉีด
    • บำรุงผิว
  • บทความExpand
    • สิว
    • ยกกระชับ
    • ดูแลผิว
    • ทำเลเซอร์
  • ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว
  • โปรโมชั่น
  • ผลลัพธ์การรักษา
  • วิดีโอรีวิวจากเคสจริง
  • สาขาของเรา
  • ไทยExpand
    • ไทย
    • English
    • 中文 (中国)
  • ปรึกษาแพทย์
Privato Clinic – Innovation Of Beauty  |  Bangkok
Consult a Doctor
Skincare

ฝ้าลึก รักษาอย่างไร? รวมวิธีดูแลและสาเหตุที่คุณควรรู้

Byadmin พฤศจิกายน 30, 2025
By แพทย์หญิงนัชชนก หุ่นวิจิตร Updated on พฤศจิกายน 30, 2025
✦ Medically reviewed by  นายแพทย์เลอพงษ์ กรุดเงิน
ฝ้าลึก รักษาอย่างไร? รวมวิธีดูแลและสาเหตุที่คุณควรรู้

Table of Contents

Toggle
  • ฝ้าลึก (Dermal Melasma) คืออะไร? แยกให้ออกระหว่างฝ้าตื้นและฝ้าเลือด
    • ลักษณะทางกายภาพ: สีและขอบเขตของรอยโรคที่มองเห็น
    • ความลึกของเม็ดสีเมลานินในชั้นหนังแท้ (Dermis)
    • ตารางเปรียบเทียบความแตกต่าง: ฝ้าลึก vs ฝ้าตื้น vs ฝ้าผสม
  • เจาะลึกสาเหตุ: ปัจจัยภายในและภายนอกที่กระตุ้นให้เกิดฝ้า
    • รังสี UVA/UVB และแสงสีฟ้าจากหน้าจอคอมพิวเตอร์
    • ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนและการเปลี่ยนแปลงขณะตั้งครรภ์
    • ความเครียดและการพักผ่อนไม่เพียงพอส่งผลต่อเม็ดสีอย่างไร
  • 5 แนวทางการรักษาฝ้าลึกทางการแพทย์
    • 1. โปรแกรมเลเซอร์ Picosecond และ Q-Switch ลดเม็ดสีเฉพาะจุด
    • 2. การใช้ยาทาฝ้ากลุ่มไวท์เทนนิ่งและยับยั้งเม็ดสี (Medical Grade)
    • 3. การฉีดเมโสเทอราปี (Mesotherapy) เพื่อกระจายตัวยาลงผิวชั้นลึก
    • 4. การลอกผิวด้วยกรดผลไม้เข้มข้น (Chemical Peeling)
    • 5. ยากินรักษาฝ้า (Tranexamic Acid): ข้อบ่งใช้และผลข้างเคียง
  • การดูแลตัวเองและสูตรธรรมชาติบำบัดสำหรับผู้ที่มีผิวบอบบาง
    • สูตรพอกหน้าลดฝ้าด้วยหัวไชเท้าและน้ำผึ้งอย่างถูกวิธี
    • การเลือกครีมกันแดด Physical Sunscreen สำหรับคนเป็นฝ้า
    • สารอาหารและวิตามินที่ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้ผิวจากภายใน
  • วงจรการผลัดเซลล์ผิว: ทำไมการรักษาฝ้าลึกจึงต้องใช้ความอดทน
    • ระยะเวลาการเห็นผลของการรักษาแต่ละประเภท (Timeline)
    • ความสำคัญของ Skin Barrier ในการป้องกันฝ้ากลับมาเป็นซ้ำ
  • ข้อควรระวังและความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับการกำจัดฝ้า
    • อันตรายจากการซื้อยาทาฝ้าผสมสเตียรอยด์และปรอทใช้เอง
    • การขัดผิวหน้าแรงเกินไปอาจกระตุ้นให้ฝ้าเข้มขึ้น
    • ความจริงเรื่องการรักษาฝ้าลึกให้หายขาด 100% เป็นไปได้หรือไม่
  • คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับปัญหาฝ้าลึก
    • ฝ้าลึกกับกระลึกมีความแตกต่างกันอย่างไร?
    • คนเป็นฝ้าลึกควรทานวิตามินหรืออาหารเสริมตัวไหน?
    • การทำเลเซอร์รักษาฝ้าบ่อยๆ ทำให้หน้าบางลงจริงไหม?
    • ต้องใช้เวลารักษานานเท่าไหร่กว่าฝ้าลึกจะเริ่มจางลง?
    • ครีมทาฝ้าทั่วไปสามารถรักษาฝ้าลึกได้ผลหรือไม่?
  • Author

ฝ้าลึก (Dermal Melasma) คืออะไร? แยกให้ออกระหว่างฝ้าตื้นและฝ้าเลือด

ฝ้าลึก (Dermal Melasma) คือฝ้าที่เกิดจากการสะสมของเม็ดสีเมลานินในชั้นหนังแท้ ซึ่งเป็นผิวหนังชั้นที่ลึกกว่า ทำให้เห็นเป็นปื้นสีน้ำตาลเทาหรือสีน้ำเงินเทา ขอบเขตไม่ชัดเจน และรักษาได้ยากกว่าฝ้าชนิดอื่น

ความแตกต่างระหว่างฝ้าแต่ละชนิดมีดังนี้:

  • ฝ้าตื้น (Epidermal Melasma): เกิดในชั้นหนังกำพร้า (ผิวชั้นบนสุด) เป็นแผ่นสีน้ำตาลที่มีขอบเขตชัดเจน และตอบสนองต่อการรักษาได้ดี
  • ฝ้าเลือด (Vascular Melasma): มีลักษณะเป็นรอยแดงที่เกิดจากความผิดปกติของเส้นเลือดใต้ผิวหนัง ซึ่งมักพบร่วมกับฝ้าชนิดอื่น (Mesotherapy for melasma – an updated review, Jpbs, 2024)

ลักษณะทางกายภาพ: สีและขอบเขตของรอยโรคที่มองเห็น

ฝ้าลึก (Dermal melasma) มีลักษณะเป็นปื้นสีเทาอมฟ้าหรือสีน้ำตาล และมีขอบเขตที่ไม่ชัดเจน ซึ่งแตกต่างจากฝ้าตื้น (Epidermal melasma) ที่เป็นสีน้ำตาลอ่อนถึงเข้มและมีขอบเขตที่ชัดเจนกว่า

ความลึกของเม็ดสีเมลานินในชั้นหนังแท้ (Dermis)

ฝ้าลึก (Dermal melasma) คือการที่เม็ดสีเมลานินสะสมอยู่ในชั้นหนังแท้ ซึ่งเป็นผิวหนังชั้นที่ลึกลงไป ทำให้เห็นเป็นรอยปื้นสีน้ำตาลอมเทาหรืออมฟ้า และมีขอบเขตไม่ชัดเจน (Mesotherapy for melasma – an updated review, JPBS, 2024)

ตารางเปรียบเทียบความแตกต่าง: ฝ้าลึก vs ฝ้าตื้น vs ฝ้าผสม

ฝ้าแต่ละชนิดมีความแตกต่างกันที่ความลึกของเม็ดสี ลักษณะที่มองเห็น และการตอบสนองต่อการรักษา โดยสามารถเปรียบเทียบได้ดังตารางต่อไปนี้

ลักษณะ ฝ้าตื้น (Epidermal Melasma) ฝ้าลึก (Dermal Melasma) ฝ้าผสม (Mixed Melasma)
ตำแหน่งเม็ดสี ผิวหนังชั้นนอก (หนังกำพร้า) ผิวหนังชั้นใน (หนังแท้) ทั้งผิวหนังชั้นนอกและชั้นใน
ลักษณะรอยฝ้า แผ่นสีน้ำตาลอ่อนถึงเข้ม ขอบเขตชัดเจน แผ่นสีเทาอมฟ้าหรือสีน้ำตาล ขอบเขตไม่ชัดเจน มีทั้งรอยสีน้ำตาลขอบชัดและสีเทาขอบไม่ชัดปนกัน
การตอบสนองต่อการรักษา ตอบสนองต่อการรักษาได้ดี รักษายากกว่า รักษายากที่สุด

เจาะลึกสาเหตุ: ปัจจัยภายในและภายนอกที่กระตุ้นให้เกิดฝ้า

รังสี UVA/UVB และแสงสีฟ้าจากหน้าจอคอมพิวเตอร์

รังสี UVA/UVB และแสงสีฟ้าเป็นปัจจัยสำคัญที่กระตุ้นให้เกิดฝ้า รังสีอัลตราไวโอเลต (UVA และ UVB) จากแสงแดดเป็นตัวกระตุ้นหลักที่ทำให้เซลล์สร้างเม็ดสีผลิตเมลานินออกมามากเกินไป ส่วนแสงสีฟ้าที่มาจากทั้งแสงแดดและหน้าจออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ก็สามารถทำให้รอยดำคล้ำรุนแรงขึ้นและมีส่วนทำให้เกิดฝ้าได้เช่นกัน (NCBI Books, 2023)

ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนและการเปลี่ยนแปลงขณะตั้งครรภ์

ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรนที่สูงขึ้น โดยเฉพาะระหว่างการตั้งครรภ์หรือการใช้ยาคุมกำเนิด เป็นปัจจัยกระตุ้นที่สำคัญของการเกิดฝ้า การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนเหล่านี้จะไปกระตุ้นเซลล์สร้างเม็ดสี (melanocytes) ให้ผลิตเมลานินออกมามากเกินไป ฝ้ามักถูกเรียกว่า “หน้ากากแห่งการตั้งครรภ์” (mask of pregnancy) เนื่องจากพบได้บ่อยในหญิงตั้งครรภ์ (15–50%) และในบริเวณที่เป็นฝ้ามักพบตัวรับฮอร์โมนเอสโตรเจนมากกว่าปกติ ซึ่งบ่งชี้ถึงความเชื่อมโยงโดยตรง

ความเครียดและการพักผ่อนไม่เพียงพอส่งผลต่อเม็ดสีอย่างไร

ความเครียดเรื้อรังและการพักผ่อนไม่เพียงพออาจกระตุ้นให้ฝ้ามีสีเข้มขึ้นได้ โดยความเครียดจะเพิ่มระดับฮอร์โมนคอร์ติซอล (cortisol) ซึ่งอาจส่งเสริมการสร้างเม็ดสี ส่วนการนอนหลับไม่เพียงพอจะทำให้เกิดการอักเสบที่สามารถกระตุ้นเซลล์สร้างเม็ดสีได้ แม้ว่าหลักฐานทางวิทยาศาสตร์โดยตรงยังอยู่ในขั้นรวบรวม แต่แพทย์ผิวหนังจำนวนมากสังเกตว่าฝ้ามักกำเริบในช่วงที่มีความเครียดสูง

5 แนวทางการรักษาฝ้าลึกทางการแพทย์

1. โปรแกรมเลเซอร์ Picosecond และ Q-Switch ลดเม็ดสีเฉพาะจุด

เลเซอร์ Picosecond และ Q-switched Nd:YAG ทำงานโดยการยิงพลังงานไปที่เม็ดสีเมลานินโดยตรง ทำให้เม็ดสีแตกตัวเป็นอนุภาคเล็กๆ โดยไม่ทำลายผิวหนังโดยรอบ

เลเซอร์ชนิดนี้จะใช้ความยาวคลื่น 1064 นาโนเมตร ที่มีความเข้มข้นต่ำเพื่อเข้าไปทำลายเม็ดสีที่อยู่ในชั้นหนังแท้โดยเฉพาะ จากนั้นร่างกายจะค่อยๆ กำจัดอนุภาคเม็ดสีที่แตกตัวออกไปเอง โดยทั่วไปแล้ว การรักษาฝ้าลึก (Dermal Melasma) ด้วยวิธีนี้ต้องทำหลายครั้ง (ประมาณ 6-8 ครั้ง) โดยเว้นระยะห่างแต่ละครั้งประมาณ 4 สัปดาห์ เพื่อให้เห็นผลการรักษาที่ดีขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป (Pubmed, 2023)

2. การใช้ยาทาฝ้ากลุ่มไวท์เทนนิ่งและยับยั้งเม็ดสี (Medical Grade)

การรักษาฝ้าด้วยยาทากลุ่มไวท์เทนนิ่งเกรดการแพทย์ (Medical Grade) ถือเป็นการรักษาลำดับแรก โดยมักใช้ครีมที่มีส่วนผสมของไฮโดรควิโนน (hydroquinone) 4%, เรตินอยด์ (retinoids) และสเตียรอยด์ชนิดอ่อน ซึ่งมักใช้ร่วมกันในรูปแบบยาผสมสามชนิด ไฮโดรควิโนนจะช่วยยับยั้งการผลิตเม็ดสี และโดยทั่วไปจะเห็นผลว่าฝ้าจางลงหลังใช้อย่างสม่ำเสมอเป็นเวลา 5–7 สัปดาห์ สำหรับกรณีที่ดื้อยา อาจมีการเพิ่มส่วนผสมอื่น ๆ เช่น กรดอะซีลาอิก (azelaic acid) และกรดโคจิก (kojic acid) การรักษาฝ้าลึกอาจต้องใช้ยาต่อเนื่องเป็นเวลาหลายเดือน เนื่องจากเม็ดสีในชั้นผิวที่ลึกกว่าจะจางลงอย่างช้า ๆ (Efficacy of topical Raphanus sativus seed powder mixed with honey versus hydroquinone 4% cream in the treatment of melasma – A randomized controlled trial, ResearchGate)

3. การฉีดเมโสเทอราปี (Mesotherapy) เพื่อกระจายตัวยาลงผิวชั้นลึก

เมโสเทอราปีคือการฉีดสารลดเม็ดสีขนาดเล็กเข้าสู่ผิวหนังชั้นกลางโดยตรง เพื่อกระจายตัวยาออกฤทธิ์ เช่น กรดทรานเอกซามิก (tranexamic acid) วิตามินซี หรือกลูตาไธโอน ไปยังผิวหนังชั้นแท้ซึ่งเป็นบริเวณที่มีฝ้าลึกอยู่ การศึกษาพบว่าวิธีนี้มีประสิทธิภาพปานกลางและช่วยให้รอยฝ้าจางลงอย่างมีนัยสำคัญ จึงเป็นทางเลือกเสริมที่มีแนวโน้มดีสำหรับการรักษาฝ้าที่ดื้อต่อการรักษา (Mesotherapy for melasma – an updated review, Journal of Pharmaceutical and Bioallied Sciences, 2024)

4. การลอกผิวด้วยกรดผลไม้เข้มข้น (Chemical Peeling)

การลอกผิวด้วยกรดผลไม้ (Chemical Peeling) เป็นวิธีการรักษาฝ้าในลำดับรอง ที่สามารถช่วยให้ฝ้าจางลงได้ในระดับปานกลาง แต่ก็มีความเสี่ยงสูง โดยแพทย์ผิวหนังจะใช้กรดความเข้มข้นสูง เช่น กรดไกลโคลิก (Glycolic Acid) เพื่อเร่งการผลัดเซลล์ผิวและกำจัดเซลล์ผิวที่มีเม็ดสีส่วนเกินออกไป

อย่างไรก็ตาม วิธีนี้มีความเสี่ยงโดยเฉพาะในผู้ที่มีฝ้าลึกหรือผิวคล้ำ ซึ่งอาจให้ผลลัพธ์ที่ไม่แน่นอน, เกิดรอยดำหลังการอักเสบ (ฝ้าเข้มขึ้น), หรือเกิดแผลเป็นได้หากทำอย่างรุนแรงเกินไป ด้วยเหตุนี้ การลอกผิวจึงมักใช้เมื่อการรักษาด้วยยาทาไม่ได้ผลดีเท่าที่ควร และต้องทำโดยผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น (Mesotherapy for melasma – an updated review, Jpbs, 2024)

5. ยากินรักษาฝ้า (Tranexamic Acid): ข้อบ่งใช้และผลข้างเคียง

ยากินรักษาฝ้า Tranexamic Acid (TXA) มีข้อบ่งใช้สำหรับผู้ใหญ่ที่เป็นฝ้าชนิดดื้อยาซึ่งไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยครีมหรือเลเซอร์ โดยทั่วไปถือว่าปลอดภัย แต่ต้องใช้ภายใต้การดูแลของแพทย์เนื่องจากมีความเสี่ยงที่พบได้ยากในการเกิดลิ่มเลือด

ยา Tranexamic Acid ในรูปแบบรับประทานเป็นหนึ่งในวิธีการรักษาฝ้าที่รักษายาก โดยมีรายละเอียดดังนี้

  • ข้อบ่งใช้:
    • ใช้สำหรับฝ้าที่รักษายาก (Recalcitrant melasma) หรือฝ้าที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษามาตรฐาน เช่น ครีมทาฝ้า หรือเลเซอร์
    • มักใช้เป็นยาเสริมร่วมกับการรักษาอื่น ๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ
    • ขนาดยาที่ใช้โดยทั่วไปคือ 250 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง ติดต่อกันเป็นเวลา 3-6 เดือน
  • ผลข้างเคียงและความปลอดภัย:
    • ผลข้างเคียงที่อาจพบได้: โดยทั่วไปยาค่อนข้างปลอดภัย แต่อาจพบอาการไม่สบายท้อง หรือการเปลี่ยนแปลงของประจำเดือนได้
    • ความเสี่ยงที่สำคัญ: แม้จะพบได้ยาก แต่มีความเสี่ยงทางทฤษฎีในการเกิดลิ่มเลือดอุดตัน (Thromboembolism)
    • ข้อควรระวัง: จำเป็นต้องใช้ยาภายใต้การดูแลของแพทย์ เพื่อทำการคัดกรองปัจจัยเสี่ยงและติดตามผลข้างเคียงอย่างใกล้ชิด (Mesotherapy for melasma – an updated review, Journal of Pharmacy and Bioallied Sciences, 2024)

การดูแลตัวเองและสูตรธรรมชาติบำบัดสำหรับผู้ที่มีผิวบอบบาง

สูตรพอกหน้าลดฝ้าด้วยหัวไชเท้าและน้ำผึ้งอย่างถูกวิธี

การใช้มาสก์หัวไชเท้าและน้ำผึ้งอย่างถูกวิธีคือการนำหัวไชเท้าบดละเอียดมาผสมกับน้ำผึ้งบริสุทธิ์ แล้วพอกทิ้งไว้บนใบหน้าประมาณ 10-15 นาที จากนั้นล้างออกเบาๆ เพื่อหลีกเลี่ยงการระคายเคือง

มาสก์นี้อาจช่วยยับยั้งการสร้างเม็ดสีและให้ความชุ่มชื้น แต่ผลลัพธ์ที่ได้จะค่อยเป็นค่อยไปและควรใช้เพื่อเสริมการรักษาหลักเท่านั้น ไม่ใช่การทดแทน (Efficacy of topical Raphanus sativus seed powder mixed with honey versus hydroquinone 4% cream in the treatment of melasma – a randomized controlled trial, ResearchGate, 2024)

การเลือกครีมกันแดด Physical Sunscreen สำหรับคนเป็นฝ้า

ควรเลือก Physical Sunscreen ที่มีส่วนผสมของซิงค์ออกไซด์ (zinc oxide) หรือไทเทเนียมไดออกไซด์ (titanium dioxide) ซึ่งเป็นกันแดดแบบมิเนอรัล (mineral-based) โดยควรเป็นสูตร broad-spectrum ที่มีค่า SPF 50+

ครีมกันแดดชนิดนี้จะทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันบนผิว ช่วยสะท้อนรังสียูวีโดยไม่ก่อให้เกิดการระคายเคือง จึงเหมาะสำหรับผิวที่เป็นฝ้าและแพ้ง่าย การเลือกสูตรที่มีส่วนผสมของไอรอนออกไซด์ (iron oxide) จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันแสงสีฟ้า (visible blue light) ซึ่งเป็นอีกหนึ่งตัวกระตุ้นที่ทำให้ฝ้าเข้มขึ้นได้ (Mesotherapy for melasma – an updated review, Journals Lww, 2024)

สารอาหารและวิตามินที่ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้ผิวจากภายใน

สารอาหารและวิตามินที่ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้ผิวจากภายใน ได้แก่ วิตามินซี วิตามินอี และสารสกัดจากเฟิร์น Polypodium leucotomos สารอาหารเหล่านี้ทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องผิวจากการทำร้ายของรังสียูวีและลดความเครียดในเซลล์สร้างเม็ดสี นอกจากนี้ ไนอะซินาไมด์ (วิตามินบี 3) ยังอาจช่วยลดการส่งต่อเม็ดสีเมลานินในผิวหนังได้อีกด้วย การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เช่น ผักและผลไม้ ก็เป็นสิ่งสำคัญในการสนับสนุนสุขภาพผิวโดยรวม (Mesotherapy for melasma – An updated review, Journal of Pharmaceutical and Bioallied Sciences, 2024)

วงจรการผลัดเซลล์ผิว: ทำไมการรักษาฝ้าลึกจึงต้องใช้ความอดทน

ระยะเวลาการเห็นผลของการรักษาแต่ละประเภท (Timeline)

โดยทั่วไปแล้ว การรักษาฝ้าต้องใช้เวลาหลายเดือนจึงจะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน โดยมักจะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในช่วง 6-8 สัปดาห์แรก และจะเห็นผลดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในเวลาประมาณ 4-6 เดือน

ระยะเวลาการเห็นผลของการรักษาแต่ละประเภทมีดังนี้

  • ยาทา: การใช้ครีมรักษาฝ้า เช่น ไฮโดรควิโนน จะเริ่มเห็นผลว่าฝ้าจางลงใน 5-7 สัปดาห์
  • เลเซอร์: การรักษาด้วยเลเซอร์จะเห็นผลดีขึ้นเรื่อยๆ หลังทำต่อเนื่องหลายครั้ง โดยจะเริ่มสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนหลังทำไปแล้วประมาณ 3-4 ครั้ง (ประมาณ 3 เดือน)
  • ยารับประทาน (Tranexamic Acid): อาจช่วยให้ฝ้าลดลงอย่างมีนัยสำคัญหลังจากผ่านไปประมาณ 3 เดือน

ทั้งนี้ ฝ้าลึก (Dermal melasma) จะใช้เวลานานกว่าในการรักษา โดยอาจต้องใช้เวลาหลายเดือนถึงหนึ่งปีจึงจะจางลงอย่างเห็นได้ชัด

ความสำคัญของ Skin Barrier ในการป้องกันฝ้ากลับมาเป็นซ้ำ

Skin barrier ที่แข็งแรงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการป้องกันฝ้ากลับมาเป็นซ้ำ เนื่องจากทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันผิวจากการอักเสบ ซึ่งเป็นหนึ่งในตัวกระตุ้นหลักของการผลิตเม็ดสี

ผิวที่มี Skin barrier อ่อนแอจะไวต่อปัจจัยกระตุ้นภายนอก เช่น รังสียูวีและความร้อน ทำให้ฝ้ากลับมาได้ง่าย การดูแลให้ Skin barrier แข็งแรงด้วยการใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยนและให้ความชุ่มชื้น จะช่วยรักษาผลลัพธ์จากการรักษาและทำให้ผิวทนทานต่อการเกิดฝ้าใหม่ได้ดีขึ้น (Lorenadeluxe.com)

ข้อควรระวังและความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับการกำจัดฝ้า

อันตรายจากการซื้อยาทาฝ้าผสมสเตียรอยด์และปรอทใช้เอง

การซื้อยาทาฝ้าที่ผสมสเตียรอยด์และปรอทมาใช้เองนั้นเป็นอันตราย เนื่องจากอาจทำให้ผิวบางลง, เกิดภาวะติดสเตียรอยด์, ฝ้ากลับมาเข้มกว่าเดิม, ผิวหนังเสียหายถาวร, และอาจเกิดพิษต่อไตและระบบประสาทได้

  • สเตียรอยด์: ครีมที่มีสเตียรอยด์ความเข้มข้นสูงอาจให้ผลเร็วในตอนแรก แต่การใช้ในระยะยาวจะทำให้ผิวบางลงและอาจทำให้ฝ้ากลับมามีสีเข้มกว่าเดิมเมื่อหยุดใช้
  • ปรอท: ส่วนผสมของปรอทเป็นโลหะหนักที่เป็นพิษ ซึ่งสามารถสะสมในร่างกายและก่อให้เกิดความเสียหายต่อไตและระบบประสาทได้

การขัดผิวหน้าแรงเกินไปอาจกระตุ้นให้ฝ้าเข้มขึ้น

เป็นความจริงที่การขัดผิวหน้าแรงเกินไปอาจกระตุ้นให้ฝ้าเข้มขึ้นได้ การขัดผิวที่รุนแรงจะทำลายเกราะป้องกันผิวและทำให้เกิดการอักเสบ ซึ่งจะไปกระตุ้นให้เซลล์ผลิตเม็ดสี (เมลานิน) มากขึ้นเพื่อป้องกันตัวเอง และอาจนำไปสู่ภาวะรอยดำหลังการอักเสบ (post-inflammatory hyperpigmentation) ทำให้ฝ้าดูเข้มขึ้นในที่สุด

ความจริงเรื่องการรักษาฝ้าลึกให้หายขาด 100% เป็นไปได้หรือไม่

ปัจจุบันยังไม่มีวิธีการรักษาฝ้าลึกให้หายขาด 100% เนื่องจากฝ้าเป็นภาวะความผิดปกติของเม็ดสีที่เรื้อรังและสามารถกลับมาเป็นซ้ำได้ เป้าหมายที่แท้จริงของการรักษาจึงเป็นการควบคุมให้รอยฝ้าจางลงและป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ ไม่ใช่การกำจัดให้หายไปอย่างถาวร (Mesotherapy for melasma – an updated review, JPBS, 2024)

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับปัญหาฝ้าลึก

ฝ้าลึกกับกระลึกมีความแตกต่างกันอย่างไร?

ฝ้าลึกเป็นปื้นขนาดใหญ่และไม่สม่ำเสมอซึ่งมักเกิดจากฮอร์โมน ส่วนกระลึกเป็นจุดเล็กๆ ที่เกิดจากแสงแดดเป็นหลัก โดยทั้งสองมีความแตกต่างที่สำคัญหลายประการ ดังนี้

  • ลักษณะ: ฝ้าลึกมีลักษณะเป็นปื้นสีน้ำตาลเทาหรืออมฟ้า ขอบเขตไม่ชัดเจน และมักขึ้นแบบสมมาตร เช่น ที่โหนกแก้มสองข้าง ส่วนกระลึกเป็นจุดสีน้ำตาลขนาดเล็ก (1-5 มม.) ที่แยกจากกันและกระจายตัวแบบสุ่ม
  • สาเหตุ: ฝ้าเกิดจากฮอร์โมนและแสงแดดร่วมกัน ในขณะที่กระเกิดจากพันธุกรรมและแสงแดดเป็นหลัก
  • ช่วงวัย: ฝ้ามักเริ่มปรากฏในวัยผู้ใหญ่ แต่กระมักเกิดขึ้นได้ตั้งแต่ในวัยเด็ก

คนเป็นฝ้าลึกควรทานวิตามินหรืออาหารเสริมตัวไหน?

สำหรับผู้ที่เป็นฝ้าลึก วิตามินและอาหารเสริมที่แนะนำเพื่อช่วยสนับสนุนการรักษา ได้แก่ วิตามินซี, วิตามินอี, สารสกัดจากเฟิร์น (Polypodium leucotomos) และไนอะซินาไมด์ (วิตามินบี 3)

อาหารเสริมเหล่านี้มีส่วนช่วยในการดูแลผิวจากภายใน แต่ไม่สามารถรักษาฝ้าให้หายขาดได้

  • วิตามินซี: ช่วยให้ผิวกระจ่างใสและลดความเครียดจากอนุมูลอิสระ
  • วิตามินอี: เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยป้องกันรังสียูวี
  • Polypodium leucotomos: เป็นสารสกัดจากเฟิร์นที่ช่วยลดการสร้างเม็ดสีที่เกิดจากรังสียูวี
  • ไนอะซินาไมด์ (วิตามินบี 3): ช่วยลดการส่งต่อเมลานินในผิวหนัง

อาหารเสริมเหล่านี้จะทำงานได้ดีที่สุดเมื่อใช้ร่วมกับการรักษาหลัก เช่น การทาครีมกันแดดและครีมทาฝ้าภายใต้คำแนะนำของแพทย์ (Utility of oral polypodium leucotomos extract dermatologic diseases systematic review, Journal of Drugs in Dermatology)

การทำเลเซอร์รักษาฝ้าบ่อยๆ ทำให้หน้าบางลงจริงไหม?

ไม่จริง เพราะเลเซอร์ที่ใช้รักษาฝ้าในปัจจุบันส่วนใหญ่ไม่ได้ทำให้ผิวบางลง

เลเซอร์สำหรับรักษาฝ้า เช่น Picosecond หรือ Q-switched laser เป็นเลเซอร์ชนิดที่ไม่ทำลายผิวชั้นบน (non-ablative) โดยจะส่งพลังงานลงไปเป้าหมายที่เม็ดสีโดยตรงโดยไม่ทำให้ชั้นผิวหนังบางลง ในทางกลับกัน เลเซอร์บางชนิดยังสามารถกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ซึ่งอาจช่วยให้ผิวมีความแข็งแรงและดูดีขึ้น ความรู้สึกว่าผิวไวต่อแสงหรือแห้งลงหลังทำเลเซอร์เป็นเพียงอาการชั่วคราว ไม่ได้เกิดจากชั้นผิวที่บางลงจริงๆ (Pubmed, 2023)

ต้องใช้เวลารักษานานเท่าไหร่กว่าฝ้าลึกจะเริ่มจางลง?

โดยทั่วไปแล้ว ฝ้าลึกจะเริ่มจางลงหลังจากรักษาอย่างสม่ำเสมอประมาณ 6–8 สัปดาห์ ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในช่วงแรก แต่การจางลงอย่างเห็นได้ชัดอาจต้องใช้เวลาประมาณ 4–6 เดือน เนื่องจากเม็ดสีอยู่ในชั้นผิวที่ลึกและต้องใช้เวลาในกระบวนการผลัดเซลล์ผิวเพื่อให้ค่อยๆ จางลง (Efficacy of topical Raphanus sativus seed powder mixed with honey versus hydroquinone 4% cream in the treatment of melasma – A randomized controlled trial, ResearchGate, 2024)

ครีมทาฝ้าทั่วไปสามารถรักษาฝ้าลึกได้ผลหรือไม่?

โดยทั่วไปแล้วครีมทาฝ้าที่หาซื้อได้เอง มักไม่สามารถรักษาฝ้าลึกได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ เนื่องจากฝ้าลึกมีเม็ดสีสะสมอยู่ในชั้นหนังแท้ซึ่งอยู่ลึกกว่าผิวชั้นบน ครีมทั่วไปจึงอาจช่วยให้ฝ้าชั้นตื้นจางลงได้บ้าง แต่ไม่สามารถจัดการกับเม็ดสีในชั้นลึกได้ดีพอ การรักษาฝ้าลึกให้ได้ผลอย่างมีนัยสำคัญมักต้องใช้ผลิตภัณฑ์เกรดทางการแพทย์ที่มีความเข้มข้นของสารออกฤทธิ์สูงกว่า เช่น ไฮโดรควิโนน 4% หรือเรตินอยด์ หรือทำหัตถการอื่น ๆ ภายใต้การดูแลของแพทย์ (Ncbi Books)

Author

  • แพทย์หญิงนัชชนก หุ่นวิจิตร
    แพทย์หญิงนัชชนก หุ่นวิจิตร

    View all posts

แนะแนวเรื่อง

Previous Previous
ผิวไวต่อแสง คืออะไร สาเหตุ อาการ และวิธีดูแลรักษา

สาขาพรีวาโต คลินิก

    สาขาอโศก ตั้งอยู่ที่ ชั้น 2 อาคารมิดทาวน์
    Phone: 02-258-4050 , 081-841-5075
    สาขาสีลม ตั้งอยู่ที่ ชั้น 1 อาคารซี.พี.ทาวเวอร์
    Phone: 02-780-2011 , 098-272-5244
    สาขาราชพฤกษ์ ตั้งอยู่ที่ ชั้น 2 ศูนย์การค้า เดอะคริสตัล เอสบี (ด้านบนร้านสตาร์บัคส์)
    Phone: 02-102-2778 , 098-272-5244

ติดต่อเรา

    Facebook: Privato Clinic
    Messenger: Privato Clinic
    Instagram: privatoclinic
    Email: privatoclinic@gmail.com
    Line: @privatoclinic

Copyright© 2022-2024. All Rights Reserved

Scroll to top
  • หน้าหลัก
  • เกี่ยวกับพรีวาโต
  • บริการทั้งหมด
    • ชะลอวัย
    • ยกกระชับผิว
      • XERF
      • Potenza
      • Sofwave
      • Ulthera
      • Thermage-FLX
    • รักษาสิว
    • เลเซอร์
    • โปรแกรมฉีด
    • บำรุงผิว
  • บทความ
    • สิว
    • ยกกระชับ
    • ดูแลผิว
    • ทำเลเซอร์
  • ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว
  • โปรโมชั่น
  • ผลลัพธ์การรักษา
  • วิดีโอรีวิวจากเคสจริง
  • สาขาของเรา
  • ไทย
    • ไทย
    • English
    • 中文 (中国)
  • ปรึกษาแพทย์
Facebook Instagram YouTube